tisdag 31 januari 2012

มาดูเขาถลกหนังไอ้ลิ้มโกเต๊กซ์กัน

โพสต์เมื่อ 28 January 2012 - 11:03 PM
ล่าสุด "สนธิ ลิ้ม" หลอกประชาชนอีกแล้ว เรื่องอเมริกาจะล้ม... "สนธิ ลิ้ม" เอง ต่างหาก ที่ไปรับเงินจาก NED ถ้า "สนธิ ลิ้ม" จะพูดเรื่อง อเมริกา ทำไมพูดแล้วพูดไม่หมด หรือตนเอง "กลัว" อะไรมิทราบ? แล้วเรื่อง "ปฏิญญาบรูไน" ไม่ทราบว่า "สนธิ ลิ้ม" ลืมแล้วหรืออย่างไร? "สนธิ ลิ้ม" รู้ว่า อย่างไรแล้ว ทหารก็ไม่รัฐประหาร จึงพยายามดิ้นให้เกิด "อย่างที่ต้องการ" แต่ ติดที่ "ปฏิญญาบรูไน" ที่เคยตกลงเอาไว้แล้ว ไม่ทราบว่า ระหว่าง "สนธิ ลิ้ม" พยายามเสี้ยมให้ "ทักษิณ" กับ "คนในเครื่องแบบ" ผิดใจกันใช่หรือไม่? "วัฒนา เมืองสุข" กับ "พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ" ก็เป็นตัวแทนแต่ละฝ่ายตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ทำไมวันนัั้น "สนธิ ลิ้ม" นิ่งแล้วเพิ่งมาดิ้นวันนี้ อีก 2 วัน ก็จะครบรอบ 1 ปี ตาม "แผน" ที่ตกลงกันที่บรูไน "ประยุทธ์" จะยังอยู่ ส่วน "สุรเกียรติ์" ก็รู้เรื่องนี้ดี การเจรจาต่อรอง "หลังฉาก" เป็นเรื่องปกติ แต่ต่อรองกันออกมายังไงก็ให้สังเกตจากพฤติกรรมของทุกๆฝ่าย ข้อตกลงลับนั้น ตกลงกัน 3 ฝ่าย แต่ "ฝ่ายที่ 3" ทำไม "สนธิ ลิ้ม" ไม่กล้าพูด?!ฝ่ายที่ 3 มี "จ.จ." นั่งหัวโต๊ะ "สนธิ ลิ้ม" ช่วยบอกพันธมิตรฯหน่อยว่า เธอคือใคร...
ตอนนี้พันธมิตรฯถูกโดดเดี่ยวแล้ว "ทหารก็ไม่เอาด้วย" เพราะ เขาเจรจาตกลงกันนานแล้ว"เขยซีพี" ก็คีย์แมนเรื่องนี้ "สนธิ ลิ้ม" จะให้เสื้อเหลืองเลิกเข้า 7/11 ไหม?
"สนธิ" รับเงินจาก "หน่วยงานของสหรัฐฯ" มาเดินเกมส์พันธมิตรฯ ทำไมไม่พูดให้หมด?
17 กันยายน 2552 ตอน 6 โมงเย็น "สนธิ ลิ้ม" ไปทำอะไรที่ Sea Restaurant ที่ บรองซ์, นิวยอร์ค กรุณาบอกความจริงผ่าน ASTV ด้วย
18 กันยายน 2552 สนธิ ลิ้ม ก็ย้ายไปที่ Holiday Inn Brookline-Boston, MA
20 กันยายน 2552 "สนธิ ลิ้ม" เช้ากับเย็นอยู่ "Siam Oishi Restaurant, Hallandale Beach, FL และ Tampa, FL
22 กันยายน 2552 เวลา 1 ทุ่ม "สนธิ ลิ้ม" วิ่งไป Gold Coast Hotel, Las Vegas, NV
“สนธิ” ตอแหลว่า ทุนมะกันหนุนหลังแก๊งล้มเจ้า แต่ตนเองวิ่งรอกขอเงินจากอเมริกา ตามแผนที่นี้ https://www.facebook...&type=1
"สนธิ ลิ้ม" จะจำได้ไหมว่าช่วงวันที่ 17 กันยายน 2552 ตนเองวิ่งไปรับเงินจากอเมริกามา หอบเงินดอลลาร์สหรัฐมาเท่าไร่มิทราบ?! อย่าบอกว่าลืมนะ

'สมยศ' ศาลไม่ให้ประกัน คดีหมิ่นเบื้องสูง นี้คือศาลเหี้ยภายใต้ระบอบเผด็จการอำมหิตของกษัตริย์ตาเดียว เจ้าของ ม ๑๑๒ ที่เป็นโซ่ตรวนจำจองคนในประเทศไทยอยู่ในเวลานี้ พวกรัฐบาลเองก็ยอมเป็นขี้ข้าอยู่ภายใต้มาตรานี้ เมื่อคณะนิติราษฎร์ออกมาเสนอให้แก้ไขก็ถูกพวกสุนัขรับใช้เผด็จการออกมาขัดขวาง


ภาพที่โพสต์


ศาลอาญา ไม่อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว "สมยศ พฤกษาเกษมสุข" แนวร่วม นปช. หลังโดนคดีหมิ่นเบื้องสูง...

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 31 ม.ค. 55 ที่ศาลอาญา ญาติของ นาย สมยศ พฤกษาเกษมสุข อายุ 51 ปี อดีตบรรณาธิการบริหารนิตยสาร "วอยซ์ ออฟ ทักษิณ" และแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จำเลยในคดีดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี และองค์รัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

ยื่นคำร้อง พร้อมหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินย่าน ต.บางเลน อ.สองพี่น้อง เนื้อที่ 28 ไร่เศษ ราคาประเมิน 1,696,650 บาท เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งปล่อยตัวชั่วคราว

ปรากฏว่าในช่วงเย็นวัน เดียวกัน ศาลมีคำสั่ง โดยพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ศาลอาญาเคยมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวโดยระบุเหตุผลไว้ชัดแจ้งแล้ว กรณีไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ยกคำร้อง.

นศ.ธรรมศาสตร์ติดป้ายประท้วง หลังมีมติห้ามใช้เคลื่อนไหว 112

นศ.ธรรมศาสตร์ติดป้ายประท้วงที่ศูนย์รังสิต หลังกก.บห.มีมติไม่ให้ใช้มหาวิทยาลัยเคลื่อนไหว "112"

หลังจากที่เมื่อวันที่ 30 มกราคมที่ผ่านมา นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีมติเอกฉันท์ว่ามหาวิทยาลัย คณะสำนักสถาบันจะไม่อนุญาตให้ใช้พื้นที่มหาวิทยาลัยเพื่อเคลื่อนไหวกรณี ประมวลกฎหมายมาตรา 112 อีกต่อไป

ในคืนวัน เดียวกัน มีนักศึกษาจากหลากหลายกลุ่มรวมตัวกันประท้วงมติของคณะกรรมการบริหาร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ด้วยการติดป้ายข้อความต่างๆ ทั่วทั้งอาคารเรียนรวมสังคมศาสตร์ (ตึก SC)

ทั้งนี้ มีรายงานว่ากลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตยจะทำการวางพวงหรีดเพื่อคัด ค้านการห้ามรณรงค์เกี่ยวกับมาตรา 112 และไว้อาลัยให้กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ทำลายตัวเองด้วยการปิดกั้น เสรีภาพดังกล่าว ที่รูปปั้นอ.ป๋วย อึ้งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิทยาเขตรังสิต ในวันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์นี้ เวลาบ่ายสองโมง และที่รูปปั้นอ.ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิทยาเขตท่าพระจันทร์ ในวันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ เวลาบ่ายสองโมง

ภาพที่โพสต์
ภาพที่โพสต์

ไอ้สมคิดหมารับใช้เผด็จการอำมาตย์ สร้างความเสื่อมเสียต่อแม่โดมทำให้เกิดความมัวหมอง
จาก ที่ธรรมศาสตร์คือแหล่งวิชาของชนชั้นปัญญาชนที่มีความเสรีในการใฝ่หาความรู้ ที่ข้างนอกไม่มีให้แต่ในอดีต แต่มาวันนี้หมดแล้วศักดิ์ศรีของแม่โดมโดนไอสมคิดมันเอาตีนละเลงเละไปหมดแล้ว ด้วยความกลัวต่ออำนาจเผด็จการที่ครองงำประเทศและครอบงำแม่โดมพร้อมด้วยครอบ งำสมคิดอยู่ด้วยผลประโยชน์ที่มอบให้เพียงน้อยนิดเพื่อแลกกับความสื่อสัตย์จง รักภักดีด้วยอำนาจเงินของฝ่ายอำมาตย์จนลืมอุดมการของแม่โดมและอุดมการณ์แนว คิดของท่านผู้ประศาสตร์แม่โดมปรีดี พนมยงค์ และท่านดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ ธรรมศาสตร์ต้องมาด่างพร้อยอีกครั้งหลังที่ก่อนหน้านี้ไอ้สุรพลมันได้ทำไว้ ก่อนหน้านี้ด้วยการเอาใจทหารขี้ข้าอำมาตย์ในการที่ออกมาบอกให้การสนับสนุน ให้นายกสมัครและนายกสมชาย ที่เป็นนายกมาจากการเลือกตั้งของประชาชน จนเป็นที่เสื่อมเสียไปแล้วครั้งหนึ่งครั้งนี้สมคิด เลิศไพฑูรย์มันกลับมาทำซ้ำรอยอีกครั้งแต่เป็นอีกบทบาทหนึ่งในการสนัสนุ นเผด็จการในการห้ามไม่ให้นักวิชาการฝ่ายประชาธิปไตยไปใช้สถานที่ของมธ.ในการ เคลื่อนไหวในเชิงวิชาการ เรื่องม.112 เพียงเพื่อสัมณาวิชาการเรื่องแก้ไขกฏหมายเท่านั้นไม่ได้ยกเลิกกฏหมายเลยด้วย ซ้ำไป แต่สมคิดกลับทำระยำไปกว่านั้นโดยการไปอนุญาติให้กลุ่มเคลื่อนไหว อีกกลุ่มเข้ามาใช้สถานที่ได้อย่างงี้ไม่ให้เรียกว่าระยำแล้วจะให้เรียกว่า อย่างไรดีครับท่าน

måndag 30 januari 2012

ขบวนการประชาธิปไตยไทยในสแกนดิเนเวียขอเป็นกำลังใจและให้การสนับสนุน คณะนิติราษฎร์ อย่างเต็มที่ ในการต่อสู้กับระบอบเผด็จการอันป่าเถื่อนของพวก อำมาตย์และลูกสมุน

จดหมายเปิดผนึกถึงวรเจตน์ ภาคีรัตน์ และอาจารย์นิติราษฏร์ทุกท่าน
เรียน อาจารย์วรเจตน์ ภาคีรัตน์ และอาจารย์ในกลุ่มนิติราษฏร์ทุกท่าน

เรื่อง ขอเป็นกำลังใจในฐานะประชาชนคนหนึ่ง

อาจารย์ครับ ผมตัดสินใจอยู่นานว่าจะสื่อถึงอาจารย์ และคณาจารย์ทุกท่านในกลุ่มนิติราษฏร์ อย่างไรดี

วันนี้ คลื่นลมทางการเมือง และรังสีแห่งความอำมหิต มันถูกจุดขึ้นเพื่อกลบเกลื่อน ข้อคิดที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า เหล่านักวิชาการหลายคน จนแม้แต่นายบวรศักดิ์ อุวรรณโน จะ กล้าออกมาใช้อารมณ์ เป็นที่ตั้ง วิพาก ด่ากราด นิติราษฏร์ โดยไม่เคยศึกษา ความคิดเห็นของนิติราษฏร์ ในเชิงวิชาการที่นำเสนอ "แม้แต่สักประโยคเดียว"

จากวันนั้น จนถึงวันนี้ กลุ่มเล็ก กลุ่มน้อย กลุ่มย่อย กลุ่มยิบ จนตลอดกลุ่มจัดตั้ง ที่ดาหน้ากันออกมา "ให้ร้าย " "โจมตี "อาจารย์ทั้งหมด ผมก็ยังไม่เคยเห็นวาทะ ทางวิชาการที่จะโต้แย้ง ความคิดเห็นของนิติราษฏร์ในทางวิชาการ

"แม้แต่ซักบรรทัดหนึ่ง"

นอกจากวิชาวิทยุยานเกราะ กับหนังสือพิมพ์ดาวสยาม ตามตำรา ขวาพิฆาตซ้ายในอดีต

ผมยอมรับว่าต้องเป่าปาก(โล่งอก)ออกมา เมื่อรู้ว่าเวลานิติราษฏร์ จัดเสวนา ไม่มีการเล่นละครบนเวที บอก ตามตรง ว่ากลัวเห็นภาพที่หนังสือพิมพ์ดาวสยามย้อนยุค จะเอาไปลงตัดต่อ เพื่อก่อให้เกิดการฆ่าหมู่เช่น...ในธรรมศาสตร์เมื่อครั้งอดีต

อาจารย์ครับ บางทีผมเองก็อดถามตัวเองไม่ได้ว่า ในสังคมนี้ เราเป็นตัวประหลาด หรือว่าเรากำลังอยู่ในสังคมประหลาด

ผมชักไม่แน่ใจ ?

กาลครั้งหนึ่ง นายสนธิ ลิ้มทองกุล โอ้อวด ผ้าพันคอว่า อันนี้ของจริง มีการคุยว่าเข้าไปข้างนอกข้างในได้ จนถึงขนาด กล้าพูดกับคนไทยในอเมริกาว่า ตนเองคือราชบุตรเขย

และที่ซ้ำร้ายการ์ดพันธมิตรถึงขนาดเอาพระบรมสาทิศลักษณ์ ติดโล่ห์ บุกเข้าไปตีกับตำรวจ เพื่อปล้นทำเนียบรัฐบาล ก็เห็นกันอยู่ตำตาทั้งบ้านทั้งเมือง

สังคมประหลาดนี้กลับเงียบ.... เงียบ..... และ เงียบจนน่ากลัว ไม่มีสักคนใครกล้าจะกล่าวหา นายสนธิว่า กระทำความผิดตามมาตรา 112

ผมสงสัยจริง ๆ ครับว่า สังคมบ้านเรา มันเป็นสังคมวิตรถาร ไปแล้วใช่หรือเปล่า ?

หากเทียบเคียงกับ การนำเสนอในทางวิชาการ กลับได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

วันนี้ ผมจะขอแสดงความรู้สึก กับอาจารย์ในฐานะลูกศิษย์ คนหนึ่งที่อาจารย์เคยกรุณาสั่งสอนผม ในหลักสูตรกฏหมายมหาชน (รุ่น 10 กว่า ๆ) คนหนึ่ง

ผมขออนุญาตใช้สิทธิของกระผมในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ที่ทำงานเสียภาษี บำรุงบำเรอผู้มีอำนาจในประเทศนี้ว่า "ขอเป็นกำลังใจให้อาจารย์ทุกท่าน"

ผมสัญญาว่าจะไม่ยอมให้อาจารย์ยืนอย่างโดดเดี่ยวอย่างเด็ดขาด แม้นอาจารย์จะเคยยืนยันกับผมว่าอาจารย์พร้อมจะรับผิดชอบในสิ่งที่อาจารย์ทำ โดยไม่ยอม​ให้ใครต้องมาเดือดร้อนก็ตาม

เราทุกคนเข้าใจความรู้สึกของอาจารย์

ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง สำหรับผมนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ คือชายหนุ่มผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิณญาณของความเป็นครู เป็นนักวิชาการ ที่ยืนอยู่บนหลักที่ถูกต้องของกฏหมาย

อาจารย์ต่อสู้ให้กับความถูกต้องและเสียสละอย่างกล้าหาญให้กับสังคมวิตถาร แห่งประเทศทร้วยส์ มามากเกินพอแล้วครับ

วันนี้ ไม่ว่าอาจารย์จะหยุด หรือเดินหน้าต่อไป

เราจะยืนเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้กับอาจารย์เสมอ ไม่ว่าหนทางข้างหน้า จะเป็นนรก หรือสวรรค์ก็ตาม

ด้วยความเคารพรักอย่างสูง

สายลมรัก

จดหมายถึงวรเจตน์ ภาคีรัตน์ และอาจารย์นิติราษฏร์ทุกท่าน
ผมขออนุญาตกล่าวเพียงสั้นๆ...
ผมดีใจที่ธรรมศาสตร์ในเวลานี้ ยังมีคนอย่างพวกคุณอยู่
ขอบคุณที่กรุณาเป็นประทีปทางปัญญาให้แก่ประชาชนคนไทยครับ
ในส่วนการดำเนินงาน ผมคงไม่มีข้อใดบังอาจไปแนะนำติชมท่านได้
ในส่วนแนวคิดอุดมการณ์ ผมขอนับถือ
ในส่วนตัวแล้ว ผมชื่นชมพวกคุณมากๆครับ

ปีกสีชาด
RE: จดหมายเปิดผนึกถึงวรเจตน์ ภาคีรัตน์ และอาจารย์นิติราษฏร์ทุกท่าน
ขอร่วมเป็นกำลังใจให้ คณะนิติราษฏร์ พวกท่านทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ไม่ต้องกลัว
ปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการต่อต้าน แสดงให้เห็นแล้วว่า พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้ใช้สติ ปัญญา
ในการที่จะออกมาต่อต้าน นอกจากใช้อารมณ์ และการข่มขู่ ต่างๆ ไม่ได้ใช้วิธีการของปัญญาชนที่ควรนำมาใช้
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เราได้พบเห็นกันบ่อยครั้งในเหตุการณ์สำคัญของการเมืองไทย เช่นในปี ๑๖ และ ปี ๑๙ เป็นต้น
พวกเขาถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยตั้งใจ และไม่ต้้ง ทั้งที่รู้และไม่รู้เท่าทันเหตุการณ์บ้านเมือง

จากที่ได้ติดตามเหตุการณ์บ้านเมืองมา เห็นได้ว่ากลุ่มวิชาการของท่านได้ตั้งใจทำสิ่งที่ดี ที่เป็นประโยชน์
ต่อประเทศชาติ และประชาชน โดยหวังที่จะให้บ้านเมืองก้าวทันต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย
ปรับปรุงกฏ กติกา ให้ยุติธรรม และเป็นที่ยอมรับต่อชาวโลกมากขึ้น และเป็นรูปธรรมมากที่สุด
ซึ่งไม่เคย ปรากฏมาเลยในวงนักวิชาการ

ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว ตั้งใจที่จะทำให้บ้านเมืองเจริญขึ้น
แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญที่จะพบเจอกับสิ่งที่เกิดขึ้นจากผู้ที่ต่อต้าน และไม่เห็นด้วย เช่นจากการข่มขู่
และผลกระทบอื่นๆ ทั้งเรื่องส่วนตัว และหน้าที่การงาน ตามที่เป็นข่าวให้รับรู้อยู่บ่อยๆ

จึงขอให้พวกท่าน กลุ่มอาจารย์คณะนิติราษฏร์อดทนต่ออุปสรรค และมารทั้งหลายที่ท่านต้องผจญอยู่ขณะนี้
ขอให้พวกท่านจงรับรู้เถิดว่า ท่านไม่ได้ต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว พวกเราพร้อมจะเดินไปกับท่าน เป็นเพื่อนร่วมทางกับท่าน
คอยให้กำลังใจ และพร้อมจะช่วยในสิ่งที่ท่านร้องขอ และขอให้ท่านทำงานของท่านต่อไปอย่างกล้าหาญ อดทน
เพื่อพี่น้องประชาชนคนไทย ที่รอคอยจะได้เห็นความสำเร็จของพวกท่าน ให้สมกับคำว่า นิติราษฏร์ นิติศาสตร์เพื่อราษฏร
RE: จดหมายเปิดผนึกถึงวรเจตน์ ภาคีรัตน์ และอาจารย์นิติราษฏร์ทุกท่าน ถ้าท่านปรีดี เป็นผู้มาก่อนกาล ปีพศ.2475

นิติราษฎร์ ก็เป็นผู้มาก่อนกาล ปีพศ.2555

เพียงแต่ประชาชนในวันนี้ไม่ใช่ประชาชนของปีพศ.2475 อีกแล้ว


ขณะนี้ ถ้าผมเรียกร้องให้พวกท่านหยุด เชื่อว่า พวกท่านยังพวกคงก้าวต่อไป
เพราะฉะนั้น
เราไปด้วยกันครับ

söndag 29 januari 2012

จดหมายของอาจารย์ สมศักดิ์ ชี้ให้เห็นธาตุแท้ของพวกนักวิชาการที่พิการทางสมอง เช่น นายธีรยุทธ บุญมี นาย เสกสรรค์ ประเสริฐกุล นาย สุลักษ์ ศิวลักษณ์ และพวกแก่กะโหลกกะลาสมองเสื่อมไดโนเสาว์ทั้งหลาย เศษสวะสังคมทาสรับใช้เผด็จการที่ไม่ยอมปลดปล่อยตัวเอง เราเห็นดว้ยกับอาจารย์ สมศักดิ์

หมายเหตุ: ชื่อบทความเดิม ’ “ใครถอยและใครทน พิสูจน์ได้เมื่อภัยมา”: ตอบจดหมายกรณี นิติราษฎร์-ครก.112 ของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล
เรียน พี่เสก ที่นับถือ
ผมอ่านจดหมายชี้แจงกรณี “นิติราษฎร์-ครก.112” ของพี่เสกด้วยความรู้สึกเศร้าใจมากกว่าอย่างอื่น ความจริง ผมว่า พี่เสก คง “ชรา” แล้วอย่างที่พี่เสกพูดถึงตัวเองในจดหมายจริงๆ จึงตัดสินทำอะไรที่ไม่ควรทำเช่นนี้ ที่ในระยะยาวมีแต่จะเป็นการลดทอนชื่อเสียงเกียรติภูมิและฐานะทางประวัติศาสตร์ของพี่เสกลงไปอีก
ก่อนอื่น ใครที่ได้อ่านจดหมายของพี่เสกฉบับนี้ ก็ยากจะหลีกเลี่ยงอดคิดไม่ได้ว่า ที่พี่เสกเพิ่งมาออกจดหมายฉบับนี้ – สองสัปดาห์หลังจากมีการประกาศชื่อผู้ร่วมลงนามสนับสนุนร่างแก้ไข 112 ของ นิติราษฎร์ (ซึ่งรวมชื่อพี่เสกอยู่ด้วย) ก็เพราะหลายวันที่ผ่านมา มีกระแสโจมตี “นิติราษฎร์” อย่างหนัก ซึ่งนับเป็นเรื่องน่าเสียใจว่า “เสกสรรค์ ประเสริฐกุล” ผู้เคยนำมวลชนลุกขึ้นสู้อย่างกล้าหาญไม่ถอย เมื่อ 40 ปีก่อน (ในท่ามกลางเพื่อนรุ่นเดียวกันหลายคนที่หวั่นไหวกับการขู่ของอำนาจทหารฟัสซิสต์) กลายมาเป็นคน “ใจเสาะ” อ่อนไหวง่ายกับกระแสโจมตี ที่ทั้งหมด มีแต่เสียงคำรามแบบป่าเถื่อน ไม่มีร่องรอยของภูมิปัญญาอยู่เลยนี้ ไปได้เสียแล้ว
ความจริง กระแสโจมตีในขณะนี้ พุ่งเป้าไปที่นิติราษฎร์เท่านั้น เรียกว่าไม่มีการกล่าวถึงคนอื่นๆที่ร่วมลงนามเลย อย่าว่าแต่พี่เสกเลย แม้แต่คนที่ใกล้ชิดหรือมีท่าทีสนับสนุนนิติราษฏร์มากกว่าพี่เสกหลายเท่า เช่น อาจารย์ชาญวิทย์ หรือ อาจารย์นิธิ (ที่พูดในงานเปิดตัวด้วย) ก็ยังเรียกว่าไปไม่ถึง ก็แล้วทำไมพี่เสกจะต้อง “ร้อนตัว” ออกจดหมายมาชี้แจงแบบนี้เล่า?
ผมเชื่อว่า ทุกคนตระหนักดีว่า ในการรณรงค์ที่ใช้รูปแบบร่วมลงชื่อกันมากๆ เป็นร้อยคนขึ้นไปเช่นนี้ แต่ละคนย่อมอาจจะมีเหตุผลเฉพาะของตัวเอง และไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนกับคนที่เป็นผู้ริเริ่มทั้งหมด แต่อย่างน้อย ในฐานะที่แต่ละคนเป็นผู้ใหญ่มีวุฒิภาวะและวิจารณญาณกันแล้ว (อย่าว่า “ชรา” แล้ว อย่างพี่เสก) การลงชื่อ หรือยอมให้ชื่อของตัวเองรวมเข้าไปด้วย ย่อมมาจากการต้องเห็นด้วยกับข้อเสนอเช่นนั้น ไม่ว่าจะมีเหตุผลหรือมุมมองเฉพาะของตัวเองอย่างไร ดังนั้น จะว่าไปแล้ว ก็ไม่เห็นจะมีความจำเป็นที่แต่ละคนจะต้องออกมาชี้แจงเลย ยิ่งในเมื่อกระแสโจมตีในกรณีนี้ หาได้พุ่งเป้าไปที่ใครโดยเฉพาะ (นอกจากนิติราษฎร์) ที่แน่ๆ ผมก็ไม่เห็นกระแสโจมตีนี้ ไปแตะถึงตัวพี่เสกเลย
แต่ตอนนี้ พี่เสกกลับรู้สึกว่าจำเป็นต้อง “ชี้แจงจุดยืนของตัวเองให้กระจ่าง” โดยอ้างว่า ที่ลงชื่อไปนั้น “เนื่องจากถูกขอร้องโดยผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ และผมเองก็ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นข้อเสนอที่อยู่ในกรอบของการปฏิรูปกฎหมาย มีเนื้อหากลางๆ ออกไปในแนวมนุษยธรรม และที่สำคัญคือยังคงไว้ซึ่งจุดหมายในการพิทักษ์รักษาสถาบันสำคัญของชาติ”
ก่อนอื่น ผมขอตั้งข้อสังเกตว่า หลังๆ ดูๆ พี่เสกจะชอบ “ออกตัว” เวลาทำอะไรที่มีลักษณะเป็นประเด็นถกเถียง (controversial) ในลักษณะนี้คือ “ถูกผู้ใหญ่ขอร้อง” คราวที่พี่เสกไปรับตำแหน่งในคณะกรรมการปฏิรูป ก็บอกว่า “หนึ่ง-ผมเกรงใจท่านอดีตนายกฯ อานันท์ ปันยารชุน ที่อุตส่าห์เชิญผมไปร่วมงาน” (ใน คำสัมภาษณ์นิตยสาร “ค คน”) พี่เสกก็แก่มากแล้ว ทำไมจะต้องคอย “ออกตัว” (แก้ตัว) ในลักษณะนี้ให้เด็กๆ อายุคราวหลานหลายคนที่เขาร่วมลงชื่อครั้งนี้รู้สึกสมเพชด้วยเล่า? พวกเขาเด็กปานนั้น ยังไม่เห็นมีใครเคยบอกว่าที่ทำไปเพราะคนเป็นผู้ใหญ่กว่าขอให้ทำเลย
แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือการออกมาชี้แจงด้วยเหตุผลที่เห็นได้ชัดว่า ต้องการให้ตัวเอง “ดูดี” ว่า ไม่ได้เป็นพวก “ล้มเจ้า” แบบที่กระแสโจมตีอันป่าเถื่อนกำลังกล่าวหา “นิติราษฎร์” ในขณะนี้ ไม่เช่นนั้น ทำไมจะต้องอุตส่าห์ใส่ข้อความว่า “ที่สำคัญคือยังคงไว้ซึ่งจุดหมายในการพิทักษ์รักษาสถาบันสำคัญของชาติ” ด้วย มิหนำซ้ำ ในข้อความที่ตามมา ยังอุตส่าห์เขียนในลักษณะ “เป็นนัยๆ” ในลักษณะที่ฝรั่งเรียกว่า innuendo (พูดเป็นนัยๆ ให้เสียหาย) ว่า “ผมต้องขอยืนยันว่าผมไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนักวิชาการกลุ่มนี้ และยิ่งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้อเสนอในประเด็นอื่นๆ ที่กลุ่มดังกล่าวได้ประกาศออกมาอย่างต่อเนื่อง”
คือถ้าพูดกันด้วยภาษาชาวบ้านๆ ใครที่อ่านหนังสือไทยได้ ก็เข้าใจว่า พี่เสกกำลังบอกเป็นนัยว่า “ผมจงรักภักดีนะ ผมไม่เกี่ยวข้องกับพวกนั้น (นิติราษฎร์) เลย ที่พวกนั้นออกมาในแนวไม่จงรักภักดี (คือไม่มี “จุดหมายในการพิทักษ์รักษาสถาบันสำคัญของชาติ” เหมือนผม) ผมไม่รู้ไม่เห็นด้วยนะ” – คือถ้าไม่ให้ตีความเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายการที่พี่เสกต้อง “ร้อนตัว” มาบอกว่า ไม่เกี่ยวข้องกับนิติราษฎร์ได้ยังไง ในเมื่อ (ก) ในประเทศไทย ไม่เห็นมีใครเคยบอกว่าพี่เสกเกี่ยวข้องกับนิติราษฎร์ และ (ข) ถ้า “ข้อเสนอในประเด็นอื่น” ที่นิติราษฎร์ “ประกาศออกมาอย่างต่อเนื่อง” เป็นเรื่องอื่น ไม่ใช่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ (ที่พวกเขาเสนอให้ปฏิรูปตามอารยประเทศประชาธิปไตย) พี่เสกจะต้องออกมา “ชี้แจง” เช่นนี้ และต้องพาดพิงถึง “ประเด็นอื่นๆ ที่กลุ่มดังกล่าวได้ประกาศออกมาอย่างต่อเนื่อง” ด้วยหรือ?
ผมเสียใจที่พี่เสกยิ่งแก่ยิ่งกล้าหาญน้อยลงๆ ถ้าพี่เสกเห็นว่า สิ่งที่นิติราษฎร์ “ประกาศออกมาอย่างต่อเนื่อง” เป็นอะไรที่ไม่ดีต่อสถาบันกษัตริย์ (ที่พี่เสกปวารณาจะ “พิทักษ์รักษา”) ก็ควรกล้าที่จะอธิบายออกมาตรงๆ ไม่ใช่ใช้วิธี innuendo แบบนี้
น่าเสียใจด้วยว่า ในคำสัมภาษณ์ “ค คน” พี่เสกได้พูดถึง “สมบูรณาญาสิทธิราชย์” โดยเสนอว่า ลักษณะ “โครงสร้างแบบอำนาจนิยม” ของ “ชนชั้นนำ” ในปัจจุบัน “เป็นโครงสร้างอำนาจเดียวกับสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์” จริงอยู่ พี่เสกกำลังโจมตีนักการเมือง ซึ่งเป็น “ผู้ใช้อำนาจการปกครอง [ในปัจจุบัน] ไม่ใช่พระมหากษัตริย์เหมือนแต่ก่อน” (พี่เสกพูดต่อด้วยคำที่เบาลงมาด้วยว่า “หรือบางทีก็เป็นผู้นำกองทัพ”) แต่ในเมื่อพี่เสกกล่าวว่า “โครงสร้าง” การใช้อำนาจปัจจุบันซึ่งพี่เสกวิพากษ์นั้น “แทบจะเหมือนเดิมทุกประการ” กับสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ก็ย่อมหมายความว่า พี่เสก ไม่เห็นด้วยกับสมบูรณาญาสิทธิราชย์เช่นกัน แต่ไฉน พี่เสกจึงมายอมค้อมหัวให้กับกระแสโจมตีนิติราษฎร์ในขณะนี้ ที่มาจากอุดมการณ์และวิธีคิดแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างชัดเจนด้วยเล่า?
วินาทีแรกที่ผมอ่านจดหมายของพี่เสกจบ ผมนึกถึงกาพย์ของจิตร ภูมิศักดิ์ ท่อนนี้ ขึ้นมาทันที
หนทางพิสูจน์ม้า และเวลาพิสูจน์คน
ใครถอยและใครทน พิสูจน์ได้เมื่อภัยมา
ด้วยความเศร้าใจจริงๆ
สมศักดิ์ เจียมธีรส

lördag 28 januari 2012

2012-01-28 PM Yingluck attended World Economic Forum in Switzerland

<object style="height: 390px; width: 640px"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/lV3ewlxU7xM?version=3&feature=player_embedded"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowScriptAccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/lV3ewlxU7xM?version=3&feature=player_embedded" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="360"></object>

torsdag 26 januari 2012

นายกยิ่งลักษณ์ร่วมพิธีฉลองวันชาติอินเดีย





ดูคลิปนานกปูร่วมฉลองวันชาติอินเดียข้างล่าง
The english version is down below

<object width="640" height="360"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/RLxhWeaiP7U&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowScriptAccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/RLxhWeaiP7U&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="360"></embed></object><object style="height: 390px; width: 640px"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/gJTTPViEUmw?version=3&feature=player_embedded"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowScriptAccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/gJTTPViEUmw?version=3&feature=player_embedded" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="360"></object>

พวกนักวิชาการสุนัขขี้เรื้อนที่เป็นทาสไม่ยอมปลดปล่อยตัวเองยอมเป็นสมุนรับใช้ระบอบเผด็จการ คิดว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่นได้โกหกหลอกลวงสังคมมาเป็นเวลานาน เมื่อเจอนักวิชาการที่มีความรู้ความสามารถที่แท้จริงก็ออกมาต่อต้านเห่าหอนเหมือนหมาบ้า

เหตุใดนิติราษฎร์จึงต้องพูดถึงสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ในสังคมมากขึ้น
วันนี้ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปเยอะ แล้วการพูดเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ค่อนข้างเสี่ยงใน สังคมไทย แต่ว่าวันนี้ไม่ว่ามองไปทางไหนก็ไม่เห็นพอมีใครที่จะหยิบจับเรื่องนี้มาทำ ได้อย่างเป็นวิชาการ เป็นเหตุเป็นผล ผมจึงตัดสินใจทำ และทำทุกอย่างด้วยความปรารถนาดีต่อสังคมไทย ด้วยความหวังดีอย่างที่สุดต่อสถาบันฯ ไม่มีความมุ่งหมายต่อการที่จะล้มล้างสถาบันฯ แต่อย่างใด อีกอย่างหนึ่งคือคนที่กล่าวหาว่าล้มเจ้าหรือล้มล้างสถาบันฯ นั้น ส่วนใหญ่ก็จะไม่ให้เหตุผลในการโต้แย้งสักเท่าไหร่ เรายืนยันตลอดมารวมถึงในร่างแก้ไขก็ชัดเจนว่าเราอยู่ในรัฐที่เป็นราช อาณาจักร เพียงแต่ต้องทำให้สถาบันฯ สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย พอมีคนที่ไม่สามารถใช้เหตุผลถกเถียงได้ ก็เบี่ยงประเด็นไปถามว่า นิติราษฎร์ต้องการปกครองแบบไหน ตอนไปรายการ “ตอบโจทย์” คุณภิญโญก็ถาม ผมว่าผมก็ตอบชัดว่า นิติราษฎร์ยึดถือการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในรัฐที่อยู่เป็นราชอาณาจักร ผมก็สงสัยว่าคนที่ถามผมต้องการการปกครองในระบอบไหนครับ ต้องการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างงั้นหรือ ซึ่งถ้าเป็นระบอบนี้ เราจะไม่มีการยอมรับ เราจะสู้ไม่ยอมย้อนกลับไปในระบอบนั้นแล้ว เพราะสุดท้ายแล้วเมื่อสังคมเข้าสู่จุดแตกหักทางความคิด สถาบันฯ ก็จะดำรงอยู่อย่างยากลำบาก ดังเช่น ช่วงก่อนและหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 สุดท้ายการกลับไปในระบอบนั้นสถาบันพระมหากษัตริย์จะทำการใดๆ พระมหากษัตริย์จะทำการใดต่างๆ ในทางกฎหมาย พระองค์ก็ต้องรับผิดชอบในทางกฎหมายนั้นด้วย ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในทางการเมือง เราอยากให้เป็นแบบนั้นหรือ ระบอบที่เรารณรงค์อยู่ในตอนนี้เป็นระบอบที่สอดคล้องกับสากลที่สุด
อาจารย์รู้สึกอย่างไรที่มักโดนฝ่ายตรงข้ามถามว่า “ล้มเจ้ารึเปล่า” เพราะอาจารย์เองก็เป็นคนไทย อีกทั้งยังพูดและคิดตามกรอบของกฎหมาย
ก็รู้สึกว่าบางทีคนก็ไม่เข้าใจ และก็ต้องอดทนในการอธิบาย ซึ่งผมก็ใช้ความอดทนตลอดมาในระยะเวลาหลายปี พยายามอธิบายให้สังคมได้รับฟัง เราต้องเข้าใจว่าสังคมมันเปลี่ยนไปมากแล้ว มันไม่เหมือนเดิมแล้ว คนที่ไม่เข้าใจในข้อเสนอของนิติราษฎร์คือไม่เข้าใจสภาพการเปลี่ยนแปลงของ สังคม จะยึดจะเอาสังคมให้อยู่ในรูปแบบเดิมซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ แล้วผมห่วงเหลือเกินว่าหากไม่มีการเปลี่ยนอะไรให้มันรับกับสภาพการณ์ มันจะเกิดการแตกหักแล้วสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้นเป็นสิ่งที่เราทุก คนไม่พึงปรารถนาแล้วเราคาดไม่ถึงว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นมา
มีประวัติศาสตร์อยู่แล้วใช่ไหมที่เหตุการณ์แบบนี้ไม่มีความประนีประนอมกัน
ในประวัติศาสตร์โลกก็เป็นบทเรียนให้เราอยู่แล้ว ทำไมเราต้องไปซ้ำรอยในที่อื่น ทำไมเราไม่หาทางออกแล้วเปลี่ยนผ่านสังคมไปอย่างสันติ สถาบันฯ ไหนต้องอยู่กับกฎหมายแบบไหน องค์กรไหนต้องอยู่กับกฎหมายแบบไหน ผมเรียนแบบนี้ว่าคนที่พูดเรื่องนี้ต้องลดละประโยชน์ส่วนตัวไว้เสียก่อน คนที่เคยได้ประโยชน์หลังการรัฐประหารครั้งที่ผ่านมา กรุณาคิดและก็วางประโยชน์ส่วนตัวหน่อย หลายคนก็ได้รับประโยชน์ไปมากแล้ว เป็นประธานกรรมการ ดำรงตำแหน่ง ได้รับเงินมากมายแล้ว นิติราษฎร์ไม่เคยได้รับประโยชน์อะไรจากสิ่งที่ได้นำเสนอออกไปแม้แต่บาทเดียว เราทำด้วยใจ หลายคนในกลุ่มนิติราฎร์ก็ไม่ได้เป็นคนมีฐานะสูง แต่ว่าเวลาจะทำอะไรเราก็ลงขันกันครับ อาจจะครั้งละหนึ่งพันเพื่อทำกิจกรรม แผ่นพับและอื่น ๆ ในการจัดเวทีเสวนา มีหลายคนจะบริจาคเงินให้กิจกรรมที่นิติราษฎร์ทำ ผมไม่ต้องการเงินของใครทั้งสิ้น ไม่ใช่เพราะนิติราษฎร์มีเงินแต่เราต้องการให้เรื่องที่รณรงค์อยู่นั้นเป็น เรื่องที่บริสุทธิ์และเป็นเรื่องทางวิชาการจริงๆ
เมื่อต้องการจะให้สถาบันมีสถานะที่สอดคล้องกับการปกครองระบอบประชาธิปไตย เหตุใดจึงเริ่มที่การขอยื่นแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นเรื่องแรก
เป็นเพราะว่ากฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นกฎหมายที่กระทบสิทธิเสรีภาพของประชาชนมากกว่าเรื่องอื่น ๆ ที่จะต้องพูดกันต่อไป เวลานำออกมาบังคับใช้มันมีคนถูกจับ ถูกลิดรอนเสรีภาพ ปัญหาสำคัญของมาตรานี้คือ ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี 2475 กฎหมายหมิ่นฯ เขียนว่า “กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วจึงเขียนว่า “หมิ่นประมาทองค์พระมหากษัตริย์” แม้ถ้อยคำจะเขียนแบบเดียวกันเลย แต่เวลาจะมาบังคับใช้นั้นจะตีความแบบเดียวกันไม่ได้เพราะว่าอุดมการณ์ที่ กำกับตัวบทกฎหมายนั้นอยู่คนละประเภทกัน แต่ปัจจุบันการตีความกฎหมายหมิ่นฯ ดูจะขัดแย้งกับระบอบการปกครองระบอบประธิปไตย ซึ่งแบบนี้มันจะเกิดผลเสียเพราะมันไม่รับกับตัวระบอบ
กระแสสังคมส่วนหนึ่งบอกว่าการที่นิติราษฎร์แยกกฎหมายอาญามาตรา 112 ออกจากหมวดความมั่นคง เท่ากับกำลังทำให้สถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่มั่นคงหรือไม่
ตัวบทกฎหมายเขียนชัดเจนว่า คนที่กระทำความผิดก็ต้องได้รับโทษตามข้อกฎหมาย ยังมีการคุ้มครองพระเกียรติของพระมหากษัตริย์อยู่ แล้วก็คุ้มครองเป็นพิเศษมากกว่าประชาชนทั่วไป เพียงแต่เราทำให้สถานะของสถาบันฯ มีความเป็นสากลมากขึ้นตามประเทศที่มีประมุขของรัฐคือพระมหากษัตริย์ เวลาเราพูดว่าต้องรักษาความมั่นคงของสถาบันฯ ไว้ เราต้องหมายถึงการรักษาให้สง่างามตามมาตรฐานสากล ไมใช่ว่าประเทศไทยพูดอย่าง แต่ต่างประเทศพูดอีกอย่าง
พูดถึงกลุ่มคนที่ต้องการให้บทลงโทษเกี่ยวกับกฎหมายอาญามาตรา 112 มีโทษมากขึ้น
นักวิชาการด้านกฎหมายอีกฝ่ายบอกว่าถ้าต้องแก้ให้กฎหมายอาญามาตรา 112 ออกจากกฎหมายความมั่นคง หรือยกเลิกไปเลยนั้น ก็จะต้องยกเลิกมาตรา 8 ของรธน.ด้วย
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องมาถกเถียงกัน สังคมเข้าใจเรื่องมาตรา 8 ตาม รธน. ต่างกัน เวลาเราทำความเข้าใจตัวบทกฎหมายไม่ใช่เพียงแค่ตีความไปตามลายลักษณ์อักษรที่ เขียนขึ้นมาเพราะถ้าเป็นแบบนั้นใคร ๆ ก็ตีความตามความเข้าใจของตัวเองทั้งนั้น ดังนั้นรธน.เป็นส่วนหนึ่งของระบอบการปกครอง เราจึงต้องตีความระบอบการปกครองของเราด้วย ด้วยเหตุนี้การแก้ไขม.112 จึงไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับมาตรา 8 ในแง่ที่ว่า ความมุ่งหมายของมาตรานี้ก็เพื่อเทิดองค์พระมหากษัตริย์ให้ทรงพ้นไปจากการ เมือง เพราะการเมืองเป็นเรื่องผลประโยชน์และความขัดแย้ง จะดึงพระมหากษัตริย์ลงมาไม่ได้
อีกกระแสหนึ่งบอกว่าเสนอให้ยกเลิกม.112 ไปเลย อาจารย์ทำไมจึงไม่เสนอไปถึงขั้นนั้น
เราศึกษาเปรียบกฎหมายในหลายประเทศก็ยังมีกฎหมายคุ้มครองประมุขของรัฐอยู่ แม้ประเทศญี่ปุ่นจะไม่มีกฎหมายคุ้มครอง แต่หลายประเทศยังมี เราจึงอนุโลมไปตามนั้น
หลายครั้งเวลามีข้อเสนอจากนิติราษฎร์ปรากฎออกมาในหน้าสื่อสารมวลชนก็จะ ถูกเรียกว่า “นิติเรด” “แก๊งค์ลิงหลอกเจ้า” ซึ่งทำให้คนที่ฟังข้อเสนอของเรามีภาพลบต่อสิ่งที่เราจะพูด ในแง่นี้จะแก้ไขหรือโต้ตอบกลุ่มคนที่ให้ค่ากับนิติราษฎร์ไปในทางลบอย่างไร
มีนักวิชาการบอกว่านิติราษฎร์กำลังทำอะไรอยู่ แก้กฎหมายกลับไปกลับมา ไม่รู้หรือว่า “เมื่อเสียงปืนดังขึ้น กฎหมายจะต้องเงียบ”
ปืนไม่ได้ดังตลอดเวลามันแค่ดังอยู่ช่วงหนึ่งเท่านั้น สังคมที่ถูกกดทับเอาไว้ เนียนบ้างไม่เนียนบ้าง สักวันหนึ่งคนก็จะรู้ แล้วเขาก็จะค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน แน่นอนว่าการลุกขึ้นยืนมันต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดเพราะฝ่ายที่ไม่อยากให้ ลุกขึ้นยืนจะกดทับแล้ว แต่เชื่อเถอะว่าไม่มีพลังไหนที่จะแข็งแกร่งไปกว่าพลังหรืออำนาจของประชาชน แม้เสียงปืนจะดัง พลังของปืนจะรุนแรง แต่สุดท้ายแม้ในประวัติศาสตร์โลกก็จารึกไว้ว่า พลังของประชาชนนั้นแข็งแกร่งที่สุด ไม่มีใครต้านทานกระแสความเปลี่ยนแปลงได้หรอก
สิ่งที่นิติราษฎร์กำลังทำอยู่หวังผลประโยชน์จากพรรคการเมืองบางพรรคหรือไม่
สิ่งที่เราทำอยู่นั้นมาจากมโนสำนึกของเรา ถ้าเราไม่ทำในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ เรามองหน้าในกระจกไม่ได้ เท่ากับว่าเราเลือกไปในอีกข้างแล้วหากเราอยู่เฉยกับความอยุติธรรมในสังคมนี้ หลายคนที่เวลาเลือกแล้วมันมีความแตกต่างอย่างชัดเจนก็คือ เวลาที่อีกฝ่ายเลือกเข้าได้ประโยชน์ เงิน ตำแหน่งต่าง ๆ หลังจากที่เขาเลือกข้างไปแล้ว แต่นิติราษฎร์เลือกไปยืนฝั่งตรงข้ามซึ่งเราไม่ได้อะไรเลย เงินก็ไม่ได้รับ ตำแหน่งทางการเมืองหรือวิชาการก็ยังอยู่กับที่ นอกจากไม่ได้อะไรแล้วเรายังต้องเสียเงินเพื่อต้องการบรรลุในสิ่งที่เราทำ ผมพูดตรง ๆ เปิดใจเลยนะ ถ้าผมไปเชียร์รัฐประหาร ไปเป็นคนร่างรธน.หลังจากรัฐประหาร ผมว่าผมคงได้อะไรมากกว่าที่เป็นอยู่แน่นอน อาจจะได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือวิชาการมากมาย แต่ที่ผมเลือกอยู่ข้างนี้ ผมไม่ได้อะไรเลยนอกจากว่าความรู้สึกที่ว่าเราได้ทำตามหลักการในสิ่งที่เรา เรียนมาในเรื่องกฎหมายมหาชน รู้สึกได้ทำในสิ่งที่มันถูกต้อง ซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพและประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจ ผมรู้สึกสลดใจกับสังคมนะ ในขณะที่ข้างหนึ่งได้ประโยชน์เห็นจากการทำรัฐประหาร ไม่มีสื่อไหนมาตรวจสอบ กลุ่มปัญญาชน นักวิชาการเงียบสนิท ฝ่ายผมที่ไม่เคยได้อะไรเลย ทำไปจากอุดมการณ์กลับถูกกล่าวหา ป้ายสีอยู่ตลอดเวลา ว่าทำเพื่อทักษิณ ทั้งชีวิตผมจนถึงตอนนี้ยังไม่เคยคุยกับทักษิณเลย
จะเล่นการเมืองไหม
ผมยังไม่อยากพูดอะไรที่มันต้องมัดตัวเองในอนาคต แต่ใจผมจริง ๆ ไม่อยากเล่นการเมือง คุณพ่อผมก็เตือนเสมอว่า ถ้าเป็นไปได้อย่าไปเล่นการเมืองเลย
เวลาเดินสวนกับอาจารย์ร่วมคณะที่มีความคิดเห็นขัดแย้งกับนิติราษฎร์ อาจารย์มีปฏิกิริยาอย่างไร
ถ้าคนที่คุยกันได้ก็คุยเรื่องดิน ฟ้า อากาศ ไม่ได้คุยกันเรื่องกฎหมายเพราะเรารู้ว่าแต่ละคนต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง ผมเชื่อว่าทางเดินผมถูก เขาก็คงเชื่อว่าทางเดินของเขาก็ถูก แต่ผมเชื่อว่าอาจารย์หลายคนในคณะนี้ที่รู้จักผมดี แม้จะยืนฝั่งตรงข้ามกันแต่เขาก็จะยืนยันแทนผมได้ว่า ผมเป็นคนธรรมดา ไม่ได้มีอะไร ไม่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองคนไหนเลย เพราะกลุ่มอาจารย์ในคณะนี้ก็เห็นกันมาตลอดตั้งแต่ยังไม่มีกลุ่มนิติราษฎร์ ด้วยซ้ำ รู้จักกันดี แน่นอนว่าหลังจากมีกลุ่มนิติราษฎร์เกิดขึ้นมา ความสัมพันธ์กับอาจารย์ที่คิดต่างจากเราก็จะลดน้อยลงไป ส่วนอาจารย์อีกกลุ่มหนึ่งที่ยืนตรงข้ามกับเราในลักษณะที่ชวนหาเรื่องมากกว่า คุยกันด้วยเหตุผลก็จะบอกว่า ไม่ควรใช้คำว่านิติหรืออ้างความเป็นอาจารย์นิติศาสตร์ มธ. ผมอยากตอบว่า ผมมาเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ถูกต้องตามกฎบังคับของมหาวิทยาลัยทุก ข้อ
ในฐานะที่เป็นอาจารย์สอนลูกศิษย์ ถ้าลูกศิษย์มีจุดยืนทางการเมืองแบบหนึ่งที่ทั้งตรงกับเราและไม่ตรงกับเรา ในฐานะอาจารย์ก็เป็นที่รู้จักในทางการเมือง อาจารย์จะสอนลูกศิษย์อย่างไร
ผมบอกลูกศิษย์เสมอว่า เวลาจะเชื่อผมหรือเคารพคล้อยตามในเหตุผลของผมนั้นให้เชื่อเพราะเหตุผลของผม นั้นดี ไม่ใช่ว่าเพราะเป็นผมบอกจึงเชื่อ เราต้องเคารพในเหตุผลมากกว่าตัวบุคคล ไม่ใช่ใครบอกอะไรมาก็เชื่อไปหมดเพราะเห็นว่าเป็นฝ่ายเดียวกัน อีกทั้งถ้าจะแย้งผมว่าผมพูดผิดตรงไหนก็สามารถทำได้แต่ต้องมีเหตุผลรองรับ ด้วยนะ ไม่ใช่กล่าวหาลอย ๆ สำหรับนักศึกษาที่อาจจะมีความคิดไม่ค่อยตรงกับผมนั้น โดยปกติวิชาที่ผมสอนบางครั้งในเทอมหนึ่งอาจจะมีอาจารย์ผู้สอน 2 คน ใครไม่ชอบหลักการของผมก็สามารถไปเรียนกับอีกคนหนึ่งได้ หรือถ้าปีไหนไม่มีอาจารย์ผู้สอนอีกคน ผมก็จะเปิดวิชานี้ไว้แค่เทอมหนึ่ง แล้วเทอมสองก็ให้คนที่ไม่อยากเรียนกับผมไปเรียนช่วงเทอมสอง คือผมพยายามที่จะไม่ผูกขาดวิชาใดวิชาหนึ่งเป็นผู้สอนคนเดียว ผมจะพยายามให้มีผู้สอนที่หลากหลายในวิชาที่ผมสอนอยู่ ให้นักศึกษามีสิทธิเลือกอาจารย์ที่อยากเรียน
ในอีกแง่หนึ่งที่เรานำเสนอสิ่งที่ขัดแย้งกับผลประโยชน์จากฝ่ายตรงข้าม เคยโดนขู่ไหมครับ แล้วถ้าเคยรู้สึกกลัวไหม
ก็มีเขียนจดหมายมาด่า มีมาขู่บ้าง ในความเป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา ผมเป็นนักวิชาการตัวเล็ก ๆ คงไม่สามารถจ้างบอดี้การ์ดมาคุ้มครองได้ แต่เหล่านี้ก็ไม่ได้ทำให้ผมไม่ทำอะไรเลย คนเราเกิดมาตายครั้งเดียว เพียงแต่ชีวิตหนึ่งผมอยากทำสิ่งที่ถูกต้อง ดีงาม ให้ผลประโยชน์แก่เพื่อนร่วมชาติ
สุดท้ายอาจารย์เป็นนักกฎหมายที่จบจากเยอรมันด้วยทุนอานันทมหิดล หลายคนบอกว่าสิ่งที่อาจารย์ทำอยู่นั้นขัดแย้งกับทุนที่อาจารย์เคยได้รับ เพื่อไปศึกษาต่อในต่างประเทศรึเปล่า
เพราะผมเป็นนักเรียนทุนอานันทมหิดลนี่แหละครับ ผมจึงต้องออกมาเคลื่อนไหว สิ่งที่ผมทำอยู่คือการตอบแทน กตัญญูต่อผู้ที่ให้ทุนอานันทมหิดลแก่ผม ที่ผมทำทุกอย่างก็เพื่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมไม่รู้ว่านักเรียนคนอื่น ๆ ที่ได้ทุนนี้มีจินตนาการเรื่องนี้อย่างไร แต่สำหรับผมแล้ว สิ่งที่ผมทำก็เพื่อความดำรงอยู่ของสถาบันพระมหากษัตริย์สืบไป ผมชัดเจนเสมอว่าผมต้องการรัฐธรรมนูญในประเทศที่เป็นราชอาณาจักร

onsdag 25 januari 2012

2012-01-24&25 PM Yingluck visit India Only Thailand receives Supreme Prestige attending National Day .... please click the link below

<object style="height: 390px; width: 640px"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/4BWCoL4R--A?version=3&feature=player_embedded"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowScriptAccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/4BWCoL4R--A?version=3&feature=player_embedded" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="360"></object><object style="height: 390px; width: 640px"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/EEPV3CzTCGY?version=3&feature=player_embedded"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowScriptAccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/EEPV3CzTCGY?version=3&feature=player_embedded" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="360"></object>

คำเตือนของประชาชนถึง นายกยิ่งลักษณ์

ความจริงคณะนิติราษฏร์มองเห็นปัญหาของ ม.112 ว่าเป็นเครื่องมือของฝ่ายที่ไม่เป็นประชาธิปไตยที่เอาไว้ใช้ทำลายล้างพวกเรา เองแต่ท่านกลับมาห้ามปรามคณะนิติราษฏร์ไม่ให้ไปแตะต้องม.112 ถ้าท่านมองประเด็นไม่ออกท่านอยู่เฉยๆจะดีกว่าครับให้คณะนิติราษฏร์เขาดำเนิน เรื่องของเขาไปตามธรรมชาติจะดีกว่า อย่าออกมาคัดค้านเลยพี่ชายท่านโดนทำลายล้างมาขนาดไหนแล้วกับ มาตรานี้แล้วคนที่อยู่ในคุกอีกกี่คนที่ต้องคดีเกี่ยวกับมาตรานี้ แก้กฏหมายครับไม่ใช่ล้มล้างสถาบันเข้าใจประเด็นด้วยครับ


บอกตรงๆครับ สิ่งที่นิติราษฏร์ กำลังเรียกร้องให้ทำอยู่นี้ ลำพังรัฐบาลเองไม่มีใครกล้าทำหรอกครับ ถึงกล้าก็ไม่มีปัญญาทำ ให้นิติราษฏร์เป็นฝ่ายจุดประเด็นขึ้นให้ไฟมันติด ให้กระแสเรียกร้องมันเกิดน่ะ ถูกต้องแล้วครับ พอกระแสแรงได้ที่เพื่อไทยก็โยนลูกเข้าสภา ว่ากันในนั้นให้มันจบไปเลย ผมขอยืนยันเหมือนปู่ครับ อย่าออกมาห้ามประชาชนที่กำลังเรียกร้องในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ แค่นี้เขาก็เสี่ยงคุกตารางพอแล้ว . โดยเฉพาะท่านเฉลิม ผมหงุดหงิดไปหลายทีแล้ว.. วันนี้ขอบ่นหน่อยลืมทักทายปู่เลย หวัดดีคร้าบบบ..ปู่
อันนี้ ผมคนนึงเห็นด้วยกับปู่นะ ไม่ว่าท่านนายก หรือท่านเฉลิม หรือใครก็ตามที่อยู่ในฝ่ายบริหาร ไม่จำเป็นต้องตอบนักข่าวครับ บอกแค่เพียงว่ามันเป็นเรื่่องของฝ่ายนิติบัญยัติ โยนเข้าสภาไป การแก้กฏหมายต่างๆเป็นเรื่่องของสภา ไม่ใช่หน้าที่ของฝ่ายบริหาร ให้ผู้แทนของประชาชนเขาไปตัดสินกันเอง แต่อย่าพูดให้ข่าวทำนอง ห้ามคนที่เขากำลังทำงาน หรือห้ามประชาชนไม่ให้เรียกร้อง อันนี้เป็นสิทธิ์ของประชาชนที่จะทำได้ครับ นายกไม่มีสิทธิ์มาห้ามนะ
ภาพของ ท้องฟ้าสีทอง
นายกฯปูมาจากประชามติของประชาชน ทุกฝ่ายเคารพการตัดสินใจของประชาชน ประเทศไทยถึงได้มีนายกฯชื่อยิ่งลักษณ์
การแก้กฎหมายถ้าเป็นประชามติของประชาชน ทุกคนไม่ว่านายกฯหรือยาจกก็ต้องเคารพการตัดสินใจของประชาชน
นายกฯแสดงความคิดเห็นต่างได้ แต่ไม่มีสิทธิ์ยับยั้งความเห็นต่างของคนอื่น

tisdag 24 januari 2012

{{!!!! พท.แฉกลุ่มอำนาจเก่า จ่ายหัวละ500 ปลุกม็อบต้านม.112!!!!}}ไทยรัฐพาดหัวข่าว พวกลูกสมุนเผด็จการจะใช้วิธีการอันโสมมทุกอย่าง เพื่อรักษาระบอบเผด็จการอำมหิตของภูมิพลเอาไว้ โดยจะได้อาศัยเป็นเครื่องมือหากิน


พท.แฉกลุ่มอำนาจเก่า จ่ายหัวละ500 ปลุกม็อบต้านม.112
เพื่อไทยโวยกลุ่มอำนาจเก่าปลุกม็อบต้านมาตรา 112 ยุยงชาวบ้านชานเมือง จ่ายหัวละ 500 บาทเคลื่อนไหวล้มรัฐบาล จี้ “ยุทธศักดิ์-เฉลิม” เร่งตรวจสอบ หวั่นเป็นชนวนก่อความวุ่นวาย ลอยแพนิติราษฎร์เคลื่อนไหวแก้มาตรา 112 ยันไม่เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย
เมื่อวันที่ 24 ม.ค. ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงภายหลังการประชุมพรรคเพื่อไทยว่า ที่ประชุมหารือกรณีมีการยุยงประชาชนบริเวณโรงงานชานเมือง และปริมณฑลให้เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล โดยใช้การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 มามุ่งหวังผลทางการเมืองในการล้มรัฐบาล จึงอยากให้ผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องทั้ง พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เข้าไปตรวจสอบเพื่อเอาผิดแก่ผู้ยุยงด้วย เพราะทราบว่ามีการใช้เงินว่าจ้างประชาชนมาเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล 500 บาทต่อหัว จนอาจทำให้เกิดความวุ่นวายสับสนได้ ซึ่งพรรคเพื่อไทยยืนยันว่า ไม่มีนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 แน่นอน ส่วนกรณีกลุ่มนิติราษฎร์เคลื่อนไหวให้แก้มาตรา 112 นั้น ถือเป็นการเคลื่อนไหวของนักวิชาการ ประชาชน ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย ไม่อยากให้กลุ่มที่สูญเสียอำนาจ และกลุ่มล้มรัฐบาลนำประเด็นดังกล่าวไปปลุกปั่นยุยงประชาชนตามชานเมือง และโรงงานต่างๆ
นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า ที่ประชุมยังแสดงความห่วงใยนโยบายที่หาเสียงไว้ จึงอยากให้มีการเร่งรัดขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ให้เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะขอให้ รมว.พาณิชย์ เร่งขับเคลื่อนนโยบายรับจำนำข้าว รวมถึงนโยบายอื่นๆ เช่น นโยบายเอสเอ็มแอล นโยบายพักหนี้เกษตรกร นอกจากนี้ที่ประชุมยังเป็นห่วงวิกฤติน้ำท่วมปี 2555 ซึ่ง ส.ส.เกรงว่า ปี 2555 จะมีปริมาณน้ำมากกว่าปี 2554 จึงอยากให้หามาตรการป้องกันในการพร่องน้ำในภาคเหนือ.

måndag 23 januari 2012

ขอมอบกลอนนี้ให้แก่องค์ราชันย์แห่งเมืองสารขันธ์หง่อยเหี้ยสี่ขาให้หมาจูง ก่อนจะลาโลกไปจงคืนประชาธิปไตยที่ปล้นไป ๘๐ ปี ให้แก่ปวงชนชาวไทยเสียเถิด

หันหัวเรือ เข้าหาฝั่ง ก่อนนั่งเมรุ............

ขุนเขาบอก :
หันหัวเรือ เข้าหาฝั่ง ก่อนนั่งเมรุ............
หกสิบปีตาย สบายกาย
เจ็ดสิบปีตาย สบายหมอ
แปดสิบปีตาย ขายโลงรอ
เก้าสิบนี้หนอ อยู่รออะไร
อยู่จนแก่ จนเฒ่า ให้เขาแช่ง
ขาไม่แข็ง แรงไม่มี ดีไฉน
กินไม่ได้ ใจไม่สู้ อยู่ทำไม
คนอะไร ทนอยู่ได้ ไม่วายปราณ
หรือจะอยู่ ดูโลกไป ให้ถึงร้อย
นั่งขาห้อย ให้เขาเข็น เป็นสงสาร
กินปลาย่าง ก้างติดคอ ทรมาน
รับประทาน อาหารเหลว เกี่ยวสายคอ
เป็นมนุษย์ สุดยึดถือ คือความดี
ประพฤติดี มีเมตตา กินยาหมอ
ไม่ฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต คิดสอพลอ
ชีวิตหนอ ก็อยู่ได้ ไม่ยากเย็น
หากยังคิด โลภโกรธหลง คงลำบาก
ทิฐิมาก ยากอยู่ได้ ใจเราเห็น
ฆ่าคนตาย หลายร้อยร่าง สร้างกรรมเวร
ใส่โลงเย็น เป็นศพตั้ง ยังคลุมเครือ
บทสุดท้าย ก่อนตายตก นกแสกร้อง
ใคร่ขอร้อง ปรองดองเถิด ประเสริฐเหลือ
ลดละเลิก เพิกกฎคลาย วอนนายเรือ
หันหัวเรือ เข้าหาฝั่ง ก่อนนั่งเมรุ............ก่อนเรือลำน้อยจะลอยออก......นอกทะเล

 มาตรา 112 – ปะเด็นร้อน
ประเด็นร้อน มาตรา 112
หลายมุมมอง ที่สร้าง ความกังขา
เมื่อแก่นสาร สาระ เจตนา
บัญญัติมา เพื่อสิ่งใด ให้ทบทวน
คนไม่เคย เจอกับตัว อาจไม่รู้
คุณหมดสิทธิ์ จะต่อสู้ หรือไต่สวน
คุณจะถูก ห้ามประกัน ตีโซ่ตรวน
ทุกสำนวน ลับปกปิด หมดสิทธิ์ดู
เสรีภาพ ทางความคิด ของทุกท่าน
จะต้องถูก ปิดกั้น อย่างอดสู
ถ้าเห็นต่าง ทางความเชื่อ ไม่เชิดชู
ท่านมีสิทธิ์ ได้เข้าอยู่ ในตะราง
ถึงวันนี้ ใช่เรื่องของ ใครคนหนึ่ง
ทุกคนจึง ต้องพร้อมใจ ร่วมสะสาง
นิติราษฏร์ เพียงแค่ มาเปิดทาง
แสงสว่าง จะเกิดได้ ต้องช่วยกัน
คนไทยเดิ้ง เซิ้งกวี
23 มกราคม 2555

ตอบนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ—ความตื้นเขินทางปัญญาของศาตราจารย์กิตติคุณ นักวิชาการเหี้ยศาสตร์เศษสวะสังคม

ภาพที่โพสต์

ผลที่ อจ. จุดไฟ ตอนนี้ไฟมันลามทุ่ง แล้วครับ
ขอให้จุดบ่อยๆ อย่าให้ไฟมอดนะครับ
อยากเห็นพวกสัตว์ ที่มันหนีตาย วิ่งโชว์โง่ออกมาลนลานเยอะๆ ครับ
Facebook     Borwornsak   Uwanno
 “ผม ว่าก่อนจะแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่พวกคุณเสนอ ควรแก้ข้อบังคับทุนอนันทมหิดล ให้ผู้รับทุนสาบานว่าจะไม่เนรคุณและไม่ทรยศต่อพระมหากษัตริย์ผู้พระราชทานทุนจะ ง่ายกว่ามั๊ย ข้อเสนอผมไม่ต้องแก้รัฐธรรมนูญเลย” 

นาย บวรศักดิ์ รู้หรือเปล่าประเทศนี้(และรวมถึงทุกประเทศในโลก) ขับเคลื่อนได้ก็เพราะเงินภาษีที่เก็บมาจากประชาชน อย่างพวกผม และตัวคุณนั่นแหละ มิได้หล่นลงมาจากฟ้า และก็ไม่ได้งอกเงยออกมาเองอากาศธาตุ เพราะฉนั้นใครก็ตามที่ได้รับผลประโยชน์จากเงินส่วนนี้ ควรระลึกถึงบุญคุณผู้เลี้ยงดูด้วย

ผมขอตอบนายบวรศักดิ์ ดังนี้

1. ข้อวิพากษ์ของนายบวรศักดิ์ไม่มีอะไรมากไปกว่าความต้องการ attack กลุ่มนิติราษฎร์ ผมรู้สึกผิดหวังที่นายบวรศักดิ์ ซึ่งสำเร็จการศึกษาทางด้านกฏหมายจากปารีส จะตอบโต้กลุ่มนิติราษฎร์ด้วยคำพูดที่ childish เช่นนี้ แทนที่จะมีการใช้มุมมองทางด้านวิชาการในการหักล้างกัน เลยทำให้ผมรู้ว่า ตำแหน่ง “ศาสตรจารย์กิตติคุณ” น่าจะได้กันมาง่ายๆ อย่างนี้นี่เอง แต่ที่สำคัญกว่านั้น ผมคิดว่า นายบวรศักดิ์จนด้วยปัญญาในการโต้เถียงกับนิติราษฏร์ ก็เท่านั้น

2. กลับมาเรื่องทุนการศึกษา ความคิดที่ว่า การให้ทุนการศึกษาแล้วต้องเป็นหนี้ชีวิต ห้ามคิดต่างเพราะจะเป็นการเนรคุณ เป็นความคิดที่ผิดหลักเกณฑ์การสนับสนุนการเติบโตทางด้านการศึกษาของไทยอย่าง ใหญ่หลวง นี่คือปัญหาของระบบการศึกษาไทยที่ตั้งอยู่บนอุดมการณ์ที่ว่า “ห้ามคิดต่างเพราะจะเป็นการเนรคุณ” สิ่งที่บวรศักดิ์พูดนั้น ยังสะท้อนให้เห็นการกดขี่ทางอำนาจของผู้ที่มีสถานะในสังคม ที่มองเรื่อง “การให้” เป็นวิถีทางหนึ่งของการคงไว้ซึ่งระบบอุปถัมภ์ ทั้งๆ ที่นายบวรศักด์มีโอกาสได้รับการศึกษาจากต่างประเทศก็น่าจะเรียนรู้ว่า สังคมต่างประเทศมีพัฒนาการทางความคิดไปในรูปแบบใด นอกจากนี้ ทุนการศึกษาจากหลายๆ ประเทศที่นักเรียนไทยได้รับ (รวมถึงทุนที่ผมได้รับจากรัฐบาลอังกฤษ) ไม่เคยเรียกร้องให้มีการตอบแทน ความเห็นเรื่องตอบแทนคุณ-เนรคุณของนายบวรศักดิ์ชี้ให้เห็นถึงตัวตนที่แท้ จริงของนายบวรศักดิ์อีกครั้ง กล่าวคือ เป็นผู้ที่ไม่เคยก้าวข้ามระบบศักดินา นายบวรศักดิ์ไม่รู้หรือว่า คนไทยจำนวนมากต้องการจะล้มล้างระบบศักดินา และพร้อมจะต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความเท่าเทียม ไม่มีคำว่าเป็นหนี้บุญคุณหรือเนรคุณอีกต่อไป

3. ความเห็นของนายบวรศักด์ชี้ว่า นายบวรศักดิ์ไม่เคยมีความศรัทธาต่อระบบประชาธิปไตย ไม่รับความแตกต่างทางความคิด (ไม่เข้าใจว่าเป็นอาจารย์ได้อย่างไร) ไม่ยอมรับว่า อำนาจอันสูงสุดของประเทศนั้นย่อมเป็นอำนาจที่มาจากประชาชน

4. ผมขอวิเคราะห์ว่า การที่นายบวรศักดิ์ออกมาคัดค้านความเห็นของนิติราษฎร์นั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องของการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์หรือความเป็นไทยอะไรทั้ง สิ้น แต่เป็นการปกป้องสถานะทางการเมืองและผลประโยชน์ของนายบวรศักดิ์เอง นายบวรศักดิ์เป็นหนึ่งในหลายๆ คนในสังคมนี้ที่สร้างชื่อเสียง หน้าตา และฐานะได้เพียงเพราะ align ตัวเองกับสถาบัน ไม่ใช่เพราะความเก่งหรืออัจฉริยะในด้านวิชาการแต่อย่างใด

5. หากในหลวงอานันท์ฯ ยังมีชีวิตอยู่ในวันนี้ ท่านคงปลาบปลื้มใจที่นิติราษฎร์ได้สร้างคุณประโยชน์ต่อการปกป้องสถาบัน ประชาธิปไตย ผมว่าในหลวงอานันท์รักและต้องการ “ความถูกต้อง” และ “ความยุติธรรม” ครับ

ที่มา
facebook ของ อจ. ปวิน Pavin Chachavalpongpun

ภาพที่โพสต์

ขอบคุณ อจ. ปวิน ที่ตอบได้อย่างสะใจ
นายบวรศักดิ์พูดแบบนี้ไม่ต้องให้ถึงมือ
อจ. วรเจตต์ หรอก

เงินทุนส่วนหนึ่งมาจากภาษีของประชาชนเพราะรัฐบาลได้ทูลเกล้าฯ ถวายเงินสนับสนุนมูลนิธิอานันทมหิดล 1 พันล้านบาท
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 พฤศจิกายน 2549 23:24 น.

รัฐบาลทูลเกล้าฯ ถวายเงินสนับสนุนมูลนิธิอานันทมหิดล 1 พันล้านบาท เพื่อสนับสนุนให้การดำเนินงานของมูลนิธิอานันทมหิดลบรรลุผลสำเร็จ ตามเป้าหมายในการส่งเสริมผู้ที่มีคุณสมบัติดีเด่นทั้งด้านวิชาการและคุณธรรม ไปศึกษาวิชาการชั้นสูง ณ ต่างประเทศ แล้วนำความรู้นั้นกลับมาพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้ารุ่งเรืองสืบไป

เว็บไซด์ทำเนียบรัฐบาลรายงานว่า วันนี้ (30 พ.ย.) เวลา 15.30 น. ที่อาคารชัยพัฒนา สวนจิตรลดา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี และคุณหญิง จิตรวดี จุลานนท์ ภริยา พร้อมด้วย พล.อ. พงษ์เทพ เทศประทีป เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายจุลยุทธ หิรัณยะวสิต ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะ เข้าเฝ้าเพื่อทูลเกล้าฯ ถวายเงินสนับสนุนมูลนิธิอานันทมหิดล จำนวน 1,000 ล้านบาท ในนามรัฐบาลและคณะกรรมการอำนวยการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เนื่องในโอกาสงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เพื่อสนับสนุนให้การดำเนินงานของมูลนิธิอานันทมหิดลบรรลุผลสำเร็จ ตามเป้าหมายในการส่งเสริมผู้ที่มีคุณสมบัติดีเด่นทั้งด้านวิชาการและคุณธรรม ไปศึกษาวิชาการชั้นสูง ณ ต่างประเทศ แล้วนำความรู้นั้นกลับมาพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้ารุ่งเรืองสืบไป


อยากให้รัฐบาลติดตามเรื่องนี้เหมือนกัน เป็นกำลังใจให้ อ.สุรชัย

สุรชัย แซ่ด่าน เตรียมอดข้าวประท้วง จี้ทำไมนักโทษคดีหมิ่นไม่ได้ย้าย

23 ม.ค.55 มีรายงานข่าวจากผู้เข้าเยี่ยมผู้ต้องขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ระบุว่า นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือแซ่ด่าน ผู้ต้องขังคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือความผิดตามมาตรา 112 ได้เตรียมยื่นหนังสือร้องเรียนต่ออธิบดีกรมราชทัณฑ์กรณีที่ผู้ต้องขังคดี หมิ่นฯ ไม่ได้รับการพิจารณาให้ย้ายไปยังเรือนจำชั่วคราว และจากนั้นหากไม่มีความคืบหน้าสุรชัยเตรียมจะอดอาหารประท้วง
นายสุรชัยระบุว่า การจะพิจารณาว่าผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดตามมาตรา 112 เป็นผู้ต้องหาทางการเมืองหรือไม่ ต้องพิจารณาถึง1.กระบวนการทางความคิด 2.พฤติการณ์การกระทำผิด และ 3.สถานการณ์การเมืองในขณะนั้น สำหรับกระบวนทางความคิดนั้นเป็นที่ชัดเจนว่าตนเองมีกระบวนทางความคิดทางการ เมืองมาตลอด 40 ปี คดีนี้ถือเป็นการกระทำผิดทางมโนธรรม ซึ่งเป็นความผิดขั้นสูงกว่าการร่วมชุมนุมเสียอีก ส่วนพฤติการณ์การกระทำความผิด ก็เกิดจากการเปิดเวทีอภิปรายซึ่งเป็นการกล่าวอย่างเป็นเหตุเป็นผล เป็นระบบ ไม่ได้ดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายต่อผู้ใด ส่วนสถานการณ์การเมืองหรือบริบทในเวลานั้นก็เห็นได้ชัดว่ามีการนำสถาบันมา เป็นคู่ขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์

สุรชัยระบุว่า เมื่อรวมทั้งสามอย่างนี้แล้วสามารถสรุปได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด ตามมาตรา 112 นั้นมีสถานภาพเป็นนักโทษการเมืองอย่างไม่มีทางปฏิเสธได้ ควรได้รับการควบคุมตัวในสถานที่ควบคุมตัวพิเศษ ไม่ว่าระหว่างการพิจารณาคดีหรือแม้แต่ส่วนที่ได้รับโทษเด็ดขาดแล้ว เพราะคดีนี้มีความอ่อนไหว มีแรงเสียดทานสูง ไม่มีความปลอดภัยเมื่ออยู่รวมกับผู้ต้องขังทั่วไป ที่ผ่านมาจะเห็นว่ามีผู้ต้องขังคดีนี้หลายคนถูกทำร้าย แม้แต่ตนเองซึ่งนับว่าเป็นผู้มีชื่อเสียงและมีประสบการณ์การติดคุกมานานก็ ยังถูกดูหมิ่นเหยียดหยามจากเจ้าหน้าที่ที่มีความคิดตรงข้าม ทำให้ที่ผ่านมาตนประกาศจะอดข้าวไปแล้วครั้งหนึ่ง กรณีที่มีเจ้าหน้าที่โยนอาหารของตนลงกับพื้น จนผู้บังคับบัญชาระดับสูงต้องมาไกล่เกลี่ย

สุรชัยระบุอีกว่าไม่เห็นด้วยที่คณะกรรมการ ที่พิจารณาเงื่อนไขของผู้จะได้รับการย้ายไปเรือนจำใหม่เป็นข้าราชการประจำ จากราชทัณฑ์ เพราะย่อมมีความเกรงกลัวต่อแรงเสียดทาน เห็นพรรคประชาธิปัตย์ออกมาค้านก็กลัว ทั้งที่คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดอง (คอป.) ก็เสนอให้ครอบคลุมถึงผู้ต้องโทษคดีหมิ่นฯด้วยแล้วก็ตาม ดังนั้น ผู้พิจารณาเรื่องนี้ควรเป็นรัฐบาลและฝ่ายการเมือง

“ถูกคดีหมิ่นเป็นการเมืองขั้นสูงกว่า ส.ส.กระทำผิดเสียอีก ถ้าไม่นับเท่ากับดูถูกเรา เราสู้มาตั้ง 40 ปี ถ้าอาทิตย์นี้ผ่านไปยังไม่มีคำตอบ สิ่งที่จะทำต่อไปคืออดอาหารประท้วง” สุรชัยกล่าว

หวังตั้ง “เครือข่ายผู้ต้องขัง” เดินเรื่องประกันเอง
ธันย์ฐวุฒิ (ของสงวนนามสกุล) ระบุว่า อย่างไรนักโทษคดีหมิ่นฯ ก็ควรจะต้องได้รับการย้ายไปเรือนจำชั่วคราวด้วย เพราะผู้ต้องโทษคดีนี้ซึ่งเป็นคดีทางความคิดแต่เมื่ออยู่ในเรือนจำจะลำบาก กว่าปกติ ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ช่วงแรกหลายคนถูกกลั่นแกล้งด้วย นอกจากนี้ในสายตาของเขาคดีนี้ถือเป็นการเมืองมากที่สุด เพราะข้อหานี้ถูกนำมาใช้กลั่นแกล้งทางการเมืองได้ง่าย

“เราไม่ได้หวังว่าที่นั่นจะสุขสบายกว่านี้ มันไม่สำคัญเท่ากับการได้อยู่เป็นกลุ่มก้อน มีคนมาเยี่ยม แบบที่ไม่ใช่เยี่ยมนักโทษอาญา แต่มาเยี่ยมในฐานะสหายร่วมรบ และอย่างน้อยที่สุดข่าวสารต่างๆ จะได้รับรู้กันอย่างรวดเร็ว” ธันย์ฐวุฒิกล่าว

เขาระบุด้วยว่า อยากให้มีกลุ่ม “เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกคุมขังจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการ เมืองตั้งแต่รัฐประหาร 2549” โดยให้ทนายหรือตัวแทนของผู้ต้องขังจัดแถลงข่าวข้อเรียกร้อง ความคืบหน้าต่างๆ เป็นระยะ โดยเฉพาะเรื่องประกันตัวโดยประสานกับรัฐบาลโดยตรง ไม่ขึ้นต่อ นปช.

สมยศตระเวรคุกหลายจังหวัด ระบุแออัดขั้นวิกฤต
สมยศ พฤกษาเกษมสุข ผู้ต้องขังคดีหมิ่นอีกรายที่เพิ่งถูกย้ายกลับมายังเรือนจำพิเศษกรุงเทพ หลังต้องย้ายที่คุมขังไปยังจังหวัดสระแก้ว เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ เพื่อสืบพยานโจทก์และมีกำหนดต้องไปจังหวัดสงขลาอีก ระบุว่า สภาพความเป็นอยู่ในเรือนจำต่างจังหวัดค่อนข้างแย่ เนื่องจากมีนักโทษล้นเกิน

“มันแออัดทุกตารางนิ้ว เคยเห็นหมาโดนยัดขังกรงในรถแบบที่ออกข่าวไหม นั่นแหละ คุกเมืองไทยวิกฤตแล้ว”

สำหรับประเด็นการย้ายผู้ต้องขังคดีการเมือง ไปยังเรือนจำแห่งใหม่นั้น สมยศระบุว่าตนเองเฉยๆ กับเรื่องนี้ แม้มันอาจจะดีในแง่จำแนกแยกแยะคนได้ แต่บางทีการเอานักโทษการเมืองไปอยู่รวมกันอาจเป็นประโยชน์กับรัฐในแง่การควบ คุมได้สะดวกยิ่งขึ้นด้วยซ้ำไป นอกจากนี้ที่คุมขังใหม่ยังมีสภาพเป็นตึกที่ไม่มีสนามหรือพื้นที่โล่ง

“คุกการเมืองมันควรจะดีกว่านี้ เพราะมันเป็นคดีทางความคิด และเป็นเรื่องสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย” สมยศกล่าว

"นายกฯปู" สวมชุดนักบินเหินฟ้าชมการใช้กำลังทางอากาศ "สุกำพล" ยิ้มแก้มปริหลังรับตำแหน่ง รมว.กลาโหม วันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2555 เวลา 11:35:28 น.

ภาพที่โพสต์วันนี้ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย
พลเอก ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี
พลอากาศเอก สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
พลเอกเสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม
พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด
พลเรือเอก สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ และ
พลเอก ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รองผู้บัญชาการทหารบก

ร่วมเดินทางชมการแสดงสาธิตการใช้กำลังทางอากาศ ในการแข่งขันการปฏิบัติการทางอากาศยุทธวิธี
โดยมี พลอากาศเอก อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ให้การต้อนรับ ณ สนามฝึกใช้อาวุธทางอากาศ อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี


ทั้ง นี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้ยกเลิกการเดินทางไปร่วมงาน ซึ่งก่อนหน้านี้ๆ ได้ตอบรับร่วมงาน โดยล่าสุดมีการปรับเปลี่ยนกำหนดการ เนื่องจาก ผู้บัญชาการทหารบก ต้องไปภารกิจที่ จ.ลำปาง จึงได้มอบหมายให้ พลเอก ดาว์พงษ์ เข้าร่วมงานแทน
ภาพที่โพสต์

söndag 22 januari 2012

คลิป ข้อเสนอและวิธีการจัดทำ รธน ฉบับใหม่ นิติราษฏร์ 22 01 55 และฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร จากลิงค์ข้างล่าง....


<object style="height: 390px; width: 640px"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/onj7H_MAgHw?version=3&feature=player_embedded"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowScriptAccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/onj7H_MAgHw?version=3&feature=player_embedded" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="360"></object>

รูปภาพท่านทักษิณที่หลวงพระบาง ประเทศลาว

พระธาตุภูสี หลวงพระบาง 21 มกราคม 2555

ภาพที่โพสต์

พตท ทักษิณ เดินทางมาทำบุญไหว้พระที่หลวงพระบาง 1 คืน โดยเจ้าแขวงหลวงพระบางได้ทำพิธีบายศรี ต้อนรับ วันแรกไปเดินตลาดมืด ซึ่งหมายถึงตลาดกลางคืน ตลาดแทบแตก มีนักท่องเที่ยวจากทั้งยุโรปและเอเชียมาขอถ่ายรูป พี่น้องชาวแพร่ น่าน และคนไทยต่างตื่นเต้นดีใจที่ได้พบ คนที่เขารักโดยไม่คาดคิด ต่างเข้ามาโอบกอดขอถ่ายรูป ความนิยมนั้นมากจริงๆ หกโมงเช้าตักบาตรพระ 99 รูป ไหว้พระสองวัด วัดเชียงทอง และเดินขึ้นภูสี 400 กว่าขั้นบันได เพื่อสักการะพระธาตุภูสี ปล่อบนก ยกพระ ไม่ว่าจะไปที่ไหนผู้คนแห่ ห้อมล้อมขอถ่ายรูป


ท่านได้แนะนำเมือง หลวงพระบางในการพัฒนาเมืองและการท่องเที่ยว หลังจาก รมต ลาวเลี้ยงอาหารกลางวัน ผมรอส่งท่านออกเดินทางกลับดูไบด้วยเรื่องบินเจ็ตส่วนตัวหางสีแดง จนเครื่องทะยานขึ้นจากหลวงพระบาง


lördag 21 januari 2012

ดิ้นเฮือกสุดท้าย.....ของฝูงเหี้ยสวะสังคมที่กำลังจะสูญพันธ์ของกรุงรัตนโกสินทร์

อย่าได้ตกใจ หวั่นใจ กับเสียงคำราม หรือโหยหวนก็ไม่ทราบได้
ของ 4 ผู้นำทางจิตวิณญาณ พลเมืองไทย อันได้แก่ ภิภพ สมเกียรติ จำลอง รวมทั้งสนธิ
ที่ออกมา กรรโชกทรัพย์ สังคมไทยว่า จะล้มรัฐบาลอีกครา ...ด้วยวิธีการเดิม ๆ นายสมเกียรติ ถึงกับจินตนาการว่า ทักษิณจ้างทหารไว้ถึง 5 พันคน เพื่อใช้ในการเปลี่ยนแปลงระบบ โดยเฉพาะ
ผมพินิจดูนายสนธิ ...และนายจำลอง ก็แค่พร่ำเพ้อถึงอดีต ไปวัน ๆ
เพราะจากเคยยิ่งใหญ่ มีคนล้อมหน้าล้อมหลัง เกรงอกเกรงใจ (แต่ตอนนี้เหมือนหมาตัวนึง )โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายสนธิ ที่หลายคดี กำลังเข้าสู่ กระบวนการฏีกาขั้นสุดท้าย ซึ่งนั่นหมายถึง คงจะได้เปลี่ยนที่พำนักไปนอนในตะรางเร็ว ๆ
อาการดิ้นเฮือกสุดท้าย หรือหมาจนตรอก (น่าจะเป็นคำเปรียบเปรยที่ดีที่สุด) จึงได้ออกมา ในวาระตรุษจีน
ยิ่งจับใจความที่ทั้ง 4 คุยกัน มันทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า มันทั้ง 4 เสพสารเสพติดอะไรเข้าไปในระหว่างเสวนา หรือเปล่า
ผลทางวิทยาศาสตร์มันพิสูจน์ชัดว่า ....พันธมิตรเดินมาถึงปลายทางแล้ว ตั้งแต่จอดับ นักรับจ้างอ่านข่าวหนี คดีความหลาย ๆ อย่าง งวดเข้าสู่ขั้นสุดท้าย..จนนายสนธิ ต้องออกมาด่ากราด สมาชิกว่าไม่รู้จักเอาเงินมาช่วยกูบ้างว๊ะ
ถ้าจะ..พินิจ พิเคราะห์ จับประเด็นที่ทั้ง 4 พยายาม จะกระทำการ ก็คือ หาฟางเส้นสุดท้าย โดยใช้วิธี นำสถาบัน มาหากินอีกครา เพราะ เคยใช้ได้ผล กับปวงชนชาวไทยที่คลั่งชาติ +สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ที่ต้องการปล้นอำนาจของรัฐบาลประชาชน ไปเพราะเลือกตั้งเมื่อไหร่ ก็สู้ไม่ได้
ครั้งนี้ จินตนาการพริ้มเพริศถึงกับกล้าพูดว่า จ้างทหารต่างชาติ 5 พันคน
ซึ่งก็คงมี วัวควายจำนวนไม่มากนัก ออกมาขานรับ แต่ก็น่าจะมีแค่หยิบมือเหมือนเดิม ๆ ที่เคยทำมา
ปฏิบัติการ โหวตโน ที่ลงทุนลงแรงไปสุดกำลังเมื่อการเลือกตั้งครั้งก่อน
ถ้าคนมีสติสัมปชัญญะ จะคิดได้เองว่า จริง ๆ ผลการโหวตโนที่ออกมา "กุ้ยส์การเมืองข้างถนน" กลุ่มนี้ ควรกลับไปนรกที่ตัวเองออกมามาได้แล้ว
แต่ด้วยความที่จนตรอก เพราะดู ๆ แล้วบั้นปลายชีวิต อาจจะสาหัส กันหลายคน
ปฏิบัติการ ฝนตกขี้หมูไหล จึงเกิดขึ้นอีกครา ที่บ้านพระอาทิตย์เมื่อวานนี้
ฟังกันพอขำ ๆ ครับ
กับความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ที่จะยุให้ กองทัพออกมายึดอำนาจ
ใครยึดอำนาจตอนนี้ ....คงหารูอยู่ได้ยากในยุคที่ สังคมประชาธิปไตย จับตาดูประเทศสารขันธ์ พยายามจะตั้งโรงลิเกขึ้นใหม่
ผีทักษิณ ล้มสถาบัน ไม่ได้เพิ่งจะถูกจุดประเด็นขึ้นมาเมื่อวานนี้
มันถูกจุดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนปี 2549
และมันก็รุ่งริ่ง ร่วงโรย เป็นปาหี่ การเมืองครั้งยิ่งใหญ่ ที่สุดที่เคยมีการ ต้มควาย ภายในประเทศนี้
คงเหลืออยู่ไม่กี่ตัว อันได้แก่มนุษย์หุ่นยนต์ (สันติอโศก) แฟนคลับ พันธมิตร อีกนิดหน่อย...
บวกกับความเคลื่อนไหว ของตุลย์ 50 คน (ม๊อบปะหรอมปะเหรม) ......
ไปไม่รอดหรอกครับ ไอ้จัญไรพวกนี้

แด่.... เสธแดง นายพลวีรชนนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เหยื่อของความโหดเหี้ยมอำมหิต ภายใต้ระบอบเผด็จการราชาธิปไตย

ขุนเขาบอก :
ใคร...ฆ่านายพล....
ดาวชิงดวง สรวงสวรรค์ ชั้นดุสิต
ที่สถิต เทวดา อยู่อาศัย
แต่กระสุน ปริศนา มหาภัย
เหตุไฉน แหวกม่านฟ้า ฆ่านายพล
เป็นทหาร เป็นนายพล ยังโดนฆ่า
ด้วยข้อหา เป็นเภทภัย ไร้เหตุผล
นอนทอดร่าง กลางถนน คนหนอคน
โถมนุษย์ ปุถุชน โดนอาญา
ใครทำกรรม ต้องรับกรรม ที่กระทำ
คนกระทำ พฤติกรรม ต่ำหนักหนา
ไร้เหตุผล ฆ่าคนตาย นายสั่งมา
คนรับสั่ง ยังลอยหน้า ยังลอยนวล
เสียงสั่งการ ผ่านนายพล ฆ่านายพล
ให้นายพล ฆ่านายพล จนเสียขวัญ
คนที่จับ สับไกลั่น ชั้นประทวน
วิญญาณหวน ร่างถูกหาม ตามควันปืน
เสรีไท เกือบร้อยศพ ถูกกลบร่าง
นอนอ้างว้าง ร่างถูกล้ม อย่างข่มขืน
เลือดไหลล้น คนลั่นไก สไนปืน
หน้าระรื่น ชื่นชีวี หนีอาญา
แต่นายพล คนติดตรา กลาโหม
ถูกชื่นชม สมฤทัย ไร้ข้อหา
เหล่าผองเพื่อน เลื่อนขั้นใหญ่ ได้เหรียญตรา
สุกสกาว ดาวติดบ่า ฆ่าประชาชน
แต่อีกคน นายพลตาย ลายพรางเขียว
กระสุนเฉี่ยว จากกลางหาว ดาวล่องหน
ร่างกระดอน นอนเคียงไพร่ เลือดไหลปน
ไพร่นายพล โดนสั่งฆ่า เทวดาเมิน...........ใคร...ฆ่านายพล....

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นางสิงห์ผู้สยบเสือทุกตัวในสยามประเทศ ในเมื่อเธอมีอำนาจอยู่่ในมือ.... เธอก็ต้องช่วยเหลือปล่อยคนบริสุทธิ์ที่โดนกลั่นแกล้ง ข้อหา คดี ม ๑๑๒ และนักโทษการเมืองทุกคน ได้ไม่ใช่หรือ ?




เสือยุทธศักดิ์ เมื่ออยู่ต่อหน้าเธอ ก็ต้องเอามือกุมไข่
พ่อม้าเปรม ก็ต้องเดินตามทางที่เธอกำหนดให้
ส่วนเสือบูรพา เมื่ออยู่ต่อหน้าก็กลายเป็นพิลา(แมว)เชื่อง ๆ

ภาพนี้บอกอะไรได้หลายอย่าง
1. ทหารเสือทุกตัวเดินตามเธอ (เพราะเธอคือนางสิงห์)
2. บารมีเธอ ทัดเทียมและจะเหนือกว่าพล.อ.เปรม
3. ภาพนี้เธออยู่ในฐานะนางพญา

fredag 20 januari 2012

♫ VDO นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ พบ พลเอกเปรม และเดินสายเยี่ยมสามเหล่าทัพ (ตัดต่อใหม่ไฉไล กว่าเดิม)

<object width="640" height="360"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/XQzsIH1yVXg&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowScriptAccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/XQzsIH1yVXg&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="360"></embe<object width="640" height="360"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/eroag_zNSo4&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowScriptAccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/eroag_zNSo4&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="360"></embed></object>d></object>

ไม่มีกษัตริย์ชาติก็อยู่ได้ แต่ถ้าไม่มีชาติกษัตริย์ก็อยู่ไม่ได้ ดีที่สุดไม่มีกษัตริย์ชาติและประชาชนก็อยู่ได้อย่างมีความสงบสุข สังคมภายในชาติไม่แตกแยก

หมดแรงหนุน......คุณล้มละลาย......

ขุนเขาบอก :
หมดแรงหนุน......คุณล้มละลาย......
โมเมนต์สูงสุด จุดกึ่งกลางคาน
ถ่ายลงสู่ฐาน ผ่านเสาต้นสูง
เสาเข็มแข็งแกร่ง ต้านแรงพยุง
แรงกดโหลดสูง พยุงอาคาร
อุปมาอุปมัย ไพร่ศักดินา
เปรียบไพร่ดั่งข้า สั่งฆ่าประหาร
ล้มหายตายจาก ไปมากประมาณ
ไพร่เปรียบรากฐาน อาคารมั่นคง
กระสุนเป็นสาย ทำลายฐานราก
ศักดินาพราก ฐานรากตายโหง
จะอยู่เยี่ยงไร หากไม่มั่นคง
แท่นนั่งดั่งหงส์ ก็คงทลาย
จะย่ำหรือเหยียด เกลียดเพราะต่ำศักดิ์
หากไร้คนรัก ศักดินาหาย
อาคารทั้งหลัง คงพังทลาย
จะเจ้าหรือนาย ล้มตายทั้งกรุง
ปูนหินดินทราย กลายเป็นคอนกรีต
บ่มน้ำเพียงนิด คอนกรีตกำลังสูง
แม้นค่าต่ำต้อย ไพร่คอยพยุง
จักต่ำหรือสูง รุ่งเรืองสกุล
สำนึกเถิดหนา ศักดินาอำมาตย์
ไพร่เกือบทั้งชาติ ใช่ทาสสถุล
หากไม่มีไพร่ ยืนไหล่ให้คุณ
เหยียบย่ำค้ำบุญ หมดแรงหนุน......คุณล้มละลาย......

โปรดฟังคลิป กวีราษฎร์ เกี่ยวกับโจรสลัดตาเดียวแห่งเมืองสารขันธ์ บทกวีเรื่องเล่าจากนครแห่งความมืดบอด : แก้วตา ธัมอิน เขียนโดย ทางเท้า อ่านโดย แก้วตา

<object style="height: 390px; width: 640px"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/cdYFlUfzQn4?version=3&feature=player_embedded"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowScriptAccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/cdYFlUfzQn4?version=3&feature=player_embedded" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="360"></object>

ในนามของขบวนการประชาธิปไตยไทยในสแกนดิเนเวีย เราขอเรียกร้องมายังรัฐบาลยิ่งลักษณ์ให้ปล่อยนักโทษการเมืองที่โดนกลั่นแกล้งจาก ม ๑๑๒ ทุกคน

สาส์น จาก อ.สุรชัย แซ่ด่าน

สาส์นถึงพี่น้องประชาชนผู้รักประชาธิปไตยและรักความเป็นธรรม 

กราบเรียนพี่น้องประชาชนผู้รักชาติรัก ประชาธิปไตย และ รักความเป็นธรรมทุกท่าน  เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2553 ผมกับพี่น้องคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่ง มาจัดงาน “เคาน์ดาวน์” เรียกร้อง “อิสรภาพ” ให้กับ “คุณณัฐวุฒิ ไสเกื้อ และ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ(นปช.)”  ที่ถูกคุมขังอยู่ในคุก แต่พอมาถึง 31 ธันวาคม 2554  ผมก็มาถูกคุมขังอยู่ในคุกแทน  แกนนำ นปช.ก็ต้องมาจัดงาน “เคาน์ดาวน์”  เรียกร้องอิสรภาพให้แก่ผมและคนเสื้อแดงอีกหลายคนที่ยังถูกคุม ขังอยู่ในเรือนจำ ก็ไม่รู้ว่าเราจะต้องจัดงาน “เคาน์ดาวน์” หน้าคุกกันอีกกี่ปี และไม่รู้ว่าพวกเราจะต้องผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน จัดงานเค้าดาวน์กันอีกกี่ครั้ง นี่คือ ผลของกระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐาน   เมื่อตอนที่ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลคนเสื้อแดง ถูกขังคุกเพราะศาลไม่ให้ประกันตัว อ้างเหตุกลัวหลบหนี แต่คนเสื้อเหลืองที่ความผิดร้ายแรงมากกว่า ได้รับการประกันตัวไม่กลัวหลบหนี นี่คือ สองมาตรฐานของกระบวนการยุติธรรม คนเสื้อแดงก็พอทำใจได้ เพราะประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับพวกเรา   แต่เวลานี้พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล คนเสื้อแดงก็ยังถูกขังคุก คนเสื้อเหลืองก็ไม่ถูกขังคุกเหมือนเดิมคนเสื้อแดงยังจะทำใจได้หรือ ? กับระบบสองมาตรฐานอย่างนี้ และเป็นเครื่องยืนยันว่าอำนาจรัฐที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่รัฐบาล เพราะแค่จะประกันตัวคนของตนเองยังทำไม่ได้ รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจึงบริหารประเทศอย่างไร้ความมั่นคง ต้องคอยเอาใจเจ้าของอำนาจอย่างแท้จริงอยู่ตลอดเวลา แล้วจะทนอยู่อย่างนี้ไปได้นานเท่าไหร่ ฝากข้อคิดนี้ไปยัง รัฐบาลและคนเสื้อแดงทั่วประเทศด้วย    

สุดท้ายนี้ ขออวยพรให้รัฐบาลได้อยู่รอดปลอดภัยและพี่น้องประชาชนมีความคิดที่แจ่มใส มีจิตใจที่รุ่งโรจน์ ตาสว่างมากยิ่งขึ้น รวมพลัง รอคอยโอกาส ลุกขึ้นสู้ กำชัยชนะ เมื่อโอกาสมาถึงในไม่ช้านี้ ผมจะรอคอยพวกท่านมาเปิดประตูคุกให้ แต่ถ้าผมตายเสียก่อนก็จงเอาศพไปแห่ประท้วง ม.112 จนกว่าจะแก้ไขให้มีความเป็นธรรมและประชาธิปไตยที่แท้จริงขึ้นในประเทศ ไทย                                                                                                

สุรชัย  แซ่ด่าน                                                                                    
ประธานองค์กรแดงสยาม                                                                                    
(Red Siam Organization)

สมยศ พฤกษาเกษมสุข นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความเป็นธรรมในสังคม แต่ถูกยัดเยียดข้อหา ม ๑๑๒ ถูกกลั่นแกล้งอย่างไร้มนุษย์ธรรมจากระบอบเผด็จการอันเหี้ยมโหดของภูมิพล รัฐบาลพรรคเพื่อไทยและนายกยิ่งลักษณ์ที่ประชาชนค่อนประเทศเลือกมาเพื่อให้มา แก้ปัญหาความเดือดร้อนความไม่ยุติธรรมในสังคม แต่รัฐบาลก็ไม่ได้ทำอะไรเลย เพื่อช่วยเหลือพวกนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่บริสุทธิ์เหล่านี้โดยเฉพาะ คุณสมยศ และบุคคลอื่นที่โดนคดีเดียวกัน แล้วอะไรคือหน้าที่ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย?

ประชาไท:“สมยศ” ตระเวนทั่วไทยสืบพยานถึง “นครสวรรค์”


สมยศ พฤกษาเกษมสุข บก. เรดพาวเวอร์ ถูกจับกุมในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112 เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2554 เขาถูกจับโยนเข้าคุก และปฏิเสธคำขอประกันตัว มาโดยตลอด

นอกจากนี้ สมยศ ยังเป็นนักโทษคดี 112 ที่ถูกพายืนบนรถผู้ต้องขังหลายชั่วโมงเพื่อไปส่งยังเรือนจำที่ต่างจังหวัด และฝากขังเพื่อรอวันขึ้นศาล ตามกำหนดการ "สืบพยานโจทก์คดีกล่าวหา" ของศาลที่จังหวัดเหล่านั้น

ทั้งนี้สมยศถูกนำตัวออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2554 และยังไม่ได้กลับเข้ามาที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ อีกเลยนับตั้งแต่นั้นมา และเขายังจะต้องถูกส่งตัวไปขึ้นศาลที่จังหวัดสงขลา ซึ่งจะเป็นศาลสุดท้ายของการสืบพยานโจทก์ที่ต่างจังหวัด ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2555

การขึ้นรับฟังการสืบพยานโจทก์ที่ผ่านมาได้แก่


21 พฤศจิกายน 2554 ........ ศาลจังหวัดสระแก้ว
19 ธันวาคม 2554 ............... ศาลจังหวัดเพชรบูรณ์
16 มกราคม 2555 ................ ศาลจังหวัดนครสวรรค์


และการสืบพยานโจทก์สุดท้ายที่ศาลต่างจังหวัด คือ
13 กุมภาพันธ์ 2555.......... ศาลจังหวัดสงขลา
นายจอห์น เมย์นาร์ด เพื่อนเก่าแก่ของนายสมยศ เข้าเยี่ยมให้กำลังใจขณะการพิจารณาคดี (ภาพจาก “กลุ่มเพื่อนสมยศ”)

torsdag 19 januari 2012

USAตบหน้าฉาดใหญ่ไม่ให้วีซ่าDSIบุกสอบคนไทยในอเมริกา บอกตรงๆไม่ให้ความร่วมมือคดี112-จบมั้ย?!

พ.ต.อ. ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดี DSI หัวหน้าชุดสอบสวน"คดีผังล้มเจ้า"ยอมรับว่า ได้ขอวีซ่าเข้าสหรัฐฯเพื่อเข้าไปสอบสวนคนไทยที่ฟังการปาฐกถาของนายจักรภพ เพ็ญแข เพื่อเป็นหลักฐานสำคัญ แต่เมื่อทำหนังสือแจ้งไปยังสถานทูตสหรัฐฯว่าDSIต้องการไปสอบสวนคนไทยใน สหรัฐฯในประเด็นดังกล่าว ส่งผลให้สถานทูตสหรัฐฯแทงเรื่องกลับโดยระบุว่าหากจะสืบสวนสอบสวนประเด็นนี้ สหรัฐฯไม่ให้ความร่วมมือ และการไม่ได้รับอนุมัติวีซ่าก็เป็นการไม่ได้รับอนุมัติทั้งคณะ

onsdag 18 januari 2012

"แม่น้องเกดแดง"มอบตะกร้อครอบปากหมา ให้"สาธิต

วันนี้ ( 18 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 14.00 น.ที่รัฐสภา กลุ่มญาติคนเสื้อแดงที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองเดือน เม.ย. – พ.ค.ปี 53 นำโดยนางพะเยาว์ อัคฮาด และ นายณัทพัช อัคฮาด แม่และน้องชาย น.ส.กมนเกด อัคฮาด หรือน้องเกด พยาบาลอาสาที่ถูกยิงเสียชีวิตภายในวัดปทุมวนาราม พร้อมพวกประมาณ 30 คน ยืนประท้วงรัฐสภาเพื่อขอพบนายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อมอบตะกร้อครอบปากสุนัข กระดูกปลอมสุนัข และ แปรงขัดส้วม หลังนายสาธิต ให้สัมภาษณ์ว่า กลุ่มคนดังกล่าวไม่สมควรได้รับเงินเยียวยาเพราะเป็นผู้ก่อการร้าย หลังการยื่นร้องศาลปกครองกลางให้ระงับมติ ครม.ที่อนุมัติเงินเยียวยาให้แก่ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง 2,000ล้านบาทโดยไม่เป็นธรรม

ดูคุณภาพของสัตว์การเมืองที่เป็น สส.พรรคประชาวิบัติจากลิงค์ข้างล่าง

 <object style="height: 390px; width: 640px"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/LkaU7TDx21w?version=3&feature=player_embedded"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowScriptAccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/LkaU7TDx21w?version=3&feature=player_embedded" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="360"></object>

ใครๆก็กล้าหาญลงชื่อแก้112ทั้งนั้น แล้วคุณหละ..?


tisdag 17 januari 2012

ทุกสรรพสิ่ง ไซร์ มิใช่ของเรา แม้แต่อัจฉริยะกำมะลออย่างกษัตริย์ภูมิพลเองก็เป็นเพียงสิ่งสมมุติเท่านั้น อีกไม่นานองค์ราชันย์ก็ต้องตายจากโลกนี้ไป แล้วจะสร้างสมเวรกรรมให้แก่ตัวเองไปถึงไหน ก่อนตายจงคืนประชาธิปไตยให้แก่ปวงชนชาวไทยเสียเถิด......

<p>ขุนเขาบอก  :


ทุกสรรพสิ่ง ไซร์     มิใช่ของเรา
ล้วนเป็นของเขา     เราแค่อาศัย
แม้นของล้ำค่า     ประชาธิปไตย
ยังถูกแบ่งไว้     เหลือให้ครึ่งเดียว

จะยืนจะนั่ง     ยังต้องก้มกราบ
ทนจูบรูปภาพ     ไม่กราบมีเสียว
ทั่วไทยใต้ฟ้า      ของข้าคนเดียว
ไพร่ฟ้าไม่เกี่ยว     หนึ่งเดียวนิรันดร์

เป็นได้ทุกอย่าง    สร้างได้ทุกสิ่ง
อัจฉริยะยิ่ง     ทุกสิ่งสร้างสรรค์
เก่งเกินบรรยาย     ภาพฉายทุกวัน
เกินจักจำนรรจ์     นั่นเทวดา

ทุกอิริยาบถ     กำหนดชีวิต
ทุกความนึกคิด     อิทธิฤทธิ์หนักหนา
ต้องดูยิ่งใหญ่     วิไลตระการตา
กฎหมายกฎหมา    ข้าอยู่เหนือมัน

กำแพงเจ็ดชั้น     กั้นไว้เบื้องสูง
ปกป้องพยุง     สูงเกินสวรรค์
ใครล่วงเกินข้า     จับมาลงทัณฑ์
ข้อหาหมิ่นกัน      ข้ามัน”อภิญญา”

เป็นครูเป็นหมอ     พ่อทุกสถาบัน
มีทรัพย์อนันต์      เทียบทันมหา
เศรษฐี กุลีไพร่      อย่าได้ชายตา
ทรัพย์สินแห่งข้า     ทั้งฟ้าทั้งแผ่นดิน    

เราได้แค่มอง    จับต้องมิได้
ต้องอยู่อย่าไพร่      ห้ามใจถวิล
เป็นเพียงม้าลา     ขี้ข้าใต้ตีน
สูงเกินแผ่นดิน     แค่มิลลิเมตรเดียว

เอวังอลวน     ต้องทนก้มหน้า
เอาหลังสู้ฟ้า     หน้าดำหน้าเขียว
กินแกลบกินรำ     น่าขำจริงเชียว
เพื่อคนๆเดียว      ขี้เยี่ยวกูยังเกรง............

 สมยศ พฤกษาเกษมสุข นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความเป็นธรรมในสังคม แต่ถูกยัดเยียดข้อหา ม ๑๑๒ ถูกกลั่นแกล้งอย่างไร้มนุษย์ธรรมจากระบอบเผด็จการอันเหี้ยมโหดของภูมิพล รัฐบาลพรรคเพื่อไทยและนายกยิ่งลักษณ์ที่ประชาชนค่อนประเทศเลือกมาเพื่อให้มา แก้ปัญหาความเดือดร้อนความไม่ยุติธรรมในสังคม แต่รัฐบาลก็ไม่ได้ทำอะไรเลย เพื่อช่วยเหลือพวกนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่บริสุทธิ์เหล่านี้โดยเฉพาะ คุณสมยศ และบุคคลอื่นที่โดนคดีเดียวกัน แล้วอะไรคือหน้าที่ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย?

ประชาไท:“สมยศ” ตระเวนทั่วไทยสืบพยานถึง “นครสวรรค์”


สมยศ พฤกษาเกษมสุข บก. เรดพาวเวอร์ ถูกจับกุมในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112 เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2554 เขาถูกจับโยนเข้าคุก และปฏิเสธคำขอประกันตัว มาโดยตลอด

นอกจากนี้ สมยศ ยังเป็นนักโทษคดี 112 ที่ถูกพายืนบนรถผู้ต้องขังหลายชั่วโมงเพื่อไปส่งยังเรือนจำที่ต่างจังหวัด และฝากขังเพื่อรอวันขึ้นศาล ตามกำหนดการ "สืบพยานโจทก์คดีกล่าวหา" ของศาลที่จังหวัดเหล่านั้น

ทั้งนี้สมยศถูกนำตัวออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2554 และยังไม่ได้กลับเข้ามาที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ อีกเลยนับตั้งแต่นั้นมา และเขายังจะต้องถูกส่งตัวไปขึ้นศาลที่จังหวัดสงขลา ซึ่งจะเป็นศาลสุดท้ายของการสืบพยานโจทก์ที่ต่างจังหวัด ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2555

การขึ้นรับฟังการสืบพยานโจทก์ที่ผ่านมาได้แก่


21 พฤศจิกายน 2554 ........ ศาลจังหวัดสระแก้ว
19 ธันวาคม 2554 ............... ศาลจังหวัดเพชรบูรณ์
16 มกราคม 2555 ................ ศาลจังหวัดนครสวรรค์


และการสืบพยานโจทก์สุดท้ายที่ศาลต่างจังหวัด คือ
13 กุมภาพันธ์ 2555.......... ศาลจังหวัดสงขลา
นายจอห์น เมย์นาร์ด เพื่อนเก่าแก่ของนายสมยศ เข้าเยี่ยมให้กำลังใจขณะการพิจารณาคดี (ภาพจาก “กลุ่มเพื่อนสมยศ”)

måndag 16 januari 2012

A classic example ของนักการเมืองฝ่ายขวา: "ชวนนท์-ปชป."มันปาก-ด่านิติราษฎร์นักวิชาการเศษสวะ แท้จริงแล้ว " ชวนนท์ -พรรคประชาธิปัตย์ ก็เป็นเพียงสัตว์การเมืองสวะสังคมที่อยู่ได้เพราะเป็นสุนัขรับใช้เจ้า เลิกเห่าหอนได้แล้ว

ไทยอีนิวส์​ ขอนำเสนอตัวอย่างสุดคลาสสิคของนักการเมืองรอยัลลิสต์ขวาจัด ที่มีความเชี่ยวชาญประการเดียวคือการเกาะขาราชบัลลังก์ไม่ให้ขยับก้าวหน้าไป ไหนถ้าสถาบันเมืองไทยจะไม่ก้าวหน้า ก็เพราะมีนักการเมืองตีนตุ๊กแกประชาธิปัตย์เช่นนี้อยู่มากเกินไปในสภา ที่เล่นทุกอย่างเป็นการเมืองเพื่อการรักษาไว้ซึ่งอำนาจ แม้ว่าวิธีการนั้นจะทำลายอุดมการณ์ประชาธิปไตยก็ตามทีเป็นนักการ เมืองที่กินเงินเดือน สส.​จากภาษีประชาชน แต่ไม่เคยสำนึกในบุญคุณประชาชน แพ้การเลือกตั้งในสนามแข่งขันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ก็อยู่รอดมาได้หลายสิบปีด้วยการการเล่มการเมืองหลังม่านอ้อ ลืมไป! พรรคประชาธิปัตย์ คือ พรรคการเมือง "เก่งแต่แทงข้างหลัง" ที่ปล้นประชาธิปไตยจากคณะราษฎร และโค่นและบีบไล่ให้ ปรีดี พนมยงค์ บิดาแห่งขบวนการประชาธิปไตยของไทยต้องไปตายที่ต่างแดนด้วยวาทะกรรม "ปรีดีฆ่าในหลวง"แต่ คงต้องเตือนพรรคแมลงสาปว่า ปี 2555 ไม่ใช่ปี 2490 ประชาธิปัตย์ยามนี้ก็เป็นได้แค่เพียง หมาที่เป็นมะเร็งที่ลำคอ กำลังเห่าแค๊กๆๆๆ ใส่ใบตองแห้งอยู่แค่นั้นเอง!

เปิดโปงความชั่วช้าเลวทรามของพรรคประชาวิบัติและรัฐบาลชวนที่ก่อหนี้สิน ๑.๑๔ ล้านล้านบาทให้กับประเทศชาติ

การพูดเอาดีเข้าตัว เอาชั่วใส่คนอื่น ดูเหมือนว่ายังคงเป็นแนวทางอันเหนียวแน่นที่พรรคประชาธิปัตย์ในยุคที่มี “มาร์ค แอนด์ เดอะ แก๊งค์”ดูแลนั้น นิยมชมชอบเป็นอย่างมาก
ไม่น่าเชื่อเลยว่า ความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง เพราะประชาชนเบื่อหน่ายการดีแต่พูด ทำงานไม่เป็น หรือพอจนแต้มขึ้นมาก็จะพูดเอาดีเข้าตัว โยนผิดโยนชั่วไปให้คนอื่นนั้น ไม่ได้ทำให้เกิดอาการรู้สึกตัวเกิดขึ้นกับบรรดานักพูดกลุ่มนี้เลย
แม้ขนาดว่าคนเก่าคนแก่ในพรรคพยายามที่จะสะกิดเตือนก็ไม่มีการสนใจรับฟัง เพราะแม้ปากจะอ้างให้ดูหรูดูดีเข้าตัวว่า จะเล่นการเมืองอย่างสร้างสรรค์ แต่ในความเป็นจริงกลับเป็นคนละเรื่อง
ตัวอย่างล่าสุดที่เห้นได้ชัดก็คือ กรณีการที่จะต้องหาทางแก้ไขปัญหาหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จำนวน 1.14 ล้านล้านบาท
ซึ่งเรื่องนี้คนในวงการสถาบันการเงิน คนในธนาคารแห่งประเทศไทย คนในกระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวกับหนี้ก้อนนี้ ล้วนรู้ดีถึงที่มาที่ไปว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร!
ที่สำคัญลึกๆแล้วใครเป็นคนที่ปล่อยปละละเลย จนต้องเกิดปัญหากับระบบสถาบันการเงินขึ้นมา จนสุดท้ายจึงต้องมีการตั้งกองทุนฟื้นฟูฯขึ้นมารับภาระ
ในช่วงรัฐบาลของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2540 ธนาคารแห่งประเทศไทย ผิดพลาดในการที่เข้าไปปกป้องค่าเงินบาทจากการโจมตีของ จอร์จ โซรอส จนทำให้ประเทศชาติถังแตก เงินกองทุนสำรองระหว่างประเทศเหลือสุทธิเพียง 7 พันล้านเหรียญ
สุดท้ายประเทศไทยต้องตกอยู่ภายใต้การกำกับของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ทำให้นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ รัฐมนตรีคลังในขณะนั้น ซึ่งอยู่ภายใต้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นคนลงนามสั่งปิดสถาบันการเงิน 56 แห่ง โดยไม่มีมาตรการรองรับที่ครบถ้วน ทำให้สถาบันการเงินและธนาคารทรุดกันไปทั้งระบบ!
จนต้องมีการตั้งกองทุนฟื้นฟูขึ้นมาอุ้ม และกลายเป็นภาระหนี้ที่เป็น”มรดกบาป”ที่ตกทอดมาถึงทุกวันนี้….
เรื่องนี้นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการแบงก์ชาติคนปัจจุบัน นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีคลังคนปัจจุบัน ทั้งคู่เคยเป็นอดีตลูกหม้อแบงก์ชาติย่อมจะต้องรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี!
รวมทั้งนายกรณ์ จาติกวณิช คนที่ใฝ่ฝันว่าจะขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์แทนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อที่จะได้มีโอกาสขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีสักครั้งหนึ่งในชีวิตนั้น ก็ย่อมจะต้องรู้เรื่องดี
เพราะญาติของนายกรณ์ คือนายปิ่น จักกะพาก ที่ต้องหนีคดีไปอยู่อังกฤษก็เพราะการล้มของอาณาจักรเอก ที่เกิดจากความผิดพลาดในการควบคุมดูแลสถาบันการเงินของแบงก์ชาติ จนกลายเป็นวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540
สถาบันการเงินล้มกันระนาว ปิดฉากอาณาจักรเอกด้วย ฉะนั้นนายกรณ์ย่อมควรจะต้องรู้ชัดและจำได้ดี
ซึ่งแน่นอนว่า กูรูเศรษฐกิจระดับแถวหน้าของเมืองไทยอย่าง ดร.วีรพงษ์ รามางกูร หรือ ดร.โกร่ง ที่ผ่านประสบการณ์และได้เห็นวิกฤตครั้งแล้วครั้งเล่าที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทย และรู้ดีว่าเกิดขึ้นเพราะฝีมือใค?
มารอบนี้เมื่อมาเจอการพยายามเบี่ยงเบนข้อเท็จจริงในเรื่องหนี้กองทุนฟื้นฟูฯจำนวนมหาศาล ของทางผู้บริหารแบงก์ชาติยุคปัจจุบัน ก็เลยเกิดอาการทนไม่ได้ และสวนหมัดเตือนสติเพื่อให้รู้ว่า....
ตลอดเวลาที่ผ่านมา แบงก์ชาติอย่าคิดว่าทำอะไรไว้แล้วคนจะไม่รู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานเลวร้ายในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง 2540 ซึ่งถือเป็นตราบาปของแบงก์ชาติครั้งสำคัญก็ว่าได้
ดร.โกร่ง ได้มีการพูดเอาไว้ชัดเจนมาโดยตลอดในเรื่องแบงก์ชาติ ปลายปีที่ผ่านมาก็มีการไปพูดทาง Money Channel ว่า...
ต้องยอมรับ ที่ผ่านมาแบงก์ชาติได้โยนภาระให้กับประชาชน ผู้เสียภาษีเป็นอย่างมาก จากการบริหารงานที่ผิดพลาดของแบงก์ชาติ การเข้าไปโอบอุ้มสถาบันการเงินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ซึ่งสร้างภาระหนี้มากมายให้กับประเทศ และเป็นภาระการชดใช้ของกระทรวงการคลัง
“ที่ผ่านมาแบงก์ชาติสร้างวิกฤติมาเป็นระยะๆ ที่จริงเราไว้ใจแบงก์ชาติไม่ได้ ทุกสิบปีที่ผ่านมา แบงก์ชาติจะสร้างความเสียเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจ แต่ไปว่าฝ่ายการเมืองสร้างความฉิบหายให้กับประเทศ ทั้งที่ตนเองคนทำให้เกิดความฉิบหาย”
นี่คือคำพูดที่ ดร.วีระพงษ์ รามางกูร พูดตรงไปตรงมาเอาไว้ในวันนั้น…!!
แต่แทนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือแบงก์ชาติจะรู้สึกตัว และพัฒนาตัวเองขึ้นมาบ้าง กลับยังคงเส้นคงวากับการเรียกร้องอิสระ ไม่ต้องการให้กระทรวงการคลังหรือการเมืองเข้ามาแทรกแซง ทั้งๆที่การเข้ามาแทรกแซงนั้นจะเป็นการเข้าไปเพื่อการแก้ไขปัญหาก็ตาม
เพราะจริงๆแล้วในเรื่องของการที่จะต้องแก้ไขหนี้ของกองทุนฟื้นฟูฯนั้น เป็นเรื่องที่ทำกันมาระยะหนึ่งก่อนหน้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แล้ว สำนักบริหารหนี้ของกระทรวงการคลังรู้ดีถึงดีลนี้ ตั้งแต่ตอนที่นางพรรณี สถาวโรดม เป็นผู้อำนวยการแล้ว และเมื่อประชาธิปัตย์พลิกขั้วการเมืองเข้ามาเป็นรัฐบาล นายกรณ์ เข้ามาเป็นรัฐมนตรีคลัง นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารหนี้ในขณะนั้นก็เป็นคนทำเรื่องการแก้ไขหนี้กองทุนฟื้นฟูฯให้นายกรณ์แล้วด้วย
แม้แต่นายจักรกฤศฎิ์ พาราพันธกุล ผู้อำนวยการสำนักบริหารหนี้คนปัจจุบัน ซึ่งขณะนั้นเป็นรองผู้อำนวยการ ก็เป็นคนที่ทำแผนในเรื่องการแก้ไขหนี้กองทุนฟื้นฟูฯนี้ด้วย
เพราะนายกรณ์ กระทรวงคลัง และแบงก์ชาติ รู้ดีว่าไม่แก้ไขไม่ได้ เนื่องจากกองทุนฟื้นฟูฯกำลังจะสิ้นสุดอายุลง แต่หนี้ไม่ได้สิ้นสุดเพราะแบงก์ชาติปลดหนี้ก้อนนี้ไม่ได้ แถมที่ผ่านมาหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย บริหารประเทศในปี 2541 ถึงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีการนำงบประมาณของชาติซึ่งมาจากภาษีอากรของประชาชนมาจ่ายดอกเบี้ยให้ปีละประมาณ 65,000 ล้านบาท
รวมเป็นเงินที่จ่ายดอกเบี้ยไปแล้วทั้งสิ้นกว่า 600,000 ล้านบาทแล้ว โดยที่เงินต้นที่แบงก์ชาติต้องเป็นผู้ใช้หนี้พบว่ากว่า 13 ปีที่ผ่านมา เงินต้นลดลงไปเพียง 300,000 ล้านบาทเท่านั้น
กลายเป็นว่าหนี้กองทุนฟื้นฟูฯเป็นหนี้ที่ประชาชนต้องชดใช้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดเช่นนั้นหรือ??
บางกอก ทูเดย์ ขอเตือนความทรงจำสังคม เตือนความทรงจำคนแบงก์ชาติ ว่าจำกันไม่ได้จริงๆหรือว่าหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ที่ปัจจุบันมียอดคงค้างจำนวน 1.14 ล้านล้านบาทนั้น เป็นหนี้ที่เกิดจากการที่รัฐบาลนายชวน โดยนายธารินทร์ ลงนามปิดสถาบันการเงิน จนเกิดหนี้จำนวนนี้ขึ้นมาโดยที่ประชาชนไม่ได้เป็นผู้ก่อ!!
ถ้าตอนนั้นแบงก์ชาติไม่ได้ทำอะไรอิสระ แอบฝืนไปสู้ค่าเงินบาท จนขาดทุนเกือบ 800,000 ล้านบาท เงินทุนสำรองแทบหมดหน้าตัก สุดท้ายต้องปิดสถาบันการเงิน 56 แห่ง แต่ก็เอาไม่อยู่ ต้องให้รัฐบาลนายชวนช่วยโดยการขออำนาจแก้กฎหมายกองทุนฟื้นฟู กลายเป็นขาดทุนซ้ำอีก
จากนั้นก็ให้ ปรส.นำเอาทรัพย์สินสถาบันการเงินออกประมูลขาย โดยห้ามไม่ให้ลูกหนี้ประมูล แต่กลับเอาไปประเคนประมูลให้ต่างชาติเข้ามาเก็บของถูก แล้วไปฟันกำไรขายคืนให้ลูกหนี้ตามเดิม จนในที่สุดก็ขาดทุนรวมเป็นล้านล้านบาท
ผลงานของแบงก์ชาติในยุครัฐบาลนายชวน หลีกภัย ที่มีนายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ เป็นรัฐมนตรีคลัง น่าจะเป็นสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์จำได้ดีไม่ใช่หรือ??? แม้ว่าจะไม่อยากพูดถึงโดยเฉพาะกรณีของ ปรส. ที่ถูกเรียกเป็นการขายชาติ-เป็นการปล้นชาตินั้น จำได้หรือไม่?
ตอนนั้นแม้แต่ สนธิ ลิ้มทองกุล ในนามปากกา พายัพ วนาสุวรรณ ก็ออกมาจวกเรื่อง ปรส. ออกมากะเทาะเปลือก..ธารินทร์ อย่างหนัก ในขณะที่ประชาธิปัตย์ดูเหมือนจะภาวนาให้เรื่องคดี ปรส.ขาดอายุความเสียที
แต่ความจริงก็คือความจริง ว่านี่คือต้นตอของหนี้สิน 1.14 ล้านล้านบาท ที่ประชาธิปัตย์ และแบงก์ชาติ พยายามบอกว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังจะสร้างปัญหา
ทั้งๆที่นี่คือความพยายามที่จะยุติปัญหาการที่ต้องเอาเงินภาษีของประชาชนมาอุดมาโป๊ะนานกว่า 13 ปีเข้าไปแล้วนั่นเอง
จึงไม่แปลกที่ ดร.วีรพงษ์จะทนไม่ได้ จนต้องออกทีวีแฉให้ประชาชนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร โดยเฉพาะเรื่องหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ซึ่งเป็นกองทุนหนึ่งในธปท. ผู้ว่าการธปท. เป็นผู้จัดตั้ง ผู้จัดการกองทุนก็เป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร กรรมการส่วนมากก็มาจากหน่วยราชการและของธปท.
แต่กลายเป็นว่าหนี้จะให้เป็นภาระกับรัฐบาล ซึ่งก็กลายเป็นข้อจำกัดต่อการทำโครงการทั้งหลาย อาทิ โครงการฟลัดเวย์ สร้างเขื่อน ก็ทำไม่ได้ เพราะยอดหนี้สาธารณะค้ำคออยู่ เนื่องจากตั้งไว้ไม่ให้เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ ใช้งบประมาณรายจ่ายทั้งต้นทั้งดอกไม่ให้เกิน 15 เปอร์เซ็นต์ เหลืออีก 30 กว่าเปอร์เซ็นต์จะเอาไปทำอะไรได้
บัดนี้ ธปท.เข้มแข็งแล้ว มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเป็นอันดับที่ 17 ของโลก มีเงินสดอยู่ในมือ 3 ล้านล้านบาท แต่ก็บริหารขาดทุนหมด ทั้งๆ ที่มีอำนาจอยู่ในมือ ทำให้หนี้กลายเป็นหนี้ตลอดกาลอวสาน จึงกลายเป็นข้อจำกัดที่ทำให้เราไม่สามารถสร้างประเทศได้ ติดขัดวินัยการคลังอยู่ ทั้งที่ไม่ใช่รัฐบาลทำกลับมาโยนให้
ตอนนี้ธปท.เข้มแข็งแล้วต้องขอคืนไป เราจะได้กลับมาพัฒนาประเทศและสร้างอนาคตของชาติต่อไป
“สังคมไทยไว้ใจ ธปท. แต่ไม่ไว้ใจรมว.คลัง และนักการเมือง ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเป็นฝีมือธปท.ทั้งสิ้น ถ้าปิดประตู ไม่ให้รมว.คลังทำกำไรได้ แบงก์ชาติก็เป็นรัฐอิสระร้อยเปอร์เซ็นต์แทน และชอบพูดให้สังคมไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีซึ่งขัดกับหลักประชาธิปไตย เพราะคณะรัฐมนตรีและนักการเมืองมาจากประชาชน ส่วนแบงก์ชาติไม่ได้มาจากประชาชนเลยแต่กลับมาพูดไม่ให้ไว้วางใจนักการเมือง จึงควรเปิดประตูไว้บ้างไม่ใช่ปิดประตูตายเลย”
ที่สำคัญ ดร.วีรพงษ์ยืนยันว่า เรื่องนี้เป็นอำนาจของธปท.ที่ต้องไปดูแล เราไม่อยากไปแตะต้อง หากธปท. ไม่ทำอะไรเลย หนี้ก้อนดังกล่าวของกองทุนฟื้นฟูฯ คงเป็นหนี้ไปตลอดกาลอวสาน กินแต่เงินภาษีประชาชนไปเรื่อยๆ ถ้าจะต่อว่าต้องต่อว่าธปท.
นี่คือความจริงที่สังคมต้องฟังกันด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริง จึงจะรู้ว่า ดร.วีรพงษ์พูดบนพื้นฐานของผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน
ในขณะที่นายประสารนั้น แน่นอนว่าในฐานะผู้ว่าแบงก์ชาติก็ย่อมต้องปกป้องแบงก์ชาติเป็นหลัก แต่สำคัญที่สุดนายประสารเป็นคนเก่ง มีความสามารถและฉลาดพอที่จะรู้ว่า หนี้กองทุนฟื้นฟูฯนั้นเป็นภาระก้อนโต ที่หากเลี่ยงได้ งอแงไม่ยอมรับได้ก็ต้องหาทางเลี่ยงให้ถึงที่สุดไว้ก่อน ซึ่งก็ถือเป็นปกติของมนุษย์เรา
แต่ที่หลายคนไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกรณีปัญหาหนี้กองทุนฟื้นฟูฯในครั้งนี้ก็คือ ท่าทีของนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีคลัง ที่ดูเหมือนว่าจะเอนๆไปทางแบงก์ชาติมากกว่าทางรัฐบาล ทั้งๆที่นายธีระชัย ถือเป็นหนึ่งในรัฐมนตรีส้มหล่น ที่ได้มานั่งเก้าอี้สำคัญ ได้โอกาสโชว์ฝีมือในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นมีคนที่อยู่ในข่ายเป็นแคนดิเดตรัฐมนตรีคลังไม่น้อย
แต่นายธีระชัยก็ได้เป็นคนที่เข้าวินในที่สุด ส้มหล่นใส่จนเท้าบวม ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนอิจฉาอยู่แล้ว แต่ทำไมจึงไม่รีบแสดงฝีมือโชว์ผลงาน จนทำให้เวลานี้นายธีระชัยกลายเป็น 1 ในรัฐมนตรี ที่ถูกจับตามองว่าหากมีการปรับครม. ก็มีสิทธิ์ที่จะหลุดโผได้
จริงๆแล้วแค่นายธีระชัย ขานรับเป็นวงเดียวกันเนื้อเดียวกันกับการทำงานของรัฐบาล ร้องเพลงประสานเสียงกันไป ก็จะไม่ถูกตั้งคำถามแล้ว แต่กลับเลือกที่จะร้องเพลงเดี่ยว เลือกที่จะแหกคีย์ จึงทำให้ภาพที่ออกมากลายเป็นที่น่าหวาดเสียวสำหรับตัวนายธีระชัยเอง
นายธีระชัยแค่จดจำว่าครั้งวิกฤตต้มยำกุ้ง รูปภาพหน้าของนายธีระชัยเป็นคนหนึ่งที่ถูกคนชั้นกลางที่บาดเจ็บจากวิกฤตเศรษฐกิจ เอาไปทำเป้าปาลูกดอกหาเงินแถวๆทองหล่อ สุขุมวิท
และนายธีระชัย เป็นคนหนึ่งที่ไม่สามารถจะนั่งทำงานที่แบงก์ชาติได้หลังวิกฤต จึงต้องขยับขยายย้ายมา
นั่งที่ กลต. แทน สิ่งเหล่านี้นายธีระชัยน่าที่จะยังจดจำได้ และรู้ดีว่าที่ผ่านมาแบงก์ชาติทำอะไร และรับ
ผิดชอบกับผลงานเพียงใด
จริงๆในฐานะรัฐมนตรีคลัง นายธีระชัยน่าจะรู้ดีว่า แบงก์ชาตินั้นไม่ควรเป็นอิสระชนิดสุดขั้วอย่างที่ผ่านๆมา แต่ควรจะต้องให้มีการตรวจสอบได้ ให้คานอำนาจได้
เพราะไม่เช่นนั้นคนที่จะแย่จะพังจากเรื่องนี้จะเป็นนายธีระชัยเองนั่นแหละ...ขอเตือน!อย่าได้อยู่ด้วยความประมาท ในโลกของการเมืองที่”ธีรชัย”ยังไม่คุ้นนัก มันมีอะไรที่เหนือกว่าซับซ้อนกว่าสิ่งที่รัฐมนตรีคลังละอ่อนคนนี้คิด! จากนี้ไม่นานท่านอาจถึงเวลา”เก็บฉาก”!!
เราสะกิดเตือนแล้วนะ!

lördag 14 januari 2012

ภาพ นายกยิ่งลักษณ์กับเยาวชนของชาติในวันเด็ก ปี ๒๕๕๕ เราขอแสดงความยินดีกับเยาวชนทั้งหลาย แต่เป็นที่น่าเศ้ราใจที่อนาคตของเด็กเหล่านี้ต้องเกิดมาในยุคที่ประเทศไทยมีการปกครองภายใต้ระบอบเผด็จการราชาธิปไตยอันโหดเหี้ยม ด้วยมาตรา ๑๑๒ ทำให้เยาวชนไร้สิทธิเสรีภาพ ขาดความเป็นธรรม ฉนั้นเยาวชนในสังคมไทยทั้งประเทศก็คงจะไม่มีโอกาสได้แสดงออกถึงความรู้ความสามารถ มีสิทธิเสรีภาพทางการพูด การเขียน การแสดงออกได้อย่างเสรี เพราะถูกกดหัวด้วย ม ๑๑๒ จึงเป็นความจำเป็นที่รัฐบาลของนายกยิ่งลักษณ์จะต้องยกเลิก ม ๑๑๒ อย่างเร่งด่วน เพื่ออนาคตของเยาวชนไทยทั้งชาติ

*สามัคคี มีความรู้คู่ปัญญา คงรักษาความเป็นไทย ใส่ใจเทคโนโลยี่***

Posted Image

Posted Image




Posted Image

Posted Image

Posted Image

Posted Image

Posted Image

Posted Image

Posted Image