การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และความขัดแย้งในสังคมไทย
โดย เด่นพงษ์ รักประชา
ประชาธิปไตย
คำว่า ประชาธิปไตย เป็นศัพท์ใหม่เพิ่งมีผู้ตั้งศัพท์นี้มาเมื่อประมาณ 100 ปีมานี้เอง จากรากศัพท์เดิมของคำว่า ประชาธิปไตย แปลมาจากคำในภาษากรีก “ DEMOKRATIA “ ซึ่งมาจากมูลศัพท์ “DEMOS”แปลว่า ปวงชน ผสมกับคำว่า .” KRATOS “ แปล ว่าอำนาจ และ “ KRATIEN “ แปลว่า การปกครอง ดังนั้นคำว่า “ DEMOKRATIA “ จึงหมายถึง อำนาจสูงสุดของปวงชน การปกครองโดยมติของปวงชน
คำ ว่า ประชาธิปไตย จึงหมายถึงรูปแบบการปกครองที่ถือมติปวงชนเป็นใหญ่ เพราะอำนาจสูงสุดเป็นของปวงชน ซึ่งมีสิทธิ์กับหน้าที่ตามธรรมชาติของมนุษยชน
ถึง แม้จะมีผู้ตั้งศัพท์คำว่าประชาธิปไตยขึ้นมาเมื่อ 100 ปีที่แล้วก็ตาม แต่รูปแบบการปกครองประชาธิปไตยมีมาพร้อมกับการเกิดสังคมของมนุษย์ชาติที่ มนุษย์รู้จักอยู่ร่วมกันเป็นหมู่เป็นกลุ่มในสังคม ในยุคสมัยของสังคมบุพกาลทุกคนต้องล่าเนื้อหาอาหารกินเองจะอาศัยแรงงานคนอื่น หาให้กินไม่ได้ ซึ่งหมายความว่าในยุคของสังคมบุพกาลมนุษ์ไม่มีการเบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบ กัน
ใน ระยะต่อมามนุษย์ได้รู้จักการเลือกตั้งเจ้าโคตรเจ้าตระกูลขึ้นมาเป็นหัวหน้า กลุ่มหรือหัวหน้าของสังคม เพื่อทำพิธีทางไสยศาสตร์ จึงเกิดมีการรวมกลุ่มเกิดชุมชนขึ้น ต่อมา มีการแย่งชิงเขตแดนที่ทำมาหากิน จึงมีการรบราฆ่าฟันกันในแต่ละกลุ่ม หัวหน้ากลุ่มไหนแข็งแรงก็สามารถขยายอาณาเขตของตนให้กว้างขวางออกไป และจับเอาฝ่ายตรงกันข้ามมาเป็นเชลย ซึ่งเชลยนี้ครั้งแรกก็ฆ่าทิ้งหรือใช้กินเป็นอาหาร แต่ต่อมาเชลยที่ถูกจับได้ถูกบังคับให้เป็นทาสเพื่อใช้แรงงานให้แก่เจ้าโคตร เจ้าตระกูลที่เป็นหัวหน้าของสังคม ระบบทาส ซึ่งเป็นระบบที่โหดร้ายที่สุดของมนุษย์ชาติจึงเกิดขึ้น
เมื่อ ระบบทาสได้เริ่มขึ้นในสังคมของมนุษย์ รูปแบบการปกครองประชาธิปไตยที่มีมาแต่เดิมนั้นก็หมดไป พวกนายทาสได้กลายมาเป็นหัวหน้าของสังคม และได้ใช้วิธีปกครองแบบบังคับอย่างโหดร้ายทารุณที่สุดกับพวกทาส ทาสจึงเปรียบเสมือนสัตว์ที่พูดได้ นายทาสจะซื้อขายหรือเข่นฆ่าและบังคับใช้แรงงานได้ตามใจชอบเหมือนกับสัตว์
ในกฏหมายเก่าของไทยก็ได้บัญญัติไว้ว่า ทาสเป็นทรัพย์สินชนิดหนึ่งจำพวกเดียวกับสัตว์ที่มีชีวิตทั้งหลายเรียกว่า “ วิญญาณทรัพย์ “ ระบบทาสจึงเป็นระบบเผด็จการที่ทารุณโหดร้ายและเลวทรามที่สุดของมนุษย์ ที่ดำรงคงอยู่มาเป็นเวลาหลายร้อยปี ความเจริญรุ่งเรืองในยุคต่างๆของมนุษย์ ได้ถูกสร้างขึ้นอย่างมากมายก็โดยน้ำพักน้ำแรงของพวกทาส เช่นสถานที่โบราณ วัตถุก่อสร้างต่างๆ ที่สร้างขึ้นในสมัยโรมัน สมัยกรีก และโบสถ์ วัดวาอารามสมัยเก่าของไทยก็ได้ถูกสร้างขึ้นโดยน้ำพักน้ำแรงของพวกทาสทั้ง นั้น ระบบทาสได้ดำรงคงอยุ่ในสังคมไทยมาจนถึงรัชสมัยรัชกาลที่ ๕
เมื่อ วิวัฒนาการของสังคมได้เจริญก้าวหน้าขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ระบบทาสได้กลายมาเป็นสิ่งที่ขัดขวางความเจริญทางการผลิตทำให้เกิดความขัด แย้งกันภายในของสังคมระบบทาสขึ้น พวกลูกทาสได้ลุกขึ้นต่อสู้ อาทิ การต่อสู้ของสปาตาคุสในระบบทาสโรมัน เมื่อ ๗๔ ปีก่อนพระเยซูเกิด เป็นต้น ต่อมาพวกเจ้าทาสจึงได้ผ่อนผันให้ทาสบางส่วนทำการเพาะปลูกในที่ดินของเจ้าทาส และนำผลผลิตที่ได้ส่งเป็นเครื่องบรรณาการให้แก่พวกนายทาสหรือที่เรียกว่า “ส่งส่วย “
สมัย ก่อนมนุษย์เรายังไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฏเกณฑ์ต่างๆของธรรมชาติ ไม่สามารถอธิบายสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในจักรภพนี้ได้ จึงเชื่อเอาอย่างงมงายว่าธรรมชาติและสรรพสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ล้วนมีสิ่งบรรดาลมาจากเบื้องบนเพื่อให้เป็นไปเช่นนั้น ซึ่ง อำนาจจากเบื้องบนนั้นเชื่อกันว่าเป็นอำนาจของพระเจ้า หรืออำนาจของพวกเทวาอารักษ์ พวกเจ้าโคตรเจ้าตระกูลทั้งหลาย ผู้ที่เป็นหัวหน้าสังคมที่ถูกเลือกขึ้นในยุคของสังคมบุพกาลเพื่อให้เป็นตัว แทนในการทำพิธีทางไสยศาสตร์นั้น ต่อมาก็ได้ตั้งตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์ หรือจักรพรรดิ์ ปกครองอยู่ตามดินแดนหรือในแค้วนต่างๆ บุคคล เหล่านี้ได้ตั้งตนเองขี้นเป็นตัวแทนของพระเจ้า อ้างว่าพระเจ้าส่งตนลงมาจุติในโลกมนุษย์ หรือเป็นตัวแทนมาจากเบื้องบน คือสวรรค์เพื่อลงมาโปรดมนุษย์ โดยได้รับอำนาจมาจากสรวงสวรรค์ เพื่อให้มาปกครองมนุษย์ เช่นในสมัยโบราณของจีนเชื่อกันว่ากษัตริย์หรือ จักรพรรดิ์เป็นโอรสมาจากสวรรค์ ในประเทศญี่ปุ่นสมัยเก่าก็เชื่อกันว่าจักรพรรดิเป็นโอรสของพระอาทิตย์มาเกิด เป็นต้น
คลิกอ่านทั้งหมด-การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และความขัดแย้งในสังคมไท...
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar