torsdag 31 januari 2013

คงต้องยอมมัน....เพราะเลวอย่างมันไม่ได้….กลาโหมเขาสมยอม...ให้มันปลอม สอ.ดอ 9 เอกสารผ่าน 4 เสา...สอ.ดอ.เก้าจึงถึงฝัน เป็นทหารไม่ผ่านเกณฑ์...เป็นไอ้เณรไม่กี่วัน เป็นอาจารย์ได้ดังฝัน...เฮ้ยนี่มันประเทศไร ...ประเทศที่ปกครองด้วยคนตาบอด " เหี้ยสั่งฆ่าอีห่าสั่งยิง "

ขุนเขาบอก :
.
คงต้องยอมมัน....เพราะเลวอย่างมันไม่ได้….

หลักฐานชัดแจ้ง...ใบแดงไม่ได้จับ
กกต.คุณสับปลับ...หรือนั่งทับกองขี้หมา
เห็นนั่งนิ่งอิงกันหลับ...ใยไม่จับลงอาญา
ฤาเป็นลูกเทวดา...จึงเงื้อง่าไม่กล้าฟัน

กลาโหมเขาสมยอม...ให้มันปลอม สอ.ดอ 9
เอกสารผ่าน 4 เสา...สอ.ดอ.เก้าจึงถึงฝัน
เป็นทหารไม่ผ่านเกณฑ์...เป็นไอ้เณรไม่กี่วัน
เป็นอาจารย์ได้ดังฝัน...เฮ้ยนี่มันประเทศไร

ยังลอยหน้ายังลอยตา...ไม่อายหมาไม่อายแมว
กลาโหมอมเม็ดแห้ว...ปลดมันแล้วยังเฉไฉ
พูดจีบปากพูดจีบคอ...กูลูกพ่อใครจะทำไม
จริยธรรมไม่ต้องใช้...กูยิ่งใหญ่ศักดินา

ได้ครับพี่ดีครับผม...กลาโหมยอมอมสาก
คำสั่งกูเหมือนขี้กลาก...ขืนพูดมากเกิดปัญหา
กอ.กอ.ตอ.ปอ.ปอ.ชอ....พวกขี้ฉ้อเทวดา
กลายเป็นลิงกลายเป็นลา...ปล่อยไอ้ห่ามันครองเมือง

แค่กระผีกจริยธรรม...คุณธรรมอย่าถามหา
กูมันลูกเทวดา...ดูที่หน้าทาสีเหลือง
ผิดไม่รู้กูไม่รับ...ขืนมีจับเดี๋ยวมีเคือง
บอกให้รู้กูประเทือง...เฒ่าประเทืองลูกพี่ใคร

ตราบฟ้านี้ยังสีเหลือง...ตราบประเทืองยังคงอยู่
อย่ามั่นหมายทำร้ายกู...ให้มันรู้ “ไผ๋เป็นไผ๋”
กูไม่ออกบอกให้รู้...ตำแหน่งกูใครจะทำไม
นี่ละหนอ ปอ.ทอ.ไทย...ประเทืองไทยจงเจริญ... คงต้องยอมมัน....เพราะเลวอย่างมันไม่ได้....

onsdag 30 januari 2013

"สงครามมวลชน... สงครามศรัทธา... สงครามความเชื่อ "พวกเราจงร่วมจับมือกันอย่างแข็งแกร่งมุ่งมั่นแน่วแน่เดินหน้าสูู่จุดหมาย ด้วยพลังความเชื่อและศรัทธาที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงในประเทศไทยอย่างแท้จริง โดยมีระบอบประชาธิปไตยใช้ในการบริหารปกครองประเทศ ไม่ใช่ระบอบเผด็จการราชาธิปไตยเหมือนปัจุบันนี้....

เสียงจากประชาชนฝากถึงรัฐบาลพรรคเพื่อไทย

โดย  ปูนนก 

สงครามมวลชน... สงครามศรัทธา... สงครามความเชื่อ

มีคำกล่าวว่า You are what you eat.หรือ You are what you believe.คำที่ว่า You are what you eat. ก็ฟังดูเข้าใจได้ไม่ยากเพราะ ร่างกายจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับอาหารการกินนั้น เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่คำว่า You are what you believe.นั้นอาจจะเข้าใจได้ยากสักหน่อยเพราะถ้าแปลกันตรงตัวก็คือ “ชีวิตของท่านจะเป็นไปตามสิ่งที่ท่านเชื่อ”นั้น ยากที่จะเข้าใจได้ในทางปฏิบัติ

เคยอ่านหนังสือขายดีชื่อ The Secret ที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องพลังแห่งความศรัทธา, ความเชื่อและพลังดึงดูดทางความคิดไว้เช่นนี้ ผมอยากจะแปลประโยค You are what you believe. เป็นประโยคในภาษาไทยว่า “ท่านจะสร้างชีวิตได้ด้วยความเชื่อและศรัทธา” เพราะความศรัทธานั้นเป็นความเชื่อที่มั่นคงและฝังแน่..ซึ่งเกิดขึ้นในระดับที่ลึกซึ้​งยิ่งกว่าความเชื่อธรรมดาๆ ความศรัทธา นั้นจะทำให้เกิดการอุทิศชีวิตให้กับสิ่งที่ตนเชื่อมั่น เป็นความเชื่อที่ไม่คลอนแคลนและเปลี่ยนแปลงได้ยาก ผู้ที่มีความศรัทธาจะมีลักษณะที่คล้ายๆ กับผู้ที่มีความงมงาย เพียงแต่ความศรัทธานั้นจะเกิดอยู่ระดับที่มีเหตุผลกว่า และเป็นเหตุผลที่พิสูจน์ได้จริง เช่นศรัทธาในการทำความดีเพราะเชื่อว่าการทำดีย่อมส่งผลที่ดีให้แก่ตนและคนที่ตนรัก, ศรัทธาในการดำรงชีวิตแบบชีวจิตและไม่ทำร้ายธรรมชาติเพราะเชื่อว่าวิถีชีวิตแบบนี้จะส​่งผลให้มีสุขภาพที่ดี และจะเกิดสิ่งดีๆ ขึ้นแก่สังคมโดยรวม ฯลฯ

พลังแห่งความเชื่อ และศรัทธาสามารถสร้างสิ่งอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ไม่น่าเชื่อขึ้นในโลกนี้มากมาย ทัชมาฮาล, พระธาตุเจดีย์ หรือพระพุทธรูปองค์ใหญ่มหึมา มากมายที่มี ผู้สร้างเอาไว้บนยอดเขา หรือตามหน้าผา ซึ่งแม้แต่เดินทางด้วยเท้าตัวเปล่าๆ ก็ยากที่จะไปถึง แต่ก็มีผู้ไปสร้างสิ่งอัศจรรย์เช่นนั้นไว้จนได้ เหล่านี้คือความอัศจรรย์ของพลังแห่งความศรัทธาที่ผู้คนมีให้ต่อสิ่งที่เขาศรัทธา


วันอังคารที่ 29 มกราคม 2556 ที่ผ่านมา ผมได้เห็นพลังแห่งความเชื่อและความศรัทธาของประชาชนผู้ศรัทธาประชาธิปไตย ซึ่งต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงในประเทศไทยอย่างแท้จริงจำนวนมากที่ไปรวมตัวกันจำนวนม​ากที่หมุดคณะราษฎร์ ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า รวมตัวกันจะไปยื่นหนังสือข้อเรียกร้องถึงท่านนายกยิ่งลักษณ์ และคณะรัฐมนตรี ขอให้รัฐบาลดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อช่วยเหลือพี่น้องคนเสื้อแดงที่ถูกจำขัง และถูกออกหมายจับอีกมากมายให้พ้นจากคดีและการจำขังเสียที

กลุ่มประชาชนที่เรียกว่า “กลุ่มปฏิญญาหน้าศาล” โดย อาจารย์สุดา รุ่งกุพันธ์ (หวาน) ซึ่งถือได้ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับผลประโยชน์ในทางการเมือง เป็นผู้จุดประกายมารวมตัวกันในครั้งนี้ตั้งแต่เช้าจนถึงดึก ประชาชนมารวมตัวกันนับหมื่นๆ คน ทั้งๆ ที่ กลุ่มพลังคนเสื้อแดงหลักอย่าง นปช. ก็ประกาศชัดเจนว่าจะไม่เข้าร่วมด้วย เป็นเหมือนกฐินคนละกอง หมอเหวงถึงขั้นบอกว่า “ก็ไม่มีอะไรเพียงแค่ต้องการแย่งการนำเท่านั้น”ดังนั้นจึงแทบจะเรียกได้ว่ากลุ่มประชาชนที่ไปร่วมการชุมนุมครั้งนี้เป็นพลังประชาธิป​ไตยที่มีความต้องการเพื่อประชาชนอย่างแท้จริงโดยไม่มีผลประโยชน์ในทางการเมืองเข้ามา​แอบแฝงซ่อนเร้น

ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ร.ต.อ. ดร. เฉลิม อยู่บำรุง ออกมารับหนังสือข้อเรียกร้อง และขึ้นประกาศบนรถโมบายว่า “รัฐบาลกับคนเสื้อแดงเป็นพวกเดียวกัน” แต่พอถึงเวลาต่อสู้จริงจังถึงเลือดถึงชีวิต เฉลิม กลับเตรียมตัวหนีอยู่ชายแดนกัมพูชา นักการเมืองก็เป็นเช่นนี้ นักการเมืองเหล่านี้ไม่เคยมีชีวิตที่ผูกพันกับประชาชน ไม่เคยร่วมต่อสู้ ไม่เคยมีชีวิตที่ลำบากยากไร้ร่วมกับประชาชน นักการเมืองเหล่านี้ “ไม่เคยศรัทธาในพลังของประชาชน” พวกเขามองประชาชนเป็นเพียงแค่ฐานที่จะก้าวขึ้นไปสู่การถือครองอำนาจในรัฐบาล

ประเด็นหลักของกลุ่มปฏิญญาหน้าศาล หรือการเมืองภาคประชาชนในครั้งนี้ก็คือ ต้องการให้พี่น้องคนเสื้อแดงที่ถูกจำขัง หรือที่ถูกออกหมายจับโดยไม่เป็นธรรมเหล่านี้ ได้หลุดพ้นจากข้อกล่าวหาทางการเมืองเหล่านี้เสียที ผมเชื่อว่านี่คือทางแยกอันสำคัญที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย และท่านนายกยิ่งลักษณ์ จะเลือกสร้างให้เกิดความ “สนิทแนบแน่น”กับพี่น้องคนเสื้อแดง ที่เป็นพลังอันยิ่งใหญ่ให้กับรัฐบาลต่อไป โดยการที่ท่านนายกยิ่งลักษณ์แสดงท่าทีเอาจริงเอาจังและจริงใจที่จะให้ความช่วยเหลือพ​ี่น้องทีตกอยู่ในสภาวะทียากลำบากเหล่านั้น อะไรที่ทำได้ก็ทำอะไรที่ทำไม่ได้ด้วยเหตุผลใดก็ชี้แจงให้พี่น้องคนเสื้อแดงได้รับรู้​ หรือท่านนายกยิ่งลักษณ์จะเลือกสร้างให้เกิดความ “เหินห่างและหมางเมิน”กับพี่น้องคนเสื้อแดงให้มากยิ่งขึ้นโดยแสดงความเฉยชา และเมินเฉย ต่อข้อเรียกร้องและข้อเสนอนี้ โดยไม่มีการสื่อสารใดๆ กับพี่น้องคนเสื้อแดงให้ได้รับทราบเลยว่า อะไรสามารถทำได้หรืออะไรทำไม่ได้

 




ท่านนายกยิ่งลักษณ์ครับ.. ประเทศไทยมิได้มีปัญหาด้านเศรษฐกิจหรือความเจริญรุ่งเรือง  
ของประเทศเป็นปัญหาหลักนะค​รับ ปัญหาหลักของประเทศไทยที่แท้จริงแล้วอยู่ที่ปัญหาทางการเมือง และอำนาจการปกครองประเทศนี้ ถ้าประเทศไทยมีปัญหาทางเศรษฐกิจจริง ท่านนายกทักษิณ คงไม่สามารถเข้ามาบริหารประเทศแล้วทำให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นคืนหลังพิษวิกฤติการณ์ “ต้มยำกุ้ง”และสามารถคืนเงินกู้ให้กับ IMF ได้ก่อนกำหนดถึง 2 ปี แต่ตรงข้ามนับตั้งแต่การรัฐประหารกันยายน 2549 เป็นต้นมา ประเทศไทยเสื่อมถอยลงทุกด้าน มิใช่เพราะเศรษฐกิจไทย หรือเศรษฐกิจโลกตกต่ำ แต่เป็นเพราะเสถียรภาพทางการเมืองของไทยเองที่ไม่มั่นคงทำให้ทุกอย่างทรุดตามไปด้วย ดังนั้นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนกืคือ การแก้ปัญหาทางการเมืองให้ได้ก่อนนะครับ

ผมยังเชื่ออยู่เสมอครับว่าท่านนายกยิ่งลักษณ์ ยังคงเป็นที่พึ่งที่หวังของพี่น้องคนเสื้อแดง และท่านก็เป็นคนเสื้อแดงคนหนึ่งด้วยเช่นกัน ผมมีรูปภาพของท่านมากมายที่ท่านใส่เสื้อสีแดงออกไปหาเสียงในคราวเลือกตั้งใหญ่ท่ามกล​างคนเสื้อแดง แล้วท่านก็ได้คะแนนเสียงท่วมท้น ผมถือว่าการที่ท่านนายกกระทำเช่นนั้นคือ คำปฏิญญา ว่า ท่านเองก็มีชีวิตเป็นหนึ่งในคนเสื้อแดงที่ร่วมต่อสู้กันมาด้วยเช่นกัน ดังนั้นความทุกข์ยากที่พี่น้องคนเสื้อแดงจำนวนมากกำลังได้รับอยู่นี้ ท่านนายกก็ควรจะมีส่วนร่วมรับความทุกข์ด้วยเช่นเดียวกับพวกเรา

ผมยังไม่เชื่อว่า ท่านนายกยิ่งลักษณ์ จะเป็นเหมือนนักการเมืองจำนวนมากที่อยู่ในสภาเวลานี้ ที่เขาเหล่านั้นไม่ได้มีส่วนใดๆ ในการร่วมทุกข์ ร่วมสุข ร่วมความยากลำบาก มากลับประชาชนจำนวนมาก และพวกเขาเหล่านั้นพร้อมที่จะโดดหนีจากเรือของคนเสื้อแดงเพียงเพื่อเอาตัวรอดเท่านั้​น......

ผมยังคงเชื่อว่าท่านนายกยิ่งลักษณ์ เจ็บปวดไปกับความทุกข์ยากของประชาชนคนเสื้อแดงที่กำลังถูกกระทำย่ำยีอยู่ในเวลานี้ และรวมถึงผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมด้วย เพราะท่านนายกมาจากการเลือกตั้งของประชาชน และท่านกำลังหาทางช่วยเหลือพี่น้องผู้ต้องประสบกับความทุกข์ยากเหล่านั้นอยู่


แต่ทว่าท่านนายกยิ่งลักษณ์ครับ... เมื่อท่านมุ่งหน้าพัฒนาเศรษฐกิจของชาติไปนั้น ประชาชนในชาติจำนวนมากก็ได้รับการพัฒนาไปด้วย อยู่ดีกินดี มีเงินใช้มากขึ้นไปด้วย.... และที่สำคัญเศรษฐกิจของกลุ่มทุนที่อยู่ในเครือข่ายญาติพี่น้องของท่านก็อยู่ดีมีสุข มีกำไรเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน ขณะที่ปัญหาทางการเมืองไม่ได้รับการแก้ไขเยียวยาพี่น้องของเราก็ยังคงถูกจำขัง ถูกหมายจับ เขาเหล่านั้นไม่ได้รับอานิสงค์ใดๆ จากเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้น หรือจากเงินรายได้เข้าประเทศ 2 ล้านล้าน บาท ที่ท่านนายกตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะหาเงินเข้าประเทศให้ได้ในปีนี้เลยนะครับ

ท่านนายกยิ่งลักษณ์ ครับ ช่วยกรุณาหันมาดูแล เอาใจใส่ต่อพี่น้องของเรา ที่เขาร่วมกันต่อสู้เพื่อให้ท่านได้เป็นรัฐบาลนี้มาด้วยเถอะครับ.. ผมเชื่อว่าพี่น้องคนเสื้อแดงใจกว้างพอที่จะยอมรับว่า “อะไรที่รัฐบาลทำได้ หรืออะไรที่รัฐบาลทำไม่ได้” ในขณะนี้ ถ้ารัฐบาลพยายามสื่อสารกับคนเสื้อแดงไม่ว่าจะในทางลับระดับแกนนำ หรือในทางสาธารณะ เพื่อให้เป็นที่รับรู้และเข้าใจซึ่งกันและกัน และทีสำคัญพี่น้องคนเสื้อแดงได้เห็นถึงความตั้งใจจริงของรัฐบาลในการให้ความช่วยเหลื​อผู้ตัองขังและออกหมายจับในความผิดทางการเมือง พี่น้องคนเสื้อแดงก็จะไม่ทอดทิ้งรัฐบาลหรอกครับ

ถ้าท่านนายกยิ่งลักษณ์เชื่อและศรัทธาในประชาชน อย่ารอให้เนิ่นช้าไปอีกเลยครับ.. “ความยุติธรรมที่ล่าช้า..ก็คือความไม่ยุติธรรม... justice delayed is justice denied” (วิลเลียม เอวาร์ต แกล็ดสโตน).. ผมไม่อยากคิดแล้วนะครับว่า “หนึ่งนารีขี่ม้าขาว..ควงคฑาคว้าดาวสู่ความฝัน”จะเป็นนารีคนอื่นที่ไม่ใช่ท่านนายกยิ่งลักษณ์ อีก และทั้งหมดนี้ก็คือ การสื่อสารพูดคุยฉันท์เพื่อนมิตรร่วมศึกครับ ถ้าท่านนายกมองพี่น้องคนเสื้อแดงเป็นเพื่อนเช่นเดียวกัน
ปูนนก
 



เมื่อศาลเจ้ามันเปื้อนสีพอกันทีเลิกศรัทธา.........แสนเศร้าเจ้าเอ๋ย...ด้วยข้าเคยแหงนมองฟ้า บัดนี้สว่างตา...เมื่อแผ่นฟ้ามันเปลี่ยนสี เปลี่ยนสีแห่งศรัทธา...เมื่อแผ่นฟ้าไร้ปราณี เมื่อศาลเจ้ามันเปื้อนสี....พอกันทีเลิกศรัทธา......... ศาลของ " ไอ้เหี้ยสั่งฆ่า อีห่าสั่งยิง " ...

ขุนเขาบอก :

เมื่อศาลเจ้ามันเปื้อนสีพอกันทีเลิกศรัทธา.........

อับอายขายหน้า...เมื่อศาลตาศาลยาย
มีคนนำไปขาย...เสียหายเสียของ
เป็นศาลเพียงตา...ไร้ค่าไม่น่ามอง
เป็นเพียงศาลเราสอง...ปกป้องศักดินา

ศาลตาศาลยาย...ขายคนขายร่าง
เลือกคนเลือกข้าง...สร้างแต่ปัญหา
ผู้คนเดือดร้อน...ครึ่งค่อนนครา
เพียงเพราะศาลเพียงตา...คร่าศรัทธาประชาชน

เหนือคนยังมีคน...เหนือฟ้ายังมีฟ้า
เหนือศาลเพียงตา...มีเทวาล่องหน
สิงสถิตปิดหน้า...สั่งคร่าประชาชน
บ้านเมืองโกลาหน...สั่งปล้นอธิปไตย


ตะรางกางตะแลงแกง...ก่ำแดงไปด้วยสี
เลือดนองท้องวิถี...เซ่นคนดีศรีสมัย
ยุติธรรมมันไม่มี...มันย่ำยีประชาไท
หลายยุคหลายสมัย...เพียงคลั่งไคร้เทวดา

คร่าลูกยังไม่พอ...คร่าถึงพ่อคร่าถึงแม่
เวรกรรมแท้ๆ...แม้คนแก่ยังต้องหา
อากงอากู๋...ล้ำเลิกกูโดนอาญา
ศาลเจ้าใส่ชฎา...ขี้ข้าไอ้คนดี

แสนเศร้าเจ้าเอ๋ย...ด้วยข้าเคยแหงนมองฟ้า
บัดนี้สว่างตา...เมื่อแผ่นฟ้ามันเปลี่ยนสี
เปลี่ยนสีแห่งศรัทธา...เมื่อแผ่นฟ้าไร้ปราณี
เมื่อศาลเจ้ามันเปื้อนสี....พอกันทีเลิกศรัทธา.........

เนเธอแลนด์: ควีนประกาศสละราชสมบัติ มอบบัลลังก์พระราชโอรส


 เนเธอแลนด์: ควีนประกาศสละราชสมบัติ มอบบัลลังก์พระราชโอรส

30 มกราคม 2556
ที่มา ประชาไท "'ควีนเบียทริกซ์' แห่งฮอลแลนด์ สละราชสมบัติ มอบบังลังก์แก่พระราชโอรส"

            (NOS Television/Peter Dejong)              

สมเด็จ พระราชินีนาถเบียทริกซ์วัย 75 พรรษา มีกำหนดสละราชสมบัติ 30 เม.ย.นี้ แก่เจ้าฟ้าชายวิลเลม อเล็กซานเดอร์ ตรัสภาระรับผิดชอบต่อประเทศควรถูกส่งต่อแก่คนรุ่นใหม่
สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ ทรงมีพระราชดำรัสเผยแพร่ทางโทรทัศน์ทั่วประเทศวานนี้ว่า ในวโรกาสที่พระองค์จะทรงมีพระชนมายุครบ 75 พรรษาในวันพฤหัสบดีนี้ และในปลายปีนี้เนเธอร์แลนด์จะฉลองครบรอบการสถาปนาประเทศนาน 200 ปีซึ่งจะเป็นการก้าวสู่ศักราชใหม่ของประวัติศาสตร์ประเทศ จึงทรงมีพระราชประสงค์ที่จะสละราชสมบัติในฐานะสมเด็จพระราชินีนาถ องค์พระประมุขแห่งเนเธอร์แลนด์ ในวันที่ 30 เมษายนนี้ พร้อมกับตรัสว่า ภาระรับผิดชอบต่อประเทศชาติควรถูกส่งต่อให้กับคนรุ่นใหม่

            (Peter Dejong)              

พระองค์จะทรงมอบราชบัลลังก์ให้พระราชโอรสองค์โต เจ้าฟ้าชายวิลเล็ม อเล็กซานเดอร์ องค์มกุฎราชกุมาร ที่มีพระชนมายุ 45 ชันษา เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระราชาธิบดีในวันเดียวกัน ซึ่งจะทรงเป็นสมเด็จพระราชาธิบดีพระองค์แรกในรอบ 122 ปี นับตั้งแต่การสวรรคตของสมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลม ที่ 3 เมื่อปี 2433พระราชวงศ์แห่งเนเธอร์แลนด์เป็นหนึ่งในพระราชวงศ์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุด ในทวีปยุโรป สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2523 เมื่อสมเด็จพระราชินีนาถยูเลียนา พระมารดาทรงสละราชสมบัติ แม้การปฏิบัติพระราชกรณียกิจของพระองค์ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นแค่ในพระราชพิธี แต่พระองค์ก็ทรงเป็นที่รักของผสกนิกรชาวดัทช์
สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ได้เผชิญความเศร้าโศกเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว หลังจากที่เจ้าชายฟรีโซ พระราชโอรสองค์ที่สองของพระองค์ประสบอุบัติเหตุจากการเล่นสกีในออสเตรีย ทำให้อยู่ในอาการโคม่า หลายฝ่ายจึงคาดว่าเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พระองค์ตัดสินใจสละราชสมบัติใน ช่วงนี้ 
ถึงแม้พระองค์จะอยู่ในตำแหน่งที่เป็นพระราชพิธีส่วนใหญ่ แต่รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ชุดที่แล้วก็ได้ปลดอำนาจของพระองค์ที่มีอยู่ไม่กี่ อย่างออกไป นั่นคือการเสนอชื่อผู้ตั้งคณะรัฐมนตรีหลังจากการเลือกตั้งรัฐสภา 
ทั้งนี้ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง พระราชินีเบียทริกซ์ทรงลี้ภัยไปอยู่แคนาดากับสมาชิกในราชวงศ์ และเข้าเรียนที่โรงเรียนประถมของรัฐในเมืองออตตาวา ก่อนที่จะกลับมาสู่ฮอนแลนด์หลังสงครามสิ้นสุดลง 
พระราชสวามีของพระองค์ เจ้าชายเคลาส์ ได้เสียชีวิตลงเมื่อปี 2545 พร้อมกับความโศกเศร้าเสียใจของประชาชนทั้งประเทศ ทั้งๆ ที่การเสกสมรสของพระองค์ได้รับการต่อต้านในช่วงแรก เนื่องจากเจ้าชายคลาวส์เคยเป็นทหารของนาซีเยอรมนี และการเข้ายึดครองเนเธอร์แลนด์ของกองทัพนาซีก็ยังคงเป็นแผลใจของประชาชนส่วน ใหญ่ เจ้าชายวิลเลม อเล็กซานเดอร์ ทรงเสกสมรสกับสาวสามัญชน แมกซิมา ที่มีถิ่นกำเนิดในอาร์เจนตินาเมื่อปี 2545 และทรงมีพระธิดาด้วยกัน 3 พระองค์ เจ้าชายทรงเป็นองค์ปาฐกในการประชุมเกี่ยวกับเรื่องน้ำบ่อยครั้งเพื่อแลก เปลี่ยนประสบการณ์ของประเทศที่ประสบภัยภัยแล้ง
ขณะที่เจ้าหญิงแมกซิมา ทรงเคยเป็นนักการธนาคารฝ่ายการลงทุน และสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ ตรัสแสดงความเชื่อมั่นว่า ทั้งเจ้าชายวิลเลมอเล็กซานเดอร์และเจ้าหญิงแมกซิม่าทรงมีความพร้อมสำหรับพระ ราชกรณียกิจในอนาคต และจะทรงปกครองประเทศด้วยความทุ่มเทเสียสละ

tisdag 29 januari 2013

ปีศาจผีดิบจากชั้น ๑๖ โรงพยาบาลศิริราชส่งไอ้ " เอ๋อท่อตัน" แมงสาปตกท่อนักหลอกลวง ปลิ้นป้อน ออกมาหลอกลวงประชาชนชาวกรุงเทพ เป็นตัวแทน " KING บ๊อง " ถ้าประชาชนชาวกรุงหลงกลก็จะได้นํ้าท่วมกรุงเทพ อีกรอบหนึ่ง ....

*...สวรรค์มีสิบหกชั้น..........จะบ้าตาย
ผู้ว่าเป็นท่านชาย................ชาติเชื้อ
เลือกไปน่าฉิบหาย..............มากกว่า
เทวดาหน่อเนื้อ..................รากหญ้าเดินหนี

*...ลื่นไหลกะล่อนได้...........ไปวันวัน
แมงสาบใกล้สูญพันธ์..........แถกดิ้น
คราวนี้อยู่สวรรค์................ชั้นสิบหก
หรือนรกกระดกลิ้น..............แค่สร้างวาทะกรรม

*...นี่ไง คำว่าเอ๋อ.................คือพร่ำเพ้อ มันเรื่อยไป
คิดว่า ใครต่อใคร.................คงโง่เง่า เต่าล้านปี
ความคิด พวกขวาจัด...........ประชาวิบัติ เป็นอย่างนี้
หลงคิด ว่าตัวดี...................แท้เลวชาติ อนาจจริง.



วันที่ ๒๙ มกราคม " KING บ๊อง " ป่วยเจ็บหัวเข่า เพราะหนาวสั่นสะท้านกับคลื่นประชาชนที่ออกมาต่อต้านกฏหมายเถื่อน ม. ๑๑๒ อย่างล้นหลาม..



 
 
 
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง


Posted Image 


 เรื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ฉบับที่ 59


วันนี้ (29 ม.ค. 2556) คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้รายงานว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระปรอทต่ำๆ ในบางช่วงเวลามาประมาณ 1 สัปดาห์ เสวยได้น้อยลง และทรงมีพระอาการอ่อนเพลีย คณะแพทย์ฯ ได้ถวายตรวจพระวรกายทุกวัน ตั้งแต่ทรงมีพระปรอท ไม่พบอาการเจ็บที่พระวรกาย การเต้นของพระหทัยเป็นปรกติ การหายพระทัยเร็วกว่าธรรมดาเล็กน้อย ความดันพระโลหิตปรกติ

การถวายตรวจพระอุระ ปรากฏว่าเป็นปรกติ ผลการตรวจพระบังคนเบา และพระบังคนหนักเป็นปรกติ ต่อมาในเช้าวันนี้ ทรงมีอาการเจ็บพระชานุ (เข่า) เมื่อเคลื่อนไหว แพทย์ได้ถวายตรวจและพบว่า พระชานุ (เข่า) ทั้งสองข้างบวมอักเสบ ได้ขอพระราชทานถวายตรวจพระโลหิตเพื่อหาสาเหตุของการที่ทรงมีพระอาการผิด ปรกติดังกล่าว

ผลการตรวจพระโลหิตไม่ได้แสดงว่า มีอาการอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย จึงได้ถวายพระโอสถเสวยรักษาการอักเสบของพระชานุ (เข่า) บรรทมได้และแต่ยังเสวยพระกระยาหารได้น้อยกว่าปรกติ และยังทรงมีพระอาการอ่อนเพลีย คณะแพทย์ฯ จึงได้ขอพระราชทานกราบบังคมทูล ขอให้ทรงงดพระราชกิจสักระยะหนึ่ง

จึงประกาศมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน

"ภาพวันเริ่มต้นของประวัติศาสตร์หน้าใหม่ " ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ คือวันเริ่มต้นแห่งการเขียนประวัติศาสตร์ไทยหน้าใหม่ โดยประชาชนเจ้าของประเทศทุกภาคส่วนออกมาร่วมมือกันเขียนประวัติศาสตร์ของประชาชนโดยประชาชน ........ ประชาธิปไตยจงเจริญ ประชาชนจงยิ่งใหญ่ อำมาตย์จงบรรลัย ใครไม่จริงใจขอให้ชิบหายโดยพลัน สาธุ!!


บันทึกประวัติศาสตร์ไทยหน้าใหม่ที่เขียนโดยประชาชนที่รักความเป็นธรรมต้องการมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกันในสังคม    มีกฎหมายที่ตั้งอยู่บนความยุติธรรมไม่สองมาตรฐาณ    มีศาลที่ตัดสินคดีอย่างยุติธรรม     วันที่  ๒๙   มกราคม  ๒๕๕๖  เป็นการชี้ให้เห็นว่าประชาชนไม่ต้องการอยู่ภายใต้การปกครองโดยระบอบเผด็จการของกษัตริย์ภูมิพล.

ภาพจากเวปบ้านราชดำเนิน    โดย คุณบทโฉลกสีชาด

[ภาพ: 64218_464619366939349_1298690404_n.jpg]



[ภาพ: 601223_464619490272670_900616343_n.jpg]


[ภาพ: 37100_464622323605720_51213844_n.jpg]

คลิป อ.สมศักดิ์พูด
http://www.youtube.com/watch?feature=player_detailpage&v=d-6-hD_7k-g

[ภาพ: 310039_464618400272779_1881941475_n.jpg]


[ภาพ: 601042_464622476939038_1356255799_n.jpg]

[ภาพ: 148761_464623073605645_420741920_n.jpg]

[ภาพ: 27273_464617050272914_270701748_n.jpg]

[ภาพ: 310048_464616966939589_1723614006_n.jpg]

[ภาพ: 75826_464617203606232_2098514890_n.jpg]


[ภาพ: 542458_464617253606227_149213973_n.jpg][ภาพ: 550144_464619646939321_1954465932_n.jpg]


[ภาพ: 734603_464620900272529_1183213763_n.jpg]

[ภาพ: 536928_464621160272503_200254036_n.jpg]

[ภาพ: 734117_464621826939103_1640573185_n.jpg]

[ภาพ: 391271_464621873605765_2130220520_n.jpg]

ชมภาพทั้งหมดตามลิ๊งค์....29 มค...ขอ 10000คน...เอาแดงออกจากคุก
http://www.internetofreedom.com/index.ph...ntry153686

måndag 28 januari 2013

กษัตริย์ภูมิพล และ คณะองคมนตรี มีอำนาจเหนือรัฐบาล เหนือรัฐสภา เหนือศาล เหนือพรรคการเมือง ผูกขาดอำนาจทุกอย่างไว้ในมือ ควบคุมสื่อมวลชนและองค์กรอิสระ หรือที่เรียกว่า ระบอบเผด็จการกษัตริย์

Posted Yesterday, 01:53 PM
Posted Image

ถ้าประเทศไทยมีกษัตริย์ที่อยู่ใต้กฎหมายเหมือนอารยประเทศทั้งหลาย
แล้วจะมีทหารที่ไหนที่ยังจะกล้าทำรัฐประหารปล้นอำนาจของปวงชนอยู่อีก

ในทางตรงกันข้าม ในเมื่อประเทศไทยมีกษัตริย์ที่ต้องการผูกขาด
อำนาจสูงสุดไว้คนเดียว และคอยสั่งทหารให้ล้มรัฐบาลที่ประชาชนนิยมชมชอบ
...
แล้วจะมีทหารคนไหนกล้าที่จะต่อต้านพวกทหารโจรกบฏ
ที่มีกษัตริย์เป็นหัวหน้าใหญ่

เพราะกษัตริย์ไทยผูกขาดการใช้อำนาจสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว
โดยห้ามไม่มีมีการตรวจสอบหรือถ่วงดุลย์ใดๆ เพียงแต่อาศัยระบบรัฐสภา
เป็นเปลือกหุ้มเป็นครั้งคราวเพื่อหลอกลวงประชาชนและประชาคมโลก

แต่อำนาจทางการทหารและศาลก็ยังอยู่ในความควบคุมของระบอบกษัตริย์
ตลอดมา

นับตั้งแต่หลังการทำรัฐประหารที่นำโดยพลโทผิน ชุณหะวัณ
ในวันที่ 8 พฤษจิกายน 2490 ที่เริ่มให้มีองคมนตรี
จากนั้นยังได้มีการทำรัฐประหารอีกหลายครั้ง
เพื่อหาเรื่องเขียน รธน ขึ้นใหม่เพื่อเพิ่มอำนาจให้กษัตริย์มากขึ้นเรื่อยๆ
แม้แต่รัฐธรรมนูญ 2540 ที่มาจากสภาร่างรัฐธรรมนูญที่เลือกมาจากประชาชน
ก็ยังคงต้องใช้กรอบที่ให้กษัตริย์เป็นผู้ผูกขาดการใช้อำนาจสูงสุด
โดยเฉพาะการเป็นจอมทัพที่มีอำนาจที่แท้จริงในการแต่งตั้งนายทหาร
รวมไปถึงตุลาการและข้าราชการระดับสูง
และยังเสริมด้วยอำนาจของตุลาการเครือข่ายเจ้าในรูปขององค์กรตาม รธน
หลากหลายรูปแบบ เพื่อกำกับและควบคุมอำนาจของปวงชนอีกชั้นหนึ่ง

แต่ระบอบกษัตริย์ของไทยก็ไม่สามารถเอาชนะการเลือกตั้งต่อพตท. ทักษิณ
และเครือข่ายของทักษิณที่สืบต่อกันมา แม้จะได้ร่าง รธน 2550
เพื่อเอาเปรียบทางการเมืองทุกวิถีทาง แต่ก็ยังไม่มีทางเอาชนะในการเลือกตั้งได้

การเรียกร้องให้มีการแก้ รธน โดยไม่แตะต้องหมวดกษัตริย์
จึงเป็นเรื่องของการเรียกร้องต่อสู้ในกรอบเดิมๆ ที่ยังมีกษัตริย์อยู่เหนือกฎหมาย
และเป็นผู้ผูกขาดการใช้อำนาจสูงสุดเหมือนเดิม

จึงป่วยการที่ไปอ้างบทบัญญัติหรือกฎหมายใดๆ
ในเมื่อประชาชนไทยยังคิดว่าตนเองเป็นแค่ไพร่ เป็นฝุ่นละออง
ที่ไม่สามารถพึ่งตนเอง และไม่เคยคิดที่จะสู้เพื่อเสรีภาพและความเสมอภาค
ที่แท้จริง หรือสู้แบบมีข้อยกเว้นที่จำกัดกรอบ ไม่ไปปรับเปลี่ยนสถานภาพแ
ละบทบาทหน้าที่ของสถาบันกษัตริย์ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของปัญหา
ทำให้ไม่มีทางแก้ปัญหาที่ตันเหตุได้ ไปๆมาๆ ก็มาตันอยู่แค่กองทัพ ตุลาการ
องคมนตรี สื่อหรือนักวิชาการ ที่เป็นแค่กิ่งก้านของระบอบเผด็จการดักดาน

ที่มีกษัตริย์เป็นแกนกลาง