สถาบันสูงสุด' กับการปฏิรูป
ในประเด็นเกี่ยวกับสถาบันสูงสุด นักวิชาการจำนวนหนึ่งและอดีตวุฒิสมาชิกต่างมีข้อคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวแตกต่างกันไป
ศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ เห็นว่า ปัญหาสำคัญเกี่ยวกับบทบาทและสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ในการเมืองไทยคือ.
การเมืองไทย
“ติดอยู่ในวังวนแห่งเผด็จการอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขกับประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข”
วังวันดังกล่าวนี้ “เป็นอันตรายต่อสถาบันกษัตริย์เอง”
จำเป็นที่การเมืองไทยจะ
“ต้องก้าวเดินไปข้างหน้าสู่ระบอบเสรีประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
นั่นแปลว่า หลักความชอบธรรมพื้นฐานของบ้านเมืองมาจากฉันทาคติของประชาชน
มาจากเสียงเลือกตั้งของประชาชน นั่นแปลว่า
อย่าใช้สถาบันกษัตริย์ในทางการเมืองไปรองรับระบอบที่ไม่ชอบธรรม
แต่การจะหลุดจากตรงนี้ได้จะต้องเป็นการ
‘กระโดดทางมโนทัศน์’.......ตอนนี้มีทางเลือกเดียวคือเป็นประชาธิปไตยที่
normal หรือไม่ก็ไม่มีประชาธิปไตยเลย เพราะมันไม่มีหรอกประชาธิปไตยแบบไทยๆ”
ในขณะที่ ศ. ดร. วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ชี้ว่า
ในขณะที่ ศ. ดร. วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ชี้ว่า
“สถาบันกษัตริย์ที่อยู่รอดปลอดภัยมาได้คือ
ปรับตัวและกลายเป็นสัญลักษณ์ของรัฐ
อยู่เหนือความรักและความชังในทางการเมืองของบุคคล” หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ
สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ อันเป็น
“สิ่งซึ่งคณะราษฎรทำ”
แปดสิบกว่าปีที่ผ่านมา
การทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญนี้ยังเป็น
“ภารกิจที่คณะราษฎรทำยังไม่ประสบความสำเร็จ” ดังนั้น
จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์
นอกเหนือไปจากสถาบันการเมืองอื่นๆ
ซึ่งหนึ่งในข้อเสนอเกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญนั้นก็คือ
การแก้ไขมาตรา 112
อันเป็นประเด็นที่ก่อให้เกิดกระแสความขัดแย้งขึ้นอย่างรุนแรงในสังคมไทยระหว่างฝ่ายที่สนับสนุนและฝ่ายที่ต่อต้าน
ด้าน ดร. สมศักดิ์ เจียรธีรสกุล ได้วิเคราะห์วิกฤติการเมืองไทยที่เกิดขึ้นไว้ว่า
ด้าน ดร. สมศักดิ์ เจียรธีรสกุล ได้วิเคราะห์วิกฤติการเมืองไทยที่เกิดขึ้นไว้ว่า
“ปัญหาใจกลางของวิกฤตินี้
ตั้งแต่จุดเริ่มต้นนี้ และไม่เคยเปลี่ยนเลยมาจนขณะนี้
อาจสรุปได้เป็นประโยคเดียวคือ
‘จะจัดวางตำแหน่งแห่งที่ของสถาบันกษัตริย์ในสังคมการเมืองไทยอย่างไร ?’”
และ “ฝ่ายที่ต้องการเปลี่ยนแปลง ต้องการสู้เพื่อ ‘ประชาธิปไตย’
ซึ่งย่อมหมายถึงการปรับเปลี่ยนสถานะและบทบาทของสถาบันกษัตริย์ในด้านต่างๆ
อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (องคมนตรี ถึง ตุลาการ ถึง “ทหารของพระราชา”
และอื่นๆ)”
และการปรับเปลี่ยนสถานะและบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ควรจะครอบคลุม
“ตั้งแต่ประเด็นทางกฎหมาย-การเมือง ระดับรัฐธรรมนูญ และกฎหมายย่อย
ไปถึงประเด็นเชิงวัฒนธรรม จิตสำนึก ตั้งแต่เรื่ององคมนตรี
ไปถึงตุลาการภิวัฒน์ (ที่มีจุดเริ่มต้นจากพระราชดำรัสสาธารณะของกษัตริย์)
ตั้งแต่ปัญหากองทัพ ‘ของพระราชา’ ไปถึงประเด็น องค์กรรัฐใด ควรเป็นผู้ที่
set agenda ของสังคมและทิศทางประเทศ (คณะรัฐมนตรี
และนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง หรือ พระมหากษัตริย์)”
คุณคำนูณ สิทธิสมาน อดีต ส.ว. เห็นว่า
คุณคำนูณ สิทธิสมาน อดีต ส.ว. เห็นว่า
“เมื่อพูดถึงสถาบันกษัตริย์ เราต้องพูดถึงสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา
สภาพการณ์ในแต่ละช่วงเวลากำหนดบทบาทของสถาบันกษัตริย์ให้ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย
คนที่ทำให้บทบาทของสถาบันกษัตริย์เปลี่ยนไปในแต่ละยุคสมัยคือนักการเมือง
เพราะนักการเมืองคือผู้เขียนโครงสร้างกฎหมายรัฐธรรมนูญขึ้นมา
นักการเมืองบางยุคสมัยต่อสู้กันทางการเมืองก็นำประเด็นสถาบันพระมหากษัตริย์มาพ่วงเข้าไปด้วย
เราจะเห็นชัดเจนตั้งแต่จุดเปลี่ยนเมื่อปี 2490”
และ “ไม่เชื่อว่าถ้ามีการปรับเปลี่ยนสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยแล้วจะทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ขึ้นมาในทันที หากเราไม่ปรับเปลี่ยนบทบาทของนักการเมืองควบคู่กันไปด้วยกัน โดยเฉพาะปี 2540 เป็นต้นมาที่นักการเมืองหรือพรรคการเมืองผนวกเป็นกลุ่มเดียวกับกลุ่มทุน ไม่ว่ากลุ่มทุนใหญ่ที่สุดของประเทศ หรือกลุ่มทุนใหญ่ที่สุดของประเทศที่เชื่อมโยงกับกลุ่มทุนข้ามชาติ ถ้าเรามองแต่ด้านที่ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์จะต้องปรับเปลี่ยนให้เป็นเหมือนประเทศประชาธิปไตยตะวันตก แล้วเราไม่มองด้านนักการเมืองหรือด้านอื่น ก็เหมือนว่าเราไปลดบทบาทการถ่วงดุลโดยธรรมชาติลงด้านหนึ่ง แล้วไปเสริมบทบาทครอบงำให้แก่อีกด้านหนึ่งการพูดถึงการลดบทบาทของทหารหรือการลดบทบาทของสถาบันกษัตริย์ สิ่งหนึ่งที่ควรจะต้องกล่าวควบคู่กันคือเราจะลดบทบาทหรือควบคุมกำกับบทบาทของนักการเมืองโดยเฉพาะนักการเมืองที่ผนวกรวมเป็นร่างเดียวกับกลุ่มทุนทั้งไทยและต่างประเทศอย่างไร การที่เราพูดทุกด้านควบคู่กันไปก็เหมือนเรากำลังพูดถึงการปฏิรูปประเทศโดยรวม”
ที่ผ่านมาสถาบันพระมหากษัตริย์มีบทบาทและสถานะของการถ่วงดุลทางการเมืองโดยธรรมชาติและเป็นสิ่งที่ยังมีความจำเป็นในการเมืองไทยอยู่ กระนั้น คุณคำนูณก็ยอมรับว่า “ไม่คิดว่าบทบาทหรือสถานภาพของสถาบันกษัตริย์จะดำรงคงอยู่อย่างที่ดำรงมา 50 ปี การปรับเปลี่ยนต้องเกิดขึ้นเพราะโลกเปลี่ยน เทคโนโลยีเปลี่ยน แต่อีกด้านหนึ่งที่ก้าวกระโดดขึ้นมามีอำนาจนำ อำนาจครอบงำสูง เราจะมีสิ่งที่ต้องกำกับหรือควบคุมอย่างไร” เราควรนำข้อสังเกตข้างต้นมาพิจารณาในการปฏิรูปการเมืองหรือไม่ ?
ข้อเขียนข้างต้นนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ วันที่ 7 พฤศจิกายน 2557 ผู้เขียนเห็นว่าขณะนี้จำเป็นที่จะเผยแพร่ให้กว้างขวางมากขึ้น จึงขอนำเสนอในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจนี้อีกครั้งหนึ่ง
(ส่วนหนึ่งของโครงการวิจัย “สถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของไทย : ปัญหาในการเปรียบเทียบอ้างอิงกับระบอบการปกครองที่เป็นตัวแบบในต่างประเทศ” [RDG5710023] สกว. ฝ่ายนโยบายชาติและความสัมพันธ์ข้ามชาติ [ฝ่าย 1])
และ “ไม่เชื่อว่าถ้ามีการปรับเปลี่ยนสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยแล้วจะทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ขึ้นมาในทันที หากเราไม่ปรับเปลี่ยนบทบาทของนักการเมืองควบคู่กันไปด้วยกัน โดยเฉพาะปี 2540 เป็นต้นมาที่นักการเมืองหรือพรรคการเมืองผนวกเป็นกลุ่มเดียวกับกลุ่มทุน ไม่ว่ากลุ่มทุนใหญ่ที่สุดของประเทศ หรือกลุ่มทุนใหญ่ที่สุดของประเทศที่เชื่อมโยงกับกลุ่มทุนข้ามชาติ ถ้าเรามองแต่ด้านที่ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์จะต้องปรับเปลี่ยนให้เป็นเหมือนประเทศประชาธิปไตยตะวันตก แล้วเราไม่มองด้านนักการเมืองหรือด้านอื่น ก็เหมือนว่าเราไปลดบทบาทการถ่วงดุลโดยธรรมชาติลงด้านหนึ่ง แล้วไปเสริมบทบาทครอบงำให้แก่อีกด้านหนึ่งการพูดถึงการลดบทบาทของทหารหรือการลดบทบาทของสถาบันกษัตริย์ สิ่งหนึ่งที่ควรจะต้องกล่าวควบคู่กันคือเราจะลดบทบาทหรือควบคุมกำกับบทบาทของนักการเมืองโดยเฉพาะนักการเมืองที่ผนวกรวมเป็นร่างเดียวกับกลุ่มทุนทั้งไทยและต่างประเทศอย่างไร การที่เราพูดทุกด้านควบคู่กันไปก็เหมือนเรากำลังพูดถึงการปฏิรูปประเทศโดยรวม”
ที่ผ่านมาสถาบันพระมหากษัตริย์มีบทบาทและสถานะของการถ่วงดุลทางการเมืองโดยธรรมชาติและเป็นสิ่งที่ยังมีความจำเป็นในการเมืองไทยอยู่ กระนั้น คุณคำนูณก็ยอมรับว่า “ไม่คิดว่าบทบาทหรือสถานภาพของสถาบันกษัตริย์จะดำรงคงอยู่อย่างที่ดำรงมา 50 ปี การปรับเปลี่ยนต้องเกิดขึ้นเพราะโลกเปลี่ยน เทคโนโลยีเปลี่ยน แต่อีกด้านหนึ่งที่ก้าวกระโดดขึ้นมามีอำนาจนำ อำนาจครอบงำสูง เราจะมีสิ่งที่ต้องกำกับหรือควบคุมอย่างไร” เราควรนำข้อสังเกตข้างต้นมาพิจารณาในการปฏิรูปการเมืองหรือไม่ ?
ข้อเขียนข้างต้นนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ วันที่ 7 พฤศจิกายน 2557 ผู้เขียนเห็นว่าขณะนี้จำเป็นที่จะเผยแพร่ให้กว้างขวางมากขึ้น จึงขอนำเสนอในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจนี้อีกครั้งหนึ่ง
(ส่วนหนึ่งของโครงการวิจัย “สถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของไทย : ปัญหาในการเปรียบเทียบอ้างอิงกับระบอบการปกครองที่เป็นตัวแบบในต่างประเทศ” [RDG5710023] สกว. ฝ่ายนโยบายชาติและความสัมพันธ์ข้ามชาติ [ฝ่าย 1])
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar