måndag 31 december 2012

......การรักความถูกต้องยุติธรรม........ไม่อยู่ที่ชาติกำเนิด แต่อยู่ที่สามัญสำนึกและมีสติของคนๆนั้นที่มองเห็น"ค่าของความเป็นคนในสังคม"อย่างเท่าเทียมกัน ฝากให้อำมาตย์เผด็จการไดโนเสาร์ศึกษาดูเป็นตัวอย่างในการปรับตัวอยู่ในสังคมยุคโลกไร้ชนชั้น เพราะว่าคนเกิดมาก็คือคนไม่ใช่เทวดาอย่างที่ตนเองคิด แล้วอำมาตย์ก็จะเดินดินอยู่ร่วมกับคนในสังคมได้ก่อนที่จะสายเกินไป............


ไปฟังทายาทเทวกุล กับโสณกุล เขาคุยกันเรื่องการเมือง..ฮาตั้งแต่ช็อตแรก
คุณปลื้ม สัมภาษณ์คุณเต่านา
http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=bqNvlN9kfqI

söndag 30 december 2012

ความขัดแย้งทางการปกครองระหว่างระบอบอมาตยาธิปไตยกับระบอบประชาธิปไตย.!

โดย  ปูนนก

ผมไม่เคยได้ยินแม้แต่ครั้งเดียวว่า ท่านนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, รองนายกเฉลิม อยู่บำรุง หรือแม้กระทั่ง สส. หรือ รมต. ในรัฐบาลคณะนี้หลายๆ ท่านได้ประกาศตัวอย่างชัดเจนว่า “รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลของคนเสื้อแดง หรือของประชาชนผู้รักประชาธิปไตยอย่างแท้จริงแต่อย่างใด” ประเทศไทยก็เสมือนเด็กที่กำลังจะจมน้ำอยู่กลางสระ ไม่มีใครที่กล้าหาญพอที่จะกระโดดลงมาช่วยด้วยกำลังของตนเอง แต่ทว่าเมื่อ พตท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร แสดงความหาญกล้าเข้ามาเพื่อต้องการช่วยเหลือประเทศไทย..เพียงแค่คิดและลงมือทำไปบางส่วนเท่านั้น.. เขาก็ถูกถีบให้ตกลงมาในสระน้ำแห่งความขัดแย้งทางการปกครองระหว่างระบอบอมาตยาธิปไตย กับระบอบประชาธิปไตย โดยไม่ทันตั้งตัว
ซึ่งผมเชื่อว่า ดร. ทักษิณ เองก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะเข้ามาทำให้เกิดความขัดแย้งเช่นนั้น (เพราะท่านมีวิญญาณแห่งความเป็นนักธุรกิจและความจงรักภักดี ไม่ใช่วิญญาณแห่งนักปฏิวัติ) ดังนั้นสิ่งที่เรา (คนเสื้อแดง และประชาชนผู้รักประชาธิปไตย) ได้พยายามต่อสู้กันมาเพื่อเรียกร้องให้ได้ความเป็นประชาธิปไตยในประเทศนี้ โดยชูท่านอดีตนายกทักษิณ ชินวัตร เป็น Idol และคาดหวังว่า ด้วยสิ่งที่ท่านได้รับความอยุติธรรมตลอดหลายปีมานี้ ต้องบ้านแตกสาแหรกขาด ถูกยึดทรัพย์ ถูกไล่ล่าข้ามโลก จะทำให้ท่าน ดร. ทักษิณ เปลี่ยนจิตวิญญาณจากนักธุรกิจมาเป็นวิญญาณแห่งการเป็นนักปฏิวัตินั้น จึงเป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะเป็นไปได้ยาก

คำพูดที่ท่านอดีตนายกทักษิณ โฟนอิน เข้ามาในท่ามกลางการชุมนุมของคนเสื้อแดงในทุกๆ ครั้งที่ผ่านมานั้น ท่านมักจะพูดถึงโอกาสในการพัฒนาประเทศ พูดถึงศักยภาพของประเทศไทยที่จะสามารถแข่งขันกับต่างชาติได้ พูดถึงสิ่งที่ท่านได้พบเห็นมาในขณะที่ท่านยู่ต่างประเทศและต้องการนำมาปรับใช้ในการพัฒนาประเทศเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข.... แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่ท่านอดีตนายกทักษิณ จะพูดในสิ่งที่เป็นแนวทางการต่อสู้กับระบอบเผด็จการอมาตย์อย่างชัดเจนตรงไปตรงมา ทั้งๆ ที่ท่านก็รู้ว่า ไม่ว่าจะทำดีเช่นไร ฝ่ายเผด็จการอมาตย์ก็ไม่ยอมรับในสิ่งที่ท่านอดีตนายกทักษิณ และคนเสื้อแดงกระทำให้ อย่างแน่นอน ฆ่าได้เป็นฆ่า ทำลายได้เป็นทำลาย ตัดสินให้ติดคุกได้พวกเขาก็จะทำ ไม่มีทางที่พวกเผด็จการจะปล่อยพวกเราเอาไว้แน่

การโฟนอินเข้ามาที่โบนันซ่า ในครั้งล่าสุดของท่านอดีตนายกทักษิณ ก็เช่นเดียวกับในครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมา ไม่ได้มีเนื้อหา หรือโครงเรื่องที่ต่างไปจากเดิมแม้แต่น้อย การแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้กำลังจะกลายเป็นประเด็นร้อนที่ทำให้การต่อสู้ทางการเมืองที่จะมีต่อไปนี้ จะถึงขั้นปะทะกันอย่างตรงๆ ด้วยมวลชนที่มีความคิดและแนวทางแตกแยกกันเป็นสองฝ่าย และไม่สามารถที่จะประนีประนอมต่อกันได้อีกแล้ว ซึ่งในการต่อสู้ครั้งนี้ถ้าฝ่ายประชาธิปไตยพ่ายแพ้ก็จะต้องพ่ายแพ้ไปอีกนับสิบๆ ปี และท่านอดีตนายกทักษิณ ก็คงจะไม่ได้กลับประเทศไทยอีกเลยเฉกเช่นเดียวกันกับ ดร. ปรีดี พนมยงค์ ในอดีต แต่ตรงข้ามถ้าฝ่ายประชาธิปไตยชนะ ประชาชนและประเทศชาตินี้ก็จะได้พลิกฟื้นกลับขึ้นมารุ่งโรจน์ได้ดังที่ควรจะเป็น

ท่านอดีตนายกทักษิณ พูดหลายครั้งว่า ท่านเป็นนักสู้ และไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ถ้าได้ต่อสู้แล้วจะไม่ยอมจำนน ท่านพูดเสมอว่าแต่ทว่า...เมื่อการต่อสู้กับเผด็จการอมาตย์เข้ามาสู่จุดแตกหัก ที่จะชี้ชะตาว่าใครจะอยู่ใครจะไปทีไร ก็“ท่านรักคนเสื้อแดง และพี่น้องผู้รักประชาธิปไตยและร่วมต่อสู้มาด้วยกันทุกคน”ท่านอดีตนายกทักษิณ นี่แหละที่เข้ามาเป็นผู้ถอดชนวนการต่อสู้นี้เสียทุกครั้ง จะด้วยเหตุผลใด หรือจุดมุ่งหมายใดก็เหลือจะเดา แต่ทุกครั้งที่ท่านอดีตนายกทักษิณ เข้ามาถอดชนวนการปะทะขั้นแตกหักนี้ทีไร ผลที่ตามมาก็คือฝ่ายเผด็จการอมาตย์ก็มักจะได้ทีและเข้ามารุกไล่พี่น้องคนเสื้อแดง และประชาชนผู้รักประชาธิปไตยอย่างเอาเป็นเอาตายทุกทีไป โดยที่ฝ่ายคนเสื้อแดงแทบจะไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ จากการถอดชนวนความขัดแย้ง ครั้งแล้วครั้งเล่าโดยท่านอดีตนายกทักษิณ นี้เลย


ผมคงจะไม่วิเคราะห์วิจารณ์อะไรเกี่ยวกับแนวทาง ความคิดของการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้อีกเพราะมีพี่น้องจำนวนมากได้แสดงความเห็นกันอย่างกว้างขวางแล้วในเรื่องการทำประชามติ หรือการโหวตวาระ 3 ในทันที ซึ่งแต่ละท่านผู้อ่านย่อมมีวิจารณญานในส่วนตัวของท่านเองได้เป็นอย่างดีว่า เห็นชอบกับสิ่งใดที่จะกระทำก่อนกัน แต่อย่างไรก็ดีการโฟนอินที่โบนันซ่า ครั้งนี้ของท่านอดีตนายกทักษิณ ท่านได้แสดงชัดแล้วว่า “ท่านเลือกที่จะถอย..ไม่เข้าปะทะ” ทั้งๆ ที่ไม่ว่าท่านจะถอยโดยการรณรงค์ให้มีการทำประชามติ หรือหักดิบด้วยการโหวตวาระ 3 ทันที ผลก็ไม่แตกต่างกันก็คือ ฝ่ายเผด็จการอมาตย์ก็จะไม่ยอมให้มีการผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 50 นี้อย่างแน่นอน การปะทะกันทางความคิดและอาจจะขยายผลไปสู่ความรุนแรงจะต้องเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้

ท่านนายกทักษิณเลือกที่จะแก้รัฐธรรมนูญด้วยการถอยเว้นระยะห่าง ไม่เข้าปะทะ... ย่อมเป็นผลดีต่ออายุการทำงาน และรักษาตัวให้พร้อมของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยในการที่จะดำรงความเป็นรัฐบาลท่ามกลางความสงบเรียบร้อย (โดยฉากหน้า) ของประเทศนี้ต่อไป แต่การต่ออายุของรัฐบาลด้วยการเว้นระยะห่างจากการโจมตีของฝ่ายเผด็จการอมาตย์ กลับไม่ได้เป็นผลดีต่อการต่อสู้ของประชาชนผู้รักประชาธิปไตยโดยรวมเท่าใดนัก เพราะประชาชนคนเสื้อแดง และผู้รักประชาธิปไตยจำนวนมาก ก็ยังถูกจำขัง ยังถูกตามไล่ล่า ยังถูกคดีความตามราวีอยู่ไม่รู้จบสิ้นอยู่ดี และฝ่ายเผด็จการอมาตย์ก็ไม่หยุดที่จะตามราวีรัฐบาลเช่นกัน

ท่านนายกทักษิณ ครับ ผมให้ใจท่านไปแล้วทั้งดวง ด้วยความรักศรัทธา และคงไม่เรียกความรักศรัทธา คืนกลับมาจากท่านง่ายๆ หลายปีที่ผ่านมานี้ ผมและพี่น้องคนเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตยจำนวนมากมาย ได้ต่อสู้กับเผด็จการอมาตย์มาอย่างชนิดถึงเลือดถึงเนื้อ ถึงลูกถึงคน ถ้าพลาดไม่ตายก็ติดคุก แต่ทว่าท่านนายกทักษิณ ครับ การต่อสู้เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้เป็นย่างก้าวที่สำคัญมากในการโค่นล้มอำนาจเผด็จการอมาตย์ทั้งหมด ซึ่งถ้าหากท่านนายกทักษิณ กระทำตัวให้เป็นอุปสรรค หรือถ่วงรั้ง ต่อเส้นทางการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยอย่างแท้จริง จะโดยเอาสิ่งใดมาล่อให้ประชาชนคล้อยตาม ก็ตาม ผมอาจจะต้องพิจารณาว่า จริงๆ แล้วท่านนายกทักษิณ ยังคงรัก..ศรัทธา..ภักดี.. และซื่อสัตย์.. ต่อใครบางคน มากยิ่งกว่าที่จะรัก..และศรัทธา ต่อประชาชนคนเสื้อแดงผู้ร่วมชีวิต ร่วมเป็นร่วมตายกับท่านมา ก็เป็นได้นะครับ

 ผมเริ่มมีคำถามบางคำถามเกิดขึ้นในใจว่า"นายกผู้สามารถพัฒนาเศรษฐกิจของไทยให้ยิ่งใหญ่ได้นั้น จะเป็นคนๆ เดียวกับที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการบริหารประเทศแบบเผด็จอมาตย์ ไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย หรือเปล่า???" เท่านั้นครับ 
                               ..............................................

ขอแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคำถามของคุณปูนนก

โดย   แสงตะวัน

ในยุคปัจจุบัน ชึ่งเป็นยุคไฮเทคโนโลยี่ ยุคโลกไร้พรหมแดน   การต่อสู้เรียกร้องของประเทศต่างๆชึ่งเกิดขึ้นทั่วโลกในปัจจุบันนี้   เกี่ยวกับปัญหาทั้งด้านเศรษฐกิจ    สังคม    การเมือง   ไม่มีสูตรสำเร็จกำหนดตายตัวที่จะนำมาเป็นแม่แบบเพื่อใช้แก้ปํญหาให้ลุล่วงไปได้    เพราะปัญหาความต้องการของแต่ละสังคมไม่เหมือนกัน    นอกจากนี้ยังไม่มีทฤษฎีหรือตำราพิชัยสงครามแบบใหม่มาให้ใช้เป็นแนวทางชี้นำ     ก่อนอื่นพวกเราต้องมาทำความเข้าใจเสียใหม่ว่าพ่อค้านักธุรกิจนายทุนก็คือนายทุนที่ลงทุนค้าขายเพื่อให้ได้กำไร    ต่างกับผู้นำนักปฏิวัติที่ทำงานเพื่ออุดมการณ์เพื่อสังคมส่วนรวม   ต่อสู้เรียกร้องเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมให้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง      ดังนั้นความคิดแบบพ่อค้ากับนักปฎิวัติสองสิ่งนี้จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีอยู่ในตัวคนเดียวกัน  
เริ่มแรกทักษิณเข้ามาบริหารประเทศโดยผ่านการเลือกตั้งตามวิถีทางประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ ซึ่งระบอบการปกครองโดยแท้จริงยังคงเป็นระบอบราชาธิปไตยอยู่ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยตามที่พวกนักวิชาการต่างๆเข้าใจและโฆษณาหลอกลวงประชาชน  เมื่อทักษิณเข้ามาเป็นนายกก็บริหารประเทศอยู่ภายใต้ระบอบราชาธิปไตยนี้     แต่รัฐบาลทักษิณมีหลักนโยบายที่สามารถเห็นผลงานจับต้องได้และทำให้ประชาชนได้รับผลประโยชน์จากการบริหารของรัฐบาลทักษิน    ซึ่งถ้าปล่อยให้ประเทศชาติได้มีโอกาศพัฒนาต่อไปภายใต้รัฐบาลของทักษิณประเทศชาติก็จะดำเนินก้าวหน้าและการวิวัฒนาการทางประชาธิปไตยก็จะก้าวหน้าต่อไป     แต่ระบอบราชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ขัดขวางต่อระบอบประชาธิปไตยมาโดยตลอด  ซึ่งนายกทักษิณเองเขาไม่ได้มีแนวความคิดที่เปลี่ยนแปลงหรือล้มล้างระบอบราชาธิปไตยนั้นลง      แต่พวกอำมาตย์เห็นว่าถ้าปล่อยให้ทักษิณบริหารประเทศต่อไปจะเป็นอันตรายแก่พวกเขา  เมื่อทักษิณถูกพวกอำมาตย์โค่นล้มลงในวันที่  ๑๙ ก.ย. ๒๕๔๙   โดยทักษิณเองก็ยังจะพยายามประณีประนอมกับพวกอำมาตย์มาตลอดเวลา  จนถึงทุกวันนี้     ทักษิณก็ยังไม่ยอมที่จะคิดเปลี่ยนแปลงระบอบราชาธิปไตยให้เป็นประชาธิปไตย      ประชาชนส่วนมากของประเทศคิดเอาเองว่าทักษิณจะเป็นผู้ที่จะนำประเทศชาติและประชาชนไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง 
ซึ่งเเป็นความคิดและความหวังของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ  แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงของทักษิณคือต้องการใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือเพื่อจะดำเนินไปสู่การรักษาอำนาจและธุระกิจของกลุ่มทุนของพวกเขา   ฉนั้นประชาชนจะมาเรียกร้องให้ทักษิณเปลี่ยนแนวคิดจากนายทุนมาเป็นผู้นำของการปฎิวัตินั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
แต่ทักษิณเป็นผู้นำของการพัฒนาประเทศในด้านเศรษฐกิจให้เจริญก้าวหน้ายิ่งใหญ่ได้อย่างแน่นอน   ฉะนั้นการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงจากระบอบเผด็จการราชาธิปไตยไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์    จึงเป็นหน้าที่ของ "ประชาชนไทยทุกคน "    ต้องร่วมมือกันต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย  ไม่ใช่ให้ทักษิณเป็นผู้ชี้นำคนเดียว.

lördag 29 december 2012

. "ข่าวลือ ข่าวลวง" .....สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม.......ปลาวาฬถูกแช่แข็งจริงหรือ????....


     โดย  คุณดวงจำปา

    ท่านที่โพสต์ก็คงจะทราบกันดีว่า

    จะมีเรื่องร้ายแรง หรือ เรื่องอัปมงคลในครอบครัว เกิดขึ้นในเดือน ธันวาคม ไม่ได้

    ต้องเลื่อนไปเป็น เดือน มกราคม หรือ later....

    ตัวอย่างก็มีเมื่อเดือนมกราคม 2008 ไปสืบกันเองก็ได้

    ส่วนเรื่องที่คุณเคนจิกล่าวมานั้น มีคนส่งหลังไมค์คล้ายๆ กันว่า เลข 12 มันพ้องกันตั้งแต่วันที่ 12/12/12 ค่ะ

    แต่จะให้คอนเฟริ์มอะไรนั้น มันก็เป็นข่าวลือ กระพือต่อกันมา

    ถ้าเป็นไปแล้ว ก็ถือว่า เป็นกรรมของสัตว์อย่างหนึ่ง ถ้าไม่ได้เกิดขึ้น มันก็คงจะอีกไม่นานนัก....
    Doungchampa Spencer - https://www.facebook.com/doungchampa


    ลองดูสัญญาณอะไรบางอย่างนะคะ:

    1. ศาลอุทธรณ์กลับลำให้จำคุก พันธมิตรที่ขับรถชนตำรวจ ศาลชั้นต้นพิจารณาความให้รอลงอาญา

    2. คดีของ พธม มีคำรุนแรงว่า ไม่มีการเลื่อนประกันอะไรแล้ว

    3. เจ็กลิ้ม เข้ามาด่ากราด ปชป

    4. คนของ พธม เข้าไปสนับสนุน เสรีพิศุทธิ์

    พธม กำลังจะถูกกระจัดกระจาย เนื่องจาก คนใหญ่โตที่นั่น อาจจะมีอันเป็นไปเสียแล้ว ไม่มีการคุ้มกะลาหัวให้เหมือนเช่นเคย ครั้นจะไปพึง เมพ ก็คงจะยาก เพราะเป็นคนละฝั่งกัน

    หรือว่า ตอนนี้ กำลังจะถูกตัดหางปล่อยวัดแล้วก็ไม่รู้?

    นี่คือแนวโน้มจากเหตุการณ์ที่เห็นนะคะ เมื่อปราศจากการคุ้มครองใดๆ มันก็เป็นเรื่องของกรรมและสัตว์โลกจริงๆ....

    "ไม่มีเทวดาบนฟ้า"....กลอนบทนี้จะให้คำตอบชี้ทางสว่างให้แก่เพื่อนร่วมอุดมการณ์ทุกท่านและประชาชนเจ้าของประเทศผู้รักความยุติธรรมรักประชาธิปไตยทุกหมู่เหล่าได้ตาตาสว่างรู้ว่า " ใคร" คือเจ้าของระบอบเผด็จการและใช้รัฐธรรมนูญโจรปี ๒๕๕๐ ทำการขัดขวางไม่ให้ประเทศไทยมีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่แท้จริงมาอย่างยาวนานจาก ปีพ.ศ.๒๔๘๙ - พ.ศ.๒๕๕๕ นับเป็นเวลา ๖๖ ปี......

    โดย จักรภพ เพ็ญแข


    ณ แผ่นดินถิ่นนี้มีผู้ใหญ่ ผู้เกรียงไกรใจถึงประหนึ่งสิงห์
    ตอบสังคมสมศักดิ์รักความจริง ไม่แอบอิงมายาเป็นอาภรณ์
    มากศัตรูมากมิตรชีวิตชัด รักษาชีพด้วยสัตย์เป็นอนุสรณ์
    ผ่านถนนจนคุ้มทั้งลุ่มดอน ครบวงจรอย่างผู้ใหญ่หัวใจจริง

    “สมัคร สุนทรเวช” ท่านจากลับ ย่อมมิใช่มืดดับทุกสรรพสิ่ง
    ทุกร่องรอยตัวตนของคนจริง ทุกครั้งนิ่งเงียบสงบพบปัญญา
    ผู้แผ้วถางทางเองไม่เกรงขาม ผู้ก้าวข้ามอุปสรรคที่ขวางหน้า
    ผู้สร้างตัวไม่กลัวใครในนครา ผู้จับมือมวลประชาร่วมท้าทาย

    และเป็นผู้ผิดหวังครั้งใหญ่ยิ่ง ผู้ที่ท่านยึดว่าจริงกลับห่างหาย
    ผู้ใหญ่กลับสลับคู่เป็นผู้ร้าย หัวใจท่านจึงสลายเพราะใจจริง
    เสมือนสวมพระเครื่องอันเรืองเวทย์ ประณตเกศมอบหัวใจให้ทุกสิ่ง
    แต่องค์พระกลับล้วงเข้าช่วงชิง จนได้รู้ความจริงอันเจ็บใจ

    สิ่งที่สูงกลับต่ำนั้นตำเนตร ใจ “สมัคร สุนทรเวช” จึงหม่นไหม้
    นบนอบมาด้วยประชาธิปไตย ก็สั่งให้กองทัพมากลับทาง .........
    ยุให้คนผิดกฎหมายท้าทายรัฐ ยุประชาธิปัตย์เข้าด้านข้าง
    ยุให้ศาลเบือนบิดเข้าปิดทาง และใช้ “บ่าง” สื่อมวลชนคนบริกร

    นี่ล่ะหรือเสาหลักอันศักดิ์สิทธิ์ ภาพนิมิตกลับกลอกเป็นหลอกหลอน
    นึกว่าว่านสมุนไพรแท้ใบบอน นึกว่าจริงกลับละครย้อนดูตัว
    แต่เกียรติยศแห่ง“สมัคร”จำหลักมั่น ประชาชนทั้งนั้นท่านรู้ทั่ว
    ถึงร่างลับดับขันธ์อย่าหวั่นกลัว ความจริงจักปรากฏทั่วอย่ากลัวปลอม

    พักเถิดครับ ท่านสมัคร โปรดพักผ่อน สิ่งที่ท่านสั่งสอนทั้งตรงอ้อม
    จะนำมาปรับใช้จะไม่ยอม ประชาธิปไตยแมวย้อมจะไม่เอา
    ประชาชนได้เป็นใหญ่ใน “สมัคร” เขาจึงรักแน่วแน่จนแก่เฒ่า
    เผด็จการอำมาตย์ไทยเขาไม่เอา ท่านคือเบ้าหลอมร่างสร้างผู้นำ

    กราบวิญญาณ“ท่านสมัคร”ผู้รักชาติ ผู้สร้างมาตรฐานไว้ไม่ตกต่ำ
    หนุนประชาธิปไตยธงชัยนำ สวนระบอบใจดำผู้อำพราง
    ชาว“ประชากรไทย”รวมใจหวัง มวล“พลังประชาชน”คนสืบสร้าง
    จะสานต่อ“ท่านสมัคร”ผู้สร้างทาง สละร่างทิ้งหัวใจให้บ้านเมือง.

    ......สู่ดิถีขึ้นปีใหม่....คงไสวตาสว่าง คนเลือกคนคนเลือกข้าง...คงเลือนรางค่อยจางหาย คนป่วยไข้นอนโรงเย็น...คนเป็นๆคงใกล้วาย ไปทั้งคู่สู่จุดหมาย...สู่บั้นปลายปากนำโพ....

    ขุนเขาบอก :

    ซื้อหวยเถิดถูกแน่ๆ.......

    สู่ดิถีขึ้นปีใหม่...คงไสวตาสว่าง
    คนเลือกคนคนเลือกข้าง...คงเลือนรางค่อยจางหาย
    คนป่วยไข้นอนโรงเย็น...คนเป็นๆคงใกล้วาย
    ไปทั้งคู่สู่จุดหมาย...สู่บั้นปลายปากนำโพ

    ไม่ได้ทักให้ท่านซวย...เพราะตัวช่วยมันหมดแล้ว
    คงได้จอดไม่ต้องแจว...แก่กันแล้ววัยมากโข
    ต้องทนนั่งหนังหน้าไฟ...ระหว่างไพร่กับไฮโซ
    นั่งปั้นหน้าอาวุโส...ไพร่ไฮโซมันตีกัน

    เปรียบตัวโกงโรงละคร...คงถึงตอนอวสาน
    นางมารร้ายใกล้วายปราณ...พญามารใกล้อาสัญ
    โรงละครตอนลาโรง...เหล่าตัวโกงคงโรมรัน
    แย่งกันกินชิ้นปลามัน...ดังสนั่นโรงละคร

    ตาปริบๆคือ ป.ปลา...ถูกปูนาหนีบติ่งหู
    หากระไดไต่รูปู...นั่งรอดูคืนหมาหอน
    ยินนกแสกร้องวันได...ได้บรรลัยไปกองฟอน
    ให้หนาวสั่นบรรจถรณ์...สู่กองฟอนใครก่อนใคร

    บ่างช่างยุมันกุข่าว...ปีนี้หนาวถึงปีหน้า
    เกิดวิกฤติความศรัทธา...รูปข้างฝาล้าสมัย
    ปล้ำผีลุกปลุกผีนั่ง...ไม่ถึงฝังคงคาลัย
    ปัจจุแสงแห่งสมัย...สว่างไสวกันทั้งตา

    นำสยามสู่ 3 จี...สู่ดิถีปีมะเส็ง
    งูกับปูจะครื้นเครง....ปีมะเส็งไร้ปัญหา
    คนแก่เฒ่าจักเข้าโลง...คนขี้โกงกรรมทันตา
    สงบสุขทั้งพารา...ปีงูมาปูพารวย.....ซื้อหวยเถิดถูกแน่ๆ.......

    บทต่อท้าย โดย แสงตะวัน

    ปี๒๕๕๖ ขอให้ประชาชนชาวไทยทั้งหลายและรัฐบาลของประชาชนจงร่วมจับมือกันอย่างมั่นคง แน่วแน่ จงเดินหน้ามุ่งมั่นต่อสู้ฝ่าฟันอันตรายเอาชนะกับแผนชั่วร้ายของระบอบเผด็จ การอำมาตย์ให้หมดสิ้นไปจากสังคมไทย ให้ศึกษาเหตุการณ์ในอดีตมาเป็นบทเรียนในการต่อสู้ ต้องมีการรณรงค์จัดตั้งองค์กร ที่มีระเบียบวินัย มีทฤษฎีชี้นำที่ถูกต้อง มีขบวนการนำและสร้างแนวร่วมขยายออกไปให้กว้างขวาง มีระบอบป้องกันที่รัดกุม เมื่อถึงเวลาเราจะได้ลุกขึ้นพร้อมๆกัน แล้ววันนั้นฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาธิปไตยจะเป็นของพวกเรา อย่านั่งงอมืองอเท้ารอให้คนอื่นทำอยากได้อะไรก็ต้องทำเอง ประชาธิปไตยไม่ได้มาโดยการร้องขอ แต่ได้มาจากการโค่นล้มระบอบเผด็จการอันเน่าเฟะนั้นลงไปแล้วสร้างสังคมใหม่ ขึ้นมาแทนคือสังคมที่มีความยุติธรรม มีมาตรฐานเดียว คนในสังคมมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน ไม่ต้องไปนั่งกราบใหว้ใคร ไม่ต้องเป็นฝุ่นใต้เท้าของใคร .... ถ้าประชาชนร่วมกันออกมาต่อสู้ชัยชนะก็จะเป็นของประชาชนเจ้าของประเทศอย่าง แน่นอน.... ประชาชนจงเจริญ.....!!! ระบอบกษัตริย์เผด็จการจงพินาศ. !!!!

    fredag 28 december 2012

    คำถามถึงยิ่งลักษณ์-ทักษิณ:จะให้ตายอีกเท่าไหร่?


    อีกหนึ่งชีวิตที่สูญเสีย วันชัย รักสงวนศิลป์ อายุ 30 ปี นักโทษการเมืองผู้ถูกล่าวหาเป็นผู้ก่อการร้าย ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อปี 53 เสียชีวิตขณะพักหลังเล่นฟุตซอลภายในเรือนจำชั่วคราว หลักสี่ เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2555 ขอแสดงความไว้อาลัย (เครดิต:Prainn Rakthai )

    เกิดเป็นขี้ข้า อย่าสะเออะหน้าว่าเจ้านาย....บ่ายังหนัก...ที่พักเท้า...เจ้าทั้งหลาย หัวยังหาย...กลายเป็นตั่ง...ให้นั่งแถ ศักดินา...ยังหน้ามน...คนยังแล ไพร่แก่ๆ...แม้ใกล้ตาย...ยังขายแรง

    ขุนเขาบอก :

    เกิดเป็นขี้ข้า อย่าสะเออะหน้าว่าเจ้านาย....

    อิ่มแล้วนอน...ตอนเย็นๆ...เป็นไฉน
    ความเป็นไท...ที่ไพร่นั่ง...ยังถูกถาม
    ยังร้อนรน...เหมือนก้นไหม้...ไฟยังลาม
    ยังถูกหยาม...ความเป็นคน...โดนรังแก

    บ่ายังหนัก...ที่พักเท้า...เจ้าทั้งหลาย
    หัวยังหาย...กลายเป็นตั่ง...ให้นั่งแถ
    ศักดินา...ยังหน้ามน...คนยังแล
    ไพร่แก่ๆ...แม้ใกล้ตาย...ยังขายแรง

    เงินที่มา...ตราที่ได้...แค่ใบข้าว
    ประเคนเจ้า(นาย)...ข้าวในนา...ขาข้าแข็ง
    แค่พอกิน...ผืนดินเจ้า(นาย)...เขาคิดแพง
    กินข้าวแดง...แข็งปานได...ไพร่ต้องกลืน

    ความมีสิทธิ์...มนุษย์ชน...โดนตีหมาย
    ถูกยิงตาย...กลายเป็นปล้น...โดนข่มขืน
    มาทวงถาม...ความเป็นคน...โดนลูกปืน
    โดนข่มขืน...กลับโดนยัน...ว่ามันยอม

    อภิโท่...อภิถัง...กะละมังหม้อ
    ไม่รักพ่อ...ถูกต่อว่า...ขี้ข้าขอม
    ถูกแช่แข็ง...แต่งหัวโขน...จนต้องยอม
    เปลี่ยนสีย้อม...ปลอมสีหงส์...โรงละคร

    บทสุดท้าย...ตายแล้วฝัง...ยังเป็นไพร่
    เผาจนไหม้...ขี้ไคลข้า...หมาไม่หอน
    ศักดินา...ทาด้วยทอง...ทั้งกองฟอน
    เล่นละคร...จนฟอนไหม้...ไพร่มันเลว.....เกิดเป็นขี้ข้า อย่าสะเออะหน้าว่าเจ้านาย....

    สวัสดี ปีใหม่ ถึงเพื่อนร่วมชาติทุกคน เราขอส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่ ด้วยการเรียกร้องมายังกษัตริย์ ภูมิพล จงคืนอำนาจอธิปไตยให้แก่ปวงชนชาวไทยเสียเถิด ภายในปีใหม่ 2556 ที่จะมาถึงนี้ เพราะเป็นเวลานานพอสมควรแล้วที่ท่านได้ใช้อำนาจเผด็จการปกครองประเทศ เราไม่ต้องการเห็นประชาชนชาวไทยต้องเป็นศัตรูต่อกัน ต้องฆ่าฟันกันเพราะท่านและครอบครัวของท่านเพียงครอบครัวเดียว และไม่อยากเห็นชาติไทยต้องล่มสลายเหมือนในประเทศ ลิเบีย !! ขบวนการประชาธิปไตยไทยในสแกนดิเนเวีย

    torsdag 27 december 2012

    ......จักรภพ:กราบอวยพรปีใหม่ พ.ศ.๒๕๕๖ .........จึงอวยพรให้พวกเราล้วนก้าวหน้า นำพาราก้าวหนึ่งให้ถึงฝัน สร้างรัฐของมวลชนคนสำคัญ จึงสมวันสุขศรีปีใหม่เอย...



































    ......ข่าวร้าย....... "เหยื่อความโหดเหี้ยมอำมหิตภายใต้การปกครองในระบอบเผด็จการราชาธิปไตย" เราขอไว้อาลัยแก่ คุณวันชัย รักสงวนศิลป์ เพื่อนร่วมอุดมการณ์ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยผู้จากไป พวกเราขอสัญญาว่าจะต่อสู้เรียกร้องกับอำมาตย์เผด็จการจนกว่าจะได้ชัยชนะและจะนำประชาธิปไตยที่แท้จริงมาใช้ปกครองประเทศ ขอให้คุณวันชัยจงหลับให้สบาย เราขอบอกอำมาตย์เผด็จการว่าขณะนี้ไม่มีอำนาจใดๆในโลกนี้แม้แต่ความตาย จะมาหยุดยั้งพลังของประชาชนเจ้าของประเทศได้ พวกเราไม่ย่อท้อหวั่นไหว พวกเราจะสู้จนได้ประชาธิปไตยที่ปวงชนชาวไทยเป็นผู้กำหนดร่วมกัน ซึ่งพวกเราคิดว่าวันนั้นไม่ไกลเกินรอ......


    บทพิสูจน์ความแข็งแกร่งแห่งเพชรแท้-บทกลอนเขียนด้วยลายมือก่อนตายของวันชัย รักสงวนศิลป์ (ขวาสุดชูนิ้วในภาพ ถ่ายเมื่อ26ธ.ค.ก่อนเสียชีวิตเพียง1วัน) ผู้ต้องขังคดีการเมืองจากเหตุการณ์ 19 พฤษภา 53 ซึ่งศาลลงโทษเขาและผู้ร่วมชะตากรรมไม่ต่างจากอาชญากรในคดีอาชญากรรมธรรมดาๆ แม้ว่าคอป.เคยเสนอให้ปลดปล่อยตัว เพราะผู้ต้องขังเหล่านี้ไม่ว่าได้กระทำหรือไม่กระทำผิด ก็มีมูลเหตุมาจากการเมือง ซึ่งต่างจากการก่ออาชญากรรมตามปกติ(ภาพจากfacebookของ Picky Pj )

    โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์

    เว็บไซต์ ประชาไท รายงานว่า อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ยืนยัน วันชัย รักสงวนศิลป์ ผู้ต้องขังเสื้อแดง คดีฝ่าฝีน พรก.ฉุกเฉินฯและเผาสถานที่ราชการ ที่ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษหลักสี่ได้เสียชีวิตลงจริง พรุ่งนี้ส่งนิติเวช รอผลชันสูตร

    วันนี้ (27 ธันวาคม 2555) จากกรณีที่มีการเผยแพร่ข่าวการเสียชีวิตของนักโทษการเมืองในกลุ่มผู้ใช้เฟซบุ๊ก ทางผู้สื่อข่าวประชาไทได้ติดต่อสอบถามไปยังกรมราชทัณฑ์   พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ซึ่งยืนยันข้อมูลว่า นายวันชัย รักสงวนศิลป์ ผู้ต้องขังคดีฝ่าฝีน พรก.ฉุกเฉินฯและเผาสถานที่ราชการ ที่ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษหลักสี่เสียชีวิตจริง

    อธิบดีกรมราชทัณฑ์กล่าวถึงเหตุแห่งการเสียชีวิตของ นายวันชัย ว่าในช่วงบ่ายของวันนี้หลังจากที่นายวันชัยเสร็จสิ้นจากการแข่งขันกีฬาก็เข้ามาพักนั่งดูเพื่อนผู้ต้องขังเล่นหมากรุก และต่อมานายวันชัยเดินเข้าไปล้างหน้าที่ห้องน้ำ เมื่อเดินออกจากห้องน้ำ นายวันชัยก็ล้มลงกับพื้น เพื่อนผู้ต้องขังจึงแจ้งกับเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ทางเจ้าหน้าที่จึงนำตัวนายวันชัยส่งยังทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ แขวงลาดยาว จตุจักร

    เมื่อถามถึงสาเหตุการเสียชีวิตนั้น  อธิบดีกรมราชทัณฑ์แจ้งกับประชาไทว่าทางกรมราชทัณฑ์ได้นำศพของนายวันชัยส่งให้ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ รพ.ตํารวจ กระทำการชันสูตร ในวันพรุ่งนี้ สำหรับเรื่องการแจ้งให้ญาติผู้ต้องขังได้รับทราบ พ.ต.อ.สุชาติกล่าวว่า คาดว่าทางเรือนจำติดต่อทางญาติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม เมษา-พฤษภา53 ( ศปช.) ได้ระบุว่า วันชัย รักสงวนศิลป์ ปัจจุบันอายุ 31ปี สถานะโสด มีอาชีพรับจ้างดายหญ้า เป็นชาว ต.หนองไผ่ อ.หนองหาน จ.อุดรธานี ในวันเกิดเหตุ (19   พฤษภาคม 2555) วันชัย เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองเป็นครั้งแรก โดยเดินทางจากบ้านที่ อ.หนองหารมาชุมนุมบริเวณศาลากลาง จ.อุดรธานี ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักอาศัยเป็นระยะทาง 35 กม. เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยุติการใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุมที่บริเวณราชประสงค์

    หลังเกิดเหตุการณ์เผาศาลากลาง วันชัยถูกเจ้าหน้าที่ทหารทำการจับกุมและทำร้ายร่างกาย(เหยียบและใช้ท่อนไม้กระแทกที่แผ่นหลัง ) ก่อนที่จะถูกแจ้งความดำเนินคดี ในข้อหา ร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์,บุกรุกสถานที่ราชการโดยมีอาวุธ,ทำให้เสียทรัพย์, ขัดขวาง เจ้าพนักงาน ฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉินฯ

    ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ ยกฟ้องข้อหาทำให้เสียทรัพย์และขัดขวางเจ้าพนักงาน แต่ลงโทษข้อหาวางเพลิงอาคารศาลากลางหลังเก่า โดยให้จำคุก รวม  20 ปี 6 ด. และให้จำเลยร่วมกันชดใช้  57.7 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย7.5% /ปี

    นับจากวันที่ถูกจับกุม จนถึงวันที่เขาเสียชีวิตในเรือนจำ เป็นเวลา 2 ปี 7 เดือนเศษ วันชัยมีโอกาสได้รับสิทธิ์ในการประกันตัวในช่วงก่อนที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษา เป็นเวลาเพียง 2 เดือนเศษ


    ไม้ใกล้ฝั่งดั่งต้นไทร...เปรียบผู้ใหญ่เฉียดใกล้โลง.....ศักดินาฤาว่าไพร่...อยู่ไม่ไกลจากเมรุเผา เราฆ่าเขาเขาฆ่าเรา...ไพร่หรือเจ้าต้องเข้าโลง อำมหิตจิตมนุษย์...ท้ายที่สุดก็ตายโหง แก่เจียนตายใกล้กรายโลง...ยังไม่ปลงยังคงเลว.... ไอ้ขันฑีเฒ่าเจ้าเล่ห์ใจดำอำมหิตเหมือนกับงูพิษหัวหน้ามาเฟียทาสรับใช้กษัตริย์มหาโจรทำร้ายประเทศชาติ ปล้นสิทธิเสรีภาพและกดขี่ข่มเหงประชาชนมาตลอดชีวิต เมื่อเปรตตัวนี้สาบสูญไปจากโลกเมื่อใดเมืองไทยก็จะมองเห็นแสงสว่างแห่งความเป็นธรรม และประชาธิปไตย...

    ขุนเขาบอก : Posted Image

    ไม้ใกล้ฝั่งดั่งต้นไทร...เปรียบผู้ใหญ่เฉียดใกล้โลง.....

    เปรียบไม้ใหญ่ที่ใกล้ล้ม...พายุโหมต้านไม่ไหว
    อนาถหนาพญาไทร...อายุใกล้ไถลดิน
    สูงสง่าพญาไม้...เคยยิ่งใหญ่ดั่งผาหิน
    มอดแมลงแย่งกัดกิน...บั่นชีวินพญาไทร

    ไทรเอ๋ยไทรใบเจ้าร่วง...เพียงติดบ่วงริษยา
    เปรียบขั้วใบเป็นศรัทธา...ใบริษยาหลุดลาไทร
    ดั่งชีวีมีดีชั่ว...ติดตามตัวทุกสมัย
    ไม้ใกล้ฝั่งดั่งต้นไทร...เปรียบผู้ใหญ่เฉียดใกล้โลง

    ศักดินาฤาว่าไพร่...อยู่ไม่ไกลจากเมรุเผา
    เราฆ่าเขาเขาฆ่าเรา...ไพร่หรือเจ้าต้องเข้าโลง
    อำมหิตจิตมนุษย์...ท้ายที่สุดก็ตายโหง
    แก่เจียนตายใกล้กรายโลง...ยังไม่ปลงยังคงเลว

    กิเลสหนาพาให้ชั่ว...ดีใส่ตัวชั่วให้เขา
    ยังลืมตัวยังมัวเมา...แอบอิงเจ้าว่าเขาเลว
    เป็นมนุษย์สุดประเสริฐ....ชาติกำเนิดฟ้ากับเหว
    เกิดเบื้องฟ้ายังกล้าเลว...เกิดก้นเหวไม่เลวทราม

    ศรัทธาไทรคือใบร่วง...ศรัทธาลวงคือคนไหน
    เคยคุกเข่าใต้เงาไทร...สักกาใบต้นไทรงาม
    ชีพลับล่วงคำลวงฟ้า...เทิดศรัทธาน่าเกรงขาม
    คำสั่งตายชายนิรนาม...ใต้ไทรงามคือความตาย

    ไทรเอ๋ยไทรต้องไปแล้ว...ร่มไทรแก้วของลูกเอ๋ย
    ไร้ศรัทธาดั่งเช่นเคย...ด้วยไทรเอ๋ยสั่งความตาย
    ท่าวถล่มจมผืนดิน...ธรณินคือที่หมาย
    ร่มไทรใหญ่ใบมลาย...ศรัทธาหายตายสู่ดิน....เมื่อศรัทธาสูญ.ผลบุญก็เหือดหาย..ความดีอยู่คู่กาย.ความตายอยู่คู่กรรม.....

    tisdag 25 december 2012

    " ฟ้องด้วยภาพ" ถึงรัฐบาลและผู้รับผิดชอบ ประเทศไทยยังมีภาพแบบนี้อีกหรือ? คำถามถึงกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ไม่คิดจะแก้ปัญหาอะไรเลยหรือ?

    Posted Yesterday, 03:47 PM
    Posted Image

    คนเร่ร่อนในสนามหลวง
    เมื่อกี้ได้มีโอกาสไปเดินรอบบริเวณสนามหลวงในเวลาห้าทุ่ม ผมว่าหลายคนคงเคยรู้และเคยพบเห็นภาพอย่างที่ผมเคยเห็นมาเหมือนกัน แต่หลายคนคงคิดไม่ตกว่าทำไมพวกเขาเหล่านี้จึงต้องมาอยู่แบบนี้ ทำบุญมาน้อย ไม่มีวาสนา ช่วยไม่ได้ที่เกิดมาจนเอง ผมพบหลายอาชีพหมอนวดแผนโบราณเยอะที่สุด ด้วยผู้หญิงอายุเกิน 35ปีทั้งนั้น พยายามที่จะแต่งตัวให้ดูสวยงามเมื่อเข้าไปคุยแล้วก็พบว่านอกจากจะนวดแล้วยังขายบริการอีก ผมพบผู้หญิงไทยที่หน้าตาค่อนข้างจะดีกว่าคนกลุ่มแรกยืนโบกรถที่ผ่านไปมาเพื่อเสนอขายบริการ คนเร่ร่อนไม่มีบ้านจะอยู่นอนตรงบริเวณเจดีย์ขาวเยอะมาก กลิ่มเหม็นคุ้งไปหมดน่าจะมาจากฉี่และอุจาระ

    ผมมีคำถามในใจว่า ทำไมเขามีสภาพเช่นนั้นทำไมรัฐบาลจึงไม่จัดให้เขาได้มีที่อยู่อย่างมีศักดิ์ศรีกว่านี้ ผมเห็นหลอดไฟประดับรอบๆสนามหลวงอย่างสวยงามมาก แค่คุณเอาค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่ายเพื่อเสริมเกียรติใครบางคน ก็น่าจะหาที่อยู่ให้คนเหล่านี้อยู่ได้ดีกว่านี้ทั้งหมดได้ แล้วครอบครัวพวกเขาหละอยู่กันอย่างไร ทำไมคนไทยจึงต้องไร้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เช่นนี้ พวกเขารู้หรือเปล่าว่าพวกเขาควรจะต้...องได้อยู่ดีกินดีเรียนหนังสือได้มากกว่านี้ มีรายได้ที่ดีกว่าปัจจุบัน พวกเขารู้หรือไม่ว่ากำลังนอนทับบนบ่อน้ำมันขนาดใหญ่

    ผมสนใจศึกษาเรื่องน้ำมันในประเทศแล้วมันน่าหดหู่ใจอย่างที่สุดกับภาพที่ผมพบเห็น แค่น้ำมันในภาคอีสานก็มีมากกว่าซาอุแล้ว แต่ที่เรายากจนเพราะคนไทยถูกขูดรีด ถูกเขาปิดบังข้อมูลเรื่องนี้แล้วเอาผลประโยชน์ให้คนไม่มีกลุ่มร่ำรวย เราไม่ได้ทำบุญมาน้อยแต่เราโดนพวกเขาเอาเปรียบเอาทรัพยากรของคนไทยไปประเคนให้อเมริกา แล้วพวกเขาก็ได้แค่ตอบแทนเล็กน้อยจากส่วนแบ่งที่อเมริกามันโยนให้ คุณจะรวยที่สุดในโลกกี่ปีซ้อนเราไม่ว่าหรอก แต่อย่าให้คนไทยอยู่แบบนี้เลยได้ไหม มีประเทศที่มีน้ำมันที่ไหนบ้างเขาอยู่อย่างแล้งแค้นเช่นคนไทย อย่าสร้างประเด็นทางการเมืองเพื่อกลบผลประโยชน์ของคุณที่กำลังสูบเลือดสูบเนื้อคนไทยเลยได้ไหม นายทุนทุกกลุ่มทั้งทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ ทุนเก่า และทุนใหม่ต่างมีผลประโยชน์ในเรื่องน้ำมันและพลังงานที่ขุดเจาะได้ในประเทศไทยทั้งนั้น ไอ้ที่สร้างวาทะกรรมทักษิณชั่วอำมาตย์เลวล้วนแล้วแต่สร้างประเด็นเพื่ออำพรางผลประโยชน์อันมหาศาลนี้กันทั้งนั้นทุกฝ่าย

    ถึงเวลาแล้วหรือยังที่คนไทยจะเรียกศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์กลับคืนมา ภาพที่เราเห็นวันนี้ต้องไม่มีให้เห็นอีก ด้วยการยึดบ่อน้ำมันทั่วประเทศ อย่าอ้างกฏหมายที่พวกมันเขียนเองเพื่อพวกมันอีกเลย โบลิเวียยึดบ่อน้ำมันคืนโบลิเวียมีงบประมาณแผ่นดินเพิ่มขึ้นทันที 7 เท่าตัว น้ำมันในประเทศไทยเยอะกว่าโบลิเวียอย่างเทียบกันไม่ติด ถึงเวลาแล้วหรือยังที่คนไทยจะปฏิวัติน้ำมัน เราพร้อมแล้วๆท่านหละ ยึดพร้อมกันทั่วไทยทุกบ่อทุกโรงกลั่นทุกโรงแยกก๊าช คนไทยต้องไม่จนอีกต่อไปด้วยมือของเราเอง

    เมื่อมันใหญ่กว่าสาน..ยกบ้านเมืองให้มันไป.....ประเทศใหญ่ใช้ลา...เป็นผู้ฆ่ากฎหมาย หลบคดีหนีหมาย...ให้สานตะกายข้างฝา ตราชั่งเอนเอียง...เพียงหลงเลห์เทวดา หลงคำวาจา...เทวดากำมะลอ....ศาล "ของเหี้ยสั่งฆ่า "มันทำตามใบสั่งของปีศาจผีดิบที่ออกมาสั่งเมื่อวันที่ ๑๒ ธค.นี้ นี้คือเครื่องมืออันสุดท้ายของ เหี้ยง้อยสี่ขาให้หมาจูง จอมโจรอำมหิต...

    ขุนเขาบอก :

    เมื่อมันใหญ่กว่าสาน..ยกบ้านเมืองให้มันไป.....

    ห้วงเวลากำลังเดินไป.......
    แต่ประชาธิปไตยไท...ใกล้อวสาน
    สยามสมัย...กำลังไหลสู่กาล
    มืดมนอนธการ....ดั่งกรายผ่านอเวจี

    เมื่อเหตุประเทศหนึ่ง...ถูกตรึงด้วยกฎหมาย
    ยุติธรรมล้มละลาย...ใส่ร้ายป้ายสี
    แต่งตั้งสานเตี้ย...ไว้เพื่อ “คร่าชีวี”
    แอบอ้างฤทธี...เป็นเจ้าชีวีประชาชน

    อวดอ้างอหังการ์...ใช้วิชากฎหมาย
    สอดไส้ไล้ลาย...ไม่ละอายต่อผล
    มูลเหตุแห่งเหตุ...เปรตอยากเป็นคน
    เป็นอภิสิทธิ์ชน...หวังหลุดพ้นอาญา

    อ้างผ่านสานร้าย...หวังคลายข้อหา
    หลบเลี่ยงอาญา...หวังฎีกาเลือนหาย
    เบี่ยงเบนประเด็น...ไม่ยอมเป็นคนสั่งตาย
    บ้านเมืองฉิบหาย...กฎหมายกลายเป็นลา

    ประเทศใหญ่ใช้ลา...เป็นผู้ฆ่ากฎหมาย
    หลบคดีหนีหมาย...ให้สานตะกายข้างฝา
    ตราชั่งเอนเอียง...เพียงหลงเลห์เทวดา
    หลงคำวาจา...เทวดากำมะลอ

    อนาคตสานใหญ่...คงไปสานตะกร้า
    ปลดวุฒิการศึกษา...เลี้ยงหมาอยู่กับหมอ
    ปริญญาข้างฝา...คงไร้ค่ากำมะลอ
    ปล่อยให้ลาสืบสานต่อ...เวรกรรมหนอ “ประเทศไท“...เมื่อมันใหญ่กว่าสาน.ยกบ้านเมืองให้มันไป...

    måndag 24 december 2012

    เสื้อความดีสีลายหงส์...สีเครื่องทรงเทวดา.......เก้าสิบกว่าหน้ายังสวย...ปรวยคำหวานผ่านจอสี อ้างเบื้องฟ้าหาคนดี...ละลายสีผ่านสื่อสาร จับม้าแข่งมาแต่งหน้า...เป็นเทวาฟ้าประทาน เป็นจ๊อกกี้ขี่ทหาร...บริบาลเทวดา

    ขุนเขาบอก :

    เสื้อความดีสีลายหงส์...สีเครื่องทรงเทวดา.......

    คนดีของท่าน...คงปานเทวา
    เป็นไพร่ขี้ข้า...เสนอหน้าคงไม่ไหว
    ดั้นด้นค้นหา...ทั่วฟ้าเมืองไทย
    หากพิสมัย...รีบยกให้ใส่ชฎา

    แต่งเป็นเทวา...ให้ขี้ข้ามันไหว
    ดีไม่ดีไม่เป็นไร...ป๋าไว้ใจใช่ปัญหา
    แต่งนั่นนิดปิดนั่นหน่อย...คนเป็นง่อยยังงามตา
    จับแต่งองค์ทรงชฎา...เป็นเทวาได้สมใจ

    หาคนดีทุกปีใหม่...คงบรรลัยเป็นเแน่แท้
    ธรรมนูญไม่ต้องแก้...เพื่อพ่อแม่ทำได้ไหม
    ให้เป็นบัวอยู่ใต้น้ำ...เมืองสยามของคนไทย
    ยิ่งโหยหาประชาธิปไตย...ยิ่งห่างไกลอันตรธาน

    เก้าสิบกว่าหน้ายังสวย...ปรวยคำหวานผ่านจอสี
    อ้างเบื้องฟ้าหาคนดี...ละลายสีผ่านสื่อสาร
    จับม้าแข่งมาแต่งหน้า...เป็นเทวาฟ้าประทาน
    เป็นจ๊อกกี้ขี่ทหาร...บริบาลเทวดา

    โอ้คนดีศรีสยาม...ระบือนามสยามหาย
    ถูกข้อหาฆ่าคนตาย...เทวาวายกลายเป็นหมา
    ฆ่าคนตายไปหลายสิบ...ถูกป๋าถีบริบชฎา
    เป็นผู้ร้ายตายอย่างหมา...ปลดชฎาอำลาโรง

    สยามเอยสยามเศร้า...ถูกมอมเมาคลุกเคล้าสี
    ต่างดิ้นรนเป็นคนดี...แต่งแต้มสีอยากเป็นหงส์
    ศักดินาขี้ข้าไพร่...หาสรวมใส่ไว้อ่าองค์
    เสื้อความดีสีลายหงส์...สีเครื่องทรงเทวดา.......อยากเป็นคนดีต้องใส่สีที่ว่า.......

    söndag 23 december 2012

    เอกสารประวัติศาสตร์ที่พวกชนชั้นปกครองต้องการปิดบังอนุชนรุ่นหลัง


     

      Posted Image

      http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=CDnYrcTKKKg

      ในประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองไทย ได้เกิดเหตุการณ์หลายอย่างขึ้น ทั้งที่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ พี่น้องคนไทยเข่นฆ่ากันเอง และแบบที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปในทางที่ดี
      มีคนกล่าวไว้ว่า ในการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง หากผู้กระทำเป็นผู้ชนะ เราก็จะเรียกว่า การรัฐประหาร แต่ถ้าแพ้ ก็จะถูกตราหน้าว่ากบฏ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การรัฐประหาร หมายถึง การเปลี่ยนแปลงอำนาจ หาใช่การเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่ เพราะการปฏิวัติ หรือการผลัดแผ่นดินของประเทศไทย เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว คือ 24 มิถุนายน 2475 โดยคณะราษฎร

      ++++>กรุณาอย่าล้วงลูก...ไม่ยึดกฏหมายหรือความถูกต้อง...แล้วจะอยู่ไปทำห่าอะไร<++++

      ....โหวตกันมาตั้งแต่...วาระ 1...ถึง....วาระ 2....ทำตามกฏหมาย รธน ทุกอย่าง
      ในเมื่อรัฐสภาเป็นสถานที่...ที่มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน...และทุกแห่งในโลก
      ก็เป็นเหมือนกันหมด.......จู่ๆมีไอ้โจรแก่ๆ 9 ตัว...ออกคำสั่งมายับยั้งรัฐสภา......
      ในการโหวตวาระ 3 จึงต้องยุติลงเพราะไอ้โจรแก่ 9 ตัวอย่างนั้นหรือ.....???
      และถ้าหากมีการโหวตผ่านวาระ 3 ไปได้จริงๆ...แล้วคนทั้งประเทศจะต้องล้มตาย
      กันหมดกระนั้นหรือ...หรือว่าจะถูกไอ้โจรแก่ 9ตัวมันฆ่าให้ตาย....ก็หาไม่...ขี้ขลาด
      หัวหดเข้ากระดองกันเป็นแถว......เป็นถึงผู้ใหญ่ที่ใครๆให้ความนับถือ......
      กลับโชว์โง่ให้ ปชช เห็นทั้งประเทศ....ด้วยการล้วงลูกเป็นพหูสูจน์รู้ไปหมดทุกเรื่อง
      ว่าโหวตแล้วจะเป็นอย่างโน้นเป็นอย่างนี้....เดี๋ยวไอ้แก่ 9 ตัวจะยุบพรรคเอา
      ต้องแก้เป็นรายมาตราน่าจะเหมาะสม.....เบรกชาวบ้านเขาไปหมด...พอปล่อย
      ให้ไปสู้กับอำมาตย์ปรากฏว่า..ถูกหลอกจนแพ้ซ้ำซากมาตลอด...ต้องมาสารภาพ
      กับ ปชช จนหมดเปลือก..ก็ทำมาแล้ว...นี่ก็เอาอีกเข้ามาป่วนทั้งที่ตัวเองแพ้แล้วแพ้อีก
      ก็ไม่เคยจดจำ....เมื่อมติของ นปช ที่โบนันซ่าออกมาแล้วว่าให้โหวตวาระ 3 ได้เลย
      ก็ต้องเป็นไปตามมติของคนเสื้อแดง.....แล้วถ้าอะไรจะเกิดขึ้นมันก็ต้องเกิด...
      ถ้าไอ้โจรแก่ 9 ตัวมันคิดจะทำรัฐประหารด้วยการกบฏอีก....ก็จงเตรียมตัวรับตีน
      ของคนเสื้อแดงทั้งแผ่นดินได้เลย.....ส่วนคนไหนที่ขี้ขลาดและคนชอบล้วงลูก
      เมื่อไม่สู้ก็ถอยออกไป....เป็นหน้าที่ของ ปชช เขาจะตัดสินกันเอง...จงรู้ไว้ด้วย
      ไอ้คนขี้แพ้...ที่เอาแต่ล้วงลูก...ปชช กำลังจะชนะก็มากระตุกขาให้ล้มคว่ำทุกที....

      เชิญฟังคลิปวีดิโอนายกทักษิณพูดจากกรุงปักกิ่งในวันงานโบนันช่าที่เขาใหญ่

      http://www.youtube.com/watch?v=71va3WaObU0&feature=player_embedded

      “พระจักรพรรดิอากิฮิโตะ” เมื่อสถานะเทวราชาขององค์จักรพรรดิสูญสิ้นไปพร้อมกับสงครามโลกครั้งที่ 2 จักรพรรดิญี่ปุ่นจึงทรงมีบทบาทแต่ในเชิงพิธีการ ในฐานะที่ทรงเป็นประมุขรัฐ แม้กระนั้นชาวญี่ปุ่นก็ยังถวายความเคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างลึกซึ้งเสมอมาด้วยความเคารพรักและศรัทธาจากจิตใจที่แท้จริง ช่างแตกต่างกับกษัตริย์ไทยที่มีกฎหมาย ม.๑๑๒ ใช้บังคับข่มขู่ประชาชนให้จงรักภักดี มีประชาชนไทยจำนวนมากที่ถูกจับกุมคุมขังด้วย ม.๑๑๒ เนื่องในโอกาสปีเก่า ๒๕๕๕ กำลังจะผ่านไปและปีใหม่ ๒๕๕๖ กำลังเริ่มต้น เราปารถนาให้กษัตริย์ไทยได้โปรดพิจารณาคิดและไตร่ตรองว่าจะยังคงมี ม.๑๑๒ ไว้ในรัฐธรรมนูญอีกต่อไปหรือไม่......


      วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2555


      “พระจักรพรรดิอากิฮิโตะ” เสด็จฯ ออกมหาสมาคม ณ สีหบัญชร ในวโรกาสเจริญพระชนมายุ 79 พรรษา


      เอเอฟพี - สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะแห่งญี่ปุ่น ซึ่งทรงเจริญพระชนมายุ 79 พรรษาในวันนี้ ทรงมีพระราชดำรัสตอบชาวแดนอาทิตย์อุทัยหลายพันคนที่มาเฝ้าฯถวายพระพร ณ พระราชวังอิมพีเรียล โดยทรงยืนยันว่า พระพลานามัยกลับมาแข็งแรงดังเดิมหลังทรงเข้ารับการผ่าตัดบายพาสหัวใจเมื่อต้นปีที่ผ่านมา และยังพระราชทานกำลังใจแก่ผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิเมื่อปีที่แล้วด้วย
            
             สมเด็จพระจักรพรรดิและพระบรมวงศานุวงศ์ประทับยืนที่ระเบียงกรุกระจกของพระราชวังอิมพีเรียล ด้านที่ติดกับสวนฝั่งตะวันออก โดยมีชาวญี่ปุ่นหลายพันคนมารอเฝ้าฯรับเสด็จท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น
            
             “เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ข้าพเจ้าได้ผ่าตัดหัวใจ ซึ่งทำให้ท่านทั้งหลายรู้สึกเป็นห่วง แต่โปรดมั่นใจได้ว่า ขณะนี้ข้าพเจ้ากลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติเหมือนเช่นเคยเนื้อความส่วนหนึ่งในพระราชดำรัส ระบุ
             
             มื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ คณะแพทย์ได้ถวายการผ่าตัดเป็นเวลา 4 ชั่วโมง หลังตรวจพบหลอดพระโลหิตในพระหทัยมีอาการตีบตัน ซึ่งนับเป็นการผ่าตัดครั้งล่าสุดของสมเด็จพระจักรพรรดิ หลังจากที่ทรงเคยผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมากมาแล้ว เมื่อปี 2003
            
             เมื่อสถานะเทวราชาขององค์จักรพรรดิสูญสิ้นไปพร้อมกับสงครามโลกครั้งที่ 2 จักรพรรดิญี่ปุ่นจึงทรงมีบทบาทแต่ในเชิงพิธีการ ในฐานะที่ทรงเป็นประมุขรัฐ แม้กระนั้นชาวญี่ปุ่นก็ยังถวายความเคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างลึกซึ้งเสมอมา
            
             “พระองค์ทรงเป็นตัวแทนประชาชน และเราก็รู้สึกดีใจที่เห็นพระองค์ท่านมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงทาเกโอะ นากาฮาชิ หนุ่มวัยเกษียณซึ่งเป็นหนึ่งในพสกนิกรกว่า 10,000 คนที่มารอเฝ้าฯสมเด็จพระจักรพรรดิในวันนี้(23) กล่าว
            
             “ผมเคยเป็นห่วงพระองค์มาก แต่เมื่อได้เห็นพระพักตร์ที่แจ่มใสผมก็สบายใจ ผมขอให้พระองค์มีพระชนมายุยิ่งยืนนาน
            
             สมเด็จพระจักรพรรดิยังทรงฝากกำลังใจไปถึงผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวและสึนามิเมื่อวันที่ 11 มีนาคม ปี 2011 ซึ่งหลายคนยังไม่สามารถเดินทางกลับบ้านได้ ทั้งยังทรงระบุว่า ปี 2011 ที่ผ่านมาถือเป็นปีแห่งความยากลำบากของชาวญี่ปุ่นโดยแท้
            
             “ข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะสวดมนต์ขอพรให้ชาวญี่ปุ่นทุกคนมีความสุข โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ
            
             ก่อนหน้านี้ สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะทรงมีพระราชดำรัสผ่านสื่อมวลชนว่า พระพลานามัยกลับมาสมบูรณ์แข็งแรงจนทรงสามารถเล่นเทนนิสได้แล้ว และยังทรงปรารถนาที่จะปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆตามปกติ แม้พระบรมวงศานุวงศ์และเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังจะแนะนำให้ทรงลดพระราชภารกิจลงบ้างก็ตาม
            
             หลังการผ่าตัดพระหทัยลุล่วงด้วยดี สมเด็จพระจักรพรรดิและจักรพรรดินีมิจิโกะได้เสด็จฯไปเยี่ยมเยียนชาวญี่ปุ่นทั่วทุกภูมิภาค และยังเสด็จฯไปร่วมพระราชพิธีพัชราภิเษกสมโภชสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งอังกฤษที่กรุงลอนดอนอีกด้วย

      lördag 22 december 2012

      บทความที่ให้ความรู้ให้ข้อคิดและเป็นประโยชนให้แก่คนทุกหมู่เหล่าทุกชนชั้นในการร่วมมือกันแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ!

      ความเป็นสังคมนิยมทางเศรษฐกิจ และประชาธิปไตยทางการเมือง

      การประชุมเครือข่ายสังคมนิยมประชาธิปไตย (Social-Democrat Movement) ครั้งที่ 2/2555
      วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม 2555 ณ ห้องประชุม 209 คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
      เมธา มาสขาว
      เครือข่ายสังคมนิยมประชาธิปไตย
                  วิกฤติสังคมไทยและความขัดแย้งทางการเมืองในรอบ 10 ปีที่ผ่านมานี้ กำลังสะท้อนถึงทิศทางประชาธิปไตยไทยที่กำลังเดินทางมาสู่ทางแพร่ง และปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างแนวทาง “ประชาธิปไตยแบบอนุรักษ์นิยม” หรือประชาธิปไตยครึ่งใบแบบเก่า (semi democracy) และ “ประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม” (libertarian democracy)            ทั้งสองแนวทางดังกล่าว ยังไม่มีรูปธรรมที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจและการเมืองที่ถูกผูกขาดโดยชนชั้นนำทั้งกลุ่มทุนเก่าและกลุ่มทุนใหม่แต่อย่างใด และภายใต้โครงสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจแบบนี้ แนวทางประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม หรือ ประชาธิปไตยแบบอนุรักษ์นิยม ทั้งสองแบบต่างก็เติบโตได้ดีในสังคมไทย หากว่าปรองดองกันได้ โดยการแย่งชิงพื้นที่ระบบอุปถัมภ์นิยมเพื่อยึดโยงอำนาจของตนเอง แต่พลังของภาคประชาชนจะไม่สามารถเติบโตได้เนื่องเพราะไม่อาจเป็นอิสระจากรัฐและทุนได้อย่างแท้จริงภายใต้โครงสร้างและแนวทางเหล่านี้  การเมืองในโครงสร้างนี้จึงไม่มีพื้นที่ของประชาชนที่มีที่ยืนที่ชัดเจน และไม่อนุญาตให้มีพรรคการเมืองทางชนชั้นหรือพรรคการเมืองเชิงอุดมการณ์ที่หลากหลาย เช่น พรรคสังคมนิยม หรือพรรคสังคม-ประชาธิปไตย หรือพรรคทางเลือกทางการเมืองอื่นๆ ซึ่งเมื่อไม่มีพรรคการเมืองทางชนชั้นเข้าไปสู่อำนาจรัฐ จึงทำให้เกษตรกร คนงาน ประชาชนชั้นล่างของสังคม ถูกเลือกปฏิบัติมาโดยตลอดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เกิดคำถามว่า เราจะร่วมกันปฏิรูปเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปทางไหน อย่างไร ในอนาคตอันใกล้ จะเดินถอยหลังไปสู่ ประชาธิปไตยครึ่งใบ แบบเก่า หรือเราจะเดินต่อไปข้างหน้าเพื่อไปสู่ เสรีนิยมประชาธิปไตย (Libertarian Democracy) แบบสหรัฐอเมริกา ที่เน้นเฉพาะสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองเท่านั้น หรือว่ายังมีทิศทางอื่น ทางเลือกที่สามในสังคมไทย นั่นคือทิศทางใหม่เพื่อไปสู่ “สังคมนิยมประชาธิปไตย” (Social-Democracy) แบบหลายรัฐในสหภาพยุโรป ที่ให้ความสำคัญทั้งสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR.) รวมทั้งสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม (ICESCR.)
                                                                                        
       ข้อเสนอทางการเมืองที่สำคัญ ตามแนวทางสังคมนิยมประชาธิปไตย เพื่อแก้ไขปัญหาทางโครงสร้างที่รอวันผุปรักหักพังมาหลายทศวรรษ และน่าจะเป็นทางออกจากวิกฤติของประเทศไทย มีดังนี้
      1.ชนชั้นนำในสังคมไทย อันประกอบไปด้วย เครือข่ายเจ้านาย เครือข่ายชินวัตร กองทัพ นักการเมือง กลุ่มข้าราชการ กลุ่มนายทุน ทั้งกลุ่มทุนเก่าและกลุ่มทุนใหม่ ต้องร่วมกันก้าวข้ามผลประโยชน์ตนเองไปสู่ผลประโยชน์ร่วมของสังคม โดยไม่ใช้วิธีการต่อสู้ทางการเมืองด้วยการใช้ความรุนแรงหรือความตายของประชาชนเป็นเครื่องมือ และสนับสนุนการปฏิรูปสังคมใหม่อย่างสันติผ่านระบบรัฐสภาที่เป็นประชาธิปไตย ที่อนุญาตให้มีพรรคการเมืองที่หลากหลายทางอุดมการณ์ เพื่อต่อสู้ทางการเมืองในระบบรัฐสภา และสนับสนุนประชาชนในการเสนอทางเลือกใหม่ที่ไปมากกว่าอุดมการณ์ประชาธิปไตย 2 กระแสในปัจจุบันไปสู่การเรียกร้องประชาธิปไตยที่เน้นสังคม หรือ สังคมนิยมประชาธิปไตย ที่สนับสนุนให้เกิดความเป็นธรรมทางสังคม เศรษฐกิจ และสร้างรัฐสวัสดิการ เพื่อเป็นอุดมการณ์ทางการเมืองทางเลือกใหม่ของระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา และเป็นทางออกจากวิกฤติความขัดแย้งในปัจจุบัน ปัจจุบันประเทศที่มีประชาธิปไตยทางการเมือง เป็นสังคมนิยมประชาธิปไตย หรือ ‘Social-Democracy’ มากที่สุดในโลก ได้แก่ เดนมาร์ก สวีเดน ฟินแลนด์ นอร์เวย์ และเยอรมัน เป็นต้น
      2.ต้องมีการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วนและให้เป็นวาระหลักของประเทศไทย โดยมีนโยบายการแก้ไขในระดับโครงสร้างขั้นพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง โดยเฉพาะปัญหาการครอบครองทรัพยากรที่ไม่เท่าเทียมกัน การกระจายรายได้และโภคทรัพย์ที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งนำมาสู่ปัญหาความเหลื่อมล้ำมหาศาลและเป็นปัญหาความขัดแย้งที่ฝังรากลึกในสังคมไทย และมีมาตรการทางกฎหมายหรือนโยบายที่ลดความเหลื่อมล้ำในรูปแบบต่างๆ เพื่อสร้างความเป็นธรรมในสังคมให้มากขึ้น รวมถึงแนวทางแก้ไขการเข้าผูกขาดทรัพย์สมบัติสาธารณะของเอกชน หรือการสัมปทานของเอกชนที่เอื้อผลประโยชน์ต่อรัฐน้อยเกินไป โดยรัฐจะต้องเข้ามาดูแลโภคทรัพย์ส่วนรวมของสังคมและกระจายประโยชน์สู่ประชาชนอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะทรัพย์สมบัติของประชาชนด้านพลังงาน การปิโตรเลี่ยมและคลื่นความถี่ ฯลฯ โดยยุติการแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้เอกชน แต่ปฏิรูปการบริหารจัดการใหม่แบบทันสมัยโดยให้ประชาชนเป็นหุ้นส่วน การซื้อคืนกิจการ ปตท. การจัดการเรื่องพลังงานของประเทศเพื่อให้รัฐได้ประโยชน์เต็มที่ การขนส่งมวลชนสาธารณะขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อทั้งประเทศ และการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของสังคมอื่นๆ
      ปัญหาความเหลื่อมล้ำและความยากจนซึ่งเป็นวิกฤติของสังคมไทยที่ผ่านมานั้น สังคมไทยต้องตั้งคำถามต่อทิศทางการนำพาประเทศด้วยระบบทุนนิยมเสรีที่ใช้กลไกตลาดโดยไม่แยแสต่อทุนผูกขาดใดๆ ที่ควบคุมกลไกตลาดและเอาเปรียบสังคมไทยมาอย่างต่อเนื่อง จนประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูงสุดในเอเชีย ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยห่างกันถึง 15 เท่า ขณะที่อินเดียและจีนห่างกันเพียง 8 เท่า ในปี 2553 ที่ผ่านมา จำนวนคนจนในประเทศไทยยังมีอยู่ถึง 5,076,700 คน หรือคิดเป็นสัดส่วน 7.5 % ซึ่งเป็นผู้มีรายได้ต่ำจากเส้นความยากจนที่ 1,678บาทต่อคนต่อเดือน ขณะที่คนรวยที่สุด 10% แรกของประเทศ มีรายได้รวมกันมากถึง 38.41% ของรายได้รวมทั้งประเทศ กลุ่มคนจนที่สุด 10% แรกของประเทศมีรายได้เพียง 1.69% ของรายได้รวมเท่านั้น ความขัดแย้งจากปัญหาการกระจายรายได้ไม่เป็นธรรมเหล่านี้ คือความขัดแย้งหลักของสังคมที่รอวันปะทุความรุนแรง รัฐบาลจะต้องเข้ามาจัดการเศรษฐกิจแบบผสมผสานโดยเร็ว และควบคุมการเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สมบัติสาธารณะของสังคมอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็น คลื่นความถี่ โทรคมนาคม อากาศ ดิน น้ำ ป่า น้ำมันและพลังงาน หรือสิ่งที่มนุษย์ไม่ได้สร้างสรรค์ขึ้นเองอื่นใดควรถือว่าควรเป็นกรรมสิทธิ์ของสังคม
      3.ต้องมีการสร้างหลักประกันความมั่นคงทางสังคมอย่างเร่งด่วน และผลักดันให้ประเทศไทยเป็นประเทศรัฐสวัสดิการ เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่เป็นธรรมในระบบทุนนิยมที่รัฐปล่อยให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางรายได้มหาศาลจากการคุ้มครองดูแลของรัฐเอง โดยอาจมีการนำเอานโยบายใน “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” ของนายปรีดี พนมพยงค์ ขึ้นมาทบทวนและปรับใช้ใหม่ โดยเฉพาะ พระราชบัญญัติว่าด้วยการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร และแนวคิดของ ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ เรื่อง “จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน” เพื่อให้รัฐมีหน้าที่ดูแลประชาชนตั้งแต่เกิดจนตายอย่างแท้จริง รวมถึงสร้างพันธกิจและหน้าที่ของรัฐบาลไม่ว่าจะมาจากพรรคการเมืองใด จะต้องมีหน้าที่ดูแลสวัสดิภาพความปลอดภัยของประชาชน สร้างรัฐสวัสดิการและการบริการสาธารณะโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะในด้านการศึกษา การสาธารณสุข  การประกันสังคม การประกันการว่างงานและการสนับสนุนระบบสหกรณ์ โดยทุกคนมีสิทธิที่จะเข้าถึงบริการสาธารณะในประเทศของตนโดยเสมอภาค
      4.รัฐต้องทำให้การศึกษาเป็นเสรีภาพของประชาชนที่เข้าถึงได้โดยเสมอภาค เป็นบริการสาธารณะและไม่มีค่าใช้จ่ายอย่างแท้จริง โดยมีการปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบ ทั้งในเชิงรูปแบบและเนื้อหา โดยพัฒนาคุณภาพการศึกษาไทยให้ตอบสนองต่อสังคมและชุมชนท้องที่อย่างเต็มที่ มากกว่าการผลิตบัณฑิตตอบสนองกลไกตลาดอย่างเดียว โดยรัฐบาลควรยุติการนำมหาวิทยาลัยของรัฐเข้าสู่ระบบตลาดและแปรรูปไปเป็นของคณะบุคคล การศึกษาต้องเรียนฟรีถึงปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยของรัฐ ตามหลักด้านเสรีภาพทางการศึกษา ซึ่งเป็นสิทธิของประชาชนที่ใคร่ศึกษาหาความรู้ควรได้รับสิทธิดังกล่าวอย่างเสมอภาค มิใช่เพียงเปิดโอกาสอย่างจำกัดทางด้านการศึกษาเท่านั้น โดยอาจผลักดันให้มหาวิทยาลัยราชภัฎจังหวัดละ 1 แห่งทั่วประเทศเป็นการให้การบริการสาธารณะด้านการศึกษาแก่ทุกคนที่สนใจ และมีการเปิดการเรียนรู้พลเมือง หรือ Civic Education อย่างเปิดกว้างโดยไม่ปิดกั้น มีการสนับสนุนพิพิธภัณฑ์ทางการศึกษาประวัติศาสตร์และการเมืองอย่างกว้างขวาง โดยสนับสนุนการศึกษาทางเลือก
      5.เพื่อให้รัฐมีงบประมาณในการสร้างรัฐสวัสดิการ รัฐบาลจำเป็นต้องออกกฎหมายให้มีการปฏิรูประบบภาษีทั้งระบบ โดยให้มีการเก็บภาษีทรัพย์สิน ภาษีที่ดิน และภาษีมรดกอัตราก้าวหน้า ทั้งนี้ ปัจจุบันเราเสียภาษีทางอ้อมกว่า 70% และเสียภาษีทางตรงเพียง 30% ทำให้โครงสร้างภาษีไม่มีความเป็นธรรม ภาษีทางอ้อมนั้นเก็บผ่านฐานการบริโภค คือ ภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มต่างๆ ซึ่งเป็นการเก็บภาษีทางอ้อมที่ผลักภาระให้คนจนส่วนใหญ่เป็นผู้แบกรับภาษี ภาษีทางตรงคือภาษีรายได้และนิติบุคคล ที่ปัจจุบันรัฐบาลได้ลดภาระทางภาษีลง แต่ภายใต้การคุ้มครองของรัฐ ทรัพย์สินและรายได้ของบุคคลที่สั่งสมเพิ่มขึ้นจากการรีดมูลค่าจากคนสังคม สมควรแบ่งปันคืนสู่สังคม โดยให้รัฐจัดการในส่วนหนึ่งเพื่อการพัฒนาสังคม สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ความสะดวกปลอดภัยของชีวิตตลอดจนคุณภาพชีวิตและสวัสดิการที่ดีจากรัฐ พลเมืองในยุโรป โดยเฉพาะประเทศแถบสแกนดิเนเวีย ยินดีจ่ายภาษีส่วนเกินนี้คืนให้รัฐในอัตราที่สูงในอัตราก้าวหน้าจากทรัพย์สินและรายได้ที่งอกเงย เพราะแต่ละคนก็เอาประโยชน์ที่งอกเงยนั้นมาจากสังคมไม่เท่ากัน ความเป็นธรรมจึงเกิดขึ้นจากโครงสร้างภาษีที่เป็นธรรมนี้ และรัฐบาลก็นำภาษีที่เก็บได้มาพัฒนาสังคม จนผลิตผลของทรัพย์สิน ที่ดินและมูลค่าของการลงทุนต่างๆ งอกเงยขึ้นมาเป็นดอกผลตอบแทนคืนสู่พลเมืองอีกระลอกหนึ่ง ดังนั้น ภาษีทรัพย์สิน คือภาษีทางตรงที่เราจ่ายให้แก่รัฐและสังคมระหว่างที่มีชีวิตอยู่ และภาษีมรดกคือการจ่ายส่วนเกินที่ปลายทางนั่นเอง อย่างไรก็ตาม ประเทศไทย ควรมีนโยบายการเก็บภาษีทรัพย์สินอัตราก้าวหน้า ทั้งจากสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์เหมือนภาษีทรัพย์สินในต่างประเทศ ไม่ใช่จากอสังหาริมทรัพย์อย่างเดียวตามที่บัญญัติไว้ในร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ของกระทรวงการคลัง ซึ่งจะเป็นมาตรการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมในระยะยาว รวมถึงการเก็บภาษีมรดกอัตราก้าวหน้า เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่เป็นธรรมทางสังคม และเป็นหลักประกันด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ตามสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม (ICESCR) ที่ประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ เพื่อให้รัฐและท้องถิ่น นำมาใช้ในการพัฒนาสาธารณูปโภคและสวัสดิการทางสังคม เช่น การขนส่งมวลชนสาธารณะ การศึกษาและการสาธารณะสุข เป็นต้น เพื่อให้ประชาชนมีเสรีภาพปลอดพ้นจากความอดอยากแร้นแค้น โดยเฉพาะชนชั้นล่างทางสังคม ซึ่งหากภาษีที่รัฐเก็บมา ใช้จ่ายไปในกลุ่มที่เป็นกลุ่มรายได้ระดับล่างมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะทำให้เกิดการกระจายรายได้ที่เท่าเทียมกันมากขึ้น ซึ่งจะสามารถลดช่องว่างของคนในสังคมได้มากยิ่งขึ้น
      6.ต้องมีการปฏิรูปที่ดินทั้งระบบและจำกัดการถือครองที่ดินอย่างจริงจัง ในปัจจุบันนี้ ประเทศไทยมีที่ดินประมาณ 320 ล้านไร่ แบ่งเป็นที่ดินในเขตป่าสงวนและอุทยานแห่งชาติประมาณ 25% คงเหลือประมาณ 240 ล้านไร่ให้ประชาชนใช้ประโยชน์ซึ่งจะเฉลี่ยได้เพียงคนละประมาณ 4 ไร่เท่านั้น แต่ปัจจุบันมีการถือครองที่ดินเป็นจำนวนมากของเอกชนจนเกิดการกระจุกตัว โดยไม่มีนโยบายการกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมเกิดขึ้น ซึ่งจริงๆ แล้ว ที่ดินไม่ควรเอาเข้าสู่ระบบกลไกตลาดเลย ประเทศไทยจึงต้องมีนโยบายการปฏิรูปที่ดินทั้งระบบ เพื่อการกระจายการถือครองที่ดินอย่างจริงจัง โดยการรื้อฟื้นปรับปรุง พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 ในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งมีการจำกัดการถือครองที่ดินไม่เกิน 50 ไร่ และห้ามคนต่างด้าวถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน แต่มายกเลิกในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โดยรัฐบาลและกระทรวงการคลังอาจร่วมกันปฏิรูปกฎหมายดังกล่าวให้ทันสมัยขึ้น โดยมีมาตรการจำกัดการถือครองเพิ่มขึ้นไม่เกิน 100 ไร่ หรือตามความจำเป็น เป็นต้น และสนับสนุนนโยบายการเก็บภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หรืออาจจะปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ให้ครอบคลุมมาตรการดังกล่าว เพราะหากรัฐบาลไม่มีนโยบายเรื่องนี้ เกษตรกรและชาวนาไทยอาจจะกลายเป็นเพียงแรงงานในท้องไร่ที่เป็นฟาร์มขนาดใหญ่ของนายทุนไร้สัญชาติในอนาคต ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าว ยังเป็นไปตามเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญไทยที่บัญญัติว่า รัฐมีหน้าที่กระจายการถือครองอย่างเป็นธรรม และดำเนินการให้เกษตรกรมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมอย่างทั่วถึงโดยการปฏิรูปที่ดินหรือวิธีอื่น ทั้งนี้ กฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้เก็บ นอกจากเป็นมาตรการสำคัญในการปฏิรูประบบภาษีที่ดิน และสามารถพัฒนาโครงสร้างทางการคลังเพื่อนำไปสู่ภาวการณ์กระจายรายได้ที่ดีขึ้นได้แล้ว ยังเป็นการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นและเป็นการพัฒนาประชาธิปไตยในระยะยาวอีกขั้นหนึ่ง เพราะเป็นรายได้ให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถจัดสรรทรัพยากรและกระจายการพัฒนาสาธารณูปโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามหลักการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมของประชาชน เนื่องเพราะประเทศไทยยังไม่มีภาษีที่จัดเก็บจากฐานทรัพย์สินที่แท้จริงเช่นนี้ นอกจากฐานรายได้ คือ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล และฐานการบริโภค คือ ภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มต่างๆ ซึ่งเป็นการเก็บภาษีทางอ้อมที่ผลักภาระให้คนจนส่วนใหญ่เป็นผู้แบกรับภาษีดังกล่าว ซึ่งเป็นโครงสร้างภาษีที่ไม่มีความเป็นธรรม แม้ว่าในอดีตถึงปัจจุบัน เราจะมีการเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดิน และภาษีบำรุงท้องที่ แต่ก็ไม่ได้เก็บจากมูลค่าของทรัพย์สินอย่างแท้จริง เพราะเป็นการคำนวณภาษีบนฐานรายได้ โดยคำนวณจาก “ค่ารายปี” หรือค่าเช่าที่เจ้าของได้รับในแต่ละปี ถ้ามีการออกกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จะเป็นภาษีทางตรงที่เก็บจากฐานทรัพย์สินที่แท้จริง
      7.ต้องมีการผลักดันให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญในอนาคตโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ที่อนุญาตให้ทบทวนแก้ไขได้ทุก 5 ปี โดยอาจใช้กลไก ส.ส.ร.จากการเลือกตั้งขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ตามหลักประชาธิปไตยและเจตจำนงประชาชนอย่างแท้จริง ในการมีส่วนออกแบบความสัมพันธ์เชิงอำนาจผ่านรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นเครื่องมือสูงสุดในการปกครองประเทศ เพื่อแก้ไขข้อครหาที่มาของรัฐธรรมนูญ 2550 และผลพวงของการรัฐประหาร 2549 ซึ่งได้ยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2540 ที่มาจากเจตจำนงค์ของประชาชนส่วนใหญ่ลง โดยสิทธิทางการเมืองและสิทธิพลเมือง ตามกติกาสากลระหว่างประเทศ (ICCPR.) ที่ประเทศไทยเป็นภาคี (2539) และปฏิญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (2491) จะต้องถูกรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะหลักการที่ว่า “ประชาชนทุกคนต้องมีสิทธิที่จะมีส่วนในรัฐบาลของประเทศตน ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยผ่านผู้แทนซึ่งได้เลือกตั้งโดยอิสระ และเจตจำนงของประชาชนจะต้องเป็นมูลฐานแห่งอำนาจของรัฐบาล โดยเจตจำนงนี้จะต้องแสดงออกทางการเลือกตั้งตามกำหนดเวลา และอย่างแท้จริง” รวมทั้งสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ตามกติการะหว่างประเทศ(ICESR.) ที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคี (2542) ด้วยเช่นกัน ซึ่งหมายถึงรัฐธรรมนูญ ต้องยกเลิกการบังคับ ส.ส. สังกัดพรรคและการกีดกันการเข้าสู่การเมืองด้วยรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะระดับการศึกษา รวมถึงการแก้ไขการบัญญัติระบบเศรษฐกิจที่ให้ขึ้นต่อกลไกตลาดไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย เพราะถือเป็นรัฐธรรมนูญเผด็จการทุนนิยม หากไม่สามารถใช้ระบบเศรษฐกิจแบบผสมผสานได้ ฯลฯ
        
      8.ต้องมีการแก้ไขกฎหมายพรรคการเมือง คือ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ที่ปิดกั้นการรวมตัวทางการเมืองของประชาชนและเป็นอุปสรรคให้เกิดประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา โดยต้องปฏิรูปกฎหมายเพื่อปฏิรูประบบพรรคการเมืองในประเทศไทยให้มีประชาธิปไตยภายในพรรค มีลักษณะพรรคของมวลชนอย่างแท้จริง ที่มีความหลากหลายทางอุดมการณ์ทางการเมืองได้อย่างเสรี โดยไม่ถูกจำกัดสิทธิทางการเมืองโดยเฉพาะการรวมตัวเป็นพรรคของประชาชน เพื่อเป็นทางเลือกของประชาชนทางนโยบายและเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง, รวมถึงการแก้ไขกฎหมายการเลือกตั้ง คือ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา การกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) ทั้งแบบเขตเลือกตั้งและแบบบัญชีรายชื่อ สนับสนุนให้พรรคการเมืองมีนโยบายและอุดมการณ์ทางการเมือง ทั้งยังสนับสนุนให้เกิดจิตสำนึกทางการเมืองของพลเมืองและพรรคการเมืองทางเลือกของประชาชนจากกลุ่มชนชั้นต่างๆ โดยต้องแก้ไขให้มีการเลือกตั้งจากสถานที่ประกอบการหรือในโรงงานที่ทำงานได้ตามการเรียกร้องสิทธิแรงงานในเรื่องนี้มาอย่างยาวนาน 
      การแก้ไขกฎหมายทั้งสองฉบับดังกล่าว จะสร้างระบบรัฐสภาที่เป็นประชาธิปไตย ที่อนุญาตให้มีพรรคการเมืองที่หลากหลายทางอุดมการณ์ เพื่อต่อสู้ทางการเมืองในระบบรัฐสภาได้ ไม่ว่าจะเป็นพรรคสังคมนิยม พรรคสังคมประชาธิปไตย พรรคเสรีนิยม พรรคอนุรักษ์นิยม หรือพรรคทางเลือกอื่นๆ ชื่อพรรคการเมืองเช่น สังคมนิยม ไม่สามารถถูกห้ามจดทะเบียนโดย กกต. ได้ เพราะถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิทางการเมือง ขณะที่ในสังคมประชาธิปไตยในรัฐอื่นที่มีประสบการณ์ในเรื่องดังกล่าว เขาอนุญาตให้มีพรรคการเมืองทางอุดมการณ์ที่หลากหลาย เพื่อแข่งขันนโยบายทางสังคม-เศรษฐกิจอย่างเต็มที่เพื่อผลประโยชน์ของประชาชน เช่นรัฐสังคมประชาธิปไตยในสหภาพยุโรปหรือสแกนดิเนเวีย ซึ่งให้สิทธิทางการเมืองอย่างเต็มที่ และรัฐไม่สามารถรอนสิทธินั้นได้ตราบที่ไม่ขัดแย้งรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยของเขา แม้แต่กลุ่มอนาธิปไตยก็ยังมีพื้นที่อยู่ในสังคมได้โดยไม่ถูกเลือกปฏิบัติ และประชาชนสามารถเรียนรู้อุดมการณ์ทางการเมืองที่หลากหลายได้เต็มที่และเสนอทางเลือกที่หลากหลายให้แก่สังคมได้ ไม่ว่าจะเป็นการกระจายอำนาจแบบราชอาณาจักร, สาธารณะรัฐหรือสหพันธรัฐ การจัดการเศรษฐกิจแบบผสม, สังคมนิยมหรือว่ากลไกตลาดในระบบเสรีนิยม แต่ประเทศไทยถูกจำกัดการเรียนรู้ด้าน Civic Education เหล่านี้ จึงเข้าถึงสิทธิเสรีภาพทางการเมืองอย่างจำกัด ท่ามกลางวัฒนธรรม ประเพณี ธรรมเนียมและกฎหมาย แบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม ที่ชนชั้นนำควบคุมอยู่
      9.ต้องมีการกระจายอำนาจไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยยกเลิกการบริหารราชการส่วนภูมิภาค ตามข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ (คปร.) เพราะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้เกิดการกระจายอำนาจอย่างแท้จริงให้แก่ประชาชน เพราะที่ผ่านมาอำนาจองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่สามารถมีอำนาจที่แท้จริงตามเจตนารมณ์ของการปฏิรูปการเมืองได้ เพราะมีความลักลั่นและทับซ้อนกันในการบริหารราชการส่วนภูมิภาคของระบบราชการไทย ซึ่งขาดประสิทธิภาพ โดยให้มีการรับรองสิทธิการกำหนดอนาคตตนเองของชุมชนท้องที่ และการจัดการเศรษฐกิจตามลักษณะพื้นที่ โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจในการจัดการทรัพยากรของชุมชนเพื่อผลประโยชน์ของชุมชนในท้องที่ได้อย่างแท้จริง โดยไม่ถูกอำนาจแทรกแซงจากอำนาจรัฐและทุนในการผลักดันอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เข้าไปทำกิจการในพื้นที่โดยไม่ผ่านการประชามติ และให้มี “สภาหมู่บ้าน” ที่กฎหมายรับรองอำนาจในการตรวจสอบ ถ่วงดุลและถอดถอนผู้แทนในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ในกรณีไม่รับฟังเสียงส่วนใหญ่ในชุมชน ฯลฯ
      10.ต้องมีการยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมราชานุภาพ หรือ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112  โดยอาจแก้ไขให้เป็นกฎหมายหมิ่นประมาทที่ให้สำนักพระราชวังเป็นผู้มีอำนาจตามกฎหมายในการฟ้องร้องดังกล่าวตามกฎหมาย ตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล และข้อเสนอของ คอป. เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองและทำให้ส่งผลเสียหายต่อภาพลักษณ์ของสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งดำรงฐานะประมุขของประเทศ เพื่อป้องกันการกลั่นแกล้งทางการเมือง และยุตินักโทษทางการเมืองและนักโทษทางความคิดในประเทศไทย

      .....สัญญาณอะไร?.....รุกหรือถอย?.....พวกเราประชาชนเจ้าของประเทศอย่าไปให้ความสนใจกับคำพูดของไอ้เฒ่าเจ้าเล่ห์ฉายา"นักฆ่าแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา" หัวหน้าทาสสมุนรับใช้จอมมารเผด็จการ เพราะยุคของจอมมารเผด็จการปีศาจตาเดียวได้เริ่มนับวันถอยหลังลงแล้ว เราขอให้พี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่าจงร่วมจับมือกันก้าวเดินต่อไปเพื่อปลดปล่อยตัวเองและประเเทศชาติออกจากการปกครองภายใต้ระบอบเผด็จการราชาธิปไตย และพร้อมก้าวสู่ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง.......

                                                Posted Image


                                          เฒ่านักฆ่าแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยาผู้โหดเหี้ยม           



      โดยงานสัมมนาเรื่อง "สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ กับความมั่นคงของประเทศ" ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ เมื่อวัน 21 ธันวาคมที่ผ่านมา "ป๋าเปรม" ได้เป็นประธานกล่าวเปิดงาน

      "ขณะนี้บ้านเมืองของเรามีการแบ่งฝ่ายกันเห็นได้อย่างชัดเจน มูลเหตุคืออะไรก็รู้ๆ กันอยู่ ทำให้มีผลข้างเคียงไปถึงความรักความสามัคคีของคนในชาติของเรา เป็นข้อจำกัดต่อความสำเร็จ


      ผมมีความเห็นส่วนตัวว่าการที่มีความคิดเห็น ความเชื่อที่แตกต่างกัน ไม่เป็นอุปสรรคของการดำรงความรัก ความสามัคคีของคนไทยแม้แต่น้อย ถ้าคนในชาติมุ่งประสงค์ในสิ่งที่สำคัญที่สุดของประเทศเราคือความสงบสุข ความร่มเย็น ความสันติ และความมั่นคงโดยแท้แน่นอน ความเห็นและความเชื่อที่แตกต่าง จะไม่เป็นสิ่งกีดกันให้คนไทยรู้รักสามัคคีกัน" พล.อ.เปรมระบุ

      คำพูดนี้ถือเป็นน้ำจิ้ม เรียกน้ำย่อยได้ดีทีเดียว ดังนั้น ต้องจับตาวันที่ 27 ธันวาคมนี้ว่าจะมีสัญญาณอะไรที่ออกมาจาก "บ้านสี่เสาฯ" ที่ส่งไปถึง "การเมือง กองทัพ และคนแดนไกล" หรือไม่..
      ...
                                             
                                               ....................................................................


          "ฟ้าเมื่อต่ำจึงทำหินแตก"
      ฟ้ามืดครึ้ม ฝนกระสุนกระหน่ำ ดั่งสายฟ้า
      ฟาดเปรี้ยงลงสู่สู่พสุธาเหล่ารากหญ้าให้ลุกใหม้ล้มตาย
      ทั้งหญ้าแพรกและตะใคร่ มอส ที่เกี่ยวเกาะหินผาต้องแตกจากสายฟ้าระราน
      แสดงแสนยานุภาพเพี้ยงอัคคีแยกแตกลง

      ฟ้าทำต่ำโดยพลังก้อนเมฆแห่งตน"ฟ้าเมื่อต่ำจึงทำหินแตก"
      หรือว่าคลื้นลมชีวิตสงบฟ้าไสไร้เมฆา
      ฤาฟ้าจึงสว่างสู่ ความสดใสที่ชาวไทยสมกับที่ชาวไทยรอคอย
      ทุกสรรพสิ่งตื่นจากภวังค์ลุกขึ้นรับความสดใส
      และสู้ดำเนินชิวิตตามวิถีสัตว์โลก
      ที่มี เป็น เห็นจริงในสัจธรรมความจริง ที่ว่าไม่มี"คนดีเกินคน"
      พระศรีอารยะก็คือใจคนนั่นแหละ
      นี่คือชาววิไลยในตำนานนับร้อยปีที่เราจดจำ

      หนานเมือง สล่าง่าวบ้านนอก
      วันนี้โพนอินดีน่าคิด น่าฟังไม่จูงหมาหานายเหมือนที่เคย
      กลับมาคิดใหม่ทำใหม่ในใจคนเสื้อแดงอีกครั้ง
      ขอบคุณในท่าที่ ที่มีต่ออนาคตไทย

      เรื่องหนักใจของเจ้าของโรงลิเก .....
      Posted Image


      Posted Image

      โดย พ่อจูม่ง...
      เมื่อ หลายปีก่อน สมัยที่คณะลิเก ตอแหลแลนด์ยังเฟื่องฟู เจ้าของโรงลิเกได้ตกลงให้ตาทัก เปิดขายข้าวมันไก่แก่ชาวบ้านในบริเวณโรงลิเกด้วย ด้วยความที่ข้าวมันไก่ของตาทักมีรสอร่อยและตาทักเองก็มีอัธยาศํยดี ทำให้ชาวบ้านติดอกติดใจเป็นอย่างยิ่ง ชาวบ้านที่ยอมจ่ายค่าตั๋วมายังโรงลิเกก็เพราะอยากลิ้มรสข้าวมันไก่อันเลื่อง ชื่อของตาทัก อีกทั้งตาทักยังได้จัดโปรโมชั่นกินข้าวมันไก่แถมน้ำยาล้างตา ผลิตภัณท์ใหม่ของตาทักไปด้วย ทำให้เจ้าของโรงลิเกสะสมความไม่พอใจเพิ่มขึ้นทุกวัน เพราะกลัวว่าชาวบ้านจะให้สนใจตาทักมากกว่าคณะลิเกของตน จึงได้วางแผนให้ก๊วนไอ้เหล่ ปล่อยฝูงหมาข้างต้นมารุมกัดตาทัก และแอบเผาร้านข้าวมันไก่ในคืนหนึ่งที่ตาทักติดธุระต้องไปนอนค้างต่างอำเภอ ไอ้เหล่พร้อมพวกยังกล่าวอาฆาตไม่ให้ตาทักเหยียบเข้ามาบริเวณโรงลิเกอีกด้วย ชาวบ้านที่รู้แผนอันแยบยลของเจ้าของโรงลิเกต่างไม่พอใจและรุมสวดกันนับแต่ วันนั้นเป็นต้นมา ทำให้ลิเกคณะตอแหลแลนด์เริ่มซบเซา ชาวบ้านไม่ตีตั๋วมาดูกันอีก ทำให้เจ้าของโรงลิเกกลัดกลุ้มเป็นอย่างยิ่ง

      ต่อมาเจ้าของโรงลิเกได้วางแผนนำไอ้มัก หมารูปหล่อที่หลอกว่ามีเพดดิกรีออกมาโชว์ตัว โดยหวังว่าจะทำให้ชาวบ้านเกิดความเอ็นดูและยอมจ่ายตังเข้ามาดูลิเกอีก แต่แผนดังกล่าวก็ไม่ได้รับการตอบรับจากชาวบ้าน เดินผ่านไปผ่านมาข้างโรงลิเกไม่สนใจคณะลิเกอีกต่อไป ไอ้เหล่เด็กเก็บตั๋วพร้อมพรรคพวกเกิดความไม่พอใจจึงได้แอบเอาปืนยิงนกไปซุ่ม ยิงหัวกะบาลชาวบ้าน พร้อมๆกับปล่อยไอ้มักและไอ้เถือก วิ่งไปไล่งับขาชาวบ้าน เกิดความโกลาหลไปทั่วโรงเจและจับกลุ่มวิพากวิจารณ์ถึงความไม่ถูกต้องดัง กล่าว อีกทั้งภายในโรงเจก็เป็นเขตอภัยทาน ชาวบ้านยิ่งโกรธเคืองเป็นทวีคูณ นอกจากนั้นยังมีข่าวรั่วไหลออกมาว่า เพิ้ง ลูกสาวของเจ้าของโรงลิเกเป็นผู้สั่งให้ไอ้เหล่ไปแอบยิงพร้อมปล่อยไอ้มักและ ไอ้เถือกออกมากระทำดังกล่าว


      เพิ้ง เป็นลูกสาวคนโปรดของเจ้าของโรงลิเก มีนิสัยไม่ค่อยจะแน่ชัด ดูทั่วไปเหมือนเป็นคนใจบุญ แต่ข่าวที่เล็ดลอดออกมาจากคณะลิเกมาว่า แท้จริงเพิ้งเป็นคนขี้งก อาฆาตมาดร้ายตลอดเวลา เพิ้งไม่พอใจที่ชาวบ้านไม่ยอมมาดูลิเกเหมือนเดิม ทำให้คณะลิเกขาดรายได้ไปจำนวนมาก เพิ้งหมายมั่นว่าจะได้เป็นเจ้าของโรงลิเกต่อไป เพราะช่วงหลายปีที่ผ่านมาขณะที่คณะลิเกเฟื่องฟู คณะลิเกได้สะสมชุดลิเก และเครื่องประดับไว้มากมายสุดเหลือคณานับ คณะลิเกได้รับการยกย่องจากนิตรสารแฟล๊บว่า เป็นคณะลิเกที่รวยที่สุด เพิ้งจึงหวังที่จะได้เป็นเจ้าของโรงลิเกต่อไป


      ความทะเยอทะยานของเพิ้งและไอ้เหล่ ไม่คลาดสายตาของโอ๋ พี่ชายของเพิ้ง โอ๋นั้นก็ชอบกินข้าวมันไก่ของตาทักเช่นกัน อีกทั้งตาทักก็ชอบแอบเอาเนื้อไก่ส่วนที่ดีที่สุดให้โอ๋ได้กินบ่อยๆ โอ๋จึงรู้สึกอยากจะช่วยตาทักให้ได้กลับเข้ามาขายข้าวมันไก่บริเวณโรงลิเกอีก แต่โอ๋ก็ต้องเก็บตัวเงียบๆเพราะว่า โอ๋นั้นไม่ได้เป็นลูกคนโปรดของเจ้าของโรงลิเก แต่โอ๋ก็ยังมีความรู้สึกมั่นใจเพราะตามประเพณีที่สืบทอดกันมาของคณะลิเกตอ แหลแลนด์ โอ๋จะต้องเป็นเจ้าของคนต่อไปอย่างแน่นอน ยกเว้นแต่ว่าเพิ้งจะรวมหัวกับไอ้เหล่และฝูงหมาไล่งับไม่ให้เข้าไปยังโรงลิเก


      การสืบทอดเป็นเจ้าของโรงลิเกคนใหม่ทำความว้าวุ่นใจเป็นอย่างยิ่งตลอดหลายปี ที่ผ่านมาแก่เจ้าของโรงลิเก อีกทั้งสุขภาพร่างกายก็เสื่อมถอยลงทุกวัน ทำให้บ่อยครั้งที่เจ้าของโรงลิเกวัยชราต้องแอบมานั่งทอดอาลัยดูสายน้ำที่ไหล ผ่านด้านหลังโรงลิเก เพ้อรำพันตลอดเวลาว่า “เวลาผ่านไปดั่งสายน้ำ ไหลไปไม่เคยไหลย้อนกลับ” เจ้าของโรงลิเกอยากกลับมาเป็นหนุ่มกระชุ่มกระชวยอีก เพื่อจะได้แสดงลิเกและมีรายได้ไปซื้อชุดลิเกและเครื่องประดับมาสะสมให้ยิ่ง ขึ้นไปอีก คิดถึงลูกหลานแล้วก็ให้เป็นห่วง อาการของเจ้าของโรงลิเกถูกเฝ้าจับตามองจาก พริ้ม ลูกสาวคนสุดท้องตลอดเวลา และพริ้มเองก็เป็นคนเดียวที่คอยนำข่าวมาประกาศหน้าโรงลิเกว่า “พ่อยังสบายดีคร่า พร้อมจะออกมาวิ่งให้ดูในเวลาอันใกล้” ทำให้แม่ยกที่ยังติดใจคณะลิเกตอแหลแลนด์ไม่เสื่อมคลาย คลายกังวลไปได้


      จริงๆแล้วเจ้าของโรงลิเก มีลูกสาวทั้งหมด3 คน คนโตนั้นชื่อ สูสี ได้แอบไปมีครอบครัวที่ต่างอำเภอโดยไม่ได้บอกกล่าว ทำให้เจ้าของโรงลิเกโมโหจนไล่ออกจากคณะลิเก และไม่ให้มายุ่งเกี่ยวอีกต่อไป สูสี นั้นไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตครอบครัว จึงได้แอบกลับมาอยู่ในหมู่บ้านใกล้โรงเจ และเปิดคณะแสดงงิ้วเพื่อหาเลี้ยงชีพ คณะงิ้วของสูสี แสดงไปทั่วโดยอาศัยชื่อเสียงของเจ้าของโรงลิเกเป็นใบเบิกทาง ทำให้แม่ยกทั้งหลายเกรงใจเพราะถ้าไม่อุดหนุนดูงิ้วก็จะอดดูลิเก คณะงิ้วของสูสีนั้นใช้ชื่อว่า “อั๊วหล่ายเจ๊ก” แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “อยากเป็นที่หนึ่ง” นับแต่ สูสี ได้มีคณะงิ้วเป็นของต้วเอง ก็ได้เร่งรีบแสดงไปทั่วอำเภอ ทำรายได้ให้แก่ สูสี จำนวนมาก ทำให้สูสีสามารถสะสมชุดงิ้วและเครื่องประดับให้แก่คณะของตน และบางครั้งสูสีก็ไปหารายได้เสริม สร้างหนังกลางแปลง เพื่อเอาไว้ฉายตามหมู่บ้าน เวลาที่พวกพ่อค้าเอายาไปแหกตาขายพวกชาวบ้าน สร้างเองแสดงเอง จนหอสมุดประจำหมู่บ้านทนไม่ไหว ต้องรีบทำใบประกาศรับรองความเก่งกาจให้แก่ สูสี จนเป็นที่ร่ำรือไปทั่วแวดวงร้านขายกะปิและขายปลาช่อนในหมู่บ้าน


      คอยติดตามตอนต่อไป

      fredag 21 december 2012

      สคส. 2556.... แด่องค์รานี นางกาลี แห่งเมืองสารขันธ์ จงเตรียมตัวเตรียมใจรับคำทำนายนี้.... เพราะหมีหน้าฮากต้องจากไป..........


      ขุนเขาบอก :

      โหรใหญ่ทั้งหลายฟังไว้.....

      ปีนี้หมีจ๋า     ปูขอลาก่อน
      หมีหน้าละอ่อน     ต้องจรแล้วหนา
      ปีหน้าฟ้าใหม่     สดใสงามตา
      นายหมีกราบหมา    ถึงคราลาโรง

      นายหมีกราบหมา     หัวหน้าแมลงสาบ
      พ่ายแพ้ราบคาบ     มิอาจทาบนางหงส์
      ไร้คนจุลเจือ     ไร้เชื้อพระวงศ์
      มิอาจเทียบหงส์      ทรงอิทธิพล

      อำนาจราชศักดิ์     หักปลายด้ามขวาน
      ไม่ขอบริบาล     ผู้ก่อการฉ้อฉล
      ดินแดนเมืองใต้     ไร้คนเหนือคน
      ปกป้องตัวตน     มวลชนระอา

      ปีเก่าวุ่นวาย     คนกลายเป็นเทพ
      แย่งกินแย่งเสพ     แกะเก็บเห็บหมา
      หัวดำหัวหงอก     ออกหน้าออกตา
      ป้องหมีกราบหมา      ด้วยฟ้าประทาน

      ปีใหม่ปีทอง     กระดองปูแดง
      เจิดจรัสแสง     ด้วยแรงทหาร
      ขุนทัพน้อยใหญ่     รับใช้รัฐบาล
      ปูแดงบริหาร     ราชการแผ่นดิน

      แมลงสาบวอดวาย     ดิ้นตายยกรัง
      หัวหน้าถูกขัง      หมีนั่งคุกหิน
      ข้อหาฆ่าคน     ปล้นเงินแผ่นดิน
      ศาลสูงตัดสิน     ได้กินข้าวแดง

      อำมาตย์ผู้เฒ่า     เหงากายเหงาใจ
      มีอันเป็นไป      หัวใจไม่แข็ง
      ทนพิษไม่ไหว     อธิปไตยสีแดง
      มันเสียดมันแทง      แสยงจนตาย


      ลิ่วล้อวิชาการ     ถูกมารครอบงำ
      ล้มหัวขมำ       น้ำคำสลาย
      ไม่มีคนฟัง      นั่งซังกะตาย
      พากันวอดวาย      ไปขายเต้าฮวย

      สื่อชั่วสื่อเลว     ลงเหวยกโขลง
      ทีวีสี่โรง      คงโดนเลขหวย
      โทษฐานญาติดี      ไอ้หมีตัวซวย
      ไม่มีตัวช่วย     คงซวยข้ามปี

      เสื่อมทรามกันหนัก     พวกศักดินา
      ถูกคำครหา     คนพากันหนี
      เรื่องราวฉาวโฉ่     ดั่งโสเภณี
      บัดเถลิงบัดสี      กาลีปีมาร

      สรูปจูบฟ้า       อำลาปีเก่า
      ปีทองของเรา       ไร้เจ้าไร้ศาล
      เทินปูขึ้นวอ       ต่องบประมาณ
      เป็นรัฐบาล     บริหาร 8 ปี.............โหรใหญ่ทั้งหลายฟังไว้.....

      torsdag 20 december 2012

      คำสั่งปลด "อภิสิทธิ์"ออกราชการทหารมีผลแล้ว

      วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม 2555 เวลา 18:44 น.

      Posted Image

      “สุกำพล” เผยคำสั่งปลด "อภิสิทธิ์"ออกราชการทหารมีผลแล้ว ย้ำใช้เอกสารไม่ถูกต้องชัดเจน ถาม "มาร์ค"ลูกผู้ชายหรือเปล่า พร้อมท้าพิสูจน์ได้ทุกสนาม

      วันนี้ (20 ธ.ค.) พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม กล่าวถึงความคืบหน้าในการดำเนินคดีใช้เอกสารอันเป็นเท็จสมัครเข้ารับราชการ ทหาร และการถอดยศ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ว่า เราพบว่ารายอภิสิทธิ์ได้ใช้เอกสารไม่ถูกต้องในการสมัครเข้ารับราชการทหาร ทำให้กระทรวงกลาโหมและกองทัพเกิดความสูญเสีย ยศที่นายอภิสิทธิ์เอาไปกระทรวงกลบโหมก็เรียกคืน แต่ไม่เคยลงโทษอะไร เพียงแต่จะเอาสิ่งที่กองทัพและกระทรวงกลาโหมเสียหายกลับคืนมาเท่านั้นเอง ไม่ได้ทำอะไรเลย เป็นสิ่งที่ตนต่อสู้ด้วยความถูกต้อง ส่วนนายอภิสิทธิ์จะฟ้องร้องต่อศาลก็ฟ้องกันไป แต่วิธีการต่อสู้ของกระทรวงกลาโหม คือตอนนี้ได้ปลดนานอภิสิทธิ์ออกจากราชการแล้ว
      เมื่อถามว่าในเรื่องนี้ควรทำให้ประชาชนมีความ เข้าใจหรือไม่ เพราะทางนายอภิสิทธิ์ ก็แย้งตลอดเวลา พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ประชาชนทราบดี คงไม่ไปโฆษณามากมาย ทุกอย่างบอกไปแล้วชัดเจน แค่อยากถามนายอภิสิทธิ์ว่าเป็นลูกผู้ชายหรือเปล่า หรือความเป็นลูกผู้ชายเหลือน้อย ส่วนที่นายอภิสิทธิ์ประกาศพร้อมจะพิสูจน์ก็มา ที่ไหนก็ได้ ในทีวีก็ได้ ตอนที่นายอภิสิทธิ์บอกว่าเอกสาร สด.9 ทางราชการออกให้เอง ใบที่ 2 แต่ไม่รู้ออกมาอย่างนี้ ตนถามว่าแล้วใครได้ประโยชน์จาก สด.ใบนี้ สัสดีได้ประโยชน์หรือเปล่า มันชัดเจน
      “ตอนนี้เรื่องในส่วนกระทรวงกลาโหมที่ดำเนิน การต่อนายอภิสิทธิ์จบไปแล้ว ผมได้ปลดนายอภิสิทธิ์แล้ว คำสั่งปลดของผมมีผลอยู่และได้เป็นผลแล้ว คือถอนคำสั่งการรับราชการทหาร แต่ยศยังไม่ได้ปลด คือถอนคำสั่งการบรรจุออกมาแล้ว ผลตามมาคือต้องถอดยศ แต่เมื่อนายอภิสิทธิ์ไปฟ้องร้องต่อศาล และมีคำสั่งชะลอไว้ก่อน เราก็ให้เกียรติศาล ดูจังหวะแล้วค่อยทำต่อ เรื่องนี้มีผลชัดเจนในส่วนของกระทรวงกลาโหม อย่างไรก็ตามเรื่องการเมืองที่จะถอดถอนนายอภิสิทธิ์ ที่ถือว่าขาดคุณสมบัติการเป็น ส.ส. ก็เป็นเรื่องทางการเมืองว่ากันไป"พล.อ.อ.สุกำพล กล่าว

      เมื่อเหี้ยตัวลูกถูกตีกระบาน ....เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนอย่าคิดว่าเทวาจะคุ้มครอง......

      ขุนเขาบอก :

      เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนอย่าคิดว่าเทวาจะคุ้มครอง......

      สมควรแล้วถูกตีหัว...ดีใส่ตัวชั่วคนอื่น
      สมควรแล้วถูกเอาคืน...ทำคนอื่นจนระอา
      เมื่อถูกเขาเอาคืนบ้าง...คงอยู่อย่างหวาดผวา
      ให้แต่งองค์ทรงชฎา...อย่าหมายว่าจักรามือ

      เป็นเพียงขู่หรือชู้สาว...เรื่องอื้อฉาวคงไม่หนี
      โยงทักษิณเป็นคดี...พวกไอ้อีมันอออือ
      ถูกมือดีตีกระบาน...พรรคสันดานรีบหอหือ
      โดนเสียบ้างครางฮือๆ...ใต้สะดือหรือการเมือง

      ยิงคนตายภายในปั้ม...พรรคระยำมันกลับเฉย
      คงหลบเร้นเป็นเช่นเคย...ตำรวจเอ๋ยอย่าให้เคือง
      ความอาญาถ้าจะเหลว...เมื่อคนเลวใส่สีเหลือง
      จากยากเข็นเป็นรุ่งเรือง...ใช้สีเหลืองล้างมลทิน

      พรรคกระบือมือเปื้อนเลือด...ใกล้ถูกเชือดด้วยข้อหา
      เป็นไปได้ใช่ไก่กา...ด้วยข้อหาฆ่าชีวิน
      เทวดาท่าจะบ๊องส์...ไม่แลมองไม่ถวิล
      ใต้เบื้องบุญฝุ่นใต้ตีน...คงแดดิ้นสิ้นบุญญา

      เสียงโซ่ตรวนชวนสยอง...เขาทั้งสองคงมองเห็น
      สร้างแต่กรรมทำแต่เวร...ตายทั้งเป็นโดนอาญา
      ลางสังหรณ์ตอนใกล้หลับ...คงถูกจับตั้งข้อหา
      เพียงหลงเล่ห์เทวดา...ถูกข้อหาฆ่าคนตาย

      บทสุดท้ายถูกตีหัว...เป็นเพราะชั่วฤาปากหมา
      หรือเป็นเพียงเลี่ยงอาญา...สร้างศรัทธาเพื่อล้างอาย
      ดีหรือชั่วก็หัวคุณ...ความสถุลไม่เหือดหาย
      ด้วยข้อหาฆ่าคนตาย...สู้ก็ตายไม่สู้ก็ตาย....เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนอย่าคิดว่าเทวาจะคุ้มครอง..

      onsdag 19 december 2012

      เมื่อศพคนตายคายความจริง......ศพคนตาย...คายความจริง...ทุกสิ่งแท้ ติดร่างแห...แท้เทวา...แอบปราศรัย แอบส่งสาร...ผ่านขันที...หวังมีชัย พิชิตชัย...ไพร่ขี้ข้า...หมานั่งเมือง

      ขุนเขาบอก :

      เมื่อศพคนตายคายความจริง......

      ทรชน...ดิ้นทุรน...คิดปล้นฟ้า
      เทวดา...อาสนะร้อน...บรรจถรณ์ไหว
      ฐานความผิด...ร่วมคิดฆ่า...ประชาไท
      เมืองบรรลัย...ไพร่กระทืบ...สืบความจริง

      บอกความจริง...อิงเบื้องฟ้า...เทวาเอ๋ย
      จากที่เคย...อยู่เหนือใคร...ไม่สุงสิง
      มาบัดนี้...ถูกไอ้อี...มันตีชิง
      บอกความจริง...อ้างอิงฟ้า...เทวาลวง

      เคยเยื้องย่าง...อย่างพระยา...ยาตรายาตร
      เหนืออำมาตย์...ราชมนตรี...ขันทีหลวง
      เคยทรงสิทธิ์...อิทธิพล...คนทั้งปวง
      บัดนี้ร่วง...ความศรัทธา...อาญารุม

      ปกไม่มิด...ปิดไม่อยู่...คนรู้แจ้ง
      กระแสแรง...แดงกระหน่ำ...กรรมมาสุม
      ความจริงไซร์...ไม่สรรแต่ง...แดงชุมนุม
      วัดปทุม...สุมร่างคน...โดนปืนไฟ

      ศพคนตาย...คายความจริง...ทุกสิ่งแท้
      ติดร่างแห...แท้เทวา...แอบปราศรัย
      แอบส่งสาร...ผ่านขันที...หวังมีชัย
      พิชิตชัย...ไพร่ขี้ข้า...หมานั่งเมือง

      ช้างสารวาย...ตายทั้งตัว...ใบบัวปิด
      เลี่ยงความผิด...ปิดไม่ไหว...ใบบัวเหลือง
      เกลือเป็นหนอน...ซ่อนไว้ฆ่า...ฟ้าลำเอียง
      ใบบัวเหลือง...เพียงเพราะฟ้า...เทวดาลวง......เมื่อศพคนตายคายความจริง......