måndag 17 augusti 2015

วิเคราะห์ เกมการเมือง "เจ้าหลอกลิง" หรือ "ลิงหลอกเจ้า" ระหว่างพวกเดียวกัน ขอย้ำเตือนอีกครั้งเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับประชาชนอย่าหลงทางตกเข้าไปเป็น"เหยื่อล่อ"ตายแทนคนอื่นหรือถูกจับเข้าคุกเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา โปรดอดใจรอดูอยู่ห่างๆ ด้วยความปราถนาดี...

เมื่อสถานการณ์ร่วมงวด ลมเปลี่ยนทิศ อำมาตย์คิดเร่งเกม


by red eagle


การเดินเกมแบบ "เจ้าหลอกลิง" ที่ดึงเอาประยุทธ์มาทำงานกระชับอำนาจ เพื่อหวังผลักดันเมืองไทยให้มีกษัตริย์หญิงคนแรกของกลุ่มเครือข่ายอำมาตย์ ที่มีความประสงค์จะโหนอำนาจรักษาไว้ซึ่งสถานะบุคคลนอกรัฐธรรมนูญ  การยึดอำนาจการปกครองในวันที่ 22 พ.ค. 2557 ก็เกิดขึ้น ท่ามกลางความกังวลของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ที่หวั่นถึงภาวะเศรษฐกิจของโลกจะกระทบอีกครั้งดั่งเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี 2554  และความหวังที่สถานการณ์ในประเทศไทยจะคลี่คลายโดยเร็ว 
แต่ความคาดหวังของประเทศต่างๆ ก็ดูจะริบหรี่เมื่อประยุทธ์ ไม่ยอมคลายอำนาจ แถมยังมีท่าทีที่จะสืบทอดอำนาจออกไป โดยการหันไปสยบใต้อุ้งตีนจีน เพื่อหวังถ่วงดุลอำนาจของมหาอำนาจพระยานกอินทรีย์  แต่แล้วประเทศไทยก็ต้องเผชิญกับชะตากรรมทางเศรษฐกิจหนักขึ้น เมื่อประเทศอเมริกา สหภาพยุโรป และออสเตรเลียพากันคว่ำบาตรทางการค้าด้วยมาตรการต่างๆออกมาตามลำดับ ซึ่งในขณะเดียวกัน ประเทศจีนเองก็ไม่สามารถที่จะรับมือกับแนวต้านทางเศรษฐกิจจากตะวันตกให้กับประเทศไทยได้
แต่ด้วยสถานการณ์ที่บีบคั้นอำมาตย์ก็พยายามที่จะบีบให้ประยุทธ์คลายอำนาจในทุกรูปแบบ แต่ก็ไม่เป็นผล ที่หนักไปกว่านั้น ประยุทธ์เองกลับหันกลับไปสนับสนุนสมเด็จพระบรมเพื่อขึ้นเถลิงราชสมบัติในรัชกาลที่ 10 แทนเป้าหมายของกลุ่มเครือข่ายอำมาตย์
เหตุการณ์ที่มีการพลิกผันเป็นลมเปลี่ยนทิศ เหมือนเกมถูกเปลี่ยนเป็น "ลิงหลอกเจ้า" กลุ่มเครือข่ายอำมาตย์ก็เกิดอาการลมออกหู จึงรุกรัฐบาลประยุทธ์หนักขึ้นด้วยการเร่งการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับพิสดาร แต่แทนที่ประยุทธ์จะดูกังวลเหมือนเดิน แต่กลับดูท่าว่าจะสบายๆ แบบไร้ความกังวล เพราะตนได้ให้คนสอด ม 260 ไว้เพื่อการสืบทอดอำนาจไว้เบ็ดเสร็จ ถ้าสภา สนช. คว่ำร่างรัฐธรรมนูญ ก็เท่ากับว่าต่ออายุ คสช. โดยอัตโนมัติ  ถ้าเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญ ก็เท่ากับว่ายอมรับอำนาจรัฐธรรมนูญให้สืบทอดอำนาจได้ตาม ม. 260  แหม....ช่างคลาสสิคอะไรป่านนั้น  การต่อรองผู้บังคับบัญชาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ไม่เป็นผล ที่ส่ง พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ เข้าประกวด แต่ผลกลับออกบิ๊กแปะสายวงศ์สุวรรณ แทน กองกำลังความมั่นคงในเมืองก็ถูกยึดไปอยู่ในมือของวงศ์สุวรรณไปเรียบร้อย 
ยังเหลือความหวังกับ ผบ.ทบ. ที่ได้ส่ง พล.อ.ธีระชัย  นาควานิช เข้าประกวด แต่ยิ่งใกล้วันเข้ามาเท่าไร ก็ยิ่งมีกระแสที่จะหลุดโผ ทั้งๆ ที่มีอาวุโสสูงสุด  นี่เป็นกฏแห่งกรรมที่ตนเองเคยกระทำกับเขาไว้ เมื่อ พล.อ.ประวิตร  วงศ์สุวรรณ เคยได้รับการเสนอชื่อให้ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. แต่แล้วก็ถือมือมืดที่เป็นมือที่มองไม่เห็น ได้เปลี่ยนชื่อจากบิ๊กป้อม เป็น พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ขึ้นแทน  คราวนี้ มือเหี่ยวที่เคยเป็นมือที่ปราดเปรียวกำกับทิศทางการสนองพระราชโองการของในหลวง ก็ไม่รู้ว่าคราวนี้มีฤทธิ์ พลิกเอา พล.อ.ธีระชัย  นาควานิช เข้าป้ายได้หรือไม่ เพราะคู่แข่ง ถึงแม้นจะมีอาวุโสน้อยกว่า แต่ก็มีฐานะเป็นถึงน้องชายของประยุทธ์ ที่ประยุทธ์มีความไว้ใจสูงสุดที่จะไม่ใช้กำลังทหารสั่นคลอนอำนาจรัฐบาลเผด็จการ แถมยังจะรักษาซึ่งความมั่นคงของอำนาจเถื่อนที่ปล้นเขามาให้อยู่ได้จนถึงเวลาที่ตัวเองจะพลิกมาเป็นวีระบุรุษ ที่จะให้ประเทศไทยเป็นประธิปไตยที่สมบูรณ์ โดยที่ตนเองเป็นประธานาธิบดีด้วยความชอบธรรม ที่มีเสียงทางการเมืองสนับสนุน จากการที่สยายปีกฮุบเอาพรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ มาเป็นฐานในการสนับสนุนตนเอง
สถานการณ์ของลมเปลี่ยนทิศก็ไม่ได้หลุดไปจากสายตายของเครือข่ายอำมาตย์  อำมาตย์จึงโต้ตอบด้วยการทวงสัญญาในการจัดการกับชินวัตร  ประยุทธ์เองก็พริ้ว โยนเผือกร้อนนี้ให้กับบิ๊กต๊อก ไพบูลย์  คุ้มฉายา  บิ๊กต๊อกเองก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็ได้แต่นั่งประชุมกรรมการยุติธรรม เพียงเพื่อออกมาเสนอว่า "ถอดยศได้" แต่ก็ยังทำอะไรต่อไม่ได้เพราะจะต้องส่งมติให้กับนายกรัฐมนตรี และประยุทธ์เองก็ต้องส่งเรื่องกลับไปยัง สตช. เพื่อดำเนินการเช่นเดิม ทั้งๆ ที่ สตช. เองเคยรับงานนี้ไปแล้ว และดำเนินการไม่ได้ 
ถึงอย่างไรก็ตาม สื่อสายอำมาตย์ก็พากันเล่นข่าว จนสังคมรับรู้ว่า ทักษิณถูกถอดยศเป็นแน่แท้แล้ว แต่ด้วยความที่ทักษิณเองเป็นคนไวต่อแรงกระตุ้น ก็ออกมาพูดถึงการยอดยศว่า "จะถอดก็ถอด ไม่เห็นเป็นไร" เท่ากับยื่นมือมาจากซีกโลกมาตบหน้าอำมาตย์ฉาดใหญ่ แต่เสียงตบที่ดังสนั่น ก็ถูกกลบด้วยกระแส Bike for Mom เงียบสนิท  แม้แต่เสียงของการมอบรางวัลสิทธิมนุษยชนของยูเอ็นที่รับจ้างมามอบให้สมเด็จพระเทพในวันพุธที่ 19 ที่จะถึงนี้  แต่แล้วเสียงที่ค่อนข้างดัง ดังมาจากประเทศฟินแลนด์ เป็นเสียงวิจารณ์รัฐธรรมนูญของทักษิณ ทำให้ดังพอที่จะเป็นประเด็นให้เครือข่ายอำมาตย์ได้เล่นต่อ โดยหวังว่าทักษิณคือตัวแทนเพื่อไทย และเพื่อไทยคือตัวแทนของคนเสื้อแดง ตามตรรกของการย่อขนาดศัตรูให้เล็กลง แล้วโจมตีจุดที่เล็กสุด  ดังนั้นเครือข่ายอำมาตย์ก็ดาหน้ากันออกมาโจมตรีทักษิณเป็นกระบวน
โดยเริ่มต้นจาก ม.ล.จุณเจิม ก็ถือป้ายล้างระบอบทักษิณให้หมดจากประเทศไทย  พล.อ.พระจุณ ก็ออกมาว่าพร้อมที่จะชนกับม็อบทักษิณ  นายเอกนัฏ ก็ออกมาบอกว่าทักษิณเป็นจรเข้ขวางคลอง  นายสุริยะใส ก็กล่าวหาทักษิณวิจารณ์รัฐธรรมนูญแบบหลงประวัติศาสตร์  นายวัชระ เพชรทอง ก็กล่าวหาทักษิณเดินสายเพื่อปลุกม็อบ  รวมทั้งใครต่อใคร ที่ใช้สื่อเครือข่ายของอำมาตย์ออกมากล่าวหาทักษิณ  โดยเนื้อหาก็พอสรุปได้ว่า ทักษิณ ไม่พอใจที่ถูกถอดยศ จึงออกมาวิจารณ์รัฐธรรมนูญ เพื่อปลุกกระแสม็อบในการล้มรัฐธรรมนูญ
หากจะวิเคราะห์เนื้อของการออกมากล่าวหาของเครือข่ายอำมาตย์ ก็พอมีเค้าลางในการวิเคราะห์แนวโน้มได้ว่า อำมาตย์เองกำลังเร่งเกมเพื่อสร้างสถานการณ์บางอย่างใหเกิดขึ้น โดยหวังว่าจะได้คนเสื้อแดงที่หลงกลมาเข้าร่วม แล้วปั่นให้สถานการณ์นั้นควบคุมไม่ได้ แล้วใช้กองทัพที่อยู่ในคาถาตนเองเข้ายึดอำนาจ ในขณะที่กองทัพสายวงศ์สุวรรณกำลังปั่นป่วนกับการแก้ปัญหาม็อบทักษิณ(ที่ตนสร้างขึ้นมา)  แล้วโยนความผิดให้กับทักษิณและคนเสื้อแดง  ตามประสบการณ์ที่เคยผ่านมา
เกมอำมาตย์ยังคงมีรูปแบบเดิมๆ ที่เรายังพอที่จะอ่านออก รู้ทัน สำคัญอยู่ที่ว่า แกนนำเครือข่ายย่อยที่มีกระจายอยู่ทั่วประเทศนั้นจะเข้าใจสถานการณ์เหมือนกันหรือไม่ และจำกำหนดกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนไปพร้อมกันและมีทิศทางเดียวกันอย่างไร นี่คือโจทย์ ที่นักเคลื่อนไหวทางการเมือง นักประชาธิปไตยต้องวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง และเดินเกมอย่างละเอียดละออ ไม่มุ่งเอามัน แล้วเดินเข้าสู่กับดักของฝ่ายตรงข้าม เพียงอย่างเดียว ฝากประเด็นให้พี่น้องช่วยกันวิเคราะห์เพื่อหาข้อมสรุปและสื่อสารต่อออกไปครับ

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar