torsdag 31 maj 2012

คำทำนายกำลังมาถึงบทสุดท้ายแล้ว ... สิ่งที่อำมาตย์ได้รับจากการกระทำของพันธมิตรและพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้คือความหมดศรัทธาและความเกลียดชังจากประชาชน ดังนั้นประชาชนจงรวมพลังกัน มีสติในการต่อสู้ อย่าประมาท อย่าตกเป็นเครื่องมือของพวกนักฉวยโอกาสและนักการเมืองชั่ว พวกท่านอย่าลืมว่าการต่อสู้ต้องใช้เวลาและมีเพื่อนที่แท้จริงที่มีอุดมการณ์เหมือนกันร่วมมือกันในการต่อสู้ นอกจากนี้พวกท่านต้องศึกษาหาความรู้ประวัติการต่อสู้จากอดีตและเหตการณ์ปัจจุบันมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ อีกอย่างพวกท่านอย่าได้หลงกลลวงของอำมาตย์เพราะความป่าเถื่อนโหดเหี้ยมอำมหิตจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าอำมาตย์ลงมือจริงก็คงเป็นสงครามครั้งสุดท้ายและเป็นการสิ้นสุดของราชวงค์จักรี ประชาชนจะได้เป็นเจ้าของประเทศเสียที


๐ ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้
จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา
คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา
ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา ยามเมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ

เหตุการณ์ไอ้ม๊อบกิ๊กก๊อกกระจอกงอกง่อยเสียงส่วนน้อย กำลังพิสูจน์ทฤษฎีประชาธิปไตยมหาชนพาไปอย่างเข้มข้น การจัดการไอ้ม๊อบขนตูดต้องใช้วิธีย้ายเมืองหลวงรวบรวมกำลัง เพื่อปราบคนชั่วเหล่านี้ให้สิ้นซาก เมื่อแผ่นดินสงบประเทศไทยก็จะมีแต่ความรุ่งเรืองต่อไป

** ภาพประวัติศาสตร์ของคนกล้าคนจริง....เมื่อวันที่ 29 พ.ค.55 **

http://www.youtube.com/watch?v=sdj-a3ASmy8&feature=player_embedded

เชิญดูความเหี้ยของพรรคประชาธิปัตย์ ในรัฐสภาเป็นการกระทำของพวกเศษมนุษย์ในคราบของ ส.ส. พรรคลูกสมุนของ " เหี้ยสั่งฆ่า ห่าสั่งยิง " จากคลิปข้างล่างนี้



http://www.youtube.com/watch?v=EjsErJye804&feature=player_embedded#t=0s

tisdag 29 maj 2012

ถ้าอำมาตย์ต้องการอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร ประชาชนจะจัดให้และคงเป็นวันสิ้นสุดของครอบครัวอาดัมและบริวาร เพราะประชาชนได้รับบทเรียนจากการที่ทหารยิงประชาชนมือเปล่าเขาคงไม่ให้ท่านมาไล่ฆ่าเหมือนที่ราชประสงค์อย่างแน่นอน เราขอส่งกำลังใจมาให้นักต่อสู้ผู้รักความยุติธรรมทุกท่านจงแน่วแน่มั่นคงอย่าได้หวั่นไหวกับอำนาจเถื่อนใดๆทั้งสิ้น เพราะความอำมหิตของอำมาตย์ไม่มีวันจะลดลงมีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ....


การชุมนุมที่สวนลุมของ พธม. หลายพัน แสดงว่า ฝ่ายอำมาตย์เริ่ม "ปฎิบัติการบางอย่างอีก"
ผมว่าจะเขียนเรื่องนี้ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่ติดเรื่องการแถลงข่าวของ ครก. 112 ก่อน เพราะจากการติดตามข่าวของ พธม./สนธิ ลิ้ม ซึ่งชุมนุมกันทีาสวนลุมในอาคารลีลาศที่สวนลุมเมื่อวันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมานั้น ได้ข่าวว่ามีคนเข้าร่วมเต็มอาคาร หลายพันคน
ซึ่งแหล่งข่าวที่ผมได้รับมานั้น เขาบอกว่า มีการขนคนมาจากสระบุรี ของบริษัทปูนแห่งหนึ่ง กับ บริษัทเบียร์ ยี่ห้อหนึ่ง และมีคนของสันติอโศกเข้าร่วมบางส่วน แต่ส่วนใหญ่นั้นมาจากบริษัทปูนแห่งนั้น
เราไม่จำเป็นต้องพูดถึงว่าจำนวนคนว่ามากหรือน้อย หรือเขาเอามาจากไหน
ซึ่งจากข่าวที่ได้มีการระดมคนมา โดยขนมาจาก "ก้นหีบ" ของพวกเขาเองนั้น แสดงว่า "พธม." ได้รับคำสั่งให้ "ปฎิบัติการบางอย่าง" ซึ่งมีการจัดเตรียมทั้งคน และเงินให้ และให้สนธิเข้ามาดำเนินการเพื่อเริ่มต้น
หากเป็นแบบนี้ ผมคิดว่า พวกอำมาตย์นั้น กำลังริเริ่ม "ยุทธการบางอย่างขึ้น" แล้ว การปฎิบัติการเริ่มต้นนี้ เป็นเพียงแต่ขั้นแรกของแผนยุทธการที่ใหญ่กว่าของพวกเขาเท่านั้น เรายังไม่ทราบว่าพวกเขาตั้งเป้าหมาย "ยุทธการนี้" เอาไว้ทีใด
ซึ่งเราอาจะประเมินได้ว่า
1. พวกเขาอาจระดมคนมาเพื่อสร้างอำนาจต่อรองในการแก้ไข รธน. เท่านั้น เพื่อให้พวกเขาสามารถยันการรุกของฝ่ายแดงเอาไว้ได้บ้าง ซึ่งผมเชื่อว เรื่องการยกร่าง รธน.ใหม่นั้น มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะเป็นการ "วางรางฐาน" ระบบของประเทศ ซึ่งจะมีผลอย่างสำคัญในอนาคตในอำนาจของแต่ละฝ่าย ซึ่งจะกระทบถึงโครงสร้างอำนาจของระบอบอำมาตย์อย่างสำคัญทีเดียว มากกว่าเรื่อง 112 ด้วยซ้ำไป ดังนั้น พวกเขาต้องออกมาต่อสู้แน่นอน แต่คงสะกัดไว้เลยคงยาก แต่พวกเขาคงต้องการต่อรองยันเอาไว้ให้ได้มากที่สุด
2. เป้าหมายคือ ล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์
หากเราคิดว่าเขาริเริ่มยุทธการครั้งนี้เพื่อล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เหมือนที่พวกเขาล้มรัฐบาลสมัคร และสมชายมาแล้ว ตรงนี้เราก็คงประมาทไม่ได้ เพราะพวกเขาคงต้องสร้างความวุ่นวายเหมือนช่วงรัฐบาลสมัคร แล้วใช้ตุลาการวิบัติ ออกปฎิบัติการอีกครั้งหนึ่ง
ข้อสองนี้ ภาพความวุ่นวายแบบปี 2551-2553 ของสังคมไทยจะตามมาอีกครั้งหนึ่งอย่งไม่จบสิ้น เหมือน "หมุนหนังกลับมาดูใหม่" วิธีการใหม่ๆ ของพวกเขาคงไม่มี เพราะไม่มีวิธีล้มรัฐบาลได้มากไปกว่ารัฐประหาร กับ ตุลาการวิบัติ และพวกเขาก็ได้วางยาเอาไว้แล้วในกรณีจตุพร
แต่ตุลาการวิบัตินั้นจะให้ผลไม่เหมือนเดิม เพราะฝ่ายทักษิณได้เตรียมการรับมือ ตั้งพรรคใหม่รับเอาไว้แล้ว ทำให้ไม่มีผลถึงกับเปลี่ยนข้างรัฐบาล
แต่ก็คงวุ่นวายกันน่าดู
ผมยังไม่อยากสรุปว่า พวกอำมาตย์จะตั้งเป้าหมายเอาไว้ขนาดไหน ผมเชื่อว่า หากพวกเขาล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้พวกเขาก็จะทำ แต่หากทำยังไม่ได้ ก็เป็นการต่อรองรัฐธรรมนูญใหม่
เรียกว่า พวกเขา "ยังไม่ได้ยอมแพ้"
ก็เหมือนเยอรมันนี ในสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งโดนฝ่ายสัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดี บุกถึงชายแดนเยอรมันแล้ว ในปี ค.ศ. 1944 แต่ในช่วงคริสมาสต์ปลายปี 1944 เยอรมันได้เป็นยุทธการใหญ่ที่เรียกว่า Battle of Bulge ขึ้นตีโต้ สัมพันธมิตร แต่ "น้ำมันรถถังหมดเสียก่อน" การรุกกลับจึงไม่ได้ผล และในที่สุดเยอรมันก็แตกในปี 1945 นั่นเอง
ฝ่ายอำมาตย์ของไทยจะเปิดยุทธการแบบ Battle of Bulge ขึ้นอีกหรือไม่ เราคงต้องรอดูกัน

ศ. ชาญวิทย์ นำทีม ครก 112 ยื่นร่างแก้ไข 112 ที่สภา

   "ชาญวิทย์ เกษตรศิริ" นำทีม "ครก 112" ยืนร่างแก้ไข ม. 112 ที่สภาฯแล้ว"
 

ปล่อยนักโทษการเมืองเถิด ;")สดที่หน้ารัฐสภา  #ศาลอากงมาจากตราด คุณป้าก็มา #112นี่คือคนไทย ที่ไร้ความยุติธรรม ! ;")

วันนี้เวลา 9.00 น. อาจารย์กลุ่มนิติราษฎร์  นักคิด นักเขียน นักวิชาการชื่อดัง นำโดยอาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ดร.สุดา รังกุพันธ์ และประชาชนกว่าห้าร้อยคน ได้รวมตัวกันเดินแถวจากลานพระบรมรูปทรงม้า มายังอาคารรัฐสภา เพื่อยื่นร่างแก้ไขกฏหมายอาญา มาตรา 112 แก่ประธานรัฐสภา โดยมีประชาชนร่วมลงนามทั้งหมดกว่า 4 หมื่นชื่อ

måndag 28 maj 2012

เสวนาปรากฏการณ์ 112 ริกเตอร์ ถึงเวลาสามัญชนลุกยืนตัวตรง ( ตามลิงค์ข้างล่าง )

http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=BlJ0qf30wog

ความยุติธรรมจะไม่มีในระบบศาลไทย ตราบใดที่กษัตริย์จอมเผด็จการอำมหิตภูมิพล ไม่ยกเลิก ม. ๑๑๒ ..... คดีของคุณสุรชัยแสดงให้เห็นว่าศาลไม่มีอำนาจตัดสินคดีได้เองนอกจากตัดสินตามคำสั่งเจ้าของ ม.๑๑๒ เท่านั้น...

คำพิพากษา 5 คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (มาตรา 112) สั่งจำคุกสุรชัยรวมกันทั้งสิ้น 12 ปีครึ่ง

28 พฤษภาคม 2555
โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
ที่มา ประชาไท "พิพากษาจำคุก 2 ปีครึ่ง คดีหมิ่นสถาบันคดีที่ 5 ของ ‘สุรชัย’ รวม 12 ปีครึ่ง"




28 พ.ค.55 ที่ศาลอาญา รัชดา ศาลพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ.3444/2553 ที่สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ (แซ่ด่าน) ถูกฟ้องในความผิดหมิ่นประมาทกษัตริย์ ตามมาตรา 112 จากกรณีขึ้นปราศรัยที่สนามหลวง คดีนี้นับเป็นคดีที่ 5 ในคดีหมิ่นที่อยู่ในชั้นพิจารณาคดีของสุรชัย โดยสุรชัยได้รับการเบิกตัวจากโรงพยาบาลราชทัณฑ์มาขึ้นศาลในวันนี้ และกลับคำให้การจากการปฏิเสธเป็นรับสารภาพ ศาลจึงพิพากษาให้ลงโทษตาม ม.112 จำคุก 5 ปี รับสารภาพลดโทษเหลือกึ่งหนึ่ง เหลือ 2 ปี 6 เดือน และให้นับโทษต่อจาก 4 คดีก่อนหน้า รวมแล้วสุรชัยได้รับโทษจำคุก 12 ปี 6 เดือน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จำเลยได้แถลงต่อศาลว่ายอมรับสารภาพในคดีนี้เนื่องจากได้รับทราบจากรัฐบาลว่า จะเยียวยาผู้ที่ถูกคุมขังด้วยคดีทางการเมืองด้วยการช่วยเหลือด้านการขออภัย โทษ และขอให้ศาล ตลอดจนอัยการช่วยพิจารณาให้คดีนี้ถึงที่สุดโดยเร็ว

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า หลังอ่านคำพิพากษา ผู้พิพากษาได้สอบถามอาการป่วยของนายสุรชัย และบอกให้นายสุรชัยรักษาสุขภาพ

สุรชัยถูกส่งตัวมารักษาที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ตั้งแต่วันที่ 18 พ.ค. เนื่องจากมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และต่อมลูกหมากโต ประกอบกับเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และเคยทำบายพาสมาก่อน เขาระบุด้วยว่า แพทย์ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้ให้ความเห็นว่าไม่ควรอยู่ร่วมกับผู้ป่วยอื่น เพราะอาจติดเชื้อโรคได้ ส่วนการนัดผ่าตัดนั้นต้องรอถึงวันที่ 15 มิ.ย.ตามการนัดของ รพ.ตำรวจ เพื่อฟังผลการตรวจเรื่องหัวใจแล้วจึงนัดผ่านตัดต่อมลูกหมากต่อไป การผ่าตัดคาดว่าจะทำที่ รพ.ราชทัณฑ์เพราะส่งไป รพ.อื่นไม่ได้ นอกจาก รพ.ตำรวจ หากต้องผ่าที่ รพ.ราชทัณฑ์ก็ต้องติดต่อจ่ายเงินประมาณ 8,000 บาท หลังจากนั้นอาจพักรักษาตัวที่ รพ.ราชทัณฑ์ แต่ไม่ใช่ในฐานะผู้ป่วย หรืออาจส่งกลับไปที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ แต่หากเป็นไปได้ อยากไปอยู่ที่เรือนจำชั่วคราว บางเขน

“ถ้าถามว่าอยากอยู่ที่ไหน ตอบว่าบางเขน เพราะสะดวกเรื่องญาติเยี่ยม และได้ให้ความรู้แก่น้องๆ อาหารการกินสะดวก การทำเรื่องขออภัยโทษก็จะได้ร่วมกัน สะดวก การเรียกร้องนิรโทษกรรมกลุ่มบุคคลที่ถูกขังอยู่ในคุกทำได้และทำมาแล้วหลาย ครั้ง เช่น ปี 2532 นิรโทษแก่ผู้นำ พคท.ที่ถูกจับ อาทิ พิรุณ ฉัตรวนิชกุล” สุรชัยระบุ

ด้านนางปราณี ด่านวัฒนานุสรณ์ ภรรยานายสุรชัย ได้กล่าวขอบคุณผู้สนับสนุนเงินค่าผ่าตัดต่อลูกหมากของนายสุรชัยในงานของคณะ กรรมการรณรงค์เพื่อแก้ไขมาตรา 112 (ครก.112) ซึ่งจัดเมื่อวานนี้ (27 พ.ค.) โดยระบุว่าได้เงินบริจาคเป็นเงิน 38,369 บาท


สุรชัย โดนคดีหมิ่นฯ ที่ไหนบ้าง?
คดีปราศรัยเวทีตาสว่าง  อิมพีเรียล ลาดพร้าว
http://freedom.ilaw.or.th/th/case/46
คดีปราศรัยที่เชียงใหม่
http://freedom.ilaw.or.th/th/case/47
คดีปราศรัยที่อุดรธานี
http://freedom.ilaw.or.th/th/case/48
คดีปราศรัย วัดสามัคคีธรรม
http://freedom.ilaw.or.th/th/case/50

(ล่าสุด) คดีปราศรัยที่เวทีนปช.
http://freedom.ilaw.or.th/th/case/49

..นี่คือความอยุติธรรม... เป็นความตกต่ำเสื่อมโทรมที่สุดของสังคมไทยภายใต้ระบอบเผด็จการอำมหิตของกษัตริย์ภูมิพล ได้ขยายไปทั่วทุกวงการไม่เว้นแม้แต่โรงเรียนที่เป็นแหล่งให้ความรู้สร้างเยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของชาติ ก็ยังถูกครอบคลุมด้วยระบอบเผด็จการมีการแบ่งแยกลูกคนจน ลูกคนรวย ลูกผู้มีอำนาจ แล้วเมื่อไหร่สังคมไทยจะมีโรงเรียนดีๆสำหรับให้เด็กทุกคนได้มีโอกาสเรียนพร้อมทั้งให้มีการแข่งขันความสามารถกันอย่างเสรีโดยไม่มีบารมีต่างๆมากดหัวไว้ กฎของธรรมชาติมนุษย์ทุกคนเกิดมามีความเท่าเทียมกันในความเป็นมนุษย์ถ้าเขาได้มีโอกาสพัฒนาความรู้ความสามารถอย่างเท่าเทียมกันแล้วเราจะไม่เห็นความแตกต่างระหว่างลูกคนจนและลูกคนรวย คงแยกไม่ได้ว่าใครเก่งหรือโง่กว่ากัน จากระบอบสังคมไทยอันเน่าเฟะนี้ไม่สงสัยเลยว่าทำไมจึงมีทั้งข้าราชการ นักการเมือง ที่โง่ด้อยพัฒนาหน้าด้านเห็นแก่ตัวขี้โกงเอารัดเอาเปรียบประชาชน ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนในสังคมไทยขณะนี้คือการกระทำของนายอภิสิทธิ นายสุเทพ และนักการเมืองพรรคเผาบ้านเผาเมืองประชาธิปัติย์!


โดย  blablabla

Posted Yesterdy, 07:41 PM
Posted Image

ผ่านกี่ยุค กี่สมัย ก็ได้เห็น
เปิดประเด็น ยัดกัน มันได้เสีย
การศึกษา สมอ้าง ล้างลิ้นเลีย
เงินแป๊ะเจี๊ยะ แป๊ะเจี๊ยะ เจี๊ยะมานาน....

เนื้อนิ่่มๆ ของเด็ก เค๊กหวานหมู
ข้างๆ คูๆ บอกจุนเจือ เพื่อลูกหลาน
เงินไม่มา ฝันก็ล่ม ล้มกระดาน
ต้องซมซาน ก้มหน้า หาที่เรียน....

จึงกลายเป็น เศษอาหาร อันโอชะ
แพ้ชนะ ไม่อยากเล่า เอามาเขียน
พฤติกรรม เราต่างรู้ ดูจนเอียน
คงวนเวียน อีกหลายชาติ อนาถมนุษย์....

การศึกษา ช่วยเสริม เพิ่มความรู้
แต่อุดอู้ ผลประโยชน์ โคตรเลวสุด
จะมีใคร ที่ไหนหรือ คอยยื้อยุด
แล้วช่วยฉุด สร้างมัน ตามครรลอง....

จะกี่ยุค กี่สมัย ใครก็เห็น
เติมลำเค็ญ ทุกข์ทน จนหม่นหมอง
จำรวดร้าว ในหัวอก ผู้ปกครอง
สุดท้ายต้อง จ่ายแป๊ะเจี๊ยะ เกี๊ยะเซี๊ยะไป....

๓ บลา / ๒๘ พ.ค.๕๕
"กำลังใจหาซื้อไม่ได้ แต่ให้กันได้"

โดย bbbbb
Posted Yesterday, 08:11 PM
แป๊ะเจี๊ยะใครส่งให้ ใครกัน
แป๊ะเจี๊ยะใช้เงินมัน ตบหน้า
แป็ะเจี๊ยะดับทางฝัน สิทธิ์ที่ ควรนา
แป็ะเจี๊ยะหยามย่ำท้า ทุเรศล้าง เรื่องกิน

อาจินต์รับเด็กเข้า โรงเรียน
นายหน้านายหนูเพียร เรียกร้อง
วัดครึ่งคนครึ่งเวียน วนแอบ อมนา
ทุจริตเหยียบสิทธิ์น้อง อยากได้ (โรง)เรียนดัง

ได้ฟัง เบื้องหลังข่าว ร้อนผะผ่าว รากเหง้าฝัง
อยากเรียน โรงเรียนดัง เอาเงินยัด อัดเข้าไป

เบี้ยบ้าย เรี่ยรายทาง ทุกแขนข้าง แบ่งกันใช้
แม้เด็ก ดีแต่ไหน โดนเงินไล่ เบียดตกทาง

บางที่ มีดีหรือ เด็กมีชื่อ เพราะกวดขัน
ให้เด็ก พากเพียรหมั่น ผลวัดกัน สอบเข้าม.

เพราะที่ ใน ม.รัฐ มันจำกัด จัดไม่พอ
พ่อแม่ เลยใจฝ่อ ต้องงอนง้อ โรงเรียนดัง

บางคน เรียนเกรดน้อย เลยโดนสอย ไล่พ้นฝั่ง
รักษา ชื่อโด่งดัง เป็นที่ตั้ง เรื่องมีมา

ต้นเหตุ เป็นฉะนี้ จึงเป็นที่ ครหา
แป๊ะเจี๊ยะ ยัดเข้ามา ลูกหลานข้า ต้องได้เรียน

(เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีโอกาสได้คุยกับอดีตผู้บริหารโรงเรียนขนาดกลาง ถึงไส้สนกลในเรื่องแป๊ะเจี๊ยะ แล้วก็ เซ็งมาก ผู้บริหารดีๆก็มีปัญหา

söndag 27 maj 2012

นี่คือความต้องการอันสูงสุดของประชาชน ก้าวแรกของคนวันเสาร์ฯก้าวแรกของ ครก. 112 ก้าวเล็กๆ แต่สั่นสะเทือนถึงขั้น โยกคลอนอาณาจักรยิ่งใหญ่ได้ ขบวนการประชาธิปไตยไทยในสแกนดิเนเวีย ขอเสนอให้กษัตริย์ภูมิพล จงได้ยกเลิก ม.๑๑๒ เสีย ก่อนที่ประชาชนจะหมดความอดกลั้น เพราะแผ่นดินไทยเป็นของคนไทยทุกคนไม่ใช่ของกษัตริย์ภูมิพลและครอบครัวเท่านั้น!


วันนี้ผมไปร่วมฟังการแถลงของ ครก. 112 ที่ ห้องประชุมศรีบูรพา ม.ธรรมศาสตร์ ที่แถลงการผลการณรงค์ล่ารายชื่อเพื่อสนับสนุน 112 ซึ่งครบ 112 วันแล้ว สรุปได้รายชื่อทั้งสิ้น เมื่อ 15.00 น. ของวันที่ 27 พฤษภาคม 2555 จำนวน 39,185 รายชื่อ ซึ่งเป็นการรวบรวมมาจาก ภาคอีสานประมาณ 30,000 คน ภาคใต้ได้น้อยที่สุดคือ 118 คน
จากผลการรวบรวมที่ได้มาค่อนข้างมากนี้ สร้างความแปลกใจให้กับคนจำนวนมาก แม้แต่ตัวผมเอง เพราะข่าวที่ได้ยินบอกเล่ากันมานั้น ยังได้ไม่ครบหมื่นรายชื่อ ซึ่งข่าวนั้นคงเป็นช่วงแรกๆ นั่นเอง แต่เมื่อผลสรุปออกมาถึงเกือบ 40,000 คนนี้ ผมค่อนข้างแปลกใจกับกระแสตอบรับของประชาชนจำนวนมากเช่นกัน
ทำให้ผมนึกได้ว่า ตอนที่ "กลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ" เริ่มปราศรัยที่สนามหลวงเพื่อต่อต้านเผด็จการครั้งแรกในปี 2549 นั้น คนพูดมีแค่เก้าอี้ตัวเดียว คนฟังไม่กี่สิบคน ใช้โทรโข่งพูด ซึ่งหากใครเห็นในวันนั้นแล้ว คงประเมินไม่ได้ว่า มันจะสร้างผลสะเทือนอย่างมหาศาล เมื่อผ่านกาลเวลาไปเรื่อยๆ การลุกขึ้นสู้กับระบอบเผด็จการระบอบอำมาตย์ที่ผ่านมา 6 ปี มีเรื่องราวใหญ่โตมากมาย มีการชุมนุมของคนหลายแสน กระเทือนโครงสร้างทางการเมืองของไทยลึกที่สุดในประวัติศาสตร์ทีเดียว
เหตุการณ์การต่อสู้เผด็จการนี้ เริ่มต้นครั้งแรกมาจากคนยืนพูดบนเก้าอี้ มีโทรโข่งตัวเดียว คนฟังจำนวนไม่ถึงร้อยคนเท่านั้น ตามทฤษฎี Chaos Theory เรียกว่า Butterfly Effect คือ ปรากฎการณ์ใด ๆ แม้เล็กๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผลของมันจะใหญ่โตเกินคาด
การรณรงค์ล่ารายชื่อ เพื่อแก้ไข ม. 112 นี้ ผ่านมาได้ 112 วัน เริ่มจากกลุ่มคนเล็กๆ ที่สะเทือนมาจาก "การจับอากง และคำพิพากษาจำคุก 20 ปี" แค่ ไม่ถึงสี่เดือน มันก็สะเทือนขนาดนี้
คิดดูว่า ผลของมันในอีก 1 ปี 2 ปี หรือ 5 ปี จะรุนแรงแค่ไหน ผมว่ามันสั่นสะเทือนแรงพอๆ กับ หรือมากกว่า "วันเริ่มต้นของคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ"
นี่คือ การเริ่มต้นของสิ่งที่ใหญ่กว่า จะเรียกว่า ปฎิวัติประเทศไทย หรือไปถึงจุดไหนไม่มีใครทราบ แต่ผมเชื่อไม่มีอำนาจใด สะกัดกั้นมันได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะลากกองทัพ ลากศาล ลากม็อบพันธมิตรมาต่อต้านก็ตาม
จะลดผลสะเทือนของมัน ต้องลดที่เงื่อนไข ไม่ใช่การต่อต้าน ต้องแก้ไข 112 เพื่อทอนกระแส
ไม่อย่างนั้นคลื่นมันจะขยายตัวไปเรื่อยๆ จนโค่นอะไรต่อมิอะไรแน่นอน ยิ่งต้านจะยิ่งโต และผมเชื่อว่ามันจะไม่หยุดแค่ 112 เพราะยิ่งต้านยิ่งสร้างเงื่อนไขให้เจ็บแค้น กลายเป็นเงื่อนไขต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่จบ
วันนี้ แค่เป็นวันต้นๆ ของการต่อต้าน 112 เท่านั้น
แต่ผมไม่เชื่อว่า ระบอบอำมาตย์จะมีสายตาที่ยาวไกลพอที่จะเห็นแนวโน้มใหญ่ข้างหน้าได้
พวกเขาตัดสินใจตามความดื้อและสัญชาติญาณ
6 ปีมานี้ เราจึงเห็นการ "โค่นทักษิณในวันที่ 19 กันยายน 2549" พัฒนามาเป็นแก้ไข 112 ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ ในสังคมซาบซึ้งแบบประเทศไทยนี้
แต่มันได้เกิดขึ้นแล้ว คิดหยุดมันนั้นอย่าหวังเลยว่าจะสำเร็จ!

"‘ครก. 112’ แถลงรณรงค์ครบ 112 วัน เตรียมยื่น 3 หมื่นชื่อต่อรัฐสภาอังคารนี้"
คำเกิ่ง แห่งทุ่งหมาหลง

lördag 26 maj 2012

ฉากสุดท้ายของ" เหี้ยหง่อยอำมหิตสี่ขาให้หมาจูง " กำลังจะสิ้นฤทธิ์...

ขุนเขาบอก :
มียศย่อมเสื่อมยศมีลาภย่อมเสื่อมลาภ....เฮ้อ
ปลายเคียวที่เกี่ยวข้าว ...คมของเจ้าเคล้าสนิม
วิไลประไพพิมพ์ ...ขุยสนิมกร่อนเนื้อใน
นาเดียวเคยเกี่ยวรวง ...สังขารล่วงเกี่ยวไม่ไหว
แปลงนาแสนอาลัย ...รวงไสวบัดนี้รวย
ตะวันลงทรงกรดกั้น ...อัศจรรย์กั้นเวหา
ผุดพรายสายธารา ...สังขารข้าเริ่มรารวย
เยื้องกายร่างกายสั่น ...สุริยันกั้นเมฆสวย
จรดลฝนปรายโปรย ...เพื่อหาโหยความภัคดี
เกี่ยวไกวไม่ไหวแล้ว ...เรี่ยวแรงแผ่วแจวไม่ไหว
เรือเลี้ยวเกี่ยวรวงไป ...คะนึงได้ในทฤษฎี
มีเกิดย่อมมีดับ ...อาทิตย์ลับ....รัศมี
ความตายกรายชีวี ...ไพร่ผู้ดีนี้เท่าเทียม
อ่าองค์ทรงเครื่องยศ ...ศรัทธาลดยศเสื่อมถอย
ดั่งไม้ใกล้ฝังลอย ...บุญเหลือน้อยต้องคอยเจียม
เคยมาห้าหกแสน ...บัดนี้แค้นแสนจะเขียม
ฝนพรำนำฝนเทียม ...ใจโหด[xxx]มฝนเทียมคลาย
สุดท้ายสลายรวง ...ปลดโซ่บ่วงรวงข้าวเขียว
ยอมคลายปลายด้ามเคียว ...ดุ่มเดินเดียวอย่างเดียวดาย
ศิโรราบกราบธรณินทร์ ...บุญข้าสิ้นแผ่นดินสลาย
ศรัทธา...ข้ามลาย ...ขอยอมตายเกลือกปฐพี....................มียศย่อมเสื่อมยศมีลาภย่อมเสื่อมลาภ....เฮ้อ

แม้นจะ...ระส่ำไปบ้าง แต่..ภารกิจยังไม่สิ้นสุด ! ในการต่อสู้อำนาจที่ใช้ในการต่อรองต่างๆ นอกจากอำนาจความมั่นคงทางการเงิน กองกำลังแล้ว ยังมีอำนาจที่สำคัญกว่าสองอำนาจนั้นคืออำนาจของพลังมวลชนที่ใช้เป็นเครื่องตัดสิน ดังนั้นมวลชนอย่าได้ท้อถอยจงแน่วแน่ยึดมั่นในอุดมการณ์ต่อสู้เรียกร้อง เพื่อความถูกต้องยุติธรรม เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง จากอดีตจนถึงปัจจุบันมีนักต่อสู้รุ่นแล้วรุ่นเล่าจากทุกภาคของประเทศไทยได้มีการลุกขึ้นต่อสู้กับระบอบเผด็จการอำมหิตถูกปราบปรามเสียชีวิตมากมายแต่นักต่อสู้ก็ไม่ได้ท้อถอย การต่อสู้ได้สืบทอดมาตลอดจนถึงปัจจุบัน ฉะนั้นให้มวลชนจงได้ศึกษาหาความรู้จากบทเรียนในอดีตแล้วนำมาแก้ไขหาแนวทางให้เหมาะสมกับปัจจุบันในการต่อสู้ สถานการณ์ครั้งนี้ได้ชี้ให้มวลชนเห็นว่าใครคือผู้รักประชาธิปไตยที่แท้จริง....ดังคำว่า...หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน...


ขณะนี้ ผมเชื่อโดยความสุจริตใจว่า
พรรคฯ ผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ฝ่ายตรงข้าม แกนนำ แกนนอน เซลกลุ่มเล็ก กลุ่มกลาง กลุ่มใหญ่ ในพรรคและกลุ่มมวลชนรับทราบ "ปฏิกริยา แรงตกเท่ากับแรงสะท้อน" แล้ว
การกำหนดทิศทาง ยุทธศาสตร์ บ้านเมืองและการต่อสู้จะเดินไปอย่างไรในอนาคตอันใกล้ 1 ปีนับจากนี้ จะเป็นการพิสูจน์
ผมยอมรับว่า แรงสะท้อนจากการเขียนบอกความรู้สึกในบอร์ดการเมืองที่ผ่านมาสองสามวันนี้
มีผู้ที่รู้จักชอบพอกันเป็นการส่วนตัว โทรเข้ามาหาเป็นจำนวนมาก
ทั้ง "เห็นด้วย " "เห็นต่าง" "ปลอบใจ" แสดงความคิดเห็นมากน้อยแตกต่างกันไปบ้างก็แล้วแต่ บุคลิค ลักษณะ แนวคิดของสังคมปัจเจก
แต่ทุกคนจะสรุปเป็นเสียงเดียวกันว่า ให้สมัครสมานสามัคคี รวบรวมกันไว้ให้เป็นปึกแผ่นเพื่อรอดูท่าที
ผมทราบมาเล็ก ๆ ว่า ศึกในภายภาคหน้าในเวลาอันใกล้นี้ใหญ่หลวงยิ่งนัก กับ 7 มาตรา ใน พ.ร.บ.ปรองดอง ที่กำลังจะนำเข้าในสภา (ในเวลาอันใกล้)
พี่น้องที่รักทั้งหลาย
เขายังอ่านเราไม่ขาด และยังประเมินเราไม่ออก แค่คิดว่าเราจะหันหลังให้ แล้วเปลี่ยนสี ผมขอแจ้งพวกท่านทั้งหลายมายังกระทู้นี้เลยว่า นาทีนี้ไม่มีเปลียนสี(สัญลักษณ์) อุดมการณ์ไม่เคยเจือจาง ความรู้สึกร่วมมิได้จางหาย จนกว่าจะตายจากกันไปข้างนึง
แค่อาจจะทบทวนบางยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหว ว่ามันไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาล หรือบางทีอาจต้องช่วยรัฐบาล กดดันอะไรบางสิ่งบางอย่าง
ตอนนี้ เรายังเหลือเพื่อนที่อยู่ข้างหลัง ที่ยังลำบากยากเข็ญในเรือนจำ หากการปรับ ครม.ครั้งนี้ มีการเปลี่ยนแปลง รมต.ยุติธรรม ....และเร่งรัดท่าทีในการให้สิทธิในการประกันตัวสู้คดี ก็ถือว่ายังมีเยื่อใยต่อกัน
ถ้าจะให้วิเคราะห์ตอนนี้ กองทัพยอมทุกอย่าง ถ้าไม่แตะต้อง กำลังพล และผู้นำเหล่าทัพบางคน ให้ต้องรับโทษในการปราบปราม และให้เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน แบบแบ่งเค๊กกันทุกภาคส่วน คืนความชอบธรรมให้ ทหารแตงโมบางส่วน และยังคงเอาพวกพ้องบางส่วน ให้ดำรงค์ตำแหน่งสำคัญต่อไป
ส่วน พ.ร.บ. ปรองดอง จะจุดม๊อบต้านติดหรือไม่ เป็นเรื่องของวาสนา...ว่าจะฆ่ากันตายอีกรอบมั้ย (ไม่มีใครเดาถูก) งานนี้ มาร์คกับสุเทพ ได้สองเด้ง อาจรอดได้ด้วย อานิสงค์ของ พ.ร.บ.นิรโทษ
วันนี้แทบจะยืนยันได้เลยว่า มวลชนคนเสื้อแดง หันหลังให้กับประชาธิปัตย์ แบบไม่เผาผีกันอีกแล้วในชาตินี้
แต่ใช่ว่า จะกลับมาเทิดทูนพรรคเพื่อไทย(โดยไม่ฟังอะไรเลย)เหมือนเดิม
งานทางด้านการเมืองนั้น การรวบรวมมวลชนให้ลุกขึ้นมาต่อสู้ร่วมด้วยจำนวนมหาศาลว่ายากแล้ว แต่การรักษา ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันไว้ตลอดเวลานั้น ยากยิ่งกว่า
อย่าได้กลัวว่าผมจะหันหอกมาทิ่มแทงเพื่อนร่วมรบ(เพราะมันไม่เคยมีอยู่ในหัว)
อย่าได้กลัวว่ามวลชน จะกลับไปเลือกอีกฝั่ง เพราะมันเลยจุดปรองดองกับไอ้เลือดเย็นพวกนั้นไปนานแล้ว
วันนี้ ยังมีโอกาส มีจังหวะ และหนทางที่จะปรับวิธียุทธศาสตร์ ในการก้าวเดินลงมือทำซะ อย่าได้ชักช้าต่อไปอีก
ผมเคยเขียนไว้ครั้งหนึ่งแล้วว่า เมื่อท่านพูดเราจะฟัง แต่เมื่อท่านลงมือทำเราจะเชื่อ
ท่านเดินมาถึงทางแยกที่สำคัญแล้ว จะอยู่ยืนยงเป็นที่พึ่งของ มวลชนอย่างแท้จริง หรืออยากเป็นพรรคเฉพาะกิจ ก็เลือกทางเดินเอา

fredag 25 maj 2012



ราชินีของปวงชนชาวไทยที่นิยมความมันส์






ราชินีเสด็จถึงเมืองไทยแล้วเมื่อวันที่ 23 พ.ค. โดยมีพสกนิกรชาวไทยมาให้การรับเสด็จมากมายทีสนามบินสุวรรณภูมิ ราชินีพระราชทานให้พสกนิกรเข้าเฝ้าแบบไม่ต้องเลื้อยคลานในวันที่ 25 พ.ค.นี้ที่สนามกีฬาราชมังคลา พสกนิกรชาวไทยที่จงรักภักดีและนิยมความมันแบบสุด ๆ ไม่ควรพลาดโอกาศความแบบนี้

อีกที่สำหรับคนที่ไม่ชอบความมันส์ วันที่ 25 พ.ค. มีการรับเสด็จนายหลวงและญาติ ๆ ที่จังหวัดอยุธยา งานนี้จังหวัดอยุธยาจัดเต็มตามแบบเศรษฐกิจพอเพียงของนายหลวง มีการแสดงมากมาย ทั้งขบวน ทั้งเวที ทั้งเต็น ทั้งรำ ภาพข่าวที่นายสรยุทธเอามาออกทีวีดูแล้วไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นการเสด็จไปเยือนทุ่งนา ดูแล้วเหมือนงานคอนเสิร์ตคาราบาว แต่งานคอนเสิร์ตคาราบาวคนดูเขาเติมใจเสียเงินซื้อตั๋วไปดู แต่คอนเสิร์ตที่ทุ่งมะขามหย่องในวันพรุ่งนี้เอาเงินจากภาษีของประชาชนยากจนมาจัดงานรับเสด็จ

นอกจากนี้นายสรยุทธยังบอกด้วยว่ามีข่าวดีเพราะงานนี้โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยจะถ่ายทอดสดทุกช่องเพื่อบังคับให้คนไทยต้องฝืนทนดูคอนเสิร์ตที่ทุ่งมะขามหย่อง พี่น้องประชาชนที่เบื่อเผด็จการถ่ายทอดสดของโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย อย่าลืมปิดที่วีพรุ่งนี้ ประหยัดค่าไฟ ช่วยลดภาวะโลกร้อนด้วย

"กรุงเทพฯ ดุจเทพสร้าง เมืองศูนย์กลางการปกครอง วัด วัง งามเรืองรอง เมืองหลวงของประเทศไทย"

ภาพนี้เหมาะกับคำขวัญของกรุงเทพฯ
Posted Image
"กรุงเทพฯ ดุจเทพสร้าง เมืองศูนย์กลางการปกครอง วัด วัง งามเรืองรอง เมืองหลวงของประเทศไทย"

๒๕ พ.ค. ๒๕๕๕ หัวหน้าคณะลิเกลวงโลก พร้อมคณะลิเกได้ไปเปิดการแสดงลิเกหลอกลวงประชาชนในท้องเรื่อง " ครอบครัวหรรษา " ตอนนี้มาในชุดจอมเผด็จการอำมหิตตัวจริง นักฆ่าแห่งกรุงรัตนโกสินธ์ เริ่มด้วยการส่งพี่ชายไปสวรรค์ เมื่อวันที่ ๙ เดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ เป็นเวลา ๖๐ กว่าปีมาแล้ว ทั้งครอบครัวแสดงได้แนบเนียนมากเพราะมีความชำนาญ โดยใช้เงินงบประมาณแผ่นดินอย่างมากมาย ในการเตรียมการจัดเวที และ จ้างคนไปดูอีกเพื่อให้คณะลิเกคงอยู่ในความนิยมของคนดู เพราะ ลิเกคณะนี้กำลังจะลาโรงแล้ว ! การแสดงครั้งนี้มีขึ้น ณ. ทุ่งมะขามหย่อง จังหวัดอยุทธยา ...

โดย ตูดหมีก
Posted ImagePosted Image 

โดย อากง.
อะ เห้ยไม่อยากจะคุยในหลวงคือจอมทัพไทย ดูยังน่าเกรงขรามขนาดนี้ ...อริราชศัตรูเห็นพระองค์รับรอง หนีหางจุกตูด...เห็นแล้วว่าพระองค์ทรงพระอานุภาพมหาศาลยิ่งนัก พระเจ้าค่า..หากเกิดศึกสงครามจงเชื่อเถิดว่าพระองค์จะเป็นแม่ทัพหน้าออกลุย ข้าศึกแบบไม่หวั่นเกรง..ทรงพระเจริญจอมทัพไทย
แต่เป็นเรื่องประหลาด นายสุเทพ  เทือกสุบรรณ เคยบอกกับทูตอเมริกันที่เมืองไทยว่า ภูมิพลเป็นโรคจิต ...!

จดหมายถึงทักษิณ

เรียน ทักษิณ ชินวัตร
เรื่อง ขอทำความเข้าใจจุดยืนและอุดมการณ์ของเสรีชน
ตามที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้โฟนอิน เข้ามาพูดคุยกับมวลชนคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2555 โดยสรุปใจความสำคัญได้ว่า หากมวลชนไม่ยอมลืมมันซะ (ปรองดอง) ท่านจะไม่สามารถกลับบ้านได้ นอกจากนี้ ท่านยังได้ขอบคุณ คนเสื้อแดงที่นำพาท่านมาส่งจนเกือบถึงจุดหมาย โดยท่านจะเดินทางต่อไปเอง ขอให้เราสิ้นสุดกันเพียงนี้ ที่ผ่านมาถือว่าขอบใจ ดังความละเอียดแจ้งแล้วนั้น
ผมนั่งทบทวน และพิจารณาวัตถุประสงค์ การโยนหินถามทางในครั้งนี้ ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ประการหนึ่งก็เข้าใจในชะตากรรมว่าคุณทักษิณ ลำบากยากเข็ญในการใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ
ประการหนึ่งก็เข้าใจในสัจธรรมของการ "รบไปคุยไป" อย่างถ่องแท้ว่า ต้องมีสักวัน หากการเจรจา บรรลุวัตถุประสงค์ทั้งสองฝ่าย ต่างฝ่ายต่างถอยมาคนละก้าว ทุกฝ่ายก็ยังคงอยู่กันอย่างมีความสุข
แต่การบรรลุวัตถุกระสงค์การเจรจา ได้ราวกับมันไม่เคยมีการตาย การสูญเสีย เกิดขึ้นมาแม้แต่น้อย ในเหตุการณ์ขัดแย้งด้านการเมืองการปกครองที่ผ่านมา ผมอยากเรียนกันตามตรงว่า "ผมรับไม่ได้"
ผมอยากให้คุณทักษิณ จำแนก ภาพรวมของมวลชน ที่หล่อหลอมกันมาเป็นทะเลมวลชน ในระยะเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา ด้วยความละเอียด และทำความเข้าใจอย่างแท้จริงสักนิด การต่อสู้ การเรียกร้อง ยอมสละแม้กระทั่งชีวิตของพวกเขา "มันไม่ใช่อยู่ที่ตัวคุณทักษิณเป็นศูนย์กลาง หรือเสียสละให้ได้ทุกอย่าง เพื่อให้คุณทักษิณกลับประเทศแต่เพียงอย่างเดียว"
ซึ่งพอจะจำแนกมวลชนได้ดังนี้
1. เห็นใจในความอยุติธรรมที่คุณทักษิณได้รับ แต่มันไม่ใช่ สู้เพื่อตัวคุณและครอบครัวเพียงอย่างเดียว การทวงคืนความเป็นธรรมให้คุณทักษิณ ถือเป็นยุทธศาสตร์ในเชิงสัญลักษณ์ร่วม ประการหนึ่งเท่านั้น
2. ต่อต้านการยึดอำนาจ ที่อยู่คู่ประเทศนี้มาอย่างยาวนาน เราต้องการปฏิเสธ การใช้อำวุธเป็นคำตอบสุดท้ายทุกรูปแบบ ที่ประเทศไดโนเสาร์ นี้ใช้มาอย่างยาวนาน ซึ่งรัฐที่เจริญแล้วในนานาอารยประเทศ ไม่มีใครใช้วิธีการนี้ เพราะ มันสามารถพิสูจน์ได้ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ว่า มันรังแต่จะทำให้ประเทศล้าหลัง และอยู่ในวังวนแห่งความไม่แน่นอน ไม่ว่าจะทาง การเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคม
3. แต่การต่อสู้ด้วยชีวิตในครั้งนี้ พวกเราสูญเสียอย่างคาดไม่ถึง (คนเสื้อแดง ยามลงสนามรบไม่ว่าบนท้องถนน หรือโซเชียลเนทเวอร์ค เราจะถือว่าเราเป็นพี่น้องกัน) ตลอดระยะเวลา 5-6 ปีที่ผ่านมา เรา(คนเสื้อแดง) เป็นฝ่ายโดนกระทำ เราเป็นฝ่ายสูญเสีย เราต้องเอาชีวิต เลือดน้ำตา แลกกับการคืนอำนาจให้กับเรา ไปจำนวนมากมายมหาศาล นับแต่ ลุงนวมทอง นายนรงค์ศักดิ์ ฯลฯ จนมาถึง 91 ศพ เหตุการเช่นนี้ ไม่ใช่พึ่งจะเกิด มันเกิดมาตั้งแต่ 6 ตุลาคม 2519 ด้วยซ้ำ
แล้วเหตุใดคุณทักษิณ จึงจะกวาดมันยัดไว้ใต้พรมแดงอีก เฉกเช่นกับการซุกไว้ใต้พรมในอดีต ทั้ง ๆที่ประชาชนค่อนประเทศก็รับรู้แล้วว่า ฆาตกร และผู้อยู่เบื้องหลัง มันก็ไอ้คนชุดเดียวกันทั้งนั้น
ทั้ง ๆ ที่มันไม่ได้เกี่ยวกับ ตัวคุณทักษิณ และครอบครัวคุณทักษิณแม้แต่กระผีกเดียว
4. นอกจากนี้ พี่น้องของเรา ที่ยังคุงติดคุกอยู่ในเรือนจำ ในฐานะ ผู้ถูกกล่าวหา ยังไม่ได้รับสิทธิการประกันตัวสู้คดี แต่ท่านก็มิได้นำพาในการพาพี่น้องของเราออกมาจากคุก หลายกลุ่ม หลายชุมชน หลายจังหวัด เราเรียกร้องมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ผลก็คือ ได้รับการประกันเฉพาะแกนนำ ทำให้เกิดคำถามอยู่ตลอดเวลาว่า คุณทักษิณจริงใจ กับมวลชนแค่ไหน
5. จริงอยู่ ชีวิตที่สูญเสียไปแล้ว ไม่สามารถที่จะนำพามันกลับมาได้ แต่ความรู้สึกทางใจ เงินเยียวยาไม่ใช่คำตอบ ทั้งหมด การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ฆาตกรจักต้องได้รับการลงโทษ อย่างสาสม มิใช่ลืมมันซะ เพื่อให้ชาติบ้านเมืองเดินหน้าไปได้ แบบหวาดระแวง และมีความเจ็บช้ำอยู่เต็มหัวอกของมวลชน
6. สรุป คุณทักษิณ อย่าเข้าใจผิดว่ามวลชนเป็นของตาย คุณทักษิณอย่าเข้าใจผิดว่า การต่อสู้ด้วยเงินในการนำพามวลชนบางส่วน คือสูตรสำเร็จและสามารถเคลมได้ว่า พวกเราหรือมวลชน เป็นคนที่คุณทักษิณสามารถสั่งซ้ายหันขวาหันได้อย่างไม่ยากเย็น
คุณทักษิณก็รู้ว่า ไม่ว่าจะใช้เงินเท่าไหร่ก็ไม่สามารถจ้างให้คนวิ่งหาลูกปืน กระบอง ของฝ่ายปราบปรามได้โดยไม่รู้เจ็บรู้ตาย
คุณทักษิณก็รู้ว่า แนวร่วมที่เรียกร้องในกระบวนการของคนเสื้อแดง มีปะปนอยู่มากมายมหาศาล และหลาย ๆ คนก้าวข้ามผ่านคุณทักษิณ และแกนนำไปมากโขแล้ว
แล้วเหตุใด จึงกล้าโฟนอินเข้ามาทำร้ายความรู้สึก กับอุดมการณ์ของเสรีชนได้ขนาดนี้
ผมอยากสะกิดบอกคุณทักษิณในวันนี้ว่า หากวันหนึ่งวันใด มวลชนพิสูจน์ได้แน่ชัดว่า คุณทักษิณไม่จริงใจ แล้วหันหลังให้
วันนั้นอำนาจต่อรอง ของคุณจะหมดไปทันที พวกมันจะบดขยี้พวกคุณอย่างไม่ลังเล และเมื่อถึงวันนั้น จำนวนมวลชนที่จะออกมาต่อสู้ ตามที่คุณและพรรคพวกร้องขอ จะน้อยลงจนคุณคาดไม่ถึง
คุณสามารถกลับบ้านได้เมื่อถึงเวลา คุณสามารถพิสูจน์ตัวเองได้ในกระบวนการยุติธรรมที่คุณยอมรับ แต่กรุณาอย่าเอา เลือด เนื้อ ชีวิต และอุดมการณ์ของเสรีชน ไปแลกกับสิ่งที่คุณต้องการ
เพราะพวกเราไม่ใช่ทาสของคุณ พวกเราไม่ได้ต่อสู้เพื่อตัวคุณ แต่เราสู้ด้วยอุดมการณ์ที่อยู่ในจิตวิณญาณของพวกเรา
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ
"สายลมรัก"
๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕

เรื่องราวของพรรคควายๆ...... พรรคควายๆนี้สามารถดำรงค์คงอยู่ได้เพราะได้รับการสนับสนุนจากจอมโจรเผด็จการอำมหิตตาเดียว ... เมื่อไหร่หัวหน้ามันสาปศูนย์ไปจากโลกนี้แล้ว พรรค ควายๆนี้ก็ต้องสาปศูนย์ไปด้วยกัน เพราะมันเกิดมาพร้อมๆกันและให้ความสนับสนุนเกื้อกูลกันมาตลอด.

ขุนเขาบอก

เรื่องราวของพรรคควายๆ......

เอาหูไปนา เอาตาไปไร่
ยังทนไม่ไหว พรรคไอ้หน้าหมี
เลี้ยงไม่เคยโต โง่ได้โง่ดี
โชว์โง่อีกที “ ปรับครม.เงา ”

ทำกันไปได้ ไพร่มันยิ้มเยาะ
มันน่าหัวร่อ คอ.รอ.มอ.งอ.เหงา
มันไม่มีกึ๋น เป็นมึนเลยเรา
รมต.งอเงา นย.เงา ...เอาเข้าไป

เงินงบประมาณ บริหารประเทศ
ประชาธิเปรต เกิดกิเลส “ฤาไฉน”
ยักแย่ยักยัน กีดกันกันทำไม
หรือคุณอยากได้ เอาไปโกงกัน

เงินแปดแสนล้าน ผลาญกันวายวอด
ปอ.ปอ.ชอ.ตาบอด มดมอดจึงสุขสัน
แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ เงินคนไทย “ ช่างหัวมัน “
ไม่ใช่เงิน “ พ่อของมัน “ โกงกินกันทุกนาที

เซ็ง........
ตัวเตี้ยใส่แว่น ซื้อแหวนซื้อบ้าน
หน้าดำเหมือนถ่าน สันดาน “ ขี้หลี “
ศิริโสภา คนบ้าออกทีวี
เทพไผทใจกาลี ชอบเสียดสีไอ้นี่วอน

ไอ้โย่งตัวยาว เป็นข่าวเรื่องเมีย
บุญรอดชอบเลีย นิสัยเสียชอบสอน
อีนางพยาบาล ปากเราะรานปานละคร
ไอ้คนนี้ไม่ถาวร ปากเป็นหนอนอ้อนน้ำคำ

เบื่อ.......

ลูกนายหัวกลัวถุงยาง รู้ทุกอย่างเรื่องหว่างขา
นักเลงใหญ่วัชรา ดุเหมือนหมาดูน่าขำ
หมอวาลงโกงของแจก ปากปลาแดกแหกของดำ
ชอบโกหกเป็นประจำ ปลาบู่ดำ ชาวานนท์

เมื่อไหร่พรรค “มันจะวาย” หรือตายๆให้หมดโลก
ช่างสรรหามาโกหก สกปรกรกรูขน
เป็นขี้ไคลใต้กางเกง แสนเส็งเคร็งจริงหนอคน
หัวหน้าพรรคมึงอีกคน สมควรโดนซ้น ต......น แดง.........เรื่องราวของพรรคควายๆ......

torsdag 24 maj 2012

รัฐบาลอังกฤษเรียกร้องให้รัฐบาลไทยทบทวน ม. ๑๑๒ แต่รัฐบาลไทยไม่ยอมแตะต้อง เพราะอะไร? หรือว่ารัฐบาลไทยเป็นฝุ่นอยู่ใต้ตีนภูมิพลเจ้าของ ม. ๑๑๒ ...

รัฐบาลอังกฤษแสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับการตายของ "อากง" พร้อมเรียกร้องให้มีการทบทวน ม.112

โดยทีมข่าวไทยอีนิวส์
23 พฤษภาคม 2555

คุณแอนดรูว์ สปูนเนอร์ ได้ลงข่าวล่าสุดเกี่ยวกับกรณีที่มีการตั้ังคำถาม 4 ข้อ ใน สภาอังกฤษถึงท่าทีของรัฐบาลอังกฤษที่ควรมีต่อกรณี "อากง"  เมื่อวานนี้ (22 พ.ค.) รัฐบาลอังกฤษได้ตอบคำถามดังกล่าวอย่างเป็นทางการ โดยสรุปว่ารัฐบาลอังกฤษไม่สบายใจกับกฏหมายฉบับดังกล่าว การคุมขังที่ไม่เหมาะสมกับคนที่โดนข้อหา 112 รวมถึงสภาพแวดล้อมทั่วไปในการปฏิบัติต่อผู้คุมขัง
คุณแอนดรูว์ ตั้งข้อสังเกตุหลังท่าทีของอังกฤษที่ชัดแจ้งดังกล่าวว่า ตอนนี้เหลือมหาอำนาจสหรัฐหัวเดียวโด่เด่ที่ยังไม่ได้แสดงท่าทีกับประเทศไทย ต่อการละเมิดสิทธิมนุษย์ชนดังกล่าว โดยให้เหตุผลในเชิงที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ทางการทหาร
สำหรับท่าทีของรัฐบาลอังกฤษต่อกรณีอากงคือ "รู้สึกเป็นกังวล" กับการกล่าวหาและโทษคุมขังที่มีถึง 20 ปี ในข้อหาหมิ่นฯ โดยแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกับสหภาพยุโรปในการให้ความสำคัญกับ หลักนิติธรรม, ประชาธิปไตย และให้มีการเคารพสิทธิมนุษย์ชน
ท่าทีของรัฐบาลอังกฤษต่อกฏหมายหมิ่น 112 คือ รัฐบาลอังกฤษได้เฝ้าจับตาอย่างใกล้ชิดถึงการพัฒนาเสรีภาพในการแสดงออกใน ประเทศไทย และเป็นกังวลต่อจำนวนคดีหมิ่นฯที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งในด้านการบังคับใช้กฏหมายดังกล่าวและโทษการคุมขังที่ยาวนานในคดีที่ผ่าน มาหลายคดี
นอกจากนี้สถานทูตอังกฤษในกรุงเทพฯยังได้จับตาคดีหมิ่นสำคัญๆ และคดีที่เกี่ยวเสรีภาพในการแสดงออกในเคสที่เกิดขึ้นบนอินเตอร์เน็ต พร้อมทั้งได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทยรับประกันให้มีการใช้หลักนิติธรรมอย่าง ไม่แบ่งแยก และรักษาหลักพื้นฐานของสิทธิมนุษยชน
คุณแอนดรูว์ได้ย้ำว่ารัฐบาลอังกฤษได้แสดงการเรียกร้องอย่างชัดเจนให้ประเทศไทย "ทบทวน" กฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยอ้างว่า

"ในเดือนตุลาคม 2011 ที่คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติที่กรุงเจนีวา, สถานการณ์ด้านสิทธิมนุษย์ชนในประเทศไทยได้ถูกหยิบยกมาทบทวน ประเทศอังกฤษได้ออกโรงอย่างแข็งขัน ซึ่งรวมไปถึงการแสดงความกังวลเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงออก โดยเฉพาะเจาะจงในการแนะนำให้รัฐบาลประเทศไทย ทบทวน กฏหมายหมิ่นพระบรมราชานุภาพ"


คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติที่กรุงเจนีวา 

"อย่าปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ" เปิดเผยความจริงที่เกิดขึ้นในระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ พ.ค ๒๕๕๓ ปรองดองกับความยุติธรรม ที่พวกรัฐบาลปูดอง เอาหูทวนลมทำเป็นทองไม่รู้ร้อน เอาตัวรอดโดยการยอมจำนนให้กับหัวหน้าฆาตกรตาเดียวจอมเผด็จการอำมหิตแห่งยุค

เปิดฟังคลิปข้างล่าง ....
 อาจารย์ เวียงรัฐ เนติโพธิ์...ศปช


onsdag 23 maj 2012

เอาพี่น้องเราคืนมา ....

ท่านครับ..งานลำรึกถึงอดีตเมื่อสองปีที่แล้วที่ราชประสงค์ พวกผมมาเพื่อย้อนอดีตอีกครั้งครับท่าน พวกผมไม่ได้มาเพื่อให้ท่านบอกว่า “เสียสละเพื่อส่วนรวม”
ท่านครับ ณที่แห่งนี้ พวกเรากินด้วยกัน นอนด้วยกัน เหนื่อยด้วยกัน วิ่งหนีลูกปืนด้วยกัน
ณ.ตอนนั้นสภาพของพวกเราไม่ต่างกับซากศพไม่ต่างกับผีดิบ
กลิ่นตัวทุกคนเหม็นมากเพราะไม่ได้อาบน้ำมา หลายวัน เสื้อผ้าไม่ได้ซัก ชุดชั้นในไม่มีเปลี่ยนต้องถอดทิ้งไป แต่พวกเราก็ทนอยู่กันตรงนี้ โดยที่ไม่มีใครขอร้องให้อยู่ ไม่มีใครขอร้องให้สู้ต่อ มีแต่พวกเรากันเองพยายามบอกพวกคนสูงอายุ พวกเด็กๆให้กลับบ้านไปก่อน ให้เข้าไปอยู่ในวัดปทุมก่อนแค่นั้น
ยามค่ำคืน พวกเราไม่เคยได้นอนเต็มตา หลับหลับตื่นตื่น ข่มตาเพื่อจะขอให้หลับซักงีบก็ทำไม่ได้ เพราะ ในจิตใจมีแต่ความร้อนรุ่ม ความกลัวตายในตอนแรกๆทุกคนอาจจะมีบ้าง แต่เมื่อเห็นเพื่อนโดนยิงศพแล้วศพเล่า ความกลัวตายมันก็กลับกลายเป็นความตายด้านไป กลายเป็นความชินชาไป เพียงแต่คิดว่าเดี๋ยวก็มีอีกอย่าเพิ่งไปเสียใจตอนนี้ยังมีเวลาอีกเยอะที่จะให้เราเสียใจ
ในตอนนั้น คิดแต่พียงว่า “เมื่อไร มันจะถึงคิวของเรา ลูกปืนจะวิ่งมาหาเราบ้างแค่นั้น” คิด คิด คิด คิดจนประสาทแทบหลอนเห็นอะไรผ่าน ผวาไปหมด ไม่ได้คิดที่จะเอาตัวรอดนะครับท่าน พวกเราคิดว่าทำยังไง เราถึงจะมีอาวุธไปสู้กับพวกมันบ้าง ถึงจะตายก็จะขอสู้บ้างไม่ใช่เป็นแค่เป้านิ่งอย่างเดียว
เจ็บใจมากกับแกนนำที่ให้การ์ดคอยตรวจสอบพวก เรากันเอง ไม่ให้มีอาวุธเข้ามาในที่ชุมนุม เมื่อเห็นกับตาตัวเองพอทหารมาถึงมันก็ยิงดะไม่เลือกหน้า คนไหนไม่โดนยิง มันเอาพันท้ายปืนฟาดไปที่ศีรษะ เมื่อล้มลงมันก็ เอาไอ้โอ๊ปเหยียบไปที่ใบหน้าขยี้แล้วขยี้อีกอยู่แบบนั้น แต่เราทำอะไรไม่ได้เลย ได้แต่แอบดูห่างๆ เจ็บปวดใจมาก เรามองหน้ากันแล้วได้แต่แค่กัดฟัน ข่าวคราวที่เล่ากันมาเป็นทอดๆ กว่าจะถึงเรา ที่บ่อนไก่ ที่ซอยรางน้ำ ตายเป็นเบือ ตายแล้วลากศพเอาไปด้วย มันปวดเจ็บปวดเหลือเกิน ทำอะไรไม่ได้จริงๆ
น้ำก็ไม่มีกิน ข้าวไม่ต้องพูดถึง ไม่มีกินมาหลายวันแล้ว แต่พวกเราก็ไม่มีความหิวกันเลย เสบียงถูกแอบส่งมาให้จากมอเตอร์ไซด์ที่ลัดเลาะนำเข้ามา ไม่มีใครแย่งกันกินเลยเมื่ออาหารมาถึง มีแต่คำพูดที่ปรอบใจกันเองว่า “ผมไม่หิวครับ ทานกันไปก่อน” เป็นแบบนั้นจริงๆเกือบทุกครั้งที่อาหารมาส่งให้
ต่อมา ทราบจากเวทีใหญ่คนส่งอาหารเราโดนยิงตายไปหนึ่งคนแล้ว โดนจับอีกหนึ่งคนเป็นผู้หญิงด้วย อาหารคงขาดแคลนเข้าไปอีก ขอให้เราอดทนกันไว้
เมื่อคนใดคนหนึ่งหายไป เราจะถามหากัน เป็นห่วงกัน “เขาหายไปไหนแล้ว” แทบจะอยู่กันไม่สุขกลัวเพื่อนเป็นอันตราย โทรศัพท์ก็ใช้ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง
ยามสงบศึก ทหารไม่มากวนสลิ่มไม่มาถล่ม มีคนพูดขึ้นมา”เรามาทำอะไรกันที่นี่”
พวกเราน้ำตาไหล มองหน้ากันเอง มีคนพูดว่า “พรหมลิขิต ที่ให้เราต้องมาอยู่ด้วยกัน อาจจะตายด้วยกัน นับจากนี้ไปพวกเราคงไม่ลืมกันใช่ไหม แม้อยู่ในนรกหรือสวรรค์”
ถ้าไม่ตายหรือมีคนหนึ่งคนใดต้องตายไป เราจะคอยดูแลครอบครัวของคนที่ตายให้

วันนี้พวกเราได้พบเพื่อนที่จากกันไปสองปี อีกครั้ง เราติดต่อกันไม่ได้เลยในช่วงก่อนหน้านี้ เหตุเพราะไม่มีใครกล้าโทรถึงใคร มันอันตรายมากๆ ไม่กล้าแม้แต่จะบอกใครว่าเราเป็นคนเสื้อแดง
ไม่ต้องถามว่าเรารู้สึกอย่างไรกัน เมื่อได้พบกัน มันซาบซึ้งกันขนาดไหน
แล้วในสมองในจิตใจมีความคิดอย่างไร
เรารู้ว่าส่วนหนึ่งยังถูกจองจำอยู่ เพื่อนร่วมรบร่วมต่อสู้ ยังลำบากต่อเนื่องกว่าพวกเราเยอะมาก พวกเขายังไม่ได้เห็นแสงเดือนเห็นแสงตะวันกันเลย
ถามว่า “พวกเขารักท่านทักษิณแค่ไหน”
คำตอบ “ให้ท่านทบทวนดูก็แล้วกัน ทุกวันที่ท่านโฟนอินเข้ามา เขารู้สึกอย่างไรกับท่าน” สุดท้ายเขาก็ยอมกระทั่งสละชีวิตตนเอง พวกเขารักท่านแค่ไหน ครับ
ท่านครับ เราสละมาแล้วมากมาย ให้กับท่าน ให้กับคำว่าประชาธิปไตย
แต่..วันนี้ ท่านจะให้พวกเราสละให้กับฆาตรกรอีก ท่านโปรดคิดให้ดีครับ
ท่านบอกว่าให้เห็นแก่ส่วนรวม ท่านบอกให้เห็นกับประเทศชาติ เพื่อที่จะได้เดินหน้าต่อไป
ถามท่านครับ “พวกฆาตรกรพวกนี้ มันคิดอย่างที่ท่านคิดหรือไม่” ท่านเองก็น่าจะรู้ดีกว่าใครๆ
แก้รัฐธรรมนูญเสร็จแล้วปรองดอง ท่านว่าสำเร็จไหมครับ?
ท่านเชื่ออย่างนั้นจริงๆหรือ
พี่น้องที่รออยู่ในคุกเขารอได้แน่เพราะเขาไม่มีทางเลือกมากกว่านี้
มีคนถามผมว่าจะทำอย่างไรถึงจะเอาพวกเราออกมาจากคุกได้ แม้ประกันตัวก็ยังดี
ผมตอบเขาว่า “ ท่านทักษิณทำได้แน่ และทำมาแล้วด้วย”
1.แค่ตั้งรมต.กระทรวงยุติธรรมที่ชื่อมานิตย์ จิตจันทร์กลับ แค่นั้น
2.แค่ตั้งรมต. กระทรวงมหาดไทยที่ชื่อ พอ.ดร.อภิวันท์ วิริยะชัย แค่นั้น
ถ้า..ท่านทักษิณใจกล้าๆหน่อย แต่งตั้งทั้งสองท่านเป็นรมต. รับรองพี่น้องเราออกจากเรือนจำได้แน่
แล้วที่ว่าท่านทักษิณทำได้แน่และทำมาแล้วด้วย นั้น ก็เรื่องแต่งตั้งท่านเฉลิมเป็นรองนายกฯคุมตำรวจนั้นไงครับ ไม่ถึงเดือนท่านเฉลิมก็สามารถเอา พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงษ์มาเป็น ผบ.ตร.คนใหม่ได้ในทันที
เรื่องใหญ่แบบนี้ยังทำได้ กะอีแค่นักโทษคดีการเมืองให้ประกันตัว ทั้งสองรมตทำไม่ได้ ก็ให้ออกไปกวาดถูสำนักงานพรรคเพื่อไทยดีกว่าครับ
ที่ผมเขียนมาทั้งหมดนี้อยู่ในพื้นฐานของความเข้าใจครับ ไม่ใช่ไม่มีเหตุผลอะไรเลยแล้วเอาแต่ใจตัวเองล้วนๆ
ผมเข้าใจว่า ท่านก็รักคนเสื้อแดงไม่น้อย เหมือนกัน ท่านต้องเสียสละมากมายในทรัพย์สินก็ไม่ใช่น้อยเหมือนกัน ท่านต้องสู้กับอำนาจที่มหาศาล มีมหาอำนาจหนุนหลัง ท่านเองต้องก้าวไปที่ละขั้น มีหลอก มีเจราจา มีสับขา มีกลยุทธ์ มีกลวิธี แต่นั่นมันคือท่าน ไม่ใช่คนเสื้อแดง
วันนี้เขาคนเสื้อแดง ไม่ อาจรับกับวิธีการที่ท่านทำอยู่ขณะนี้ได้ เพราะท่านอบรมณ์สั่งสอนพวกเขามาตลอดในเรื่องของความจริงใจ ความซื่อสัตย์ ความตรงไปตรงมา เขาจึงมิอาจจะเปลี่ยนความคิดได้
สุดแล้วแต่ท่านครับจะทำอย่างไร เพียงน้อยนิดท่านจะให้กับพวกเขาได้หรือไม่
จะให้เสียสละเพื่อส่วนรวมอีกเช่นนั้นหรือครับพวกเราไม่ได้อยากฟังคำนี้เลย
โปรดเอาพี่น้องของเราคืนมา
แค่เปลี่ยนตัวรมต.แค่นั้น ท่านจะทำหรือไม่ ครับ

จะบอกว่า..
เนื้อหาในบางตอนมาจากคำบอกเล่า ของผู้ที่ไม่ประสงค์ออกนาม ที่มี ทั้งหญิงและชาย ครับ

tisdag 22 maj 2012

ส่งทักษิณขึ้นเขา"เนินเทวดา" แล้วเสื้อแดงก็ไปต่อกัน


ส่งทักษิณขึ้นเขา"เนินเทวดา" แล้วเสื้อแดงก็ไปต่อกัน


ภาพการ์ตูนประกอบ:"เสียดาย คนตายไม่ได้ปรองดอง" โดย Gag Las Vegas
โดย ใบมีดสีแดง
  speech ที่ดูจะอยู่ในความสนใจของคนการเมืองทุกสีเสื้อ ของ อดีตนายกทักษิณเมื่อค่ำวันที่ 19 พ.ค. ในโอกาสครบรอบสองปีของการสังหารหมู่ประชาชน และการเผาบ้านเผาเมือง ก่อให้เกิดการตีความและสั่นสะเทือนความคิดความรู้สึกอย่างมาก โดยเฉพาะในหมู่นักคิด นักฝันฟากฝั่งคนเสื้อแดง
  คำถามแรกคือ ทักษิณต้องการพูดให้ไครฟัง มหาอำมาตย์ หรือเครือข่ายหรือคนเสื้อแดง

   มีบางท่านอธิบาย (ต.ย.เช่นในรายการwake up Thailand 21 พ.ค.) บอกว่า ทักษิณพูดให้อำมาตย์ฟัง 
ผมกลับเห็นต่าง การพูดกับมหาอำมาตย์และเครือข่ายนั้น พวกเขาได้พูดกันมาตลอด นานแล้ว ไม่มีความจำเป็นใดๆที่ต้องมาใช้เวทีนี้พูด ที่ทักษิณพูด เขาต้องการสื่อถึงคนเสื้อแดงในทุกๆระดับ ทุกๆกลุ่มอย่างแน่นอน  
ทักษิณคงประเมินแล้วว่า ถึงเวลาที่ต้องพูดให้ชัด รีบพูด รีบชี้นำ ดีกว่าปล่อยๆไป จะทำให้คนเสื้อแดงที่ยังอยู่ตรงกลางๆไหลไปรวมกับพวกแดงก้าวหน้ามากขึ้นๆ ต้องพูดเบรคไว้ก่อน พูดง่ายๆคือ ทักษิณก็ยังคงใช้ความเป็นนักธุรกิจ ผุ้เชี่ยวชาญการตลาดเหมือนเดิม 
 แล้วที่ทักษิณพูด จริงหรือที่จะหยุด

  หากเราฟัง speech ของทักษิณอย่างละเอียด จะวิเคราะห์และสรุปได้ว่า ทักษิณเตรียมและตั้งใจและต้องการพูดแบบนี้จริงๆ เพราะบ่อยครั้งที่ทักษิณพูดหลุดออกนอกสิ่งที่ตั้งใจ ด้วยเป็นคนฉลาดและคิดเร็ว บางทีก็ทำให้การพูดเกินเลยบ้าง 
แต่ครั้งนี้ จะเห็นว่า คำพูดของทักษิณ มีการพูดซ้ำ ย้ำๆ หลายๆครั้ง แสดงถึงคำพูดที่ตั้งใจสื่อสารออกมา แต่ที่วกวนและซ้ำๆ ก็แสดงถึงภาวะจิตใจว่า ตนเองก็ไม่มั่นใจ ไม่แน่ใจว่าจะดีหรือไม่ในการสื่อออกมา และเนื้อหาที่พูดยังมีการเปิดช่อง ให้ตนเองออกมาสู้ต่อได้ 
คล้ายกับว่า ขณะที่ตนเองบอกว่าจะหยุด ให้พี่น้องส่งผมแค่นี้ แต่ก็ไม่ยอมแพ้ และถ้าโดนกระทำก็พร้อมสู้ต่อ
  ดังนั้น จะสู้ต่อหรือจะหยุด แท้จริงคืออยากหยุดแล้ว และตั้งใจจะหยุด

 ควรเสียใจไหมกับที่ทักษิณบอกจะหยุดสู้

  ทักษิณ คืออดีตนักเรียนนายร้อย คือนายทุนใหญ่ระดับประเทศ ที่เติบโตภายใต้ระบอบปัจจุบัน และมีเครือข่ายและเครือญาตที่โยงใยในกลุ่มทุนกลุ่มธุรกิจทั่วประเทศ  และแม้จะผ่านเหตุการณ์เลวร้ายที่โดนกระทำ ก็ไม่ได้เปลี่ยนจิตสำนึกพื้นฐาน ยังมองระบอบการเมืองอยู่แค่กรอบการเลือกตั้งและการชนะการเลือกตั้ง 
ทักษิณไม่ใช่นักประชาธิปไตยที่แท้จริง เป็นได้แค่นักประชาธิปไตยในระบอบอำมาตย์เป็นใหญ่เท่านั้น และดูทักษิณเลือกที่จะเป็นเท่านี้จริงๆ
และเพราะทักษิณไม่ใช่นักปฎิวัติประชาธิปไตย   เราจึงไม่ควรต้องเสียใจต่อการตัดสินใจของเขา  แต่ควรขอบคุณทักษิณ ควรซาบซึ้งกับคุณูปการที่ทักษิณทำ  ในฐานะช่วงที่ผ่านมา เป็นส่วนสำคัญในขบวนการประชาธิปไตย ที่ทำให้การต่อสู้ของประชาชน ก้าวรุดหน้าไปมาก
แล้วคนเสื้อแดง ควรทำอย่างไรต่อไปดี หรือน.ป.ช.ควรทำอย่างไร

  ในระดับประชาชน ที่ต่อสู้ด้วยตนเอง  ที่ไม่ได้ผลประโยชน์จากทักษิณและที่สำคัญเข้าใจปัญหาเชิงโครงสร้าง  จะไม่มีคำถามนี้เลย ไม่ว่าทักษิณจะอยู่หรือจะหยุด กลุ่มนี้ก็พร้อมสู้ตลอดเวลา 
คำถามนี้ จะต้องถามบรรดาคณะบุคคลที่แสดงตัวเป็นแกนนำ โดยเฉพาะแกนนำน.ป.ช. ที่การเคลื่อนไหวทั้งหมด ยึดโยงกับการสนับสนุนของทักษิณอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ว่าพวกคุณจะสู้อย่างไร จะเดิน จะเคลื่อนมวลชนไปทางใด 
ซึ่งคำตอบก็คงไม่หนีห่างจากที่ว่า น.ป.ช.ก็คงหมดพลังชี้นำไปมาก การเคลื่อนไหวก็คงจำกัดขอบเขตเฉพาะเรื่องสิทธิเสรีภาพ พื้นฐาน และน.ป.ช.ก็จะเป็นฐานมวลชนให้พรรคเพื่อไทยที่แนบแน่นต่อไป การต่อสู้ก็ขีดวงและยอมรับ  ให้อยู่ในขอบเขตระบอบประชาธิปไตยที่มีมหาอำนาตย์เป็นใหญ่ ต่อไป...
 ประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยกับการต่อสู้ข้างหน้า

    ประชาชนผู้ก้าวหน้าทั้งหลายในวันนี้ ต้องตระหนักให้ดีว่า บรรพชนในอดีต ได้ลุกขึ้นสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริงมาตลอด ต่อเนื่องมานับ100ปี โดยที่ไม่ได้มีคนชื่อ ทักษิณ ชินวัตรอยู่ในขบวนการ  
ซึ่งแท้จริง ก่อนการรัฐประหาร 19 กันยา 2549 ทักษิณ ก็เป็นหนึ่งในเครือข่ายของมหาอำมาตย์ด้วยซ้ำ ทักษิณ ชินวัตร ต่างหาก ที่ถูกผลัก ให้ออกจากวังวนของมหาอำมาตย์ใหญ่ โดนถีบให้ออกมายืนอยู่ฝ่ายเดียวกับประชาชน มาร่วมขบวน ในช่วงหลายปีมานี้  ทั้งที่เจ้าตัวเองก็ไม่เคยต้องการมาร่วมขบวนการประชาธิปไตย และถึงวันนี้ ก็ไม่เปลี่ยนแปลงความคิด
   เพราะการต่อสู้ของฝ่ายประชาธิปไตยนั้น เป็นเส้นทางที่ถูกต้อง ของประชาชน เชื่อว่า ข้างหน้า ฝ่ายประชาธิปไตย ก็จะเกิดขบวนการจัดตั้งใหม่ๆ เพื่อนำการต่อสู้ โดยมีเป้าหมายเพื่อการเปลี่ยนแปลงสงคม ไปสู่สังคมประชาธิปไตยที่แท้จริ
 แล้วที่ผ่านมา ใครหลอกใคร เสื้อแดงโดนทักษิณหลอกหรือ

   ระหว่างคนเสื้อแดงและทักษิณ ไม่มีใครหลอกใคร ไม่มีใครเป็นเครื่องมือใคร ต่างฝ่ายต่างอาศัยได้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน 
ทักษิณ ได้คนเสื้อแดงนับสิบล้านเป็นฐานไปต่อรอง ไปเป็นหน้าตักสู้กับมหาอำมาตย์เพื่อการกลับเข้าสู่อำนาจในระบอบเดิมๆที่ตนพอใจ  
คนเสื้อแดงได้ทักษิณเป็นตัวเร่งเตาปฏิกรณ์แห่งการเปลี่ยนแปลง เป็นรูปธรรมที่ถูกกระทำ ให้ประชาชนเห็นถึงความเลวร้ายของมหาอำมาตย์และเครือข่าย แม้ว่า วันพรุ่งนี้  ต่อให้มหาอำมาตย์และทักษิณ จะสามารถเคียงข้างกันในระบอบที่พวกเขาปกป้องอยู่ คนเสื้อแดง ณ วันนี้ ก็ไม่เหมือนคนเสื้อแดงเมื่อสามปีก่อนอีกต่อไปแล้ว
 ภารกิจของพวกเรา

   "หากใคร ไม่ท้อ จงสู้ต่อไป ยืดอก ภูมิใจ ไม่ก้มหัว" เป็นประโยคในท่อนเพลงของ จิ้น กรรมาชน ที่อธิบายสภาวะของเสื้อแดงในขบวนการประชาธิปไตยวันนี้และวันพรุ่งนี้ได้ดีที่สุด
   ต่อแต่นี้ไป คนเสื้อแดงที่ก้าวหน้า คนเสื้อแดงที่เข้าใจปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่แทรกตัวอยู่ในทุกจุดของสังคม ไทย ต้องร่วมกันสะสมกำลัง ติดอาวุธทางปัญญา และให้การศึกษา ให้กำลังใจ โดยเฉพาะกับมวลชนคนเสื้อแดง ที่เกิดและเติบโตทางความคิด ผ่านการต่อสู้มาแล้ว ต้องเปลี่ยน" แดงทักษิณ" มาเป็น"แดงก้าวหน้า" ให้มากที่สุด
ส่งทักษิณ"ถึงฝั่งแล้ว" ขับรถขึ้น"เนินเทวดา"และคนเสื้อแดงไปต่อ

   คนเสื้อแดงที่ไปต่อ ควรมีท่าทีและหลักคิดที่เข้าใจเหตุและปัจจัยทั้งหลาย ว่ามันแสนซับซ้อนและเต็มไปด้วยเล่ห์กลมากมาย
   วันนี้ ทักษิณประกาศวลีว่า "ผมจะขับรถขึ้นเขาเอง"  ทำให้คิดเล่นๆขึ้นมาว่า ทำไมทักษิณเลือกใช้คำว่า ขับรถขึ้นเขา หรือเป็นเพราะเขาเป็นที่สูง หรือบนเขาจะมี"เนินเทวดา"ให้ทักษิณไปกราบ
   ไม่มีอะไรแน่นอน แม้อีกไม่นาน หากทักษิณขึ้นเขาไปถึง"เนินเทวดา"ได้ ก็จะมีสองภาพที่เกิดได้ ไม่หนึ่งก็สอง ไม่ช้าก็เร็ว
  หนึ่ง คือทักษิณและเครือข่าย  ร่วมกับ มหาอำมาตย์และเครือข่าย ต่างอยู่ร่วมกัน ในบรรยากาศของประชาธิปไตยแบบเดิมๆ อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
   สอง ทักษิณ โดนมหาอำมาตย์ถีบตกเขา กลิ้งตกลงมาจาก"เนินเทวดา" จะด้วยเหตุใดและเมื่อไรก็ตาม 
แต่เชื่อว่า เมื่อถึงวันนั้น ทักษิณก็จะยังคงเจอคนเสื้อแดงส่วนหนึ่งรอรับอยู่ตีนเขา แต่คงไม่มากมายเหมือนตอนนี้
  ขณะที่ คนประชาชนคนเสื้อแดง จำนวนไม่น้อย  เขาคงออกเดินต่อไปนานแล้ว นับแต่วันที่ส่งทักษิณถึงฝั่ง   และเขาอาจไม่หันมามอง"มหาบุรุษ"ของพวกเขากลิ้งตกเขา ก็เป็นได้
 แต่เพราะการเดินต่อไปของขบวนการประชาชนคนเสื้อแดงมีเป้าหมายเพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง หากมีวันที่ทักษิณ โดนถีบกลิ้งตกจาก "เนินเทวดา"จริง และทักษิณยังมีชีวิตรอดปลอดภัยอยู่ ก็อยากให้พวกเรา เตรียมใจ ไว้ เพื่อย้อนกลับมา รับทักษิณ ให้กลับมาร่วมเดินกันต่ออี
เพราะเชื่อว่า  เมื่อถึงวันนั้น ความคิดเรื่องการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ของคนชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ต้องไม่เหมือนเดิม
      รอดูวันทักษิณ ขับรถถึงเนินเทวดา
               

måndag 21 maj 2012

นี้คือการหลอกลวงของภูมิพลและสิริกิติ์ เพราะทั้งสองไม่ได้เป็นคู่สามีภรรยากันมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ปี ๒๕๒๓ สิริกิติ์ได้เหินห่างจากภูมิพลแอบไปมีชู้กับนายทหาร ชื่อ ณรงเดช นันทโพเดช นับแต่นั้นมาทั้งสองคนก็แยกทางกันต่างคนต่างอยู่ไม่ได้อยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว และไม่ได้เปิดเผยให้ประชาชนรับรู้อย่างเป็นทางการ จะมีก็แค่รูปถ่ายยืนเคียงข้างกันเพื่อเอาไว้หลอกลวงให้ชาวไทยและชาวโลกดูว่ายังเป็นคู่สามีภรรยาเหมือนเดิม ดั่งในรูป แม้บัวขาวจะเทิดทูลไว้เหนือหัวอย่างไร เขาก็ช่วยบัวขาวไม่ได้ ฉนั้นพวกคลั่งเจ้าก็ควรจะเลิกงมงายได้แล้ว

ไม่มีใครสามารถช่วยผมได้จริงๆเลยครับ

ภาพที่โพสต์


 
ภาพฉากการเล่นลิเกลวงโลกอีกภาพหนึ่งเพิ่งปล่อยออกมาวันนี้ เพื่อจุดประสงค์อะไร ?

โด่งอรรถชัยส่งแม้ว:จากนี้ไปไม่มีอะไรติดค้าง โชคดี

 

ถึง.....

จะ ไปบ่นไปทำไม ... เกรงใจเขามั่ง เขาถึงที่เขาแล้วจะให้เขาส่งจนถึงยอดเขาเลยเหรอ อย่าเลย เกรงใจ มาส่งแค่นี้ก็ดีแล้ว ใช่ว่า ไม่มีเขาแล้วเราจะเดินเองไม่ได้

ความจริงที่ผ่านมาเราก็รบกวนเขามากนะ ไม่มีพวกเขา เราคงจะยังโง่กับเมืองไทยไปอีกหลายชาติ

คงหลับไหลฝันร้ายไปอีกนาน

เอาน่า ...เขาจะปลุกเราขึ้นมาแล้ว จะขึ้นมาเพื่อใคร เพื่ออะไร ช่างมันเถอะ ว่าแต่ว่า เราตื่นแล้ว ....

ยักษ์อย่างเรา ขอแค่ปลุกเท่านั้นละ ที่เหลือ ...ไม่มีอะไรเหลือบากกว่าแรง ....

ขอบคุณนะ ที่ปลุก....เราตอบแทนที่คุณปลุกเราไปแล้วนะ ดูจะเกินราคาเสียด้วยซ้ำ ไม่เป็นไร เรื่องเล็ก

จากนีไปไม่มีอะไรติดค้าง นะ โชคดี ...

จาก ยักษ์หลับ
 
 

söndag 20 maj 2012

ปักธงแดง ปักษ์ใต้ ปักที่ราชประสงค์--- ปักกลางใจประชาธิปัตย์ --- ดูคลิปข้างล่าง

http://www.youtube.com/watch?v=n4q1MIB7RMM&feature=player_embeddedhttp://www.youtube.com/watch?v=n4q1MIB7RMM&feature=player_embedded#t=0s

ภาพ..."รำลึก2ปี ราชประสงค์"

โดย   ram
ปิดการจราจรโดยปริยาย ..."รำลึก2ปี ราชประสงค์" แดงมาเป็นแสนแท้ๆ ...ไม่ใช่แสนสาหัส***

*******ไอ้ฆาฒกรที่สั่งทหารฆ่าประชาชนเมื่อ19/5/2553********

****มุมแยกราษฎ์ประสงค์เวลา 16.30น.****


ร้อนหรือหนาว เบียดเสียด ยัดเยียด ลำบากลำบนมวลชนไม่เคยถอย เหมือนทุกครั้ง

บทความสายลมรัก: เมื่อคืนนี้ .. ผมปร่าแปร่งในความรู้สึกกับ (นปช.) เหลือเกิน

โดย สามลมรัก
ที่มา ประชาทอล์ค
20 พฤษภาคม 2555

ร้อนหรือหนาว เบียดเสียด ยัดเยียด ลำบากลำบนมวลชนไม่เคยถอย เหมือนทุกครั้ง

อย่ามาถามว่า มวลชนมามากหรือน้อย ภาพที่เห็นมันปรากฏแก่สายตาผู้คนไปทั่วโลกแล้วว่า เรายังต้องการทวงถามความยุติธรรมกลับคืนให้กับ วิณญาณวีรชนของพวกเรา อย่างล้นเปี่ยม

"พี่ ๆ เต๊นท์เรายังไม่แน่นอนนะพี่" ยังเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง กับการทำงานของผู้ช่วยแกนนำทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ช่วยแกนนำทั้งหลายกับการไล่ที่ ทั้งๆที่สถานที่เหล่านั้นไม่ว่าเต๊นท์ กำลังคน กำลังเงิน จุดมุ่งหมายในการทำกิจกรรม "ร้อยละร้อย มันมาจากคำว่า ไม่ต้องจ้างกูมาเอง ทั้งนั้น"

กริยาวาจา กร่างยิ่งใหญ่ ยังคงอยู่ครบตามแบบฉบับ กับการทำงานด้านมวลชนไม่เห็น สับปะรดขลุ่ย เหมือนเดิมทั้งๆ อดีตก็มีบทเรียนที่ควรจดจำ และทราบได้ดีเลยว่า อาสาสมัครต่างๆ เขาสู้เพื่ออะไร จะจัดที่ขายของหาเงินเข้ากระเป๋าใคร ก็หัดสะกดคำว่าเกรงใจมวลชนบ้าง

ขนาดงานจะเริ่มอยู่แล้ว เต๊นท์ทุกเต๊นท์ ไม่ว่า "ประชาทอล์ค" "บ้านราษร์" ยังไม่รู้เลยว่า จะตั้งตรงไหน หรืออาจต้องย้ายหนี เพื่อหลบเต๊นท์ ขายของ (ไม่ฮา)

"เรามีมวลชนที่เหนียวแน่น แต่เราขาดนักพูด" ผมไม่เข้าใจว่า เราจะตะโกน ๆ ๆ ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าบนเวทีทำไม เพราะ ฟังไม่รู้เรื่อง ไฟฟ้าไม่มี รถห้องน้ำไม่มา ทุกอย่างคือตัวใครตัวมัน ครั้นจะขอพ่วงรถถ่ายทอด สดของสถานีต่าง ๆ เขาก็ไม่ให้ เพราะหากไฟกระชาก เขาก็จะส่งสัญญาณไม่ได้

สุดท้าย ไฟจากแบตเตอ์รี่ รถใครรถมัน สถานที่ซึ่งแออัดไปด้วยมวลชนอยู่แล้วก็ดมควันจากท่อไอเสียกันเพลิน "เบาหวิวราวปุยนุ่น"

เมื่อวานนี้ นักพูดระดับแม่เหล็กของเรา คือจตุพร กับณัฐวุฒิ เปลี่ยนไป เปลี่ยนไปจนผมต้องนั่งนึกทบทวนบทบาทการสนับสนุน ประเด็นที่พูด ไม่มีอะไรเลยเหมือนกับการ ขออนุญาตยืมคำพูดของพี่ Mosy มาใช้หน่อยที่แกพูดว่า "เหมือนมาพูดพอเป็นพิธีเท่านั้น"

บอกตรงๆว่า ผมไม่เคยเห็นมวลชนลุกทะยอย เดินกลับ ขณะณัฐวุฒิกำลังพูดปราศรัย แต่เมื่อคืนนี้ผมเห็น "ผมได้แต่บอกกับตัวเองว่า มันเกิดอะไรขึ้น"

ความผิดพลาดของกิจกรรมภาคสนาม เรื่องนี้ไม่ต้องโทษใคร ผมขอรับผิดทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว เราวาดหวังไว้สวยหรู ถึง 4 กิจกรรม แต่เราสามารถทำได้ดี แค่ 1 กิจกรรมครึ่งเท่านั้น คือ แจกขนม (ปรองดอง) คลายร้อน แบบจัดหนัก กับกิจกรรมนิทรรศการภาพถ่าย ที่มวลชนไม่ยอมไหล ปักหลักอยู่กับที่แถมยังเอาภาพกิจกรรมเป็น ที่กำบังหลบแดด โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ที่เอาเก้าอี้มาตั้งประชิด จนบางทีบอร์ดภาพเอียงตามแรงดัน

หมุดคณะราษฏร์ และหมุดประชาชน ไม่สามารถวางลงที่พื้นได้เลย เราพยายามทดลองวางอยู่หลายๆ ครั้ง แต่มวลชนก็เหยียบทุกครั้ง ชนิดที่ประเมินได้เลยว่า หากวางบนพื้นถนนจริง ๆ รับรองสะดุดหน้าทิ่มกันเป็นแถว ผมกับน้อง ๆ มองหน้ากันเลิกลั่กต้องเปลี่ยนแผนเป็นวางบนโต๊ะแทน

สรุปบทเรียน

บางที หากเราจะทำกิจกรรมแบบนี้ คงต้องพิจารณากับหลายอย่าง ไม่ว่า ใกล้เวทีไปไหม ชิดมวลชนมากไปไหม อุปกรณ์ที่จำเป็น เราต้องจัดหามาเก็บไว้ใช้แบบจริงจังหรือไม่

เราอยู่ใกล้เวทีมากไป ก็จะมีปัญหาเป็นธรรมชาติของมวลชน คือไม่สามาถจะแบ่งปันพื้นที่ได้เลย หากต้องการทำกิจกรรมภาคสนาม

ครั้งต่อไป (หากมี) เราจะท่องคาถา อัตตาหิอัตโนนาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน และคงตั้งออกไปห่างจากจุดเดิมมากพอสมควร

สำหรับ นปช. ทักษิณ และพรรคเพื่อไทย

พวกคุณเดินมาถึงทางสามแพร่งที่สำคัญแล้ว กิจกรรมครั้งนี้ ผมมองไม่เห็นทางออกที่ชัดเจนเลยว่า คุณจะดำเนินคดีทวงถามความยุติธรรมได้เมื่อไหร่ คุณจะเยียวยา ช่วยเหลือประกันตัวพี่น้องเราที่ยังโดนจองจำ อย่างเป็นรูปธรรมเมือใด หรือคุณจะซื้อเวลาทำเพื่อตัวเองไปเรื่อยๆ เคยมีคำจำกัดความคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า เมื่อคุณพูดเราจะฟัง แต่เมื่อคุณลงมือทำเราจะเชื่อ ทักษิณ นปช. และพรรคเพื่อไทยก็เช่นกัน

ผมอยากให้พึงสำเหนียก อย่ารู้ตัวเมื่อสาย หากมวลชนหันหลังให้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นคุณจะโดนพวกมันขยี้จนไม่มีที่ยืนอีกต่อไป

ความคิดนี้ เป็นความคิดส่วนตัวของผมคนเดียว เป็นการสะท้อนจากมวลชนคนหนึ่ง หากเห็นว่าเป็นประโยชน์นำไปปรับปรุง ยุทธศาสตร์ ผมก็ดีใจ แต่หากคิดว่าก็แค่เสียงนกเสียงกา ผมก็ขออวยพรให้ท่านโชคดี

ปล. ขอบคุณ TAN 007 แห่งประชาทอล์ค ขอบคุณลูฟฟี่ ขอบคุณมดดำ ขอบคุณน้อง ๆ หลาย ๆ คนที่อดตาหลับขับตานอนผลักดันกิจกรรมไปลุล่ง พี่รู้สึกละอายใจจริง ๆ ที่ไปหลังแต่กลับก่อน และฝากบอกไปที่มดดำด้วว่า เอ็งไม่ต้องขอโทษพี่ พี่สิที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษ


lördag 19 maj 2012

ตราบใดที่ประเทศไทยยังอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการอันเหี้ยมโหดของภูมิพล เหตุการณ์ราชประสงค์ก็จะต้องเกิดขึ้นซํ้าแล้วซํ้าอีก ทางเลือกมีอยู่ทางเดียวคือพี่น้องทั้งหลายต้องรวมกันลุกขึ้นโค่นล้มระบอบเผด็จการอันเหี้ยมโหดของภูมิพลนั้นลง แล้วสร้างรัฐบาลประชาธิปไตยของประชาชนขึ้น มีรัฐธรรมนูญของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน

Posted Image
ครบสองปี พฤษภา อำมหิต
หลายชีวิต ต้องจบลง ณ ตรงนี้
หลายชีวิต ถูกปลิดฆ่า ไร้ปราณี
หลายชีวิต ถูกย่ำยี..แล้วตีตรา....

หลายชีวิต ต้องจบลง ที่กรงขัง
หลายชีวิต สิ้นหวัง ยังถูกล่า
หลายชีวิต ถูกโดดเดี่ยว ไร้เยียวยา
หลายชีวิต ยังโหยหา ความยุติธรรม....

คนปราบฆ่า ยังลอยนวล ชวนสงสัย
สไนเปอร์ มันจัดให้ ใช่เรื่องขำ
ครบสองปี ที่ผ่านพ้น คนระยำ
พวกใจดำ ยังเริงร่า อย่างท้าทาย....

ขอสดุดี วีรชน เหล่าคนกล้า
เลือดน้ำตา ความทุกข์ทน ที่หล่นหาย
จะยืนหยัด ทวงมัน จนวันตาย
แม้ชีพวาย ยังยืนกราน สานเจตนา....

ครบสองปี พฤษภาเลือด ไม่เหือดแห้ง
เลือดสีแดง ทั่วธรณิน ไม่สิ้นค่า
ร่วมทวงคืน เพื่อพี่น้อง ผองประชา
ซับน้ำตา เหล่านักสู้..ธุลีดิน....

เจอกันวันนี้ที่ราชประสงค์ครับ

๓ บลา / ๑๙ พ.ค.๕๕
http://3blabla.blogspot.com/

fredag 18 maj 2012

อย่าปล่อยให้ประชาชนเข้าใจถูก... ถ้าคุณอ่างขางอยากทราบว่าใครคือผู้มีอำนาจสุงสุดที่ปล้นประเทศไทย ให้ไปถามหลวงนฤบาลตาเดียวที่ชั้น ๑๖ โรงพยาบาลศิริราชได้เลย หรือไม่ก็ไปถาม " เหี้ยสั่งฆ่า อีห่าสั่งยิง " ก็จะได้คำตอบ

 โดย อ่างขาง.

แปลกใจจริงๆเรื่องที่ใหญ่โตมากๆแบบนี้ ทำไมทุกคนถึงได้เงียบเป็นเป่าสากกันหมด
ฝ่ายค้านที่ ว่าเก่งฉกาจนักหนา แม้แต่เรื่องหยุมหยิมเช่นนายกฯแต่งตัวสวยเกินไป นายกฯพูดภาษาอังกฤษสำเนียงไม่เหมือนฝรั่ง หรือแม้แต่ข้าวแกงร้านไหนแพงร้านไหนถูกมันรู้กันไปหมด ไม่จิ้มฟันที่ไหนสั้นที่ไหนยาวขายเท่าไรสืบกันมาแทบจะหาช่องโหว่ไม่เจอ สากกระเบือที่ไหนขาย ที่ไหนผลิต ราคาขึ้นลงเท่าไรทำกร๊าฟมาเปรียบเทียบให้ดู ออกข่าวกันอย่างเป็นระบบ ออกทีวีเสนอหน้ากันสลอน มันเอามาเป็นประเด็นได้หมด เล่นกันจนเละทั้งในและนอกสภาฯ
แต่..พอมาเรื่องน้ำมัน ฝ่ายค้านทำเป็นใบ้ เหมือนไม่รู้เรื่องอะไรเลยทั้งๆที่ชาวบ้านจะเป็นจะตายกันหมดแล้ว เรื่องนี้ไม่อยู่ในสายตาของพรรคฝ่ายค้านที่จะนำมาเล่นเป็นประเด็น
ฝ่ายรัฐบาลก็เช่นเดียวกัน เหมือนหูทวนลม ทั้งๆที่ชาวบ้านตะโกนกันปาวๆทีวีออกข่าวทุกวัน ไม่มีใครออกมาชี้แจงอย่างจริงจัง ทำไมน้ำมันถึงแพงเอาแพงเอา
จนกระทั้งวันดีคืนดี มีคนออกมาชี้ช่องให้ได้เห็น
ประเทศไทยนั้นเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับ24ของโลก
เราผลิตน้ำมันได้วันละประมาณหนึ่งล้านบาร์เรล
เราใช้น้ำมันกันจริงๆวันละประมาณเจ็ดแสนบาร์เรล
ที่เหลือเราส่งไปขายยังต่างประเทศอีกวันละสามแสนบาร์เรล
บวกลบคูณหารแล้ว เราจะมีน้ำมันใช้อย่างเต็มที่ภายในประเทศโดยไม่ขาดแคลนแม้แต่น้อย ไม่ต้องอิงประเทศไหนในโลกนี้อีก และยังมีเงินเหลือเข้ากระเป๋าเข้าประเทศอีกส่วนหนึ่งด้วย ทุกวัน
แต่..เหลือเชื่อมากๆ คนไทยทั้งประเทศกลับต้องใช้น้ำมันที่ซื้อมาจากต่างประเทศแทน ทุกครั้งที่ราคาน้ำมันขึ้นลงต้องอ้างอิงมาจากสิงคโปร์เท่านั้น
ซึ่ง มันมีความซับซ้อนมากมายเกี่ยวกับกระบวนการขนน้ำออกไปนอกประเทศ ไปเปลี่ยนสัญชาติก่อนแล้วเข้ามาใหม่อีกครั้ง คนไทยทั้งประเทศจึงต้องใช้น้ำมันแพงอย่างมหาโหด ทั้งที่ประเทศไทยเองมีน้ำมันเอง
เหตุเพราะสมบัติของชาติ คนไทยในชาติไม่ใช่เจ้าของ ต้องซื้อของของเราเองด้วยราคาแพง และกำไรทั้งหมดที่เป็นของคนไทย มีคนงาบเอาไปรับประทานส่วนตัวซะเองแล้ว
คล้ายกับว่าทรัพย์สมบัตของชาติไทย มีใครบางคนปล้นเอาไปก่อนแล้ว เช่นนั้น
ประโยชน์ที่จะเกิดกับประเทศจึงมีแค่น้อยนิดในรูปภาษี ที่เหลือก็ขูดรีดกับประชาชนที่ยากจนกันต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่? ไม่มีใครซักคนออกมาแก้ข่าว หรือให้ความเห็น
เป็นเวลานานกว่าหนึ่งเดือนแล้วที่เรื่องนี้เป็นกระแสร์แรงมากในเว็บไซด์ โดยตั้งหัวข้อว่า “ปล้นประเทศไทย”คน เป็นล้านหรือมากกว่านั้น เข้ามาอ่านและเข้าใจตามที่กระแสร์นี้พามา และเริ่มขยายวงกว้างไปเรื่อยๆ เข้าเว็บไซด์ไหนจะเจอแต่เรื่องนี้ทั้งนั้น”ปล้นประเทศไทย”
คำถามมันจึงเกิดขึ้น แล้วใครละเป็นคนปล้นประเทศไทยครั้งนี้
ใครนะ!!มันใหญ่โตเหลือเกิน ที่สามารถทำได้กันแบบนี้
ทำไม!!นักการเมืองถึงไม่กล้าแตะ
ทำไม!!ผู้รู้ดีหรือมีส่วนรู้จึงนิ่งเงียบ
ผมขอสมมุติว่าคนที่ปล้นประเทศไทยนั้นมีชื่อว่า X
ถ้านายXเป็นคนที่ปล้นประเทศไทยไปจริงๆ เขาจะต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้างถึงทำเช่นนั้นได้ ปล้นกันกลางแดดเห็นกันจะจะแบบนี้เลย
1 คน คนนั้นจะต้องมีบารมีสูงส่งชนิดที่เรียกว่า คนทั้งประเทศต้องยอมสยบให้ ใช่ไหม?
2 คน คนนั้นต้องมีกองกำลังเป็นของตนเอง ชนิดที่เรียกว่าสามารถปราบปรามประชาชนเมื่อไรย่อมได้
3 คน คนนั้นต้องร่ำรวยที่สุดในประเทศไทย เพราะกินรวบไม่แบ่งให้ใครเลย ทั้งที่ต้นทุนก็คือทรัพยากรของชาติไม่ต้องแบ่งให้คนไทยทั้งประเทศ และไม่ต้องลงทุนอะไร มีแต่ได้อย่างเดียว
4.คน คนนั้นต้องใจอำมหิตผิดมนุษย์ มะนา สามารถสั่งให้ฆ่าประชาชนตาดำๆเป็นหมื่นเป็นแสนคนได้ โดยไม่สะทกสะท้านอะไรทั้งสิ้น มิฉะนั้นก็จะไม่สามารถสยบปากสยบคำของคนที่จะออกมาพูดได้
5 คน คนนั้นสามารถพลิกดำให้เป็นขาว หรือพลิกขาวให้เป็นดำได้ทั้งหมด คนดีกลายเป็นคนเลวและคนเลวกลายเป็นคนดีได้ทั้งนั้น สรุปก็คือทุกกระบวนการของความยุติธรรมสามารถจัดการได้ทั้งระบบ
6 แม้วาจาที่เอื้อนเอ่ยก็สามารถบัญญัติให้เป็นกฏหมายเอาผิดในตัวผู้พูดได้
แล้วคนนั้นจะเป็นใครในประเทศนี้ ผมเองคิดว่า คงไม่มีแน่ๆ คนนั้นที่ผมสมมุติว่าชื่อนายX
มีเรื่องเล่ากันว่า
ครั้งหนึ่งผู้นำการชุมนุมที่ยิ่งใหญ่มีนามว่า สนธิ ลิ้มทองกุล ท่านผู้นี้ยิ่งใหญ่มากๆขนาดเข้าไปบุกรุกทำเนียบรัฐบาลเป็นเวลาหลายเดือน ไปอยู่ ไปกิน ไปขโมยทรัพย์สินทางราชการ ทำกันอยู่ในนั้น มิหนำใจยังได้เข้าไปยึดสนามบินนานาชาติเป็นเวลาอีกหลายสัปดาห์ จนกระทั่งประเทศไทยพังพินาศสันตะโลเสียหายย่อยยับ นับมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นมิได้ ถ้าเปรียบเทียบคิดเป็นตัวเลขกันก็คงเป็นตัวเลขเกินกว่า 17 หลักของค่าเงินบาทไทยแน่นอน ในความเสียหายครั้งกระนั้น
ท่านผู้นั้นถุกคนธรรมดาที่เดินดิน ได้เข้าแจ้งความให้ดำเนินคดีหลายคดีมากมาย ในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย เหลือเชื่อว่าท่านผู้นั้นยังไม่เคยต้องคดีแล้วเข้าไปนอนในห้องขังแม้แต่นาทีเดียว
แต่ผู้บริหารประเทศไทยที่ประชาชนเลือกมาและโดนท่านผู้นี้กระทำ กลับต้องถูกถอดถอนไปถึงสองคน
ท่านผู้นี้เหมือนว่ายิ่งใหญ่จริงๆ ใหญ่มาก ใหญ่จนกระทั้งเราคิดกันว่าในโลกใบนี้คงไม่มีใครใหญ่เท่ากับท่านผู้นี้ไปได้
แต่..มันก็ยังไม่ใช่ เพราะต่อมาอีกไม่นาน ท่านผู้นี้ก็โดนกระทำเหมือนกันด้วยใครก็ไม่รู้ที่ใหญ่กว่านั้นเข้าไปอีก ท่านโดนถล่มด้วยอาวุธสงครามนานาชนิทั้งหนักและเบา ในใจกลางเมืองหลวง ที่ขณะนั้นถูกปิดล้อมด้วยกำลังทหารเต็มอัตราศึกเฉกเช่นในสภาวะสงคราม ที่ ทุกสี่แยกทุกมุมของถนนจะมีกองกำลงติดอาวุธและรถถังประจำอยู่ที่นั่น พร้อมกำลังพลมากมายที่มีบังเกอร์ล้อมรอบกายอยู่
หลังเหตุการถล่มครั้งนั้น ผู้ที่กระทำการหลบนี้ไปได้อย่างเหลือเชื่อภายใต้สถานการณ์แบบนั้น และกล้องวงจรปิดทุกตัวในบริเวณเส้นทางนั้นก็ไม่สามารถใช้งานได้ซักตัว
การหาตัวผู้กระทำความผิดเป็นไปอย่างเข้มข้นถึงขนาดต้องปลด ผบ.ตร.กันไปเลย แล้วเปลี่ยนเอาคนที่ดีที่สุดเข้ามานั่งในตำแหน่งนั้นแทน แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ จนกระทั่งหมดวาระกันไป และมาจนถึงบัดนี้เรื่องก็เงียบหายกันไปเฉยๆ ไม่รู้กันเลยว่าใครกระทำทั้งๆที่เจ้าตัวก็ประกาศปาวๆๆในทีวีของตัวเองว่ามี ใครบ้างที่กระทำในครั้งนั้น
นี่เป็นอีกหนึ่งคำถาม “ใครมันใหญ่กว่าท่านสนธิคนนี้ ในโลกยังมีอีกหรือ”ที่สามารถสั่งการฆ่าแล้วลอยนวลอย่างสบายใจไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สมมุติอีกคน คนที่ใหญ่จริงๆ เขาคนนั้นชื่อนางY
เรื่องที่เล่ากันว่า นี้ มันดันเข้มข้นขึ้นมา ตรงที่ว่า ท่านสนธิเอง เป็นคนแรกที่เอาเเรื่องน้ำมันนี้ขึ้นมาพูดอย่างเป็นตุเป็นตะ มีหลักฐาน มีภาพถ่ายดาวเทียมพร้อมออกทีวี ประจานไปทั่ว แต่ดันสมมุติตัวละครที่ตนเองกล่าวถึง ไม่ใช่นางY กลายเป็นนายกฯทักษิณแทน แล้วก็มาสรุปว่าเป็นทุนสามาลย์ จะต้องล้มท่านทักษิณให้ได้
หลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลแล้ว เรื่องน้ำมัน นี้ ท่านสนธิเองก็เงียบไป อย่างกับเป่าสากอีกคน หันไปไล่นายกฯอีกคนที่ชื่ออภิสิทธิ์แทน ว่ากันไปแบบนั้นเลย ว่า “เลวชาติชั่ว เลวยิ่งกว่าทักษิณ”
แปลกไหมครับ งง ไหมครับ ขนาดเก่งกล้าอย่างสนธิตายเป็นตาย ยังไม่กล้าพุดเรื่อง น้ำมัน ต่อ
เมื่อผมตั้งสมมุติฐานมาสองตัว
ตัวแรกนายX
ตัวที่สองนางY
มันจึงได้สมการแบบนี้ขึ้นมา
X+Y = “ปล้นประเทศไทย” พวกเขาใหญ่จริงๆ ใหญ่คับประเทศใหญ่คับโลก
เมื่อไม่มีใครกล้าตอบว่าสองคนนี้คือใคร ทุกคนก็เดาไปในทิศทางเดียวกันหมด โดยมีฐานความคิดว่า “ที่ไม่กล้าแตะเรื่องนี้ ก็เพราะกลัว”
แล้วมันกลัวอะไรกัน กลัวตาย กลัวติดคุก กลัวโดนเล่นงานในทางลับ กลัวครอบครัวต้องลำบาก สรุปว่ากลัวทุกอย่าง ถ้าแม้ได้พูดเรื่องนี้ออกไป
บ้านเมืองนี้ไม่ปกป้องคนดีใช่ไหม? ไม่ปกป้องคนรักษาผลประโยชน์ของประชาชนใช่ไหม? ถึงได้ปล่อยให้ความกลัวครอบงำกันไปหมด กลัวแม้กระทั้งสมบัติของชาติที่เป็นผลประโยชน์ของตัวเองแท้ๆเลยต้องปล่อยให้ เลยตามเลยกันไป แล้วก้มหน้ารับกรรมด้วยกันทั้งประเทศ
ใครจะตีความว่าอะไรผมมิอาจเดาใจใครได้ แต่อยากขอร้องทุกท่านด้วยความหวังดี “ท่านกรุณาอย่าเดาถูก” มิฉะนั้นท่านอาจจะเป็นเช่นหลายๆคน ที่โดนคำสั่งให้ขังจนตายมาแล้ว
รัฐบาลหรือใครมีส่วนเกี่ยวข้องขอความกรุณาช่วยออกมาชี้แจง ด้วยครับ
นายXคือใคร? นางYคือใคร? ที่ร่วมกันปล้นประเทศไทยในครั้งนี้
และ ขอให้เห็นแก่ประชาชนตาดำๆด้วยครับ อย่าให้เขาต้องมาตายเพิ่มอีกมากมายเลย
โปรด..อย่าปล่อยให้ประชาชนเข้าใจถูก เลยครับ
ก่อนจบ
ผมขอบคุณท่านที่ให้ข้อมูลมา มี หลายท่านมากมายครับ
โดยเฉพาะสองท่านสำคัญ
คุณยาจก แห่งไทยว้อย
คุณเกาลัด แห่งไทยว้อย
ขอบคุณมากๆครับ

torsdag 17 maj 2012

อากง..อันตราย กว่าสนธิ? จากข้อมูลข้างล่างนี้มีตรงไหนที่พิสูจน์ให้เห็นว่า อากง อันตรายกว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล นอกจากเป็นความอคติของศาลเหี้ยที่เป็นสมุนรับใช้เจ้าของ ม ๑๑๒ " เหี้ยสั่งฆ่า อีห่าสั่งยิง " ที่ไม่ให้ประกันตัว อากง ด้วยความจงใจ ไม่ต้องมาแก้ตัว ไอ้ลูกสมุน เหี้ย

อ้างอิง โพทส์คุณ AI
นาย สราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการศาลยุติธรรม "อย่างไรก็ตามการจะปล่อยตัวหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล การประกันตัวในคดี 112 ก็ได้รับการประกันตัวหลายคน อาทิ นายสนธิ ลิ้มทองกุล"
ประวัตินายสนธิ ลิ้มทองกุล ...เป็นนักหนังสือพิมพ์ นักเขียน ผู้ก่อตั้งและเจ้าของหนังสือพิมพ์ในเครือผู้จัดการ ผู้ดำเนินรายการกลางแจ้ง เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ที่ปรึกษาสำนักพิมพ์ซุปเปอร์บันเทิง และเคยเป็นผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ทางช่อง 9 อ.ส.ม.ท. ก่อนที่ถูกระงับการถ่ายทอดเนื่องจากการกล่าวถึงพระราชอำนาจ
ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2549 นายสนธิเป็นหนึ่งในแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่นำการชุมนุมเพื่อขับไล่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ให้ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ประวัตินายอำพล ตั้งนพกุล(อากง) ..อาศัย อยู่กับภรรยาในบ้านเช่า ในอดีตมีอาชีพขับรถส่งของ แต่ปัจจุบันไม่ได้ประกอบอาชีพอะไร เนื่องจากอายุมากแล้วและพูดก็ไม่ชัดจากการผ่าตัดมะเร็งใต้ลิ้น ลูกๆ จึงเป็นผู้ส่งเสียให้อยู่บ้านเลี้ยงหลานๆ ในวันที่ตำรวจเข้าจับกุมทุกคนตกใจมากและพากันร้องไห้ อย่างไรก็ตาม คาดว่าลูกชายซึ่งทำงานเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของบริษัทแห่งหนึ่งคง กำลังพยายามหาทนายให้ แต่ไม่ทราบว่าเดินเรื่องเรียบร้อยหรือยังเมื่อ ถามถึงกรณีที่เขาถูกตำรวจระบุว่าเป็นกลุ่มฮาร์ดคอร์ของ นปช. นายอำพล กล่าวว่า เขาเคยไปเดินเที่ยวในที่ชุมนุมของกลุ่ม นปช. ที่ถนนราชดำเนินในช่วงเย็นๆ หลายครั้ง รวมทั้งในสมัยที่ที่กลุ่มพันธมิตรฯ ชุมนุมก็เข้าไปเดินเที่ยวหลายต่อหลายครั้งด้วยเช่นกัน ไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายไหนมากเป็นพิเศษ
แต่ศาลมี วินิจฉัย..ให้นายสนธิ(แกนนำ) ได้รับการประกันตัว ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม..(ไม่ได้แก่ ไ่ม่ได้เจ็บป่วย) แต่ไม่อนุญาตให้อากง(ไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใด)  ได้รับการประกันตัว(ทั้งๆที่แก่ มีโรคประจำตัว และเจ็บป่วยแล้วในขณะที่ถูกพิจารณาโทษ) ..
เพราะฉะนั้น..คำกล่าวอ้างข้างบน ของนายสราวุธ  จึงไม่น่าเชื่อถือ ด้วยประการทั้งปวง..



onsdag 16 maj 2012

๑๖ พฤษภาคม เป็นวันครบรอบ ๑๑๒ ปี ของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ บิดาแห่งการอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ เพื่อเป็นการสดุดีและรำลึกแด่ท่าน เราขอนำเอาผลงานอันยิ่งใหญ่ของท่านในการกอบกู้อิสระภาพให้แก่ประเทศชาติในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ที่พวกชนชั้นศักดินาไทยพยายามปิดบัง มาลงให้ท่านที่สนใจอ่าน....

คลิปประวัติศาสตร์เกี่ยวกับ ดร. ปรีดี พนมยงค์  รัฐบุรุษอาวุโส

http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=lwCw2nhqkM0#t=0s

สยาม ราชอาณาจักรใต้ดิน

                                  สยาม ราชอาณาจักรใต้ดิน
โดย  ปรีดี พนมยงค์  ( หลวงประดิษฐมนูธรรม )  รัฐบุรุษอาวุโส  อดีตผู้สำเร็จราชการในรัชกาลที่ ๘ และ อดีตนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย
จากหนังสือ  ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้า  และ ๒๑ ปีที่ลี้ภัยในสาธารณรัฐราษฎรจีน.
( เอกสารประวัติศาสตร์  ต้นฉบับเดิมเขียนเป็นภาษาฝรั่งเศสซื่อ MA VIE  MOUVEMENTÈE ET MES 21 ANS D´ EXIL EN CHINE POPULAIRE  แปลโดย  จำนงค์  ภควรวุฒิ  พรทิพย์  โตใหญ่ )
-๑-       เมื่อญี่ปุ่นโจมตีอ่าวเพีร์ลฮาเบอร์ในวันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔  และได้ยื่นคำขาดต่อรัฐบาลสยามเพื่อนำทัพญี่ปุ่นผ่านดินแดนสยามในการที่จะไป โจมตีพะม่าและมลายู  ซึ่งอยู่ในปกครองของอังกฤษ  ข้าพเจ้าทราบดีว่า  นี่เป็นการเข้ายึดครองสยามนั่นเอง  การกระทำเช่นนี้ของญี่ปุ่นขัดกับอุดมคติของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติของ ข้าพเจ้า  ในระหว่างที่มีการประชุมคณะรัฐมนตรี  ได้มีการประชุมหารือ  เกี่ยวกับข้อเรียกร้องของญี่ปุ่นในการเดินทัพผ่านดินแดนสยาม  ข้าพเจ้าได้พยายามผลักดันให้รัฐบาลดำเนินนโยบายที่เราได้แถลงไว้หลายครั้ง หลายหนในอดีต  กล่าวคือ  เราจะต่อต้านการรุกรานของกองทัพทหารต่างชาติไม่ว่าชาติใด  เพื่อพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งเอกราชและอธิปไตยของชาติ  นอกจากนี้  ข้าพเจ้าพิจารณาเห็นว่า  จะเป็นการต่อสู้เพื่อเหตุผลอันชอบธรรม   เพราะนี่เป็นการต่อต้านการรุกรานของต่างชาติ  ขณะที่ข้าพเจ้าแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีนี้  นายกรัฐมนตรี  จอมพลป. พิบูลสงครามก็ขัดจังหวะ  และห้ามข้าพเจ้าพูดต่อ  มีรัฐมนตรีบางคนที่เห็นว่า  เพียงอนุญาตให้กองทหารญี่ปุ่นเดินทัพผ่านประเทศสยามนั้นยังไม่พอ  หากยังคิดอีกว่า  ประเทศสยามน่าจะเข้าเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น  เพื่อจะได้ดินแดนที่สูญเสียให้อังกฤษและฝรั่งเศสไปกลับคืนมา   แต่ผลที่สุดความเห็นของข้าพเจ้าก็จัดอยู่ในกลุ่มเสียงข้างน้อย
            การที่ข้าพเจ้าคัดค้านการยินยอมของรัฐบาลจอมพลป. พิบูลสงครามนั้นทำให้ญี่ปุ่นโกรธแค้นข้าพเจ้ามาก   และได้บีบบังคับให้นายกรัฐมนตรีย้ายข้าพเจ้าออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลังไปรับตำแหน่งอื่นที่สูงขึ้น   แต่ต้องไม่ใช่ตำแหน่งที่มีอำนาจบริหารราชการ  ข้าพเจ้าจึงได้ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี   และสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเอกฉันท์ให้ข้าพเจ้าดำรงตำแหน่งในคณะผู้สำเร็จ ราชการแทนพระองค์ที่ว่างอยู่ ๑ ตำแหน่ง  ต่อมาภายหลังข้าพเจ้าได้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แต่เพียงผู้เดียว  แม้ว่าข้าพเจ้าจะรู้สึกว่าถูกบังคับก็ตาม  ข้าพเจ้าก็ยอม  เพราะคิดว่าตำแหน่งใหม่นี้จะทำให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสจัดตั้งองค์การต่อต้าน ญี่ปุ่น  ซึ่งต่อมารู้จักกันในนาม  “ ขบวนการเสรีไทย “
นอก จากกลุ่มคนไทยผู้รักชาติที่อยู่ในประเทศแล้ว  นักเรียนไทยในต่างประเทศ  เช่น  ในอังกฤษและสหรัฐอเมริกาได้รวมตัวกันจัดตั้ง  “ ขบวนการเสรีไทย “  โดยได้เข้าร่วมกับขบวนการที่เราจัดตั้งขึ้นภายในประเทศ  กลายเป็นขบวนการเดียวกัน  โดยมีข้าพเจ้าเป็นหัวหน้า
          ในระหว่างที่ญี่ปุ่นยึดครองประเทศไทยในเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ นั้น  มีผู้สนับสนุนและเข้าร่วมเป็นแนวหน้าของขบวนการเสรีไทยจำนวนประมาณ  ๘๐,๐๐๐ คน  และอีก ๕๐๐,๐๐๐ คนพร้อมที่จะเข้าร่วมเมื่อคราวจำเป็น 

-๒-        กองทหารญี่ปุ่นได้ชัยชนะในมลายูในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน  และรุกรานคืบหน้ารวดเร็วถึงประเทศพม่า  นับเป็นการคุกคามทั่วทั้งเอเชียอาคเนย์ รัฐบาลไทยสมัยจอมพลป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีประกาศสงครามต่อสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา  โดยหวังว่าอาจจะได้ดินแดนบางส่วนที่สยามเคยสูญเสียไปและที่ญี่ปุ่นเข้าไปยึด ครองนั้นกลับคืนมา  นอกจากนี้  รัฐบาลไทยยังได้แสดงท่าทีเป็นศัตรูต่อประเทศจีนด้วย  การประกาศสงครามนั้น  ถือว่าไม่ถูกต้องตามกฏหมาย  เพราะไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร  และข้าพเจ้า ซึ่งอยู่ในคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็ไม่ได้ลงนาม  ถึงกระนั้นฝ่ายสัมพันธมิตรบางประเทศถือว่า  ประเทศไทยเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น  เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นฝ่ายชนะสงคราม

เจ้า หน้าที่หลายคนที่ฝ่ายรัฐบาลสัมพันธมิตรส่งเข้ามาในประเทศสยามอย่างลับๆ  เพื่อมาเป็นที่ปรึกษาในการทำสงครามพลพรรค  และเป็นเจ้าหน้าที่ประสานงานฝ่ายสัมพันธมิตรนั้น เรียกขบวนการของเราว่า  “ สยาม  ราชอานาจักรใต้ดิน “
 

-
๓-         ขบวนการของเราได้กำหนดภารกิจที่จะต้องปฏิบัติ ๒ ด้านประกอบกันคือ  ด้านหนึ่งต่อสู้ญี่ปุ่นผู้รุกราน  และอีกด้านหนึ่ง  เจรจากับฝ่ายสัมพันธมิตร  เพื่อให้สัมพันธมิตรเห็นว่า  การประกาศสงครามของจอมพลป. พิบูลสงคราม  ไม่ถูกต้องตามกฏหมาย  เพื่อให้สัมพันธมิตรรับรองขบวนการของเรา  และรัฐบาลพลัดถิ่นที่เราคิดจะตั้งขึ้น  ตลอดจนยอมรับว่าเป็นพันธมิตรด้วย  ดังเช่นที่พวกเขาได้รับรอง  COMITE  FRANCAIS  DE  LIBERATION  NATIONALE    นำ โดยนายพล เดอโกลล์  ด้วยเหตุนี้เราจึงได้ส่งทูตพิเศษเพื่อไปเจรจาเรื่องนี้ อย่างลับๆ  เราได้มอบให้สถานเอกอัครราชทูตสยามที่ประจำอยู่ที่กรุงสต็อกโฮล์ม  ซึ่งได้ร่วมขบวนการด้วยเป็นผู้ติดต่อกับสถานเอกอัครราชทูตโซเวียตที่ประจำ อยู่ที่กรุงสต็อกโฮล์มเช่นกัน
การ เจรจาครั้งนี้เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความระมัดระวัง  ความรอบคอบและเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง  เพราะประเทศอังกฤษถือว่าการประกาศสงครามของจอมพลป. พิบูลสงครามนั้นมีผลสมบูรณ์ในขณะที่ประเทศสัมพันธมิตรอื่น  (  สหรัฐอเมริกา  สหภาพโซเวียต  รัฐบาลผลัดถิ่นของฝรั่งเศส ) ต่างก็มีท่าทีเฉพาะของตน  แต่ในแง่ของการทหารนั้น  บทความหลายชิ้น  และหนังสือหลายเล่มที่ตีพิมพ์ในสหราชอานาจักร  และสหรัฐอเมริกาเป็นพยานหลักฐานอย่างหนึ่งที่แสดงถึงความช่วยเหลือ  และความร่วมมือของเรานานัปการ  อันเป็นส่วนหนึ่งที่นำไปสู่ชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตร  ข้าพเจ้าขอนำคำเปิดเผยของลอร์ดหลุยส์  เมานท์แบทเตน  ที่ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์  ไทมส์  ฉบับวันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ มากล่าวอ้างไว้ดังนี้
 
หนังสือพิมพ์ไทมส์   ๑๘/๑๒/๑๙๔๖

“  อาคันตุกะผู้หนึ่งจากสยาม  การรณรงค์ของหลวงประดิษฐฯ

คำเปิดเผยของลอร์ด  เมานท์แบทเตน “
 

“   ลอร์ด  เมานท์แบทเตน  แห่งพม่า  ผู้ซึ่งไม่นานมานี้  เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรภาคเอเชียอาคเนย์  ได้รับการต้อนรับเลี้ยงอาหารกลางวันโดยชิตี้  ลิเวอรี่ คลับ ณ ไซออน คอลเลจ  เมื่อวานนี้ได้บรรยายไว้ในสุนทรพจน์ของท่านถึงบทบาทอันยิ่งใหญ่ของหลวง ประดิษฐ์ฯ  รัฐบุรุษอาวุโสแห่งสยาม  ในการกำจัดกองทัพญี่ปุ่นซึ่งยึดครองประเทศนั้น  ท่านลอร์ดได้สาธยายเกี่ยวกับรายละเอียดซึ่งหนังสือพิมพ์ไทมส์ได้เคยลงพิมพ์ ในฉบับประจำวันที่ ๒๒ ธันวาคม คือประมาณ หนึ่งปีมาแล้ว  และได้ประกาศแถลงว่า  หลวงประดิษฐฯ บุคคลผู้มีบทบาทที่น่าตื่นเต้นคนหนึ่งแห่งสงครามในเอเชียอาคเนย์นั้นกำหนดจะ มาถึงประเทศอังกฤษโดยเรือเดินสมุทร  ควีน  เอลิซาเบท  พรุ่งนี้เช้า


ลอร์ด เมานท์แบทเตน  กล่าวว่า ปรีดี พนมยงค์  รัฐบุรุษอาวุโสแห่งสยาม  ซึ่งรู้จักกันทั่วโลกในนามหลวงประดิษฐ์ฯ “   และพวกเราหลายคนแห่งกองบัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรภาคเอเชียอาคเนย์  รู้จักเขาตามชื่อระหัสว่า “ รู้ธ “ เขามาเยี่ยมประเทศนี้ ( อังกฤษ )  และข้าพเจ้าหวังว่าเราจะใช้โอกาศนี้ให้การรับรองเขาอย่างอบอุ่น  เพราะเหตุที่หลวงประดิษฐ์ฯเป็นบุรุษผู้มีบทบาทอันน่าตื่นเต้นคนหนึ่งแห่ง สงครามในเอเชียอาคเนย์  เป็นที่ทราบกันว่าในระหว่างสงครามนั้นไม่มีการกล่าวถึงชื่อของเขาอย่างเปิด เผยและเรื่องราวทั้งปวงเกี่ยวกับเขาก็ถูกถือว่าเป็น  “ ความลับสุดยอด”

แม้ กระทั่งทุกวันนี้  คนอังกฤษส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยทราบกันเท่าไรนักถึงพฤติกรรมอันอาจหาญที่เขากระทำ สำเร็จมาแล้ว   ขณะญี่ปุ่นรุกรานสยามหลวงประดิษฐฯ เป็นรัฐมนตรีคนหนึ่งในรัฐบาล  แต่เขาปฏิเสธที่จะลงนามในการประกาศสงครามต่อเรา  หลวงพิบูลฯ “ ควิสลิง “ (
QUISLING คือ นายกรัฐมนตรี นอร์เวย์สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งเข้าร่วมกับฝ่ายนาซี- หมายเหตุผู้เรียบเรียง ) รู้ว่าเขา ( หลวงประดิษฐ์ฯ )  เป็นคนหนึ่งที่ทรงอำนาจและได้รับความนิยมอย่างยิ่งในประเทศ  และก็หวังที่จะทำให้เขาเป็นหุ่นเชิดโดยให้เขาขึ้นไปเป็นคนหนึ่งในคณะผู้ สำเร็จราชการแทนพระองค์  ซึ่งหลวงประดิษฐ์ฯ ยอมรับตำแหน่งนี้  หลวงพิบูลฯหรือญี่ปุ่นมิได้ตระหนักแม้แต่น้อยว่า  ขณะที่หลวงประดิษฐ์ฯ ยอมรับตำแหน่งหน้าที่นั้น  เขาก็ได้เริ่มต้นดำเนินการจัดตั้งและอำนวยการขบวนการต่อต้านของชาวสยามขึ้น"

" คณะผู้แทนหายสาบสูญไป  “ 


"เรา ได้รับรู้จากแหล่งต่างๆว่า หลวงพิบูลฯ มิได้ประสบผลทุกๆอย่างตามวิถีทางของเขาในประเทศสยามแต่การจะติดต่อ  ( กับขบวนการต่อต้านภายในสยาม )นั้น ก็ลำบากมากและทั้งนี้ก็เป็นการยากที่จะล่วงรู้ได้ด้วยว่า อะไรเกิดขึ้นกันแน่คณะผู้แทนของหลวงประดิษฐฯ ๒ คณะได้หายสาปสูญไประหว่างการเดินทางไปยังประเทศจีน  ซึ่งเต็มไปด้วยภยันตราย  แต่ในที่สุด ก็ได้มีการพบปะกันระหว่างสัมพันธมิตรและขบวนการเสรีไทย  เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงระยะเดียวกันกับที่ข้าพเจ้าได้รับการแต่ง ตั้งให้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตร  นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เราก็ได้ติดต่อกันเป็นประจำ  การติดต่อทั้งนี้นับได้ว่า เป็นความสัมพันธ์พิเศษยิ่งอย่างหนึ่ง  เพราะผู้บัญชาการทหารสูงสุดของสัมพันธมิตรได้แลกเปลี่ยนแผนการทหารที่สำคัญๆ กับประมุขแห่งรัฐ  ซึ่งโดยทางเทคนิคแล้วถือว่าอยู่ในสถานะสงครามกับเรา   “  เราจะเห็นได้ว่าหลวงประดิษฐ์ฯ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี  และเขากล้าหาญที่สามารถจัดการให้มีการล้มรัฐบาลของหลวงพิบูลฯได้สำเร็จในปี พ.ศ. ๒๔๘๗  โดยจัดให้มีรัฐบาลใหม่ขึ้น  ซึ่งเป็นรัฐบาลที่เขาแต่งตั้งเอง  และทำให้เขาสามารถดำเนินแผนการต่อต้านญี่ปุ่นได้ดีขึ้น


กอง กำลังเสรีไทยที่ได้รับการฝึกฝนในประเทศเราและได้ปฏิบัติการร่วมกันกับกอง กำลังบริติชที่ ๕ และกองกำลัง ที่ ๑๓๖  รวมทั้งกองกำลังอเมริกัน
 O.S.S. นั้นบางส่วนได้กระโดดร่มเข้าไปร่วมงานของหลวงประดิษฐ์ฯ  บางคนถูกจับกุมคุมขังโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลหลวงพิบูลฯ  แต่ก็ถูกคุมขังพอเป็นพิธีเท่านั้น  เพราะพวกเขาก็พบปะกับหลวงประดิษฐ์ฯได้อย่างลับๆ  และได้ตั้งสถานีวิทยุติดต่อกับกองบัญชาการของข้าพเจ้า

ใน เดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๘๘ หลวงประดิษฐ์ฯได้ส่งบุคคลชั้นหัวหน้าสำคัญๆแห่งขบวนการต่อต้านนำโดยนายดิ เรก  ชัยนาม  รัฐมนตรีต่างประเทศสยามมาปรึกษาหารือกับข้าพเจ้าที่เมืองแคนดี  เราจัดให้คณะดังกล่าวออกมาและส่งกลับโดยเครื่องบินทะเล  หรือโดยเรือบิน ( ชนิดที่ต่อเป็นลำเรือไม่ใช่ทุ่น )  ในระหว่างสนทนา เราก็ได้วางแผนการที่เป็นรูปธรรมสำหรับการปฏิบัติการภายหน้า  เพื่อให้ประสานกับหลักสำคัญแห่งยุทธภูมิของข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าเองได้มีการตระเตรียมพร้อมเสมอเมื่อถึงความจำเป็นที่จะให้หลวง ประดิษฐ์ฯบินออกมาในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน  ตราบจนถึงตอนปลายสงคราม  เขาได้จัดตั้งกองกำลังเพื่อก่อวินาศกรรม  และจัดตั้งกำลังพลพรรคประมาณ ๖ หมื่นคน  กับทั้งการสนับสนุนอีกมากมายที่เตรียมพร้อมอย่างเงียบๆ  เพื่อที่จะร่วมปฏิบัติการ ซึ่งล้วนแต่อยู่ในบริเวณที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญๆในสยาม “
 
“ หลวงประดิษฐ์ฯ ( เขา ) ไม่เคยทำให้เราผิดหวัง “
 

“ ข้าพเจ้าเข้าใจดีทีเดียวถึงความยากลำบากที่เขาต้องควบคุมพลังนี้  แต่ข้าพเจ้าเองก็ต้องระลึกอยู่เสมอเช่นเดียวกันถึงภยันตรายอันใหญ่หลวงแห่ง การเคลื่อนไหวโดยที่ยังไม่ถึงเวลา  ซึ่งจะเป็นผลให้ญี่ปุ่นทำการตอบโต้ทำลาย  และจะทำให้แผนยุทธศาสตร์แห่งยุทธภูมิทั้งปวงของข้าพเจ้าเกิดผลกระทบปั่นป่วน วุ่นวาย  ความเครียดที่บังคับให้หลวงประดิษฐ์ฯต้องแบกรับไว้  และภยันตรายที่เขาต้องเผชิญตลอดเวลา ๓ ปี  นับว่าเป็นสิ่งที่น่าพรั่นพรึงอย่างยิ่ง  แต่ก็อาศัยความที่มีวินัยของเขาเองประกอบกับที่เขาได้ชักจูงให้บรรดาผู้ เชื่อถือเลื่อมใสในตัวเขาปฏิบัติตามนั่นเอง  ที่ทำให้ได้ประสบชัยชนะในที่สุด  เขาไม่เคยทำให้เราผิดหวังเลย


ข้าพเจ้า รู้ว่ามีบุคคลมากหลายที่เคยตกเป็นเชลยศึกในสยาม  ได้มีความสำนึกอันถูกต้องในแง่ที่มีความกตัญญูรู้คุณต่อความปราถนาดีของหลวง ประดิษฐ์ฯ  ซึ่งมีต่อเรา

ดัง นั้นจึงขอให้เราให้เกียรติแก่บุคคลผู้นี้  ที่ได้มีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่ออุดมการณ์ของพันธมิตรและต่อประเทศของเขา เอง  ข้าพเจ้าทราบด้วยว่า เขาเป็นบุคคลที่ได้ส่งเสริมมิตรภาพระหว่างอังกฤษกับสยามอย่างแข็งขัน  การต่อต้านการกดขี่ของญี่ปุ่นในเอเชียอาคเนย์ดำเนินไปอย่างเกือบไม่ขาดสาย ทั้งนี้ก็เพราะ หลวงประดิษฐ์ฯ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งยวดในการนี้  ( เสียงตบมือแสดงความชื่นชมยินดีก้องขึ้นเป็นเวลายาวนาน )  "


-๔-         รัฐบาลสหรัฐอเมริกา  โดยประธานาธิบดีรูสเวลท์ไม่มีนโยบายที่จะทำให้ประเทศของเราเป็น “ อาณานิคม “ จะเห็นได้จากบันทึกที่จัดทำโดยกรมกิจการแปชิฟิคตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเตรียมเผื่อท่านประธานาธิบดีจะใช้ในการสนทนากับ มร. เชอร์ชิล และจอมพลสตาลิน  ที่นครยัลต้าในปี พ.ศ. ๒๔๘๘  บันทึกนี้กล่าวถึงสถานภาพภายหน้าของสยามที่ข้าพเจ้าขอยกข้อความตอนหนึ่งมา ดังนี้


“  เหตุการณ์ที่ชาวยุโรปบีบบังคับประเทศไทย  และการที่ชาวยุโรปได้ยึดเอาดินแดนแห่งเอเชียอาคเนย์ไปนั้นยังอยู่ในความทรง จำของชาวเอเชีย  รัฐบาลนี้ ( ส.ร.อ. ) ไม่อาจจะร่วมในการปฏิบัติต่อประเทศไทย ไม่ว่าในรูปแบบใด  เยี่ยงจักรวรรดินิยมสมัยก่อนสงครามได้ “

บันทึกนี้ยังกล่าวย้ำอีกว่า


“  เรามิได้ถือว่า  ประเทศไทยเป็นศัตรู   แต่เป็นประเทศที่ถูกยึดครองโดยศัตรู  เรารับรองเอกอัครราชทูตประเทศไทยในกรุงวอชิงตันเป็น “ อัครราชทูตแห่งประเทศไทย “  ฐานะเหมือนกันกับอัครราชทูตเดนมาร์ก  เราสนับสนุนให้มีประเทศไทยที่เป็นเอกราชและมีเสรีภาพ  พร้อมด้วยอธิปไตยที่ไม่ถูกบั่นทอน  และปกครองโดยรัฐบาลที่ชาวไทยเลือกเอง   ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งในเอเชียอาคเนย์  ซึ่งเป็นประเทศเอกราชอยู่ก่อนสงคราม  แม้ว่าเราจะมีส่วนสำคัญในการทำให้ญี่ปุ่นพ่ายแพ้  แต่ถ้าหากผลแห่งสงครามทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียดินแดนที่ตนมีอยู่ก่อน สงครามหรือเอกราชถูกบั่นทอนเราเชื่อว่า  ผลประโยชน์ของ ส.ร.อ. ทั่วตะวันออกไกลจะถูกกระทบกระเทือน

ภาย ในประเทศไทยซึ่งเดิมยอมจำนนต่อญี่ปุ่นและต่อมาร่วมมือกับญี่ปุ่น   อันเป็นที่รู้กันอย่างกว้างขวางทั่วไปนั้น  ได้ถูกเปลี่ยนเป็นรัฐบาลใหม่ซึ่งส่วนใหญ่คุมโดยหลวงประดิษฐ์ฯ  ผู้สำเร็จราชการฯปัจจุบันที่ได้รับการนับถือที่สุดของบรรดาผู้นำไทย  และเป็นผู้ต่อต้านญี่ปุ่นมาตั้งแต่ต้น”


นอกจากนี้ นายคอร์ เดล ฮัลล์ (
Cordel  Hull )  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีจดหมายลงวันที่  ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๖  แจ้งไปยังรองผู้อำนวยการสำนักงานศูนย์ยุทธศาสตร์เกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาล อเมริกันที่มีต่อประเทศไทย  ดังความต่อไปนี้

“  สหรัฐอเมริกาถือว่า ไทยเป็นรัฐเอกราชที่บัดนี้ตกอยู่ภายใต้การยึดครองด้วยทหารญี่ปุ่น ....

“  รัฐบาลอเมริกันหวังว่า จะสถาปนาเอกราชของประเทศไทยโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้  จากข่าวสารต่างๆที่ได้รับแสดงให้เห็นว่า  ในรัฐบาลไทยปัจจุบันก็ยังมีข้าราชการส่วนหนึ่งที่คัดค้านไม่เห็นด้วยกับการ ที่รัฐบาลไทยยอมจำนนต่อการกดดันของฝ่ายญี่ปุ่น  เป็นที่ทราบกันดีว่า  มีหลวงประดิษฐ์มนูธรรม ( หรือที่รู้จักกันในนาม นายปรีดี พนมยงค์ )  คนหนึ่งในคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ร่วมอยู่ด้วย  นอกจากนี้หลวงประดิษฐ์ฯ ยังมีส่วนสำคัญในขบวนการใต้ดิน  ซึ่งมีจุดเพื่อฟื้นสถานภาพของรัฐบาลไทยที่เคยเป็นอยู่ก่อนหน้าการรุกรานของ ญี่ปุ่น


ด้วย เหตุผลดังกล่าว  รัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกาจึงถือว่าหลวงประดิษฐ์ฯ เป็นตัวแทนแห่งการสืบต่อมาของรัฐบาลแห่งประเทศไทยตามที่เป็นอยู่ก่อนหน้าที่ นายกรัฐมนตรีไทยสมัยนั้น ( จอมพลป. พิบูลสงคราม )  จะไปเข้ากับฝ่ายญี่ปุ่นในตอนที่ญี่ปุ่นบุก  และยอมรับว่า ( หลวงประดิษฐ์ฯ )  เป็นผู้นำคนสำคัญในขบวนการเพื่อเอกราชของชาติไทย

ด้วย เหตุนี้ โดยไม่เป็นการผูกมัด รัฐบาลสหรัฐอเมริกาในอนาคต  เราจึงถือว่า หลวงประดิษฐ์ฯ เป็นตัวแทนและผู้นำสำคัญคนหนึ่งของชาติไทย  ตราบใดที่ชาวไทยยังไม่ได้แสดงออกในทางตรงกันข้าม


คอร์เดล  ฮัลล์  
"

-๕-      ส่วนท่าทีของสหราชอาณาจักรนั้น  แม้ว่าผู้นำทางทหาร ดังเช่นลอร์ด เมานท์แบทเตน  จะแสดงความชื่นชมต่อคุณูปการของเราที่มีต่อฝ่ายสัมพันธมิตร   ( ดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในตอนที่ ๓ )  ในเบื้องแรก  รัฐบาลสหราชอาณาจักร  ซึ่งประกอบด้วยนักการเมืองที่มีแนวโน้มนิยมชมชอบลัทธิจักรวรรดินิยมไม่ ยินยอมเจรจากับเราในทางการเมืองในส่วนที่เกี่ยวกับเอกราชของชาติไทยภายหลัง ที่ฝ่ายสัมพัธมิตรได้ชัยชนะ  ดังนั้นลอร์ดเมานท์แบทเตน  จึงได้รับคำสั่งอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลของตนให้เจรจากับผู้แทนฝ่ายเรา เพียงเฉพาะเรื่องกิจการทางทหารอย่างเดียวเท่านั้น  นักการเมืองชาวอังกฤษในยุคนั้นทราบดีทีเดียวว่า  การประกาศสงครามระหว่างสยามกับสหราชอาณาจักรนั้น ไม่ถูกต้องตามกฏหมาย  อย่างไรก็ตามอังกฤษถือว่า  ประเทศเราจะต้องชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามให้แก่อังกฤษ

 เมื่อ รัฐบาลอังกฤษมีท่าทีปฏิเสธการเจรจาทางการเมืองเช่นนี้  เราจึงได้หันมาใช้ความพยายามเจรจาในเรื่องนี้กับรัฐบาลอเมริกัน  ที่นำโดยประธานาธิบดีรูสเวลท์  ซึ่งมีท่าทีสนับสนุนสยาม  และพยายามเจรจากับรัฐบาลผสมของจีน   (ระหว่างจีนคณะชาติกับจีนคอมมิวนิสต์  )  โดยทางเราได้ส่งคณะผู้แทนไปเจรจาเรื่องเอกราชของชาติ
เรา ได้ขอให้สถานอัครราชทูตของเราที่กรุงสต็อกโฮล์มติดต่อกับสถานอัครราชทูตของ โซเวียตที่นั่นเช่นกัน  ให้ช่วยส่งบันทึกรายงานฉบับหนึ่งไปยังรัฐบาลโซเวียต  เพื่อสนับสนุนความต้องการอันชอบธรรมของเรารัฐบาลของประธานาธิบดีรูสเวลท์ได้ ให้ความช่วยเหลือแก่เราหลายครั้งหลายคราว  เพื่อที่จะทำให้อังกฤษเปลี่ยนใจ  หรืออย่างน้อยที่สุดให้อังกฤษมีท่าทีเดียวกับ ส.ร.อ.  ในการยอมรับว่าประเทศสยามมิได้เป็นศัตรู  แต่เป็นประเทศอยู่ภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่น


อย่าง ไรก็ตาม  ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ เราได้พิจารณาเห็นว่า  ถึงเวลาแล้วที่ขบวนการเสรีไทยจะต่อสู้การรุกรานของญี่ปุ่นอย่างเปิดเผย  แทนที่จะกระทำการอย่างลับๆ  แต่ก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติการ  เราได้ปรารถนาที่จะให้รัฐบาลอเมริกันและอังกฤษยืนหยัดต่อเราก่อนว่า  จะเคารพความเป็นเอกราชของประเทศสยามแม้ว่า  จอมพลป. พิบูลสงครามจะได้ประกาศสงครามกับประเทศทั้งสองโดยไม่ถูกต้อง  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้ส่งโทรเลขลับด่วนมาก ๒ ฉบับ  ซึ่งมีข้อความตรงกัน ฉบับหนึ่งถึงกระทรวงต่างประเทศ ส.ร.อ.  และอีกฉบับถึงลอร์ดเมานท์แบทเตน  

 ข้าพเจ้าขอยกข้อความในโทรเลขของข้าพเจ้า  ซึ่งทางกระทรวงต่างประเทศของ ส.ร.อ. ได้พิมพ์ภายหลังญี่ปุ่นยอมจำนนไปแล้ว ๒๕ ปี ดังนี้
 ๑)     บันทึกจัดทำโดยกระทรวงต่างประเทศ ส.ร.อ. เลขที่ ๓๔๐๐๐๑๑  p.w./ ๕๒๙๔๕  วอชิงตัน ๒๘ พฤษภา ๒๔๘๘
 สาส์ นถึงรัฐมนตรีต่างประเทศจากรู้ธ ( ปรีดี พนมยงค์ ) ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศส.ร.อ. ได้รับเมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๘  มีข้อความดังต่อไปนี้
 “  การต่อต้านเสรีไทยในการดำเนินกิจกรรมทั้งหลายนั้น  ได้ทำตามคำแนะนำของผู้แทนอเมริกันเสนอมาในการที่มิให้ปฏิบัติการใดๆต่อสู้ ญี่ปุ่นก่อนถึงเวลาอันควร  แต่ขณะนี้  ข้าพเจ้าเชื่อว่า  กำลังใจรบของญี่ปุ่นจะลดน้อยลงไป  ถ้าขบวนการเสรีไทยไม่คงอยู่ภายในฉากกำบังอีกต่อไป  ญี่ปุ่นจะถูกบีบให้ยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไขต่อสัมพันธมิตรเร็วขึ้น  เพราะการสลายตัวของสิ่งที่เรียกว่า  วงไพบูลย์ร่วมกัน  อย่างไรก็ตาม  เราได้ถือตามคำแนะนำว่าขบวนการเสรีไทยจะต้องพยายามขัดขวางความร่วมมือที่ ญี่ปุ่นจะได้จากประเทศไทย  เราได้ยึดถือนโยบายนี้อย่างเคร่งครัดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  แต่ท่านย่อมเห็นได้ว่า  ญี่ปุ่นนับวันยิ่งจะมีความสงสัยขบวนการเสรีไทยมากยิ่งขึ้น  เมื่อไม่นานมานี้รัฐบาลไทย  (รัฐบาลควง ฯ )  ไม่ยอมทำตามคำขอของญี่ปุ่นที่ขอเครดิตเพิ่มเติมอีก ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐  บาท  ข้าพเจ้าได้รับแจ้งจากรัฐบาลปัจจุบันว่า  จะอยู่ในตำแหน่งต่อไปไม่ได้  ถ้าหากญี่ปุ่นบีบบังคับให้ปฏิบัติตามคำขอดังกล่าว
 ถ้า ญี่ปุ่นยืนยันเช่นนั้น  รัฐบาลใหม่ก็จะตั้งขึ้นและปฏิการต่อสู้ญี่ปุ่น  โดยประการแรกประกาศโมฆะกรรม  ซึ่งหนี้สินและข้อตกลงซึ่งรัฐบาลพิบูล ฯกับญี่ปุ่นได้ทำกันไว้ตลอดทั้งสนธิสัญญาที่ผนวก ๔ รัฐมาลัย (มาเล  ผู้เรียบเรียง )และรัฐฉานไว้กับประเทศไทย  รวมทั้งการประกาศสงครามต่ออังกฤษและ ส.ร.อ. ด้วยพื้นฐานแห่งความสัมพันธ์ระหว่าง ๒ ชาตินี้กับประเทศไทยจะสถาปนาขึ้นดังที่เป็นอยู่ก่อนญี่ปุ่นบุกเพิร์ล ฮาร์เบอร์  ก่อนที่จะดำเนินแผนการนี้  ข้าพเจ้าปรารถนาแจ้งให้ท่านทราบถึงสถานการณ์ที่เป็นอยู่  แม้ว่าข้าพเจ้าตระหนักว่า  ส.ร.อ. มีเจตนาดีต่อเอกราชของประเทศไทย  และมีไมตรีจิตต่อราษฎรไทย  ข้าพเจ้าเชื่อว่าในวันที่เราลงมือปฏิบัติการนั้น ส.ร.อ.จะประกาศเคารพความเป็นเอกราชของประเทศไทย  และถือว่าประเทศไทยเป็นสมาชิกของสหประชาชาติและไม่ถือว่าประเทศไทยเป็น ประเทศศัตรู ทั้งนี้จะเป็นการส่งเสริมกำลังใจอย่างใหญ่หลวงต่อมวลราษฎรไทย ซึ่งเตรียมพร้อมแล้วในการเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง “

ข้าพเจ้าได้ส่งสาระในโทรเลขฉบับนี้ไปยังผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรเอเชียอาคเนย์ด้วยเช่นกัน

 ๒ )  วันที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๘  ข้าพเจ้าได้รับคำตอบจากผู้รักษาการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ส.ร.อ. มีความดังต่อไปนี้

“  ขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อสาส์นของท่านถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ  เราเข้าใจความปราถนาของท่านที่จะให้ประเทศไทยต่อสู้ศัตรูทางปฏิบัติการโดย เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  เราเชื่อแน่ว่าอย่างไรก็ตามท่านย่อมตระหนักว่า  การต่อสู้ศัตรูร่วมกันของเรานั้น  ต้องสมานกับยุทธศาสตร์ทั้งปวงในการต่อสู้กับญี่ปุ่น  และไม่เป็นผลดีถ้าไทยทำก่อนเวลาอันสมควร  และก่อนที่จะมีหลักประกันพอสมควรว่าจะได้ชัยชนะ  หรือถ้าลงมือปฏิการอย่างเปิดเผยโดยมิได้อยู่ในแผนยุทธศาสตร์ของผู้บัญชาการ ทหารสูงสุดสัมพันธมิตรภาคเอเชียอาคเนย์

เรา หวังว่า  ท่านจะใช้ความพยายามต่อไปที่จะป้องกันการกระทำก่อนถึงเวลาอันสมควร  โดยขบวนการเสรีไทย  หรือการปฏิบัติอันเร่งให้ญี่ปุ่นยึดอำนาจจากรัฐบาลไทย (รัฐบาลควง ฯ )

เรา เชื่อมั่นว่า  ท่านจะแจ้งให้เราและอังกฤษทราบถ้าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงกระทันหัน ทั้งๆที่ท่านพยายามยับยั้งไว้แล้วก็ตาม  ส.ร.อ. เข้าใจแจ่มแจ้ง  และเห็นคุณค่าในความปรารถนาจริงใจของท่านและมวลราษฎรไทยในการปฏิเสธการ ประกาศสงครามและข้อตกลงระหว่างญี่ปุ่นกับรัฐบาลพิบูลฯนั้น  แต่ยังไม่เข้าใจแจ้งชัดว่าเหตุใดรัฐบาลปัจจุบัน ( รัฐบาลควง ฯ ) จะลาออกขณะนี้  หรือจะมีการบีบบังคับอย่างใดอย่างหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลชุดต่อไปต้องเลือกเอา การปฏิเสธการประกาศสงครามและข้อตกลงกับญี่ปุ่นเป็นการกระทำในเบื้องแรก

ย่อม จะเห็นได้ว่า  ขบวนการเสรีไทยจะบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ได้ดีกว่าเมื่อออกมาปฏิบัติการเปิด เผยแล้ว คือโดยจู่โจมการลำเลียงการคมนาคมกองกำลังยุทโธปกรณ์ของศัตรู  อย่างฉับพลันและอย่างมีการประสานงาน  รวมทั้งยึดตัวนายทหาร  พนักงาน เอกสาร  จุดสำคัญของศัตรู  แล้วการปฏิบัติทางการเมืองเพื่อปฏิเสธการประกาศสงครามและการเข้ามีฐานะเสมอ กันกับสัมพันธมิตรก็จะตามมาภายหลัง

เรา ให้ความสำคัญต่อการมีรัฐบาลไทยที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญอย่างแท้จริงบนผืน แผ่นดินไทย  เพื่อที่จะทำการร่วมมือกับสัมพันธมิตร เราหวังว่า  การเตรียมทุกอย่างที่จะเป็นไปได้  จะต้องทำขึ้นในอันที่จะป้องกันการจับกุมหรือการแยกย้ายบุคคลสำคัญที่เป็น ฝ่ายสัมพันธมิตร  เพื่อว่ารัฐบาลดังกล่าวนั้นจะเข้ารับงานได้ทันทีในบริเวณที่ปลอดญี่ปุ่น  และสามารถสั่งการทางทหารให้กองทัพไทยปฏิบัติการร่วมมือกับสัมพันธมิตร  และสามารถรื้อฟื้นกลไกของรัฐบาลพลเรือนในบริเวณที่กู้อิสรภาพแล้ว

ส.ร.อ. ไม่อาจประกาศโดยลำพังได้ว่าชาติอื่นชาติใดเป็นสมาชิกสหประชาชาติ  แต่จะมีความยินดีประกาศซ้ำอีกโดยเปิดเผยในโอกาศเหมาะสมถึงการเคารพความเป็น เอกราชของชาติไทย และประกาศว่า ส.ร.อ. ไม่เคยถือว่าประเทศไทยเป็นศัตรู

เรารอคอยวันที่ประเทศของเราทั้งสองสามารถที่จะเปิดเผยต่อสาธารณชนถึงจุดหมายร่วมกันในการต่อสู้ศัตรูร่วมกัน"


(ลงนาม )  กรูว์   (
Grew )         
รักษาการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ
 

๓)    แม้ว่าลอร์ดเมาน์ทแบทเตน  ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด  จะรู้สึกเห็นใจในขบวนการของเรา  แต่ก็ตอบรับได้เฉพาะในแง่ของแผนการทางทหารเท่านั้นโดยขอให้ข้าพเจ้าป้องกันมิให้มีการกระทำการใดๆก่อนถึงเวลาอันสมควร 

เมื่อ เราส่งนายดิเรก ชัยนาม  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้นไปที่ประเทศซีลอน  เพื่อเจรจากับลอร์ดเมาน์ทแบทเตน  บรรดาที่ปรึกษาทางการเมืองที่รัฐบาลอังกฤษส่งมาเจรจา ต่างก็ปฏิเสธที่จะยอมรับความเป็นเอกราชของสยาม


-๖-   สำหรับรัฐบาลจีนโดยการนำของจอมพลเจียงไคเช็ค  ซึ่งฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายคอมมิวนิสต์เองรับรองว่า  เป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฏหมายของประเทศจีนในระหว่างสงครามโลกครั้งที่  ๒ นั้น  ขบวนการเสรีไทยได้ส่งผู้แทนไปเจรจา ๓ ครั้ง เรื่องความเป็นเอกราชของสยาม  และขอให้คณะผู้แทนของขบวนการ ฯผ่านประเทศจีน เพื่อไปติดต่อกับประเทศสัมพันธมิตรอื่นๆได้ง่ายขึ้น

รัฐบาล จีนได้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่จีน ซื่อ เหลียง ( เกิดในเมืองไทย ) เป็นผู้ดำเนินการเจรจากับคณะผู้แทนของขบวนการฯ  เจ้าหน้าที่ผู้นี้ทำงานในหน่วยสืบราชการลับของรัฐบาลจีนและเป็นที่ไว้วางใจ มาก  อันที่จริงแล้ว  เจ้าหน้าที่ผู้นี้สนับสนุนฝ่ายคอมมิวนิสต์และได้เปิดเผยรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับจุดประสงค์ของข้ารัฐการชั้นสูงของจีนที่มีต่อประเทศสยาม  ( ในปี พ.ศ. ๒๔๙๒ เจ้าหน้าที่ผู้นี้ได้เดินทางไปยังกรุงปักกิ่งเพื่อเข้าร่วมกับฝ่าย คอมมิวนิสต์ และเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือแก่ข้าพเจ้าในการเตรียมการเดินทางไปยังสาธารณรัฐ ราษฎรจีน )


รัฐบาล จีนไม่พอใจประเทศไทยมาก  พราะรัฐบาลจอมพลพิบูลฯ  ไม่เพียงแต่จะส่งกองทหารไปยึดพื้นที่บริเวณตลอดชายแดนจีน-พม่า  ที่ขึ้นกับอังกฤษเท่านั้น  แต่ยังรับรองรัฐบาลหุ่นของมานจูกั๊วะ  ที่ตั้งขึ้นภายใต้การบงการของญี่ปุ่นในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน  ( อดีตจักรพรรดิปูยี
PU YI ) ซึ่งได้ถูกถอดจากราชบัลลังก์จีนโดยการอภิวัฒน์ชนชั้นเจ้าสมบัติในปีพ.ศ. ๒๔๕๔  ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นจักรพรรดิในรัฐใหม่แห่งนี้ ) นอกจากนี้จอมพลพิบูลฯยังรับรองรัฐบาลวังจิงไว ( Wang Jing-wei ) ว่าเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฏหมายของประเทศจีนด้วย
รัฐบาล จีนได้ออกข่าวผ่านทางวิทยุกระจายเสียงและหนังสือพิมพ์ขู่ว่า  จะบุกเข้าประเทศไทยจับตัวจอมพลพิบูลฯและผู้สมรู้ร่วมคิดมาชำระคดีฐานเป็น อาชญากรสงคราม  การเจรจาของเรากับรัฐบาลจีนจึงลำบากมาก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องพยายามให้รัฐบาลจีนไม่ถือว่าประเทศสยามเป็นศัตรูและ เคารพความเป็นเอกราชของสยามภายหลังที่ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ชัยชนะ

การ เดินทางของผู้แทนคนแรกของขบวนการฯ คือนายจำกัด พลางกูร  ไม่อาจผ่านประเทศจีน เพื่อไปยังประเทศสัมพันธมิตรได้เพราะติดขัดทางฝ่ายรัฐบาลจีนจึงทำให้เขาไม่ สามารถปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วงไปได้  การเดินทางครั้งนี้ประสบความลำบากมากมายนายจำกัดฯได้เสียชีวิตลงที่นครจุ งกิง  ผู้แทนคนที่ ๒ คือนายสงวน ตุลารักษ์  ได้รับความสะดวกขึ้นบ้างในการเดินทางไปอังกฤษและ ส.ร.อ.


คณะ ผู้แทนชุดที่ ๓  นำโดยนายถวิล อุดล  สามารถประสานการทำงานระหว่างขบวนการฯ ของเรากับรัฐบาลจีนได้จนสิ้นสงคราม ด้วยความพยายามของเราและด้วยความช่วยเหลือของรัฐบาลส.ร.อ.  โดยประธานาธิบดีรูสเวลท์  รัฐบาลจีนยอมถือนโยบายของรัฐบาลอเมริกันในการเคารพความเป็นเอกราชของสยามภาย หลังที่ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ชัยชนะอย่างไรก็ตาม  ก่อนที่จะมีการแต่งตั้งผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรภาคเอเชียอาคเนย์ใน ปี พ.ศ. ๒๔๘๖ นั้นจอมพลเจียงไคเช็คได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่าย สัมพันธมิตรเพื่อบัญชาการสู้รบในประเทศจีนและในอินโดจีน  หลังปีพ.ศ. ๒๔๘๖  เจียงไคเช็คจึงได้รับผิดชอบการสู้รบเฉพาะในประเทศจีนเท่านั้น

แต่ เนื่องจากเส้นแบ่งเขตทางเหนือของเอเชียอาคเนย์ยังไม่แน่นอน  เจียงไคเช็คพยายามขอให้สัมพันธมิตรยอมให้เขตแดนสยามและอินโดจีนฝรั่งเศส (อินโดจีนของฝรั่งเศส ผู้เรียบเรียง ) เหนือเส้นขนานที่ ๑๖  อยู่ในเขตยุทธภูมิจีนที่เจียงไคเช็ครับผิดชอบอยู่  ข้าพเจ้าได้แสดงความวิตกกังวลในเรื่องนี้ต่อรัฐบาลอเมริกัน  เนื่องจากถ้าฝ่ายสัมพันธมิตรยินยอมตามเจียงไคเช็ค  กลุ่มชาวจีนโพ้นทะเลที่คลั่งชาติที่มีอยู่จำนวนมากในสยามย่อมฉวยโอกาสในขณะ ที่กองทัพจีนเข้ามาอยู่ในประเทศสยามก่อความวุ่นวายขึ้นหลังการยอมจำนน ญี่ปุ่นในปีพ.ศ. ๒๔๘๘  เจียงไคเช็คได้ขอความเห็นจากสัมพันธมิตรว่า  เขาจะส่งกองทัพเข้ามาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในเขตแดนสยามและอินโดจีนบริเวณ เหนือเส้นขนานที่ ๑๖ ได้หรือไม่  ข้าพเจ้าได้ส่งโทรเลขไปถึงรัฐบาลอเมริกันเพื่อชี้แจงว่า ขบวนการเสรีไทยพร้อมที่จะปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในดินแดนไทยเอง

ประธานาธิบดี ทรูแมน  ซึ่งรับตำแหน่งสืบต่อจากรูสเวลท์ตระหนักดีถึงปัญหาชาวจีนโพ้นทะเลดังกล่าว  จึงแต่งตั้งให้ผู้บัญชาการทหารอเมริกันที่รับผิดชอบด้านญี่ปุ่นเป็นผู้ออกคำ สั่งให้กองกำลังทหารญี่ปุ่นในดินแดนสยามยอมจำนนต่อลอร์ดเมาน์ทแบทเตน  ผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรภาคเอเชียอาคเนย์
ส่วนเจียงไคเช็คนั้นได้รับภาระให้ส่งกองทัพเข้าไปปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นทางตอนเหนือของอินโดจีนของฝรั่งเศสเท่านั้น

-๗-      ภายหลังที่ญี่ปุ่นยอมจำนนในวันที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ แล้วข้าพเจ้าได้เปิดเผยขบวนการใต้ดิน และได้ประกาศฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในวันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ ว่า  การประกาศสงครามของจอมพลพิบูลฯ ต่อสหรัฐอเมริกาและบริเตนใหญ่  ตลอดจนการผนวกเอาดินแดนบางส่วนของพม่าและมลายูของอังกฤษในระหว่างสงครามนั้น เป็นโมฆะ  ข้าพเจ้าได้แถลงเช่นเดียวกันว่าให้ถือวันที่ ๑๖ สิงหาคมเป็น  “ วันสันติภาพ “  และจะมีการฉลองในวันนี้ของทุกปี  แต่รัฐบาลภายหลังรัฐประหาร  ๒๔๙๐ ได้ยกเลิก  “วันสันติภาพ “ นี้เสีย
รัฐบาล อเมริกันได้ส่งนักการทูตมาเพื่อสถาปนาฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศ สยามดังที่ได้ให้สัญญาไว้  รัฐบาลอเมริกันไม่มีเงื่อนไขใดๆ  นอกจากขอให้เราคืนเงินจำนวนหนึ่งให้กับบริษัทอเมริกัน  เพราะรัฐบาลจอมพลพิบูลฯ  และญี่ปุ่นได้ยึดทรัพย์สินของบริษัทนั้นไป  และขอให้จับตัวจอมพลพิบูลฯและผู้สมรู้ร่วมคิดฟ้องศาลเป็นอาชญากรสงคราม
ฝ่าย รัฐบาลอังกฤษเรียกร้องให้ส่งคณะผู้แทนไปพบลอร์ดเมาน์ทแบทเตนที่กองบัญชาการ ทหารในประเทศซีลอน  เพื่อเจรจากับผู้แทนฝ่ายรัฐบาลอังกฤษ  โดยให้สยามยอมรับเงื่อนไขในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตกับอังกฤษ
ใน ช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง  เราได้ตกลงให้กองทหารอังกฤษเข้ามาในประเทศไทยเพียงเพื่อปลดอาวุธทหารญี่ปุ่น เท่านั้นและให้ถอนกำลังทหารนี้ออกไปโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้คือในทันที ที่ปฏิบัติภารกิจในการปลดอาวุธเสร็จสิ้นแล้ว
ใน ระหว่างนั้นลอร์ดเมาน์ทแบทเตนและภรรยาได้เดินทางมากรุงเทพฯ ๒ ครั้ง  และได้พบปะกับข้าพเจ้า  ซึ่งได้กระชับมิตรภาพระหว่างเราให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น  ลอร์ดเมาน์ทแบทเตนในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรภาคเอเชียอาคเนย์ ได้จัดพิธีสวนสนามของกองทหารอาสาสมัครอังกฤษที่เดินทางมาประเทศไทย เพื่อปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นเฉพาะพระพักตร์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชการที่ ๘  เพื่อเป็นการแสดงความเคารพในความเป็นเอกราชของชาติไทยและองค์พระประมุข
ส่วน เงื่อนไขทางการเมืองของรัฐบาลอังกฤษยื่นข้อเรียกร้องมานั้น  เราพิจารณาแล้วเห็นว่า  เงื่อนไขดังกล่าวเท่ากับเป็นการยอมจำนนกลายๆนั่นเอง  แตกต่างกันแต่ในเรื่องวิธีการและคำพูดเท่านั้น  ดังนั้น เราจึงไม่ยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว  การเจรจากันในเรื่องนี้ใช้เวลา ๑ ปีโดยที่ไม่บรรลุผลใดๆ  ช่วงเวลานี้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลสยามตามวิถีทางรัฐธรรมนูญถึง ๓ ครั้ง  ในที่สุด  รัฐบาลสยามจำเป็นต้องส่งมอบข้าวให้รัฐบาลอังกฤษจำนวน ๑,๕๐๐,๐๐๐ ตัน  และชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บริษัทอังกฤษที่ตั้งขึ้นในสยามก่อนสงครามและที่ถูก ญี่ปุ่นและรัฐบาลพิบูลฯยึดไปตลอดจนความเสียหายที่เกิดจากภัยทางอากาศใน ระหว่างสงครามที่ฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นผู้กระทำเอง   อย่างไรก็ตาม  เราเห็นว่าเป็นข้อเสนอเรียกร้องที่ไม่ยุติธรรมต่อประเทศเล็กอย่างสยามในการ ที่ต้องรับผิดชอบความเสียหายต่างๆที่เกิดขึ้น  ซึ่งฝ่ายญี่ปุ่นและฝ่ายสัมพันธมิตรเองเป็นผู้ก่อ  แต่เราจำต้องยอมลงนามในความตกลงดังกล่าวนั้น  เพื่อที่จะสามารถฟื้นฟูประเทศหลังสงครามได้เร็วที่สุดและเพื่อหาโอกาศอัน สมควรในการเจรจาอย่างสันติอีกครั้งหนึ่งกับรัฐบาลพรรคแรงงานของอังกฤษ  เพื่อแก้ไขข้อความต่างๆที่ไม่ยุติธรรมสำหรับเรา
ความ ตกลงดังกล่าวกำหนดให้รัฐบาลสยามจับกุมและลงโทษบุคคลที่ต้องหาว่าเป็นอาชญากร สงคราม  ข้อความนี้ตรงกับความต้องการของรัฐบาลฝ่ายสัมพันธมิตรที่สำคัญๆทุกประเทศ  เมื่อข้าพเจ้าเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใน พ.ศ. ๒๔๘๙ ข้าพเจ้าได้เจรจากับรัฐบาลอังกฤษให้ยอมจ่ายเงินค่าข้าวที่เราต้องชดใช้ให้ เป็นค่าเสียหาย  ฝ่ายรัฐบาลอังกฤษตกลงยินยอมที่จะจ่ายเงินค่าข้าวด้วยราคาที่ต่ำกว่าราคาใน ตลาดโลก  นับว่ายังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
ส่วน เรื่องความเสียหายของบริษัทห้างร้านอังกฤษที่เราต้องชดใช้นั้นเราเห็นว่า เป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมต่อสยามเช่นกัน  เพราะในปี พ.ศ. ๒๔๙๔  ฝ่ายสัมพันธมิตร  ซึ่งรวมทั้งรัฐบาลอังกฤษด้วยได้ลงนามในสนธิสัญญาสงบศึกกับรัฐบาลญี่ปุ่นที่ ซานฟรานซิสโก  ตามสนธิสัญญาฉบับนี้  รัฐบาลอังกฤษเองได้ยกเลิกข้อเรียกร้องค่าปฏิกรรมสงครามจากญี่ปุ่น  ซึ่งเป็นศัตรูสำคัญในสงคราม
-๘-      ฝ่ายรัฐบาลจีนเมื่อยอมรับรองความเป็นเอกราชของรัฐบาลสยามแล้ว  ก็ได้ส่งอัครรัฐทูตมาประจำกรุงสยาม  เพื่อสถาปนาความสัมพันธทางการทูต
ส่วน กลุ่มชาวจีนโพ้นทะเลที่คลั่งชาติที่คิดว่ากองกำลังทหารจีนจะเข้ามาปลดอาวุธ ทหารญี่ปุ่นในประเทศสยามนั้น  พากันแปลกใจที่กลายเป็นกองทหารอังกฤษ  ฉนั้นจึงก่อจลาจลโดยใช้ปืนยาวปืนสั้น  ยิงเข้าใส่ฝูงชนอย่างบ้าคลั่งในใจกลางพระนคร
ชาว ไทยได้โต้ตอบทันที  สภาพการจลาจลเกิดขึ้นในชุมชนหลายแห่ง  รัฐบาลจำต้องใช้กำลังทหารเข้าปราบปราม  เพื่อให้เกิดความสงบโดยเร็วที่สุด  การจลาจลครั้งนี้เรียกว่า  “  เลียะพะ “  ( ภาษาจีนแต้จิ๋ว ) ที่เรียกเช่นนี้  เพราะได้เปรียบเทียบเหตุการณ์ครั้งนี้กับกบฏของนักมวยจีน   ซึ่งต่อต้านกองกำลังอำนาจต่างชาติในปีพ.ศ  ๒๔๔๓  ในปัจจุบันยังมีคนกล่าวถึงเหตุการณ์เลียะพะครั้งนั้นอยู่  โดยมักจะเป็นพวกที่ไม่ยอมรับรองรัฐบาลสาธารณรัฐราษฎรจีน  และยกเอาเหตุการณ์นี้มาข่มขวัญผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่  โดยอธิบายอย่างไม่มีเหตุผลว่า  เมื่อสถาปนาความสัมพันธทางการทูตกับสาธารณรัฐราษฎรจีนแล้ว  เหตุการณ์อย่างนี้จะเกิดซ้ำอีกโดยพวกชาวจีนโพ้นทะเลจะเป็นผู้ก่อขึ้นด้วย ความสนับสนุนของสถานเอกอัครรัฐทูตสาธารณรัฐราษฎรจีน  อันที่จริงระหว่างที่เกิดเหตุการณ์ไม่สงบนี้  พวกคอมมิวนิสต์จีนที่ลี้ภัยเข้ามาในสยาม เพราะถูกรัฐบาลจีนคณะชาติตามล่านั้น  กลับต่อต้านการเลียะพะครั้งนี้
-๙-      รัฐบาลโชเวียตกำลังวุ่นวายอยู่กับปัญหาภายในประเทศ จึงไม่พร้อมที่จะเข้ามาแทรกแซงในกิจการของเอเชียอาคเนย์  อย่างไรก็ตาม  รัฐบาลนี้ได้แสดงความเคารพความเป็นเอกราชของสยามโดยปริยาย  โดยการมอบอำนาจให้ผู้แทนทางการทูตที่กรุงสต็อกโฮล์มเข้าร่วมในงานเลี้ยง รับรองที่จัดขึ้นโดยสถานอัครราชทูตสยาม  ทั้งในระหว่างและหลังสงคราม
-๑๐-      ส่วนฝ่ายรัฐบาลกู้ชาติฝรั่งเศส  (Comite’ francais  de Libe’ration  nationale) ซึ่งต่อมาได้ตั้งขึ้นเป็นรัฐบาลชั่วคราวของสาธารณรัฐฝรั่งเศส  ลงความเห็นว่ารัฐบาลไทยเป็นพันธมิตรกับประเทศญี่ปุ่น  และฝรั่งเศสกับประเทศไทยถือว่าเป็นศัตรูกันนับแต่วันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๓ อันเป็นวันที่กองทัพอากาศไทย ( สมัยรัฐบาลจอมพลพิบูลฯ ) ได้ทิ้งระเบิดบนดินแดนอินโดจีนของฝรั่งเศส  รัฐบาลชั่วคราวของฝรั่งเศสเห็นว่าคำประกาศของข้าพเจ้าในฐานะผู้สำเร็จราชการ แทนพระองค์ได้ยกเลิกการยึดครองดินแดนที่รัฐบาลจอมพลพิบูลฯยึดครองนั้น  ครอบคลุมถึงดินแดนอินโดจีนของฝรั่งเศสด้วย  ดังนั้นเราจึงได้ทำความตกลงร่วมกันกับรัฐบาลชั่วคราวแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส ให้นำเรื่องนี้สู่อนุญาโตตุลาการเพื่อตัดสิน ทั้งนี้เพราะทางฝ่ายเราเห็นว่า  ดินแดนที่เป็นปัญหาอยู่นั้นเป็นของประเทศสยามมาก่อนปี พ.ศ. ๒๔๕๐ แล้ว  นับแต่นั้นมาความสัมพันธ์ทางทูตระหว่าง ๒ ประเ ทศก็กลับคืนสู่สภาพปกติ
-๑๑-        เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลทรงบรรลุนิติภาวะ  ข้าพเจ้าได้กราบบังคมทูลอัญเชิญพระองค์เสด็จนิวัติคืนสู่สยาม  พระองค์เสด็จถึงกรุงเทพฯเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๘   หน้าที่ในตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของข้าพเจ้าจึงเป็นอันสิ้นสุดลง ในทันที  พระองค์ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งต่งตั้งข้าพเจ้าเป็นรัฐบุรุษอาวุโส  อันเป็นตำแหน่งกิตติมศักดิ์  ซึ่งจะไม่มีอำนาจในการบริหารแผ่นดิน  เป็นโอกาสที่ข้าพเจ้าจะได้พักผ่อน  ซึ่งข้าพเจ้ามีความปราถนาอยู่แล้วหลังจากที่ข้าพเจ้าได้ทำงานมาอย่างลำบาก และเหน็ดเหนื่อยตลอดเวลาช่วงที่มีสงครามและหลังสงครามอีก ๓ เดือน
ภาย หลังสงครามโลกสิ้นสุดลง  ได้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร  ต่อมาหลังจากการเลือกตั้งทั่วไปแล้ว  มีรัฐบาลใหม่ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีบางคนเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยม  ความขัดแย้งในรัฐสภาระหว่างสมาชิกสภาผู้แทนฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านเพิ่มมาก ขึ้น  ในที่สุดฝ่ายรัฐบาลต้องลาออก  สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้ข้าพเจ้าจัดตั้งรัฐบาล  โดยข้าพเจ้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี  มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่  โดยได้เสียงสนับสนุนจากฝ่ายข้างมาก  ซึ่งเป็นฝ่ายก้าวหน้าในสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญฉบับพ.ศ. ๒๔๘๙  รัฐสภาจะประกอบด้วยพฤฒสภาและสภาผู้แทนราษฎร  โดยสภาทั้งสองมาจากการเลือกตั้ง
ความ ขัดแย้งระหว่างฝ่ายก้าวหน้ากับฝ่ายอนุรักษ์นิยม  ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงไป  แต่กลับเพิ่มมากขึ้น  เมื่อศาลฎีกาได้ตัดสินปล่อยตัวจอมพลพิบูลฯ  โดยประกาศว่าพระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม  ( ซึ่งร่างขึ้นและประกาศใช้หลังสงคราม ) ไม่อาจใช้บังคับย้อนหลังได้
เมื่อจอมพลพิบูลฯได้รับการปล่อยตัว ก็ได้กลับคืนสู่เวทีการเมืองเดิมอีกครั้งหนึ่ง โดยร่วมมือกับกลุ่มอนุรักษ์นิยม
-๑๒-      ๒-๓  เดือนถัดมา  ในวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙   สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคต  โดยต้องพระแสงปืนที่พระเศียรในห้องพระบรรทมในพระบรมมหาราชวัง  จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจและโดยคำแนะนำของพระเจ้าบรมวงค์เธอกรมขุน ชัยนาทนเรนทร  ทางรัฐบาลได้ออกแถลงการณ์ประกาศว่า  สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จสวรรคตโดยอุปัทวเหตุ  โดยกระสุนจากพระแสงปืนของพระองค์เอง
ใน วันนั้นเอง  ข้าพเจ้าในฐานะนายกรัฐมนตรีได้เสนอรัฐสภาให้อันเชิญสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ  เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดชขึ้นครองราชสมบัติสืบแทนพระเชษฐาที่เสด็จสวรรคต  เนื่องจากพระองค์ยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะ  สภาผู้แทนราษฎรจึงได้แต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์  โดยพระเจ้าบรมวงค์เธอกรมขุนชัยนาทนเรนทรเป็นประธาน  คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ขอร้องให้ข้าพเจ้าตั้งรัฐบาลขึ้นใหม่
หลัง การเลือกตั้งช่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ข้าพเจ้าได้รับเลือกเป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา  โดยไม่มีผู้สมัครแข่งขัน  ข้าพเจ้าสมัครใจลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี  หลังจากนั้น  มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่  ซึ่งก็คงประกอบด้วยรัฐมนตรีฝ่ายก้าวหน้าและฝ่ายประชาธิปไตย  แต่พวกอนุรักษ์นิยมกล่าวหาว่ารัฐบาลใหม่อยู่ภายใต้อาณัติของข้าพเจ้า  ด้วยเหตุนี้พวกอนุรักษ์นิยมจึงเริ่มโจมตีข้าพเจ้าเป็นการส่วนตัว  โดยใส่ร้ายข้าพเจ้าต่างๆนาๆ  เช่น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลไม่ได้เสด็จสวรรคตโดยอุปัทวเหตุ  แต่ถูกลอบปลงพระชนม์โดยอดีตราชเลขานุการส่วนพระองค์  และมหาดเล็กของพระองค์เอง  โดยมีข้าพเจ้าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด
การเผยแพร่ข่าวให้ร้ายข้าพเจ้าเช่นนี้  เป็นแผนการทำให้ประชาชนสับสน  เพื่ออ้างเป็นเหตุให้คณะทหารก่อการรัฐประหารปฏิกิริยา
เมื่อ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๐  เกิดการรัฐประหารของฝ่ายทหาร  โดยการสนับสนุนของพวกอนุรักษ์นิยมขวาจัดและพวกคลั่งชาติ  โค่นล้มรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฏหมายของพลเรือตรีถวัลย์  ธำรงนาวาสวัสดิ์  ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นพรรคพวกของข้าพเจ้า  พวกเขาได้บุกเข้าไปในบ้าน  เพื่อจะทำลายชีวิตข้าพเจ้ารวมทั้งภรรยาและบุตรเล็กๆ  หาว่าข้าพเจ้าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในกรณีสวรรคตฯ  จอมพลพิบูลฯ  ซึ่งถูกปล่อยก่อนหน้านั้นไม่กี่เดือน  เพราะกฏหมายอาชญากรสงครามไม่มีผลย้อนหลังมาใช้บังคับ  ก็ได้รับแต่งตั้งจากคณะรัฐประหาร ให้เป็นผู้บัญชาการทหารแห่งประเทศไทย  ทำให้มีอำนาจควบคุมเจ้าหน้าที่ของรัฐ  คณะรัฐประหารได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่  ซึ่งสมาชิกวุฒิสภามิได้มาจากการเลือกตั้งโดยทางอ้อมอีกต่อไป  แต่จะมาจากการแต่งตั้งโดยตรงจากประมุขแห่งรัฐ  โดยมีหัวหน้าคณะรัฐประหารเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ  ก่อนรัฐประหารอายุต่ำสุดของผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกำหนด ไว้ ๒๓ ปี  แต่ตามรัฐธรรมนูญของคณะรัฐประหารกำหนดไว้เป็น ๓๕ ปี  ซึ่งเท่ากับอายุต่ำสุดของผู้สมัครเป็นสมาชิกวุฒิสภาของสหรัฐอเมริกา  อย่างไรก็ตามมาตรการนี้ก็ใช้เพียงชั่วคราวเท่านั้น  เพราะต่อมาประเทศไทยถูกปกครองโดยรัฐธรรมนูญฟาสซิสต์กึ่งฟาสซิสต์  และฟาสซิสต์ใหม่ๆ  ฯลฯ อีกหลายฉบับ  ยิ่งกว่านั้นรัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังลิดรอนเสรีภาพทางการเมืองหลายประการ .