lördag 30 juni 2018

รายการสหพันธรัฐไท กับสามทหารเสือ


 

รายการสหพันธรัฐไท กับสามทหารเสือ
เลื่อนไปจัดวันอาทิตย์ : 01/07/2018 เวลา 21.00 น. ประเทศไทย
รายการสหพันธรัฐไท เปิดใจประชาชน
ตอน : ทีมหมูป่ากับหมาหน้าหอย
https://youtu.be/u06flgnzMQU ...
ดูเพิ่มเติม

ฤๅ..กงล้อประวัติศาสตร์การเมืองไทย จะย้อนกลับเป็นเหมือนในอดีต? 72ปีที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จากยุคต้นรัชกาลที่9-ยุคต้นรัชกาลที่10

72ปีที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จากยุคต้นรัชกาลที่9-ยุคต้นรัชกาลที่10

-บทความอ่านประกอบ-

คลิกอ่าน-จอมพล ป. พิบูลสงคราม: ย้อนอดีตยุคเผด็จการครองเมือง | No-Face

 30 apr. 2014 - พิบูลสงคราม” เป็นเผด็จการทางทหารที่มีบทบาททางการเมืองสูงและให้ความสนใจกับความคิดที่ส่อไปในทางเชื้อชาติ .... “พันเอกเผ่า ศรียานนท์” เป็นพลตรีอย่างรวดเร็ว ยุคจอมพล ป. ..... 2500 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งที่ถูกกล่าวว่าสกปรกที่สุดในประวัติศาสตร์ ...

คลิกอ่าน-ย้อนอดีตยุคเผด็จการครองเมือง: จอมพล ป. พิบูลสงคราม (ตอนที่๑) | ครูทองคำ ...

คลิกอ่าน-เหตุการณ์การเมืองสามเส้า - ฐานข้อมูลการเมืองการปกครองสถาบันพระปกเกล้า

เผ่า และจอมพลสฤษดิ์ ต่างมีฐานอำนาจทางตำรวจและทหารของตนตามลำดับ ขณะที่ จอมพล ป. ... จอมพล ป. พิบูลสงคราม - การกลับเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในสมัยที่ 2 (พ. ... ยศ และตำแหน่ง วิธีการรุนแรงของตำรวจในยุคนี้จึงเป็นที่หวาดกลัวทั้งในหมู่ประชาชนและ ...

คลิกอ่าน-การเมืองไทยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ยุคที่ 2 - บ้านจอมยุทธ

เป็นยุคที่คณะทหารและกองทัพได้เข้ามามีบทบาททางการเมืองการปกครองประเทศ ... กลุ่มหนึ่งนำโดยพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ผู้ก้าวขึ้นสู่อำนาจเพราะจอมพล ป.

คลิกอ่าน-การเมืองยุคทมิฬ - Dek-D.com > มีสาระ > ความรู้รอบตัว

 - เผ่า ศรียานนท์ เลื่อมใสการเมืองตั้งแต่สมัยนั้น เขามีความทะเยอทะยานที่จะก้าวหน้าทางด้านนี้ ทั้งเลื่อมใสศรัทธาจอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นอย่างมาก ขณะนั้น  ...

คลิกอ่าน-ระบบการเมืองและการปกครองสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และแนวความคิดเกี่ยว ...   ระบบการเมืองและการปกครองสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ... 2 ของจอมพลสฤษดิ์ แต่นับเป็นการรัฐประหารครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ... 

(ผู้เรียบเรียง-."ปัญญาคืออาวุธ"เป็นแสงสว่างส่องนำทาง(จะได้ไม่หลงทาง)การอ่านควรมีสติไม่ใช้อารมณ์  คิดพิจารณาไตร่ตรองด้วยเหตุและผล  แล้วจะรู้เข้าใจถึงความเป็นมาเบื้องหน้าเบื้องหลังที่ทหารทำการ"ยึดอำนาจ"ครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดระยะเวลาเจ็ดสิบปี..  เป็นการยึดอำนาจเพื่อรักษาอำนาจและผลประโยชน์ให้พวกชนชั้นปกครองเท่านั้น " ไม่ใช่เพื่อประเทศไทยและประชาชนไทย" ) 

(หมายเหตุ -ในการ"อภิวัฒน์" เปลี่ยนแปลงสังคมให้สำเร็จลุล่วงได้นั้น    ขึ้นอยู่จิตสำนึกของคนในสังคมนั้นๆ มีความตื่นตัวมีรับผิดชอบไม่นิ่งดูดาย  กล้าลุกขึ้นปฎิเสธไม่ยอมรับกฎกติกาที่กำหนดชี้นำเขียนขึ้นโดยพวกเผด็จการชนชั้นปกครอง..."เป็นกฎกติกาที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำรงชีวิตประจำวันของคนในสังคมทุกเพศทุกวัยทุกด้านตั้งแต่เกิดจนตาย). 

ดังนั้นการติดตามข่าวสารสถานการณ์บ้านเมืองอย่างมีสติ   ใช้ปัญญาคิดพิจารณาด้วยเหตุและผล    

เข้าใจถึงสาเหตุของปัญหาความวุ่นวายที่เกิดขึ้นสังคมไทย  ได้คำตอบว่าทำไมทหารจึงยึดอำนาจครั้งแล้วครั้งเล่าจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ......และอาจมีต่อไปในอนาคตไม่สิ้นสุด????
ฉะนั้นสังคมไทยจะพัฒนาก้าวไปตามยุคสมัย(?)หรือ ย้อนยุคกลับสู่อดีต(?) 
ทั้งนี้ทั้งนั้นปัจจัยหละกสำคัญขึ้นอยู่กับจิตสำนืกการตัดสินใจของพี่น้องประชาชนไทยทั้งประเทศทุกคนทุกเพศทุกวัยทุกชนชั้น .เท่านั้น

ท้ายนี้ฝากถามถึงอนุชนคนรุ่นใหม่ไฟแรงที่มีความคิดก้าวหน้าไม่ตกยุคหลงสมัย  ต้องการอนาคตแบบไหน.?

ช่วยกันปลดปล่อยสังคมและตัวเองออกเป็นไท ? หรือ  "ทนดักดานอยู่ภายใต้สังคมทาสยุคใหม่เหมือนเดิม?

จากภูมิพลถึงวชิราลงกรณ์

กษัตริย์ภูมิพลคือตัวปัญหาที่ขัดขวางทุกอย่างในประเทศไทย

กษัตริย์ภูมิพลคือตัวปัญหาที่ขัดขวางทุกอย่างในประเทศไทย ขัดขวางการแก้รัฐธรรมนูญ ขัดขวางไม่ให้ประเทศไทยมีระบอบประชาธิปไตย ขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของประเทศชาติ ขัดขวางไม่ให้ประชาชนชาวไทยมีสิทธิเสรีภาพ ใช้ ม. ๑๑๒ กดหัวประชาชน ห้ามไม่ให้คนวิจารณ์กษัตริย์ แล้วจะให้สังคมนี้อยู่กันอย่างไร จะมีกษัตริย์ไว้ทำอะไร...? ประชาชนไทยต้องเสียค่าใช้จ่ายเลี้ยงดูกษัตริย์มาหลายชั่วโคตร ปีละหลายหมื่นหลายพันล้าน แล้วกษัตริย์ทำประโยชน์อะไรให้แก่ประเทศไทย ? ฉนั้นประเทศไทยไม่จำเป็นต้องมีกษัตริย์ ประเทศชาติและประชาชนชาวไทยจะได้มีสิทธิเสรีภาพ มีประชาธิปไตย เสียที ...!

รัชกาลที่ ๑๐ กษัตริย์ที่ไม่สมควรเป็นกษัตริย์

รัชกาลที่ ๑๐ กษัตริย์ที่ไม่สมควรเป็นกษัตริย์

ในหลวงรัชกาลที่10, สมเด็จพระบรมฯ
โดย แสงตะวัน

ถ้าอ้างตามความหมายของ Saint-Just ที่อธิบายไว้ว่า " กษัตริย์นั้นเป็นทรราชโดยธรรมชาติและเป็นอาชญากรรมชั่วนิรันดร  นั้น...
"กษัตริย์ใหม่ที่ชื่อวชิราลงกรณ์เหมาะสมที่สุดตรงตามคำอธิบายของ Saint-Just ที่กล่าวไว้ " ...
Saint-Just อธิบายว่า กษัตริย์นั้นเป็นทรราชโดยธรรมชาติและโดยตัวของมันเอง เราไม่ต้องพิจารณาเลยว่าการกระทำของกษัตริย์หรือการบริหารราชการแผ่นดินของ กษัตริย์มีความผิดทางอาญาหรือไม่ ถ้ากษัตริย์เป็นทรราช   นั่นไม่ใช่เพราะความผิดจากการบริหารราชการแผ่นดินของเขา แต่เขาเป็นทรราชก็ด้วยลักษณะของความเป็นกษัตริย์นั่นแหละ 
 
Saint-Just เสนออย่างชาญฉลาดว่า การที่กษัตริย์ยึดครองอำนาจสูงสุดของประชาชนไปใช้เอง นั่นแสดงให้เห็นว่าลักษณะของความเป็นกษัตริย์เป็นอาชญากรรมนิรันดร (crime éternel) ต่อประชาชน มนุษย์จึงย่อมมีสิทธิสมบูรณ์ในการลุกขึ้นสู้และติดอาวุธ   Saint-Just อธิบายว่า ไม่มีใครสามารถครองราชย์ได้อย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง เพราะ กษัตริย์ทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นกบฏและเป็นผู้แย่งชิง (usurpateur) อำนาจของประชาชนไป "
ยิ่งถ้าเรานึกถึงปริบทของอำนาจและอภิสิทธิ์มหาศาลที่กษัตริย์มีเหนือสังคมไทย ทั้งทางกฎหมายและการเมือง (ทั้งที่เคยมีอยู่นานแล้ว และที่กษัตริย์องค์นี้สร้างเพิ่มขึ้นในรัฐธรรมนูญ และในกฎหมายราชการในพระองค์ล่าสุด) ทางเศรษฐกิจ (ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และงบประมาณที่รัฐทุ่มเทในการรักษาและโปรโมตสถาบันกษัตริย์) และทางวัฒนธรรมสังคม (การโฆษณาเชิดชูสถาบันกษัตริย์ทุกวันทางสื่อและระบบการศึกษา)ลักษณะสิ้นเปลืองสูญเปล่า การมีอภิสิทธิ์และอำนาจอย่างไร้ความรับผิดชอบ อยู่ในระดับที่เหลือเชื่อและยากจะพบได้ในโลกสมัยใหม่ศตวรรษนี้มากขนาดไหน ก็ลองประเมินกันดู " ( คัดจากบทความ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล )
วชิราลงกรณ์เป็นคนสั่งให้ประยุทธ์ยึดอำนาจจากรัฐบาลยิ่งลักษ์ เมื่อวันที่ 22 พ.ค 2557 ขณะที่ภูมิพลป่วยหนักนอนรอวันตายซึ่งไม่สามารถสั่งการทำอะไรได้     หลังจากภูมิพลตายลง 13 ต.ค. 2559
 
ต่อมาวชิราลงกรณ์ก็ขึ้นเป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 10 ได้รวบอำนาจทุกอย่างไว้ในมือและเพิ่มอำนาจทุกอย่างให้แก่ตนเองยิ่งกว่ารัชกาลที่ 9 ผู้เป็นพ่อเสียอีก    เวลานี้เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปในสังคมไทยและทั่วโลกว่าวชิราลงกรณ์คือกษัตริย์จอมเผด็จการที่มีจิตวิตถาร โมโหร้ายเหี้ยมโหดผิดมนุษย์   ประพฤติตัวไม่เหมาะสมที่จะเป็นประมุขของรัฐ เป็นอันตรายต่อชาติ เป็นภัยต่อสังคม  ผลาญเงินภาษีของชาติไปปีละมากมายมหาศาลทำตัวเป็นอันธพาลแห่งชาติ ใช้ชีวิตอย่างเสเพลอยู่ในต่างประเทศ... ฯลฯ
 
ดังนั้นประเทศไทยและประชาชนชาวไทยจึงไม่มีความจำเป็นที่จะมีกษัตริย์เผด็จการทรราชอย่างวชิราลงกรณ์   ระบอบกษัตริย์เผด็จการทรราชได้ถูกโค่นล้มลงไปแล้วตั้งแต่ปี 2475 ประชาชาติไทยและสังคมไทยจะต้องพัฒนาก้าวไปข้างหน้าสู่ประชาธิปไตย  สู่สิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค ความเท่าเทียมกันของการเป็นมนุษย์ ไม่ใช่จะให้อยู่ใต้ตีนของกษัตริย์ทรราช.จึงเป็นสิทธิและหน้าที่โดยชอบธรรมของพี่น้องชาวไทยทุกคนที่จะลุกขึ้นมาโค่นล้มระบอบเผด็จการกษัตริย์นี้ลง แล้วให้การสนับสนุนการก่อตั้งสหพันธ์รัฐไทตามแนวนโยบายที่ทางสหพันธ์รัฐไทได้ก่อตั้งขึ้นโดยอำนาจทุกอย่างมาจากประชาชนเป็นของประชาชน เพื่อประชาชน และประชาชนเป็นผู้ใช้อำนาจนั้น  เมื่อประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจรัฐแล้วก็จะสามารถบริหารประเทศชาติเพื่อผลประโยขน์ของประชาชนในสังคมตามหลักแห่งความเสมอภาค และความเป็นธรรม มีระบบการตรวจสอบได้ มีระบบการเลือกตั้งที่ยุติธรรมตามระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง

Image may contain: 3 people, people standing

 

ประเทศสยามติดบ่วงทราม “ นามธรรม “

ประเทศสยามติดบ่วงทราม “ นามธรรม “........,มันเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ภูมิพลขึ้นมาเป็นกษัตริย์ .......

ขุนเขาบอก :

ประเทศสยามติดบ่วงทราม “ นามธรรม “........

เมื่อคนอ้างเจ้า มัวเมาอำนาจ
ประเทศราช ปราศจากกฎหมาย
เมื่อผู้มีคุณธรรม ถูกอธรรมมันทำลาย
หยิบยื่นความตาย ทำลายประชาชน

ปล้นดินปล้นฟ้า เข็นฆ่าชีวิต
กระทำอำมหิต ลิขิตเหตุผล
ดูถูกเหยียดหยาม ประณามความคน
สูงส่งอิทธิพล ล้นนครา

มันเป็นเช่นนี้ มากี่สมัย
ประชาธิปไตย ครึ่งใบข้างฝา
แอบอ้างผู้ใหญ่ ใส่ไคร้ประชา
เยี่ยงหมูเยี่ยงหมา อนิจจาประเทศไทย

คนสั่งยังลอยหน้า คนฆ่ายังลอยนวล
ยังคงก่อกวน ป่วนสภาไหว
ยังคงขัดขวาง หนทางอธิปไตย
ยังคงยิ่งใหญ่ ด่าได้ทั้งแผ่นดิน

องค์กรองค์การ ศาลยุติธรรม
ร่วมกันกระทำ ร่วมยำกฐิน
บิดเบือนเปลี่ยนกฎ เป็นกบฏแผ่นดิน
อ่านคำตัดสิน หมิ่นประชาชน

วิชาการวิชาเกิน เพลินคำจำนรรจ์
พูดจาเอามัน กีดกันเหตุผล
วิชาการเพียงหน้า ปากด่าว่าคน
สำแดงตัวตน เยี่ยงคนต่ำทราม

อนาถเมืองไทย คงวิไลไม่ได้แล้ว
กราบหมากราบแมว สิ้นแล้วซึ่งคำถาม
ถูกเหยียบต่อไป ใต้ฝ่าตีนนิรนาม
ประเทศสยาม ติดบ่วงทราม “ นามธรรม “........

พลเมืองชั้นหนึ่ง :คอลัมน์ ใบตองแห้ง


พลเมืองชั้นหนึ่ง :คอลัมน์ ใบตองแห้ง 

เข้าใจผิดกันใหญ่โต ลุงตู่ไม่เคยก้าวล่วงแม้ว-ปู ที่ของขึ้นว่าคนไทยไปอาศัยประเทศคนอื่นอยู่ ไม่ได้หมายถึง 2 อดีตนายกฯ ท่านยัวะคนไทยที่ออกมาประท้วงในยุโรปต่างหาก

อ้าว ไหงเป็นงั้น พวกเกลียดแม้ว-ปูกำลังสะใจก็หงายเงิบไป ท่านไม่ยักโกรธเคือง ที่แม้วบินไปฉลองวันเกิดปูบนแผ่นดินอังกฤษ ในระหว่างท่านนั่งเข่าชิด เยส แทงกิ้ว ยกนิ้ว เลิกคิ้ว สปี๊กกับ เทเรซา เมย์
แหม่ ใครๆ ก็คิดว่าท่านจะโกรธ เพราะเหมือนโดนฉีกหน้า 2 พี่น้องอดีตนายกฯ ผู้ถูกรัฐประหาร แล้วถูกตั้งข้อหา ถูกศาลพิพากษา เป็นหนังม้วนเดียวกัน กลับไปหัวร่อครึกครื้น เย้ยหยันพลังดูด ส.ส. ในช่วงท่านไปเยือนอังกฤษพอดี ไม่แยแสว่าศาลออกหมายจับ 2 วัน 2 คดี ยังกะบ้านนี้เมืองนี้ไม่มีขื่อไม่มีแป
ที่ไหนได้ กลายเป็นเอาจิตใจคนต่ำช้าไปวัดจิตใจวิญญูชน ลุงตู่ไม่ยักโกรธ แต่มาลงที่คนชูป้ายคัดค้าน ว่าท่านไปต่างประเทศ ด้วยศักดิ์ศรีของตัวเอง โดยเอาคนไทยและประเทศไทยไปด้วย ทุกคนควรจะให้เกียรติ อย่าให้เครดิตกับคนทำผิดหนีไปอยู่ต่างประเทศ แล้วไม่สร้างสรรค์ โจมตีประเทศตัวเอง ไปอาศัยประเทศคนอื่นอยู่แบบคนชั้นสอง แล้วเกิดมาเป็นคนไทยทำไม

สรุปว่าท่านหมายถึงพวกหนีไปตอนรัฐประหาร ไม่มารายงานตัวตามคำสั่ง คสช. ซึ่งตอนนี้หลายคนก็ได้สถานะผู้ลี้ภัยแล้ว ได้สิทธิพำนักในยุโรปอเมริกาอย่างถูกต้อง ได้รับความช่วยเหลือคุ้มครองตามอนุสัญญานานาชาติ สามารถออกมาชูป้ายคัดค้าน JUNTA รวมทั้งวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอังกฤษ ฝรั่งเศส ฐานคบค้ารัฐประหาร มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกอย่างเต็มที่ ไม่โดนเอาผิดฐานชุมนุม 5 คนขึ้นไป หรือเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ

แต่ท่านผู้นำกลับมีเมตตา เห็นว่าคนเหล่านี้ต้องอาศัยประเทศคนอื่นอยู่ มีสถานะเป็นเพียงพลเมืองชั้นสอง น่าจะกลับมาเป็นพลเมืองชั้นหนึ่งของประเทศเรา กลับมาเข้าสู่ครรลองของกฎหมายเสียโดยดี แบบหลายคนที่ตอนนี้ยังต้องขึ้นศาลทหาร โทษฐานไม่รายงานตัวกับ คสช.

ท่านก็เข้าใจพูดเนอะ ถ้าคิดว่าถูกขอให้กลับมาสู้คดี ถูก คสช.ออกคำสั่ง แล้วถูกตั้งข้อหาขัดคำสั่ง ถ้าคิดว่าถูกก็กลับมาขึ้นศาลทหารสิ
ว่าที่จริง การเป็นพลเมืองชั้นหนึ่งในประเทศนี้ก็ดีนะ ถ้าเลิกสนใจการเมือง หันไปรณรงค์ลดโลกร้อน ลดถุงก๊อบแก๊บ ก็อยู่ได้อย่างสุขสงบ ปลอดภัย แต่อย่าเผลอกดไลก์กดแชร์เพจวิจารณ์รัฐบาล ไม่งั้นจะโดนบิ๊กโจ๊กจับ ฐานผิด พ.ร.บ.คอมพ์

คนไทยเยอแยะไปที่ภาคภูมิใจ ว่าเราได้เป็นพลเมืองชั้นหนึ่ง ดีกว่าเป็นแรงงานต่างด้าว ถ้าไม่มีใบอนุญาตทำงาน ก็ถูกจับถูกไล่ ถึงให้ต่างชาติเช่าที่ดิน 99 ปี ก็ยังมีแผ่นดินให้อยู่ รัฐบาลก็ดูแลดี๊ดี แค่ BTS ขัดข้อง นายกฯ ต้องห่วงใยจนนอนไม่หลับ

ถึงแม้ประชาชนจะถูกยึดอำนาจ แต่รัฐประหาร 4.0 ก็มีมารยาท รู้จักขออภัยในความไม่สะดวก รู้จักคืนความสุข ท่านบอกตลอดว่าไม่ได้ใช้อำนาจบังคับใคร แค่บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยกฎหมายคือคำสั่ง ออกคำสั่งเป็นกฎหมาย

เข้าใจไว้ด้วยนะ ท่านบอกว่ารักทุกคน รู้ว่าคนไม่ชอบก็มี แต่ไม่โกรธ แค่ไม่สบายใจที่ประชาชนแบ่งแยกเป็นสองฝ่าย ชอบไม่ชอบก็ต้องสนับสนุนท่าน เพราะท่านทำเพื่อชาติ ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง อย่าอ้างว่ารักประชาธิปไตยแล้วทำให้ประเทศวุ่นวาย

นี่คือระบอบที่ผู้นำ ผู้มีอำนาจ รักประชาชนอย่างเหลือล้นไง เหมือนพ่อรักลูก ครูรักศิษย์ รักแล้วใช้อำนาจออกคำสั่ง บังคับได้ทุกอย่าง ด้วยความหวังดี โดยไม่ต้องมีเหตุผล ไม่ว่าจะตี จะกล้อนผม หรือลงโทษอย่างไรก็ได้

เด็กต้องรู้จักเชื่อฟัง พลเมืองชั้นหนึ่งก็ต้องรู้จักหน้าที่ ต้องปฏิบัติตามวัฒนธรรมประเพณี ในสังคมอันดีงาม อยู่ในความดูแลของผู้หลักผู้ใหญ่ ซึ่งอุตส่าห์วางยุทธศาสตร์ชาติไว้ให้ 20 ปี
พลเมืองต้องรู้ดี ว่าควรมีสิทธิอย่างจำกัด แม้มีสิทธิเลือกตั้ง ก็ต้องมี ส.ว.แต่งตั้ง ต้องมีองค์กรอิสระ ที่อภิชนคนดีเลือกให้ ระหว่างนี้ ก็ควรเลือกพรรคพลังดูดไปก่อน เพราะยังไงๆ ท่านก็จะไม่ยอมให้คนไม่ดีเป็นนายกฯ คนต่อไป

เราอยู่ในเมืองไทยเมืองพุทธ ก็ต้องเข้าใจ ว่าสังคมมีทั้งคนดีไม่ดี แม้ในหมู่คนดี ก็ยังดีไม่เท่ากัน ความดีต้องมีลำดับชั้น ดีเท่าเทียมกันเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้น จะให้มีสิทธิเท่าเทียมได้ไง

คนไทยจึงควรพึงพอใจกับการเป็นพลเมืองชั้นหนึ่ง ในคอนโดทรงพีระมิดที่สูงหลายชั้น

การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และความขัดแย้งในสังคมไทย


โดย  เด่นพงษ์   รักประชา
ประชาธิปไตย
คำว่า ประชาธิปไตย เป็นศัพท์ใหม่เพิ่งมีผู้ตั้งศัพท์นี้มาเมื่อประมาณ 100 ปีมานี้เอง  จากรากศัพท์เดิมของคำว่า ประชาธิปไตย แปลมาจากคำในภาษากรีก  “  DEMOKRATIA  “ ซึ่งมาจากมูลศัพท์  “DEMOS”แปลว่า ปวงชน  ผสมกับคำว่า .” KRATOS “  แปล ว่าอำนาจ และ  “ KRATIEN “ แปลว่า การปกครอง  ดังนั้นคำว่า “ DEMOKRATIA “  จึงหมายถึง อำนาจสูงสุดของปวงชน  การปกครองโดยมติของปวงชน
คำ ว่า ประชาธิปไตย จึงหมายถึงรูปแบบการปกครองที่ถือมติปวงชนเป็นใหญ่  เพราะอำนาจสูงสุดเป็นของปวงชน  ซึ่งมีสิทธิ์กับหน้าที่ตามธรรมชาติของมนุษยชน
ถึง แม้จะมีผู้ตั้งศัพท์คำว่าประชาธิปไตยขึ้นมาเมื่อ 100 ปีที่แล้วก็ตาม แต่รูปแบบการปกครองประชาธิปไตยมีมาพร้อมกับการเกิดสังคมของมนุษย์ชาติที่ มนุษย์รู้จักอยู่ร่วมกันเป็นหมู่เป็นกลุ่มในสังคม  ในยุคสมัยของสังคมบุพกาลทุกคนต้องล่าเนื้อหาอาหารกินเองจะอาศัยแรงงานคนอื่น หาให้กินไม่ได้  ซึ่งหมายความว่าในยุคของสังคมบุพกาลมนุษ์ไม่มีการเบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบ กัน
ใน ระยะต่อมามนุษย์ได้รู้จักการเลือกตั้งเจ้าโคตรเจ้าตระกูลขึ้นมาเป็นหัวหน้า กลุ่มหรือหัวหน้าของสังคม  เพื่อทำพิธีทางไสยศาสตร์  จึงเกิดมีการรวมกลุ่มเกิดชุมชนขึ้น ต่อมา มีการแย่งชิงเขตแดนที่ทำมาหากิน  จึงมีการรบราฆ่าฟันกันในแต่ละกลุ่ม  หัวหน้ากลุ่มไหนแข็งแรงก็สามารถขยายอาณาเขตของตนให้กว้างขวางออกไป  และจับเอาฝ่ายตรงกันข้ามมาเป็นเชลย  ซึ่งเชลยนี้ครั้งแรกก็ฆ่าทิ้งหรือใช้กินเป็นอาหาร  แต่ต่อมาเชลยที่ถูกจับได้ถูกบังคับให้เป็นทาสเพื่อใช้แรงงานให้แก่เจ้าโคตร เจ้าตระกูลที่เป็นหัวหน้าของสังคม  ระบบทาส ซึ่งเป็นระบบที่โหดร้ายที่สุดของมนุษย์ชาติจึงเกิดขึ้น
เมื่อ ระบบทาสได้เริ่มขึ้นในสังคมของมนุษย์   รูปแบบการปกครองประชาธิปไตยที่มีมาแต่เดิมนั้นก็หมดไป  พวกนายทาสได้กลายมาเป็นหัวหน้าของสังคม  และได้ใช้วิธีปกครองแบบบังคับอย่างโหดร้ายทารุณที่สุดกับพวกทาส  ทาสจึงเปรียบเสมือนสัตว์ที่พูดได้  นายทาสจะซื้อขายหรือเข่นฆ่าและบังคับใช้แรงงานได้ตามใจชอบเหมือนกับสัตว์
ในกฏหมายเก่าของไทยก็ได้บัญญัติไว้ว่า  ทาสเป็นทรัพย์สินชนิดหนึ่งจำพวกเดียวกับสัตว์ที่มีชีวิตทั้งหลายเรียกว่า “ วิญญาณทรัพย์ “ ระบบทาสจึงเป็นระบบเผด็จการที่ทารุณโหดร้ายและเลวทรามที่สุดของมนุษย์ ที่ดำรงคงอยู่มาเป็นเวลาหลายร้อยปี  ความเจริญรุ่งเรืองในยุคต่างๆของมนุษย์ ได้ถูกสร้างขึ้นอย่างมากมายก็โดยน้ำพักน้ำแรงของพวกทาส  เช่นสถานที่โบราณ วัตถุก่อสร้างต่างๆ ที่สร้างขึ้นในสมัยโรมัน  สมัยกรีก  และโบสถ์  วัดวาอารามสมัยเก่าของไทยก็ได้ถูกสร้างขึ้นโดยน้ำพักน้ำแรงของพวกทาสทั้ง นั้น  ระบบทาสได้ดำรงคงอยุ่ในสังคมไทยมาจนถึงรัชสมัยรัชกาลที่ ๕
เมื่อ วิวัฒนาการของสังคมได้เจริญก้าวหน้าขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง  ระบบทาสได้กลายมาเป็นสิ่งที่ขัดขวางความเจริญทางการผลิตทำให้เกิดความขัด แย้งกันภายในของสังคมระบบทาสขึ้น  พวกลูกทาสได้ลุกขึ้นต่อสู้ อาทิ การต่อสู้ของสปาตาคุสในระบบทาสโรมัน เมื่อ ๗๔ ปีก่อนพระเยซูเกิด เป็นต้น  ต่อมาพวกเจ้าทาสจึงได้ผ่อนผันให้ทาสบางส่วนทำการเพาะปลูกในที่ดินของเจ้าทาส และนำผลผลิตที่ได้ส่งเป็นเครื่องบรรณาการให้แก่พวกนายทาสหรือที่เรียกว่า  “ส่งส่วย “
สมัย ก่อนมนุษย์เรายังไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฏเกณฑ์ต่างๆของธรรมชาติ ไม่สามารถอธิบายสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในจักรภพนี้ได้   จึงเชื่อเอาอย่างงมงายว่าธรรมชาติและสรรพสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ล้วนมีสิ่งบรรดาลมาจากเบื้องบนเพื่อให้เป็นไปเช่นนั้น  ซึ่ง อำนาจจากเบื้องบนนั้นเชื่อกันว่าเป็นอำนาจของพระเจ้า  หรืออำนาจของพวกเทวาอารักษ์  พวกเจ้าโคตรเจ้าตระกูลทั้งหลาย  ผู้ที่เป็นหัวหน้าสังคมที่ถูกเลือกขึ้นในยุคของสังคมบุพกาลเพื่อให้เป็นตัว แทนในการทำพิธีทางไสยศาสตร์นั้น ต่อมาก็ได้ตั้งตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์  หรือจักรพรรดิ์ ปกครองอยู่ตามดินแดนหรือในแค้วนต่างๆ  บุคคล เหล่านี้ได้ตั้งตนเองขี้นเป็นตัวแทนของพระเจ้า  อ้างว่าพระเจ้าส่งตนลงมาจุติในโลกมนุษย์ หรือเป็นตัวแทนมาจากเบื้องบน คือสวรรค์เพื่อลงมาโปรดมนุษย์  โดยได้รับอำนาจมาจากสรวงสวรรค์  เพื่อให้มาปกครองมนุษย์  เช่นในสมัยโบราณของจีนเชื่อกันว่ากษัตริย์หรือ จักรพรรดิ์เป็นโอรสมาจากสวรรค์  ในประเทศญี่ปุ่นสมัยเก่าก็เชื่อกันว่าจักรพรรดิเป็นโอรสของพระอาทิตย์มาเกิด เป็นต้น
นี้ คือต้นเหตุหรือแนวความคิดที่กษัตริย์ หรือจักรพรรดิ์ของประเทศต่างๆ คิดไปเองว่า  ที่ดินและสรรพสิ่งทั้งหลายรวมทั้งคนและสัตว์ทั้งหมดภายใต้สวรรค์เป็นสมบัติ ของตน
ใน ประวัติศาสตร์ของกรุงศรีอยุธยายังปรากฏในกฏหมาย  “ ตราสามดวง “ ว่า  “  ที่ดินทั้งหลายในแคว้นศรีอยุธยาเป็นของพระเจ้าอยู่หัวโดยพระบรมเดชานุภาพ “  ระบอบศักดินา จึงเกิดขึ้น  อำนาจการปกครองทุกอย่างอยู่ในมือของผู้เป็นหัวหน้าของสังคมแต่ผู้เดียว  กษัตริย์ หรือจักรพรรดิ์ ก็สามารถใช้อำนาจได้โดยไม่จำกัดขอบเขต  อำนาจเผด็จการโดยสมบูรณ์ของกษัตริย์ก็เกิดขึ้น   ต่อมากษัตริย์ หรือจักรพรรดิ์ ยังได้ตราเป็นกฏหมายขึ้นอีกว่า เมื่อตัวเองตายลงก็ให้ลูกหรือญาติที่สนิทของตนรับช่วงเป็นผู้สืบทอดวงค์ ตระกูลปกครองประเทศสืบต่อไป เป็นการสืบทอดราชสันติวงค์ต่อไปอีกเป็นทอดๆ
รูป แบบการปกครองนี้คือรูปแบบการปกครองเผด็จการศักดินา มิได้แตกต่างไปจากการปกครองในระบอบทาสมากนัก  จะต่างกันก็เพียงแต่ว่าเปลี่ยนจากระบอบทาสมาเป็น ระบบ  “ส่วย “
ใน ระบอบสังคมศักดินาพวกทาสนอกจากจะผลิตเพื่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัวแล้วยัง ต้องผลิตให้แก่พวกเจ้าศักดินาอีกด้วยตามระบบ  “ ส่วย “  ซึ่งปัจจัยและเครื่องมือสำหรับทำมาหากินอยู่ในมือของพวกเจ้าศักดินา  เช่นที่ดินและเครื่องมือในการผลิตต่างๆ  การปกครองแบบนี้ในเมืองไทยเรียกว่า  การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์  เป็นรูปแบบการปกครองที่กษัตริย์มีอำนาจสูงสุดแต่ผู้เดียว
สังคม ศักดินาในยุโรบได้ถูกโค่นล้มลงไปในปลายของศตวรรตที่ ๑๘  ระบอบทุนนิยมได้เข้ามาแทนที่  การวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์ชาติจากสังคมหนึ่งเข้าสู่อีกสังคมหนึ่งเป็น กฏเกณฑ์ตามธรรมชาติของสังคมที่จะต้องเป็นไปเช่นนั้น  มาร์กช์ได้ค้นพบในวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ถึงสาเหตุการเปลี่ยนของสังคม  จากสังคมหนึ่งไปสู่อีกสังคมหนึ่งโดยเกิดจากการขัดแย้งภายในของสังคมนั้น เอง   ระหว่างความสัมพันธ์การผลิต คือมีผู้ถือปัจจัยการผลิตและกำลังการผลิตอีกด้านหนึ่ง  เมื่อความสัมพันธ์การผลิตในสังคมใดสอดคล้องกันสังคมนั้นก็เจริญพัฒนา  ถ้าสังคมใดที่ผู้ถือปัจจัยการผลิตขัดขวางกำลังการผลิต ความขัดแย้งภายในสังคมนั้นก็จะเกิดขึ้น เมื่อความขัดแย้งเกิดขึ้นถึงขั้นรุณแรงที่สุดก็สามารถเปลี่ยนไปสู่สังคมอีก รูปแบบหนึ่งที่สูงกว่า  เช่นการเปลี่ยนแปลงจากสังคมระบอบทาสไปสู่สังคมระบอบศักดินา และการเปลี่ยนแปลงสังคมศักดินา เข้าสู่ระบอบทุนนิยม  จากทุนนิยม เข้าสู่สังคมนิยม  จากระบอบสังคมนิยมเข้าสู่ระบอบสังคมคอมมิวนิสต์  นี่คือวิวัฒนาการของสังคมของมนุษย์ชาติที่มาร์กช์ได้ค้นพบและพิสูจน์ให้เห็น ในวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ซึ่งถือว่าเป็นผลงานอันยิ่งใหญ่ทางประวัติศาสตร์ อย่างหนึ่งของมาร์กช์
ดัง นั้นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของมนุษย์ จึงเป็นหน้าที่อันชอบธรรมตามธรรมชาติของมนุษยชนพึงกระทำ  อำนาจสูงสุดของปวงชนย่อมหมายถึงอำนาจของผู้ที่เป็นกำลังการผลิตซึ่งเป็นพลัง ส่วนมากของสังคม  การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยก็คือการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์การ ผลิต  โดยเปลี่ยนปัจจัยการผลิตจากบุคคลกลุ่มน้อยในสังคมให้มาอยู่ในมือของผู้ที่ เป็นกำลังการผลิตที่เป็นพลังส่วนมากของสังคม  เมื่อเป็นเช่นนี้ระบอบประชาธิปไตยอันสมบูรณ์จึงจะเกิดขึ้น
เนื่อง จากการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเป็นสิทธิและหน้าที่อันชอบธรรมตามธรรมชาติของ มนุษย์  ที่มนุษย์พึงกระทำ  มนุษย์ชาติทั่วโลกจึงได้ลุกขึ้นต่อสู้  เพื่อสิทธิและเสรีภาพของตนอยู่เรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้  ในยุโรป  อเมริกา อาฟริกา อาเชีย  ลาตินอเมรืกา  และตะวันออกกลางเป็นต้น  ซึ่งการต่อสู้ได้ดำเนินไปในรูปแบบที่แตกต่างกัน  ในประเทศยุโรปตะวันตก  ในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย  ประชาชนของประเทศเหล่านั้นได้ต่อสู้มาเป็นขั้นๆและยาวนาน  เริ่มจากการจัดตั้งพรรคการเมืองต่างๆขึ้นโดยไม่มีการจำกัดความคิดทางด้าน อุดมการณ์  ไปจนถึงการเรียกร้องสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้งเท่าเทียมกันของหญิงชาย  สิทธิในการจัดตั้งสหพันธ์กรรมกรแรงงานในอาชีพต่างๆ  เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้แก่สมาชิกผู้ใช้แรงงานในด้านต่างๆที่เป็นธรรม  และระบบสวัสดิการต่างๆ  ประชาชนสามารถเลือกตัวแทนของตนเองได้โดยวิถีทางประชาธิปไตย  และสามารถตั้งรัฐบาลที่เป็นตัวแทนรักษาผลประโยชน์ให้แก่มวลชนที่เป็นเสียง ส่วนมากของสังคม
แต่ ในประเทศที่ชนชั้นปกครองไม่ยอมให้ประชาชนมีประชาธิปไตยตามธรรมชาติโดยสันติ วิธี  ประชาชนในประเทศเหล่านั้นย่อมทำการต่อสู้โดยวิธีรุนแรง ซึ่งก็เป็นหน้าที่และสิทธิอันชอบธรรมโดยธรรมชาติของมนุษย์ในสังคมนั้น อาทิ การปฏิวัติใหญ่ในฝรั่งเศสในปี คศ. ๑๗๘๙  และการปฏิวัติใหญ่ในรัสเซียเมื่อปี คศ. ๑๙๑๗ เป็นต้น
การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของไทย
ถึง ปี พศ. ๒๔๗๕  ระบอบศักดินาซึ่งเป็นระบอบเก่าแก่และล้าหลังกำลังเสื่อมสลายได้กลายมาเป็น สิ่งที่ขัดขวางกำลังการผลิต  ทำให้เศรษฐกิจของชาติไม่เจริญก้าวหน้า  ราษฎรที่เป็นผู้ผลิตส่วนมากของสังคม ได้รับความเดือดร้อน จึงได้มีการเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองแบบศักดินาเป็นระบอบ ประชาธิปไตยที่ดีกว่า  ได้เกิดการขัดแย้งกันขึ้นภายในสังคม  ข้าราชการและปัญญาชนที่มีหัวก้าวหน้าภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชไม่พอใจ กับความเป็นอยู่ของสังคมที่หล้าหลังและความไม่ยุติธรรมในระบอบเผด็จการกษัต ริย์ และ ขณะเดียวกันระบอบศักดินาในประเทศยุโรปตะวันตก ได้ถูกโค่นล้มลงมีการวิวัฒนาการอย่างก้าวกระโดดทางด้านอุตสาหกรรม  มีการค้นพบเครื่องมือการผลิตใหม่ๆ  เช่นเครื่องจักรกลและเครื่องจักรไอน้ำแบบใหม่ในปลายศตวรรษที่ ๑๘ ทำให้ประเทศเหล่านั้นกลายมาเป็นประเทศทุนนิยมได้ขยายขอบเขตอิธิพลทาง เศรษฐกิจข้ามทวีปเข้าสู่ประเทศด้อยพัฒนาหรือประเทศในโลกที่สามเพื่อล่า อาณานิคมเมืองขึ้น เพื่อเป็นแหล่งขูดรีดแรงงาน แสวงหาวัตถุดิบตลอดจนใช้เป็นแหล่งสำหรับระบายสินค้า  ประเทศฝรั่งเศสได้เข้ายึดครองในอินโดจีน ฮอลันดาเข้ายึดครองอินโดนิเชีย  อังกฤษเข้ายึดครองอินเดีย พม่า มลายู  ปอร์ตุเกสเข้ายึดครองประเทศในอาฟริกาเป็นต้น
ใน ประเทศไทยพวกชาติตะวันตกได้บังคับให้ชนชั้นปกครองศักดินาไทยทำสัญญาไม่เสมอ ภาคต่างๆกับประเทศอังกฤษ  ประเทศฝรั่งเศส ทำให้ไทยต้องเสียเอกราชทางการเมือง ทางศาล และทางด้านเศรษฐกิจ รวมทั้งต้องเสียดินแดนเป็นจำนวนมากให้แก่ประเทศเหล่านั้น
เมื่อ เดือนกุมภาพันธ์ ปี พศ. ๒๔๗๐ ปัญญาชนผู้รักชาติรักประชาธิปไตยที่เป็นตัวแทนกองหน้าของราษฎรไทยได้ร่วมกัน จัดตั้ง คณะราษฎร  ขึ้นในประเทศฝรั่งเศส มี ดร. ปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้า  เพื่อทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบกษัตริย์เผด็จการ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยที่กษัตริย์อยู่ภายใต้กฏหมาย  หรือการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบราชา ธิปไตยที่กษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ  โดยอำนาจการปกครองสูงสุดเป็นของปวงชน และปวงชนเป็นผู้ใช้อำนาจนั้นผ่านทางนิติบัญญัติหรือรัฐสภา ทางการบริหาร หรือรัฐบาล และทางตุลาการ  มีหลักนโยบายทางการเมืองดังต่อไปนี้
๑.       รักษาความเป็นเอกราชทั้งหลายเช่นเอกราชทางการเมือง  ทางศาล ทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง
๒.     รักษาความปลอดภัยในประเทศให้การประทุษร้ายต่อกันลดลงให้มาก
๓.     บำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฏรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้ราษฎรทุกคนทำจะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดหยาก
๔.     ให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน
๕.     ให้ราษฎรมีเสรีภาพที่ไม่ขัดต่อหลักสี่ประการดังกล่าวแล้ว
๖.     ให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร
หลัง จาก คณะราษฎร ได้ก่อตั้งขึ้นในปี พศ ๒๔๗๐ อีกห้าปีต่อมาคือในปี พศ. ๒๔๗๕  ก็ได้ทำการยึดอำนาจเปลี่ยนการปกครองทำให้ระบอบเผด็จการกษัตริย์ต้องสิ้นสุด ลง    และนำเอาระบอบการปกครองประชาธิปไตยมาใช้ในเมืองไทยเป็นประเทศแรกในเอเชีย อาคเนย์.  โดยปวงชนชาวไทยมีสิทธิและเสรีภาพในการเลือกตัวแทนของตนเป็นรัฐบาล  ออกกฎหมายและรัฐธรรมนูญเพื่อปกครองตนเอง
ตาม รัฐธรรมนูญฉบับ ๙ พฤษภาคม พศ. ๒๔๘๙  ได้ให้สิทธิประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ที่สุดแก่ปวงชนชาวไทย  ตามข้อความในมาตรา ๑๓  ให้มีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนาหรือลัทธินิยมใดๆ  มาตรา ๑๔ ให้เสรีภาพบริบูรณ์ในร่างกาย  เคหสถาน  ทรัพย์สิน  การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา  การศึกษาอบรม  การชุมนุมสาธารณะ  การตั้งสมาคม การตั้งพรรคการเมือง  การอาชีพ
การ เปลี่ยนแปลงการปกครอง พศ. ๒๔๗๕  เป็นการโค่นล้มระบอบศักดินาลงพร้อมกันนั้นก็ได้ลบล้างความสัมพันธ์การผลิต  โดยเปลียนปัจจัยการผลิตในการทำมาหากิน เดิมอยู่ในมือของพวกศักดินาให้มาอยู่ในมือของชาวนาและกสิกรที่เป็นกำลังการ ผลิตส่วนใหญ่ของสังคมในเวลานั้นโดยการออกพระราชบัญญัติต่างๆ  เช่น พรบ.ห้ามยึดทรัพย์กสิกร  พรบ.ประมวลรัชฎากรยกเลิกรัชชูปการและอากรค่านาในปี พศ. ๒๔๘๑ ซึ่งประกาศใช้ในเดือนเมษายน พศ. ๒๔๘๒  การออกกฏหมายจำกัดขนาดการยึดครองที่ดินได้ไม่เกินคนละ ๕๐ ไร่ในปี ๒๔๗๙
การ เปลี่ยนแปลงการปกครองปี พศ. ๒๔๗๕ ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงจากสังคมศักดินาที่หล้าหลังเข้าสู่สังคมใหม่ที่ สูงกว่า คือสังคมระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจรัฐอยู่ในมือของปวงชนที่เป็นเสียงส่วนใหญ่ ของสังคมจึงดีกว่าระบอบเผด็จการกษัตริย์ที่เป็นระบอบเก่าหล้าหลัง  เป็นการปกครองโดยประชาชน เพื่อประชาชนตามวิถีทางของประชาธิปไตยที่สมบูรณ์  พร้อมกันนั้นรัฐก็ได้วางโครงการเศรษฐกิจใหม่  เช่นการจัดตั้งธนาคารชาติ  โอนกิจการต่างๆมาเป็นของรัฐ  ปรับปรุงการศึกษาให้คนไทยทุกคนได้รับการศึกษา  จัดตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมืองขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้การศึกษาแก่ ปัญญาชนทุกคนทุกชนชั้น
การ เปลียนจากสังคมหนึ่งเข้าสู่อีกสังคมหนึ่งที่สูงกว่าเป็นสิ่งที่ยากมากโดย เฉพาะในระยะผ่านการยึดอำนาจแม้จะเป็นเรื่องยากก็ไม่ยากเท่ากับการรักษาไว้  และยิ่งเป็นเรื่องยากลำบากมากที่จะสร้างสังคมของมนุษย์ชาติขึ้นใหม่จากสังคม เก่าที่หล้าหลัง  ดังนั้นในระยะผ่านซึ่งเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ ระบบให้การศึกษาอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับประชาธิปไตยเพื่อให้ประชาชนในสังคม ยอมรับและมีจิตสำนึกเพื่อให้ระบอบประชาธิปไตยพัฒนาก้าวหน้าต่อไป
เป็น ที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่การเปลี่ยนการปกครอง พศ. ๒๔๗๕ ที่นำโดยกลุ่มบุคคลของคณะราษฎรยังไม่ทันที่จะเปลี่ยนระบบสังคมไทยให้ไปสู่ เป้าหมายตามนโยบายของคณะราษฎร  ก็ได้ถูกพวกซากเดนศักดินาที่เป็นพลังเก่าและหล้าหลังทำการขัดขวางการเปลี่ยน แปลงมาตลอดและ สนับสนุนให้พวกทหารฝ่ายขวายึดอำนาจกลับคืนในวันที่ ๘ พฤษภาคม พศ.๒๔๙๐
จน กระทั่งบัดนี้มีรัฐบาลที่ปกครองประเทศมาแล้วหลายยุคหลายสมัยแต่ประชาชนชาว ไทยก็หาได้มีประชาธิปไตยไม่ เป็นเวลากว่า ๖๐ ปีแห่งความขัดแย้งในทางสังคมไทยระหว่างพลังเก่าซากเดนศักดินาหล้าหลัง ที่เคยสูญเสียอำนาจไปเมื่อ ๖๐ ปีก่อนได้ฟื้นฟูอำนาจกลับคืนมาอีก ผูกขาดอำนาจทางการเมือง การเศรษฐกิจ  วัฒนธรรม ร่วมกับพวกนายทุนต่างชาติครอบครองปัจจัยการผลิตของสังคมไทยไว้ในมือ  กับอีกฝ่ายหนึ่งที่เป็นกำลังการผลิตส่วนมากของสังคมได้แก่ ชาวไร่  ชาวนา กรรมกร พ่อค้าแม่ค้าผู้ผลิตรายย่อยต่างๆ รวมทั้งข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ชั้นผู้น้อย กำลังได้รับการกดขี่ขูดรีดแรงงานอย่างหนักจากกลุ่มพวกนายทุนผูกขาด
ความขัดแย้งของสังคมไทย
ปัญหา เรื่องความขัดแย้งนี้ผู้เขียนจะขอวิจัยตามหลักของวัตถุนิยมประวัติศาสตร์โดย แยกความขัดแย้งออกเป็นสองประเด็น  ประเด็นแรกคือผู้กุมปัจจัยการผลิตและประเด็นที่สองได้แก่กำลังการผลิต
หลัง จากการรัฐประหาร ๘ พฤษภาคม ๒๔๙๐เป็นต้นมาความขัดแย้งในสังคมไทยได้ดำรงคงอยู่มาจนถึงเวลาปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ ของคณะราษฎร ถึงแม้ว่าจะยึดอำนาจรัฐได้แต่สถาบันอื่นๆที่เป็นโครงสร้างส่วนบนของสังคม เก่ายังเหลืออยู่โดยมิได้เปลี่ยนแปลง  เช่น สถาบันทหาร  ตำรวจ ศาล ศาสนา โดยเฉพาะสถาบันกษัตริย์ ที่เป็นพลังเก่าของสังคมยังมีทัศนะหลงเหลือมาจากสังคมเก่าในระบบทาส  บุคคลที่เป็นตัวแทนของพลังเก่าจากสถาบันเหล่านี้เคยสูญเสียอำนาจ เมื่อมีโอกาสก็สนับสนุนให้พวกทหารฝ่ายขวายึดอำนาจกลับคืนมา  เพื่อให้คุ้มครองสถาบันและรักษาผลประโยชน์ให้แก่กลุ่มของพวกตน  จึงเป็นสาเหตุให้พวกชนชั้นศักดินาเก่าฟื้นฟูอำนาจกลับคืนมาอีก และกลายมาเป็นนายทุนผูกขาดร่วมกับพวกนายทุนต่างชาติผูกขาดอำนาจทาง การเมือง การเศรษฐกิจ  สังคม และ วัฒนธรรมไทย อยู่จนถึงปัจจุบัน
สมัย ที่พวกชนชั้นศักดินาเรืองอำนาจ  พวกเจ้าศักดินาได้ปล่อยให้พวกพ่อค้าที่เป็นคนต่างชาติเชื้อสายจีนเข้ามาทำ การค้าขาย เป็นนายหน้าผูกขาดการขนส่งสินค้าต่างๆ โดยส่งให้พวกศักดินาส่วนหนึ่งและส่งไปขายยังต่างประเทศ ในระยะหลังๆพวกพ่อค้าต่างชาติเหล่านี้ได้กลายมาเป็นนายทุนผูกขาดเศรษฐกิจของ ชาติ  เป็นเจ้าของธุรกิจการค้า การธนาคารและการอุตสาหกรรมในสาขาต่างๆของสังคม  ต่อมากลุ่มนายทุนผูกขาดเหล่านี้ก็ได้เข้าไปมีส่วนบริหารกิจการของรัฐและได้ อาศัยอำนาจรัฐคุ้มครองผลประโยชน์ให้แก่กลุ่มของพวกตน
จาก งานวิจัยของ เกริกเกียรติ  พิพัฒน์เสรีธรรม ในหัวข้อเกี่ยวกับ  “การวิเคราะห์ลักษณะการเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ในประเทศไทย “ เมื่อปี ๒๕๒๕  หน้า ๓๒๕- ๓๔๖  แสดงให้เห็นถึงกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่และขนาดกลางที่ครอบครองเศรษฐกิจของชาติมี ประมาณ ๑๐๐ กลุ่มซึ่งมียอดทรัพย์สินรวมกันประมาณ ห้าแสนล้านบาท  กลุ่มธุรกิจที่มีทรัพย์สินมากอันดับหนึ่งคือตั้งแต่หนึ่งหมื่นล้านขึ้นไปมี ประมาณ ๗ กลุ่มในจำนวนนั้นเป็นของพวกนายทุนต่างชาติเชื้อสายจีนมาอันดับหนึ่ง รองลงมาได้แก่กลุ่มศักดินานายทุน
การ ที่จะพิจารณาว่าสังคมหนึ่งสังคมใดเป็นสังคมอะไรนั้น  จะต้องดูที่ความสัมพันธ์การผลิตหรือรูปแบบการผลิตของสังคมนั้นว่าปัจจัยการ ผลิตของสังคมนั้นอยุ่ในมือของชนชั้นไหน  ถ้าปัจจัยการผลิตอยู่ในมือของชนชั้นนายทุนที่เป็นชนกลุ่มน้อยของสังคม  สังคมนั้นก็เรียกว่าสังคมทุนนิยม  จากหลักทฤษฎีดังกล่าวตามข้อมูลของเกริกเกียรติจะเห็นได้ว่าประเทศไทยมีกลุ่ม นายทุนผูกขาดประมาณ ๑๐๐ กลุ่มที่กุมปัจจัยการผลิตของสังคม  เป็นเจ้าของธนาคาร  เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมและธุรกิจการค้า  ซึ่งพวกนายทุนเหล่านี้สามารถกำหนดความเป็นอยู่ของคนในสังคม
กลุ่ม นายทุนผูกขาดเหล่านี้นอกจากจะเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตแล้วยังมีกรรมสิทธิ์ ในการจัดสรรและแบ่งปันแรงงาน เช่น  การบริหารจัดการ  การกำหนดค่าจ้างแรงงาน เป็นต้น อีกอย่างคือกรรมสิทธิ์ในการแบ่งปันผลกำไรจากผลิตผลสินค้าต่างๆที่กรรมกร ชาวไร่ ชาวนา ผู้ใช้แรงงานเป็นผู้ผลิต
สำหรับ กรรมกรผู้ใช้แรงงานทั้งหลายที่เป็นผู้ผลิตให้แก่พวกนายทุนต่างๆเหล่านั้น ฝ่ายกรรมกรเองจะได้รับเพียงแต่ค่าจ้างในการขายแรงงานที่พอประทังชีวิตไปวันๆ เท่านั้น  ในระบอบทุนนิยมนายทุนจะจ้างค่าแรงงานต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อจะเอาผล กำไรจากมูลค่าส่วนเกินจากแรงงานของกรรมกรให้มากที่สุด  ดังนั้นผลกำไรที่นายทุนทั้งหลายแบ่งปันกันแต่ละปี คือผลกำไรที่สะสมมาจากมูลค่าแรงงานของกรรมกรที่ผลิตเป็นส่วนเกินให้แก่พวก นายทุนแต่ละปี เพราะลำพังเงินเดือนหรือรายได้ของกรรมกรแต่ละเดือนทีได้รับมาจะใช้เวลาผลิต เพียงหนึ่งหรือสองอาทิตย์ก็จะคุ้มและเหลือเฟือ  ส่วนที่เหลือจึงเป็นการผลิตให้แก่นายทุน ดังนั้นความร่ำรวยต่างๆของนายทุนผูกขาดเหล่านั้นคือความร่ำรวยที่สะสมมาจาก การขูดรีดมูลค่าส่วนเกินของกรรมกร
ฉนั้น ระบอบทุนนิยมจึงเป็นระบอบที่กดขี่ขูดรีดของพวกชนชั้นนายทุนกลุ่มน้อยที่ อาศัยอยู่บนแรงงานของชนส่วนมากของสังคม  นายทุนไม่ได้ทำการผลิตให้แก่สังคม แต่จะคอยสูบกินเลือดจากแรงงานของสังคม  ชนกลุ่มนี้จึงเป็นเสมือนกับพวกกาฝากของสังคม
ตาม หลักทฤษฎีของวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ถือว่ารูปแบบการผลิตคือพื้นฐานชั้นล่าง ของสังคม  ในเมืองไทยรูปแบบการผลิตเป็นรูปแบบทุนนิยมผูกขาด  ฉนั้นพื้นฐานชั้นล่างของสังคมคือทุนนิยมผูกขาด  เมื่อพื้นฐานชั้นล่างเป็นทุนนิยมผูกขาดโครงสร้างส่วนบนของสังคมก็ต้องสร้าง ขึ้นเพื่อให้เหมาะสมกับพื้นฐานชั้นล่างตามหลักปรัชญาที่ว่า “ รูปแบบจะต้องให้เหมาะสมกับเนื้อหา “
โครง สร้างส่วนบนของสังคมได้แก่  รัฐ  กฏหมาย ศาสนา ทหาร ตำรวจ  การ เมือง อุดมการณ์  ศิลปและวัฒนธรรม เป็นต้น  ย่อมสร้างขึ้นให้เหมาะสมกับเนื้อหาที่เป็นพื้นฐานชั้นล่างของสังคมเพื่อปก ป้องพื้นฐานชั้นล่างที่เป็นระบบเศรษฐกิจของพวกนายทุน  ดังนั้นรัฐบาลชุดต่างๆที่ขึ้นมาบริหารประเทศที่เป็นตัวแทนของรัฐก็คือรัฐบาล ของพวกนายทุนผูกขาด เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้แก่พวกนายทุน
อำนาจ รัฐก็คือเครื่องมือของพวกนายทุนเพื่อใช้ในการกดขี่  ข่มเหงรังแกชนชั้นผู้ใช้แรงงาน และประชาชนทั่วไป ไม่ว่ารัฐบาลเหล่านั้นจะมาในรูปแบบของทหารหรือรูปแบบของพลเรือนก็คือรัฐบาล ที่รักษาผลประโยชน์ให้แก่พวกนายทุน  ในระบอบทุนนิยมทุกอย่างคือสินค้า  พวกนายทุนจะขายได้ทุกอย่างตั้งแต่คุณธรรม อุดมการณ์ ไปจนกระทั่งถึงชาติและประชาชน  การผลิตสินค้าในระบอบทุนนิยมก็เพื่อหากำไร  เมื่อต้องการกำไรมากก็ต้องขูดรีดแรงงานมาก  ยิ่งขุดรีดมากผู้ขายแรงงานก็เดือดร้อนมาก  เมื่อประชาชนเดือดร้อนก็ต้องดิ้นรนหาทางลุกขึ้นต่อสู้เพราะ ที่ไหนมีการกดขี่ที่นั่นย่อมมีการต่อสู้  เมื่อมีการกดขี่ขูดรีดมากขึ้นการต่อสู้ก็จะทวีความรุนแรงมากขึ้นความขัดแย้ง ภายในสังคมก็จะรุนแรงมากขึ้น
ความ ขัดแย้งนี้จึงเป็นความขัดแย้งหลัก ของชนชั้นสองฝ่ายในสังคม  คือความขัดแย้งระหว่างนายทุนผูกขาด  กับชนชั้นผู้ใช้แรงงานซึ่งเป็นความขัดแย้งของสองสิ่งที่อยุ่ตรงข้ามกัน  ตราบใดที่ระบอบทุนนิยมผูกขาดยังดำรงคงอยู่  ตราบนั้นความขัดแย้งนี้ก็จะดำเนินต่อไป 
ผู้ ที่จะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งนี้ได้ ไม่ใช่พวกรัฐบาลที่เป็นตัวแทนของพวกนายทุนผูกขาด  แต่เป็นภาระกิจและหน้าที่โดยตรงของชนชั้นผู้ใช้แรงงานทั้งหลายในสังคม เป็นหน้าที่และสิทธิอันชอบธรรมตามธรรมชาติของมนุษย์  เมื่อใดที่พลังของผู้ใช้แรงงานและพลังของ ปัญญาชน นักศึกษา ข้าราชการ  ทหาร ตำรวจ ที่มีหัวก้าวหน้า และผู้รักชาติรักประชาธิปไตยทั้งหลายซึ่งเป็นพลังส่วนใหญ่ของสังคมรวมกันได้  ก็จะกลายเป็นพลังทางวัตถุที่แข็งแกร่ง  เมื่อนั้นก็จะสามารถโค่นล้มระบอบเผด็จการเก่าทุนนิยมผูกขาดที่หล้าหลังลง ได้  แล้วมวลชนที่เป็นพลังส่วนใหญ่ของสังคมก็จะสามารถมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์  มีสิทธิเสรีภาพ มีความเสมอภาค ความยุติธรรมในสังคมก็จะเกิดขึ้น ประชาชนจะสามารถเลือกรัฐบาลของตนเองขึ้นมาปกครองประเทศ ตามระบอบประชาธิปไตย สังคมใหม่ที่สูงกว่าก็จะเกิดขึ้นคือสังคมระบอบประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ของปวง ชน.
(หมายเหตุ :- บทความนี้ผู้เขียนได้เขียนขึ้นเมื่อประมาณเกือบ๔๐ปี มาแล้ว ซึ่งผู้เขียนคิดว่าบทความนี้ก็ยังเหมาะสมกับสภาพเหตุการณ์ปัจจุบัน  เพื่อให้ท่านผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลายได้อ่านเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบจากอดีดจนถึงปัจจุบันสภาพการณ์ก็ยังเหมือนเดิม.)

ระบอบสฤษดิ์น้อย :คอลัมน์ ใบตองแห้ง

ระบอบสฤษดิ์น้อย :ใบตองแห้ง

นิตยสาร Time ฉบับไก่อูภาคภูมิใจ เอาลุงตู่ขึ้นปก Democrat Dictator พร้อมตั้งฉายา “สฤษดิ์น้อย” ลุงป้อมโต้ว่า ไม่ใช่สฤษดิ์ซักหน่อย เพราะไม่ได้ดุร้าย ไม่เคยเอาคนไปยิงเป้า
อ้าว ไปว่าสฤษดิ์ดุร้ายได้ไง คนไทยชอบสฤษดิ์เยอะไป ยกย่องว่าทำให้ชาติเจริญ ใช้ ม.17 จับผู้ร้ายไปยิงเป้า นี่ถ้าลุงตู่เอามั่ง ใช้ ม.44 จับคนข่มขืนฆ่า ฆ่าหั่นศพ ไปยิงปุปุ เผลอๆ คนไทยจะนิยมชมชอบด้วยซ้ำ
Time คิดผิด คิดว่าคนไทยไม่ชอบสฤษดิ์ ที่ไหนได้ ต่อให้ไปอาศัยประเทศคนอื่นอยู่ อาศัยแผ่นดินอังกฤษ ฝรั่งเศส ก็ยังชื่นชอบระบอบเผด็จการ คนไทยเกลียดนักการเมืองต่างหาก อยากย้อนไปอยู่ยุคสฤษดิ์ ที่สร้างถนนสร้างเขื่อนน้ำไหลไฟสว่าง ส่งเสริมการลงทุน จนจีดีพีโตปีละ 7% ทุกวันนี้คนตั้งมากก็ยังยกย่อง อ.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ แต่ไม่ใช่ตอนด่าเผด็จการ ยกย่องว่าช่วยสฤษดิ์สร้างชาติต่างหาก
คนไทยเพียงอยากลืมเรื่องจอมพลผ้าขาวม้าแดง ตายคาทรัพย์สิน 2 พันกว่าล้าน แต่ก็มั่นใจว่าลุงตู่ไม่เป็นอย่างนั้น ลุงตู่มีหิริโอตตัปปะ ปัดโธ่ แค่ใส่ผ้าพันคอหลุยส์ วิตตอง ยังต้องลบภาพ

ลุงตู่จึงเป็นที่รัก เป็นความหวัง ของคนมีการศึกษายุคดราม่า ออนไลน์ ตื้นตันง่ายกับความดีมีศีลธรรม รักษ์โลกรักสัตว์รัก สิ่งแวดล้อม พร้อมไลฟ์สไตล์ชิกๆ ชิลๆ โดยไม่ต้องมีเลือกตั้ง
เพียงแต่คนไทยลืมง่าย หรือไม่เคยอ่านประวัติศาสตร์ยุคสฤษดิ์เกิน 8 บรรทัด ไม่เคยรู้ว่าการพัฒนาทุนนิยมก้าวกระโดดในยุคเผด็จการ แลกมาด้วยความเหลื่อมล้ำ เอื้อประโยชน์กลุ่มทุนใหญ่ที่สัมพันธ์กับทหาร ทุนท้องถิ่นที่เข้าถึงข้าราชการ จนเติบโตเป็นทุนผูกขาด และตระกูลนักการเมืองในปัจจุบัน
ส่วนที่ใช้ ม.17 ยิงเป้า “คนร้าย” นอกจากเสรีไทย ผู้คัดค้านรัฐประหาร เมื่อไฟไหม้ตลาด สฤษดิ์ก็จับเจ้าของบ้านต้นเพลิงไปยิงเป้า โทษฐานวางเพลิง โดยไม่ต้องขึ้นศาล
ที่ว่าสฤษดิ์ทำให้บ้านเมืองสงบ ก็ใช่เลย ทุกคนต้องเชื่อฟัง สฤษดิ์สถาปนาระบอบอำนาจเด็ดขาดจากบนลงล่าง ของชนชั้นนำกลุ่มเล็กๆ ปิดกั้นประชาชนไม่ให้มีปากเสียง ใครเห็นต่างก็ติดคุกติดตะรางแล้วหนีเข้าป่าแบบจิตร ภูมิศักดิ์ แต่ไม่รู้ไง พวกร้องเพลง “เขาตายในชายป่า” กลับมาเชียร์รัฐประหาร

ระบอบสฤษดิ์ยังทิ้งพิษร้ายในสังคมไทยยาวนาน ทั้งทาง การเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ความเชื่ออำนาจนิยม ความเป็นไทยต้องมีหนึ่งเดียว ระบอบรวมศูนย์อำนาจ รัฐราชการ ซึ่งนักการเมืองจากเลือกตั้งเข้ามาสวมต่อ

ระบอบลุงตู่ไม่เหมือนสฤษดิ์มั้ง เพราะอย่างน้อยจะไปสู่เลือกตั้ง นับถึงตอนนั้นก็อยู่แค่ 5 ปี แต่ดูดีๆ ลุงตู่สถาปนาอะไรบ้าง ต่างจาก “ระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ” แค่ไหน
ลุงตู่เพิ่งคุยข้ามโลกว่า 4 ปี คสช.ฟื้นประเทศจากรัฐล้มเหลว จนประชาคมโลกยอมรับ ใช่เลยครับ จากรัฐล้มเหลวสู่รัฐเป็นใหญ่ แต่ไม่ใช่ประชาชนนะ รัฐราชการต่างหาก
4 ปี คสช.สถาปนารัฐราชการเข้มแข็ง เป็นใหญ่ ทั้งที่ไม่ได้ปฏิรูปอะไรเลย แต่มีการขยายอำนาจ รวมศูนย์อำนาจ ผ่านกลไกความมั่นคง ทหาร มหาดไทย เช่น ฟื้นโครงสร้างสงครามเย็น ให้ กอ.รมน.คุมทุกอย่าง ตั้งแต่ปากท้อง ไทยนิยม ไปถึงความคิดคน
รัฐราชการยุค คสช.ใช้อำนาจเข้มข้น จัดระเบียบสังคมไปทั่ว สถาปนารัฐแห่งความถูกต้อง ทำอะไรไม่เคยผิด ชาวบ้านนั่นแหละผิด และต้องปรับตัว โดยอาศัยชูภาพข้าราชการเป็นคนดี ขอให้เชื่อมั่น ถ้าไม่ดี ก็จะมีองค์กรกระหายความดีตามล่าเต็มไปหมด ทั้ง สตง.ป.ป.ช.ป.ป.ท. แถม ปปง. จนไม่เป็นอันทำการทำงาน
ระบอบรัฐราชการเป็นใหญ่สร้างขึ้นเพื่อไม่ให้ประชาชนหวังพึ่งการเมือง การใช้ความเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยผ่านการเลือกตั้ง แม้พยายามช่วยเหลือประชาชน แต่ก็ทำตัวเป็นรัฐการกุศล ที่ชาวบ้านต้องตื้นตัน ไม่ใช่การให้บริการ หรือเป็นสวัสดิการจากนโยบายพรรคการเมืองที่ชาวบ้านเลือก แล้ว “พ่อขุนอุปถัมภ์” ก็จะทวงบุญคุณแล้วสั่งให้เชื่อฟัง
โครงสร้างนี้จะอยู่เป็นปัญหาไปอีกนาน ต่อให้พ้นยุค คสช. เหมือนที่ต่อสู้กันตั้งนานก็ล้างมรดกสฤษดิ์ไม่หมด
ส่วนความเหลื่อมล้ำจะเหมือนกันไหม แบบคนรวยยิ่งรวย คนจนยิ่งจน ประชาชนคงบอกได้ หมดอำนาจแล้วจะมีใครถูกจับได้ว่าโกงอย่างสฤษดิ์หรือไม่ เชื่อว่าลุงตู่ไม่เป็น แต่คนอื่นไม่รับประกัน
ระบอบอำนาจนิยม ไม่ว่าผู้นำจะเป็นคนอย่างไร ก็ทำลายความเป็นประชาธิปไตย เพราะรากฐานประชาธิปไตยคือ ประชาชนต้องไม่ไว้วางใจรัฐ ไม่ไว้วางใจผู้มีอำนาจ มุ่งตรวจสอบ ลด และกระจายอำนาจ

เมื่อไหร่ก็ตามที่เชื่อรัฐเป็นใหญ่ รัฐคนดี รัฐถูกหมด เมื่อนั้นก็หมดกันกับคำว่าประชาธิปไตย 

กษัตริย์หนุ่ม ผู้เป็นเหยื่อถูกน้องชายยิง





 ความขัดแย้งของพวกศักดินาปัจจุบัน เริ่มขึ้นเมื่อรัชกาลที่ ๗ สละราชสมบัติ เนื่องจากรัชกาลที่ ๗ ไม่มีพระอนุชา ไม่มีพระโอรสและธิดาตามกฎมณเฑียรบาลการสืบราชสันตติวงศ์ จะต้องกระทำโดยการสืบเชื้อพระวงศ์จากวงในสุดออกมา ซึ่งท่านแรกคือ ๑.พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ แต่เนื่องจากท่านมีแม่เป็นชาวรัสเซีย มีพระชายาเป็นชาวอังกฤษ เป็นการผิดกฎมณเฑียรบาล จึงไม่สามารถขึ้นมาเป็นกษัตริย์ได้ องค์ถัดมาคือ ๒.พระองค์เจ้าวรนนท์ธวัส แต่เนื่องจากมีพระชายาเป็นชาวตะวันตก จึงไม่ได้รับเลือกอีกเช่นกัน ตำแหน่งจึงตกมาอยู่กับพระองค์เจ้าอานันทมหิดลในที่สุด

อันที่จริงพระองค์เจ้าอานันทมหิดลและพระองค์เจ้าภูมิพล มีพ่อคือกรมหลวงสงขลานครินทร์กับนางสาวสังวาลย์ ตะละภัฏ ซึ่งเป็นหญิงสามัญชน ลูกพ่อค้าจีนขายก๋วยเตี๋ยวอยู่แถวท่าช้าง (ที่เขียนเช่นนี้มิได้มีเจตนาลบหลู่คนจีนหรืออาชีพชาวบ้าน เพียงแต่ชี้ให้เห็นว่า แท้จริงพวกเขาก็เป็นคนสามัญชนทั่วๆไปอย่างเราท่าน-ผู้เขียน) ลูกที่เกิดมาจึงมีศักดิ์เป็นเพียงหม่อมเจ้าเท่านั้น แต่เนื่องจากกรมหลวงสงขลาฯเป็นบิดาทางการแพทย์ สร้างคุณงามความดีไว้มาก รัชกาลที่ ๗ จึงโปรดเกล้าฯให้ลูกของกรมหลวงสงขลาเลื่อนฐานันดรศักดิ์เป็นพระองค์เจ้า เพื่อตอบแทนที่กรมหลวงสงขลาฯต้องสิ้นพระชนม์ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ในการบุกเบิกการแพทย์ไทย

เมื่อครั้งที่พระองค์เจ้าอานันทมหิดลเป็นกษัตริย์ พระองค์มีอายุเพียง ๙ พรรษาเท่านั้นและกำลังศึกษาอยู่ที่สวิสเซอร์แลนด์ รัชกาลที่ ๘ เมื่อทรงพระเจริญวัยขึ้น ได้รับอิทธิพลจากตะวันตกมามาก โดยเฉพาะความรู้ทางด้านการปกครอง ถึงแม้พระองค์จะได้ชื่อว่ามีเชื้อสายกษัตริย์ แต่ก็มีพระราชประสงค์ให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มีการปกครองตนเอง อีกทั้งได้รับอิทธิพลจากการสละราชบัลลังก์ของรัชกาลที่ ๗ จึงมีพระราชดำริที่จะสละราชสมบัติและเลิกล้มระบบกษัตริย์ เพราะเห็นว่ายุคนี้การเป็นกษัตริย์นั้น เป็นการเอาเปรียบประชาชน และผู้ปกครองประเทศควรมาจากการเลือกตั้ง โดยพระองค์จะลงเล่นการเมืองในระบอบประชาธิปไตยด้วยตนเอง เรื่องนี้ทำให้พระชนนีไม่พอพระทัยมาก จึงขัดแย้งกันขึ้น
เหตุการณ์ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ รัชกาลที่ ๘ ทรงเห็นด้วยกับความคิดในการปรับปรุงประเทศของ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเคยเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อยู่ระยะหนึ่ง โดยเฉพาะเค้าโครงเศรษฐกิจของชาติที่มีเนื้อหาการจัดระบบสหกรณ์ และการปฏิรูปที่ดินอย่างขนานใหญ่ทั่วประเทศ และเรื่องนี้กระทบกระเทือนผลประโยชน์ของพวกศักดินาอย่างรุนแรง เพราะพวกศักดินาเป็นเจ้าของที่ดินส่วนใหญ่ของประเทศไทย พวกศักดินาจึงใส่ร้ายหาว่า ดร.ปรีดี เป็นคอมมิวนิสต์

เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์หนุ่มที่เลือดรักชาติแรงกล้าและเห็นใจประชาชนเป็นพื้น จึงทรงออกนั่งตุลาการด้วยตนเอง ทั้งยังออกเยี่ยมประชาชนอยู่เนืองๆ เช่น คนจีนที่สำเพ็ง ซึ่งปรากฏว่าชาวจีนถวายความนับถือและจงรักภักดีมาก การออกเยี่ยมตามที่ต่างๆทำให้พระองค์ได้สัมผัสกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างแท้จริง ทำให้ความคิดของพระองค์ยิ่งขัดแย้งกับพวกศักดินามากขึ้นเป็นลำดับ

หม่อมสังวาลย์ อดีตนางพยาบาลที่ปรนนิบัติกรมหลวงสงขลาฯจนได้แต่งงานกัน มีความหลงใหลในเกียรติยศชื่อเสียงของตน นึกไม่ถึงว่าจะได้เป้นพระราชชนนี ซึ่งหมายถึงแม่ของกษัตริย์ ประมุขสูงสุดของประเทศ นางจึงขัดแย้งมากและยอมไม่ได้ที่รัชกาลที่ ๘ จะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ อันหมายถึงเกียรติยศชื่อเสียงและผลประโยชน์จำนวนมหาศาล ที่จะดลบันดาลความสุขสบายแก่ตนเองและวงศ์ตระกูลไปตลอดชาติต้องอันตรธานในพริบตา นอกจากนี้ยังมีความขัดแย้งอื่นๆระหว่างแม่ลูกคู่นี้อีก กล่าวคือกรมหลวงสงขลาฯได้สิ้นพระชนม์ไปขณะนางสังวาลย์ยังสาวอยู่ นางจึงดำริจะแต่งงานใหม่ แต่ทว่ารัชกาลที่ ๘ ไม่เห็นด้วย อย่างไรก็ตามด้วยความต้องการทางเพศอันเป็นปกติของร่างกายในวัยสาว นางจึงได้มีสัมพันธ์สวาทกับฝรั่งชาติกรีกนายหนึ่งอย่างลึกซึ้ง และเมื่อรัชกาลที่ ๘ ทรงทราบเข้าก็เกิดการถกเถียงอย่างหนักในเรื่องนี้ ซึ่งเป็นที่รู้กันในหมู่คนไทยที่ใกล้ชิดในเมืองโลซาน เรื่องนี้ทำให้นางสังวาลย์ไม่พอใจมาก

โดยธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อลูกคนใดคนหนึ่งเกิดความขัดแย้งกับพ่อหรือแม่ ก็จะมีลูกอีกคนหนึ่งเกิดความไม่พอใจกับลูกที่ขัดแย้งนี้ นี่ก็เช่นเดียวกัน ภูมิพลได้เข้าข้างแม่และไม่พอใจพี่ชาย หาว่ารัชกาลที่ ๘ เป็นลูกอกตัญญูประกอบกับตนเองมีปมด้อยทางร่างกายและอยู่ในวัยรุ่นด้วย จึงมีความคิดละอารมณ์วู่วาม ขาดความยั้งคิด ต้องการเด่นดังมีหน้ามีตาอย่างพี่ชายของตนบ้าง อีกทั้งได้แรงยุจากแม่ในเรื่องที่ขัดแย้งกับรัชกาลที่ ๘ ภูมิพลซึ่งเดิมเป็นเด็กที่อยู่ในโอวาท ขี้ประจบ หัวอ่อน ก็กลับกลายเป็นผู้ที่มีอารมณ์วู่วาม รุนแรงในบางครั้งกับคนที่ตนไม่พอใจ
โดยปกติวิสัยของรัชกาลที่ ๘ ชอบสะสมปืนมาก และมีปืนของรัชกาลที่ ๘ อยู่กระบอกหนึ่งซึ่งไกปืนอ่อนมาก ขณะเดียวกับภูมิพลชอบเอาปืนของรัชกาลที่ ๘ มาเล่น เช่น ไปจี้คนนั้นคนนี้ บางครั้งเอาปืนมาจ่อรัชกาลที่ ๘ ทำท่ายิงเล่นๆ จนผู้คนในวังเห็นเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว แต่แล้วสิ่งที่ไม่มีใครคาดฝันก็ได้เกิดขึ้น

 

เมื่อเวลา ๘.๓๐ น. ของวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ ........... เสียงปืนดังขึ้น ๑ นัด จากห้องบรรทม ชั้นบนของพระที่นั่งบรมพิมาน ต่อจากนั้นอีกไม่กี่นาที นายชิต ยามมหาดเล็ก วิ่งหน้าตื่นไปทูลพระราชชนนีว่า “ในหลวงทรงยิงพระองค์”การสิ้นพระชนม์ของรัชกาลที่ ๘ นั้น ศาลอาญา, ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา สรุปตรงกันว่า เกิดโดยการลอบปลงพระชนม์ มิใช่การปลงพระชนม์เอง เพราะว่าแผลที่ทำให้พระองค์สวรรคตอยู่ที่หน้าผาก กระสุนทะลุออกทางท้ายทอย ซึ่งแสดงว่าไม่ใช่การฆ่าตัวตาย เพราะผู้ที่อัตตวินิบาตกรรม ส่วนมากจะยิงขมับและหัวใจเท่านั้น นอกจากนี้ นายแพทย์ใช้ ยูนิพันธ์ ยังให้ความเห็นว่า แผลของพระองค์เกิดจากการอัตตวินิบาตกรรมไม่ได้ เพราะวิถีกระสุนเฉียงลง รัชกาลที่ ๘ ผู้ที่ยิงตนเอง ต้องยกด้ามปืน หันปากกระบอกปืนลง เป็นของทำได้ยาก นอกจากนี้แผลยังแสดงว่าอุบัติเหตุที่เกิดโดยรัชกาลที่ ๘ เอง ก็ไม่มีทางเป็นไปได้เช่นกัน เพราะวิถีกระสุนมีลักษณะที่เห็นชัดว่าเกิดจากการตั้งใจทำของผู้ที่ยิง
ก่อนบอกว่าใครฆ่ารัชกาลที่ ๘ ต้องดูข้อมูลต่างๆดังนี้

 

๑. ผู้ที่ฆ่า มิใช่บุคคลอื่นที่อยู่นอกวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระที่นั่งบรมพิมาน เพราะว่าได้มีการจัดทหาร ตำรวจวัง ล้อมรอบพระที่นั่งอย่างเข้มงวด ตั้งแต่ประตูวังถึงองค์พระที่นั่ง คือถ้าเป็นกลางวัน ณ ที่ประตูเหล็กทางเข้าพระที่นั่งจะมีทหารยามรักษาการณ์ ส่วนพระที่นั่งชั้นบนมียามมหาดเล็ก ๓ จุด สำหรับชั้นล่างมียามตำรวจหลวงและยังมีทหารยามเฝ้าอยู่ที่เชิงบันไดส่วนที่จะขึ้นพระที่นั่งอีก(๑) เฉพาะที่บันไดใหญ่ทางขึ้นพระที่นั่งมียามถึง ๔-๕ คน(๒) ส่วนในเวลากลางคืนจะมียามอยู่ที่ชั้นบนตรงตำแหน่งที่สำคัญ ๒ จุดๆละ ๒ คน นอกจากนี้ยังมียามที่ชั้นล่างอีก(๓)
ตัวพระที่นั่งมีทางขึ้นชั้นบนที่ประทับของรัชกาลที่ ๘ อยู่ ๓ บันได ในจำนวนนี้อนุญาตให้คนขึ้น ลงตลอดวันเพียง ๑ บันได ปิดตาย ๑ บันได ส่วนอีก ๑ บันได เปิดเฉพาะเวลากลางวัน สำหรับบันไดที่เปิดตลอดเวลานั้น จะมียามเฝ้าในเวลากลางคืน(๔)  ยามเหล่านี้ล้วนเป็นมหาดเล็กที่คัดเลือกกันมาตามตระกูล ที่เชื่อได้ว่าจงรักภักดี สามารถสละชีพเพื่อกษัตริย์ได้ (ขนาดช่างตัดผมของรัชกาลที่ ๙ ทุกวันนี้ ก็ตัดผมกษัตริย์มาตั้งแต่บรรพบุรุษ) ย่อมไม่มีวันยินยอมปล่อยให้ผู้ร้ายภายนอก หลงหูหลงตาขึ้นไปชั้นบนพระที่นั่งเป็นอันขาด
จะเห็นได้ว่าถ้าไม่ใช่คนในพระที่นั่งบรมพิมานแล้วจะฆ่ารัชกาลที่ ๘ ไม่ได้เลย เพราะนอกจากไม่สามารถเล็ดลอดยามจำนวนมากขึ้นไปบนพระที่นั่ง ยังไม่สามารถหนีไปได้พ้นเมื่อยิงแล้ว เพราะเป็นที่ยอมรับกันว่า รัชกาลที่ ๘ สิ้นพระชนม์ในเวลา ๙ โมงเศษ ซึ่งในเวลานั้นจะมีผู้คนพลุกพล่านบนพระที่นั่งแล้ว เพราะอย่างน้อยที่สุด ชาววังจะทำความสะอาดตั้งแต่ ๖-๘ โมงเช้า(๕) ผู้ร้ายภายนอกจะไม่มีทางวิ่งหนีลงไปจากพระที่นั่งได้ เพราะเมื่อเสียงปืนดังสนั่นขึ้นแล้ว ทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกยามย่อมรู้ว่ามีเหตุร้าย จะคอยสังเกตดูความผิดปกติ แต่ปรากฏว่าพยานทุกคนที่เป็นยามให้การกับศาลว่า ไม่ปรากฏว่าผู้ใดเห็นร่องรอยผู้ร้ายวิ่งลงมาจากพระที่นั่งเลย


นอกจากประเด็นที่กล่าวแล้ว ควรพิจารณาต่อไปอีกว่า ในวันที่ ๘ มิ.ย. ๒๔๙๘ นั้น รัชกาลที่ ๘ เข้านอนเวลา ๓ ทุ่มเศษ และตื่นขึ้นมาในเวลาย่ำรุ่งวันที่ ๙ มิ.ย. ๒๔๙๘ หลังจากนั้นพระชนนีและมหาดเล็ก ๑ คน ได้ถวายน้ำมันละหุ่ง เพราะในวันที่ ๘ มิ.ย. พระองค์ท้องเดิน หลังจากนั้นก็หลับไปจนเวลา ๘ โมงเช้า จึงตื่นขึ้นไปเข้าห้องน้ำ แล้วกลับมานอนอีกราว ๑ ชม. เวลา ๙ โมงเช้าก็ถูกลอบปลงพระชนม์
หลังจากที่ถูกยิงแล้ว คณะแพทย์ส่วนใหญ่ได้ตรวจพระศพ และวินิจฉัยว่าแผลที่เกิดจากการยิงห่างจากหน้าผากไม่เกิน ๕ ซม.(๖) ซึ่งต่อมา นายแพทย์สุด แสงวิเชียร ตรวจสอบบาดแผลเป็นพิเศษพบว่า ที่ตำแหน่งหน้าผากตรงที่ถูกยิงมีรอยกดของกระบอกปืนเป็นวงกลม แสดงว่าผู้ที่ยิงต้องเอาปืนกระชับยิงลงไปที่หน้าผาก
ทั้งนี้เมื่อตรวจมุ้งของรัชกาลที่ ๘ แล้ว ไม่ปรากฏว่ามีรอยทะลุ แสดงว่าผู้ร้ายต้องเลิกมุ้งออก แล้วจึงเอาปืนจ่อยิงในหลวง โดยที่ “ผู้ที่ยิงต้องเป็นคนรูปร่างสูง แขนยาว” จึงจะทำได้สะดวก เพราะจากขอบเตียงถึงบาดแผลมีระยะห่างกันถึง ๖๖ ซม. ถ้ารูปร่างเล็กแขนสั้นจะทำไม่ได้(๗) (ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่น่าตลก ที่พวกศักดินาพยายามว่าร.ท.สิทธิชัย ชัยสิทธิเวชฆ่ารัชกาลที่ ๘ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะร.ท.สิทธิชัย เป็นคนรูปร่างเล็ก)

จะเห็นว่าถ้าผู้ร้ายเป็นบุคคลอื่น ซึ่งไม่สนิทสนมกับรัชกาลที่ ๘ มากๆแล้ว จะกระทำการดังกล่าวไม่ได้เลย เพราะเป็นการเสี่ยงภัยและไม่มีทางสำเร็จ เพราะพระองค์นอนตั้งแต่เวลา ๓ ทุ่มของวันที่ ๘ มิ.ย. จนตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าตรู่ของวันที่ ๙ มิ.ย. และเข้านอนถึง ๒ ระยะย่อมหลับไม่สนิท เพราะปกติในหลวงไม่เคยตื่นสายกว่า ๘.๓๐ น. เลย ดังนั้นถ้ามีคนเลิกมุ้งย่อมมีเสียง เพราะมุ้งมีเหล็กทับอยู่ ทำให้พระองค์รู้ตัวก่อนที่ผู้ร้ายจะทำการได้(๖)
นอกจากนี้ถ้ามีผู้ร้ายภายนอกแอบเข้าไปในห้องบรรทม ก็ต้องเข้าไปในเวลากลางคืนและยิงในเวลานั้นเลย เพราะปลอดคน ทั้งหนีสะดวก มิใช่รอจนเวลาเช้าจึงยิง อันจะทำให้ต้องแอบซ่อนตัวอยู่เป็นเวลานาน ซึ่งเป็นการเสี่ยงภัยมากกว่า และหากมีผู้ร้ายซ่อนตัวอยู่จริง ย่อมไม่อาจรอดสายตาพระชนนี และมหาดเล็กที่เข้าไปถวายน้ำมันละหุ่งให้รัชกาลที่ ๘ ได้

 

๒. ตามธรรมดานั้น ปรากฏในประวัติศาสตร์เสมอมาว่า มีพี่ฆ่าน้อง น้องฆ่าพี่ ลูกฆ่าพ่อ อาฆ่าหลาน หลานฆ่าอา และกระทั่งแม่ฆ่าลูกเพื่อชิงราชสมบัติ อาทิเช่น กรณีแม่เจ้าอยู่หัวศรีสุดาจันทร์ สมัยอยุธยาฆ่าพระแก้วฟ้า บุตรของตนเองเพื่อให้พันบุตรศรีเทพหรือขุนวรวงศาธิราชชู้รัก ได้เป็นกษัตริย์ ในเมื่อผู้ร้ายเป็นบุคคลภายนอกมิได้ ส่วนผู้ที่อยู่ในพระที่นั่งก็ล้วนจงรักภักดีและไม่ได้ประโยชน์จากการตายของรัชกาลที่ ๘ ผู้ที่น่าสงสัยที่สุดก็คือ รัชกาลที่ ๙ ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากกรณีสวรรคต ทั้งในด้านลาภยศและทรัพย์ศฤงคาร อย่างไรก็ดี ก่อนที่จะสรุปว่าเป็นคนลงมือฆ่าหรือไม่ ควรดูคำให้การของผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สวรรคต ดังสรุปได้ดังนี้

 

ก. ห้องของรัชกาลที่ ๘ อยู่ทางตะวันออกของพระที่นั่งชั้นบน ส่วนห้องของรัชกาลที่ ๙ อยู่อีกฟากหนึ่งทางทิศตะวันตกมีระเบียงเชื่อมถึงกัน ข้างห้องรัชกาลที่ ๙ เป็นห้องพระชนนีซึ่งมีประตูติดต่อถึงกันได้



ภาพผังพระที่นั่งบรมพิมาน

 


ข. รัชกาลที่ ๙ ให้การว่าในวันนั้น ตนจะเข้าไปหาพี่ชายในเวลาประมาณ ๙ โมงเช้า ก่อนเกิดเสียงปืนไม่นานนัก พบนายชิต สิงหเสนีและนายบุศย์ มหาดเล็ก ซึ่งนั่งอยู่ที่ประตูห้องรัชกาลที่ ๘ เมื่อรู้ว่าพี่ชายยังไม่ตื่นจึงเดินกลับไปที่ห้องของตน เข้าๆ ออกๆ ระหว่างห้องตนกับห้องเล่นเครื่อง (ดูแผนที่) และในเวลาที่มีการยิงปืนนั้น ตนไม่ได้ยินเสียงปืนเลย จนเมื่อรู้เรื่องการยิงรัชกาลที่ ๘ จาก น.ส.จรูญ ตะละภัฏ แล้วจึงวิ่งไปที่ห้องบรรทม ซึ่งก็มีแม่และพระพี่เลี้ยงเนื่องอยู่ในห้องนั้น ก่อนหน้าที่ตนจะวิ่งเข้าไป
คำให้การนี้ ซึ่งก็สอดคล้องกับคำให้การของ น.ส.จรูญ ตะละภัฏ ข้าหลวงพระชนนี (เป็นญาติพระชนนีด้วยเพราะนามสกุลเดียวกัน) ที่อ้างว่า พอตนได้ทราบจากนายสาธิตว่า รัชกาลที่ ๘ ถูกยิงก็วิ่งไปที่ห้องบรรทม พบรัชกาลที่ ๙ อยู่ที่ประตูห้องบันไดเล็ก(ซึ่งมีประตูติดต่อกับห้องเล่นเครื่อง) จึงแจ้งให้รู้ว่าในหลวงสวรรคต แล้วพากันวิ่งไปที่ห้องบรรทมด้วยกัน โดยมีรัชกาลที่ ๙ วิ่งนำหน้าไป

 

ค. คำให้การของรัชกาลที่ ๙ มีพิรุธมากเพราะ
ค.๑ ทุกคนที่อยู่ในพระที่นั่งได้ยินเสียงปืนดังสนั่น ทั้งชั้นล่างและชั้นบน มีแต่รัชกาลที่ ๙ และพระชนนีเท่านั้นที่ไม่ได้ยินเสียงปืน
ค.๒ จากคำให้การของนายฉลาด เทียมงามสัจ ซึ่งยืนอยู่ในบริเวณห้องเสวยพระกระยาหาร อันเป็นจุดที่สามารถและเห็นการเคลื่อนไหวหน้าห้องบรรทมได้หมดนั้น นายฉลาดให้การว่ารัชกาลที่ ๙ วิ่งเข้าไปในห้องบรรทมก่อนพระพี่เลี้ยงเนื่อง จินตะดุลย์ ไม่ตรงกับคำให้การของรัชกาลที่ ๙ ที่ว่าเข้าไปในห้องหลังพระพี่เลี้ยงเนื่อง จินตะดุลย์
ค.๓ พระพี่เลี้ยงเนื่อง จินตะดุลย์ นักเรียนพยาบาลรุ่นเดียวกับพระชนนี ให้การว่า ตนอยู่ในห้องรัชกาลที่ ๙ ๒๐ นาที ก่อนมีเสียงปืน และไม่พบรัชกาลที่ ๙ ในห้องนั้นเลย แสดงว่ารัชกาลที่ ๙ อ้างว่าตนเองเข้าๆ ออกๆ ระหว่างห้องนอนของตนกับห้องเล่นเครื่อง ย่อมเป็นการโกหก นอกจากนี้พระพี่เลี้ยงเนื่องยังให้การต่อไปอีกว่า เมื่อได้ยินเสียงปืนแล้ว ก็รีบวิ่งไปยังห้องบรรทม ผ่านห้องเครื่องเล่นแต่ไม่พบรัชกาลที่ ๙ ในห้องนั้น แสดงว่าข้ออ้างของรัชกาลที่ ๙ ที่ว่าอยู่ในห้องเล่นเครื่องก่อนหน้าเหตุการณ์สวรรคต ก็ไม่เป็นจริง เพราะถ้าเป็นอย่างนี้จริง ขณะที่พี่เลี้ยงเนื่องวิ่งผ่านห้องเล่นเครื่องนั้น จะต้องแลเห็นรัชกาลที่ ๙ เพราะรัชกาลที่ ๙ เองก็ยังอ้างว่า ตนวิ่งไปยังห้องบรรทมหลังพี่เลี้ยงเนื่อง
ค.๔ รัชกาลที่ ๙ และน.ส.จรูญ ตะละภัฏญาติพระชนนี อ้างว่า ตนวิ่งไปที่ห้องบรรทมด้วยกัน แต่นายฉลาด เทียมงามสัจ ซึ่งอยู่นอกห้องบรรทมและเห็นเหตุการณ์ใกล้ชิดให้การว่า ไม่เห็นน.ส.จรูญเข้าไปในห้องบรรทมเลย (น่าสังเกตว่าคำให้การของน.ส.จรูญนี้ เชื่อถือไม่ได้ทั้งสิ้น เพราะน.ส.จรูญอ้างว่า ตนอยู่ในห้องพระชนนีก่อนเสียงปืนดัง แต่พยานอื่นที่อยู่ในห้องขณะนั้นให้การเป็นอย่างอื่น)
ค.๕ รัชกาลที่ ๙ บอกให้กรมขุนชัยนาทฯ ฟังว่า ขณะที่ผู้ร้ายยิงปืนนั้น ตนเองอยู่ในห้องของตน(๙) ซึ่งเป็นเรื่องเท็จอย่างเห็นได้ชัด เพราะขัดแย้งกับคำให้การของพี่เลี้ยงเนื่อง จินตะดุลย์ ซึ่งอยู่ในห้องของพระองค์ในขณะนั้น
ค.๖ นายเวศน์ สุนทรวัฒน์ มหาดเล็กหน้าห้องรัชกาลที่ ๙ ให้การว่า แม้ห้องนอนของรัชกาลที่ ๙ มีประตูติดกับห้องเครื่องเล่น แต่ประตูนี้ปิดตายตลอดเวลา ถ้ารัชกาลที่ ๙ ต้องการจะเข้าห้องเครื่อง จะต้องเข้าทางประตูด้านหน้าของห้องเครื่อง มิใช่เข้าทางประตูด้านหลังซึ่งติดต่อกับห้องของรัชกาลที่ ๙

 

จึงเห็นได้ว่า ข้ออ้างที่รัชกาลที่ ๙ โกหกว่าตนเข้าๆ ออกๆระหว่างห้องเครื่องกับห้องนอนตนเองนั้นเป็นเท็จ

 

ง. เราสามารถสรุปได้ว่า รัชกาลที่ ๙ ให้การเท็จ พยายามอ้างว่าตนอยู่ไกลสถานที่เกิดเหตุที่สุด และไปถึงห้องบรรทมคนสุดท้าย โดยร่วมมือกับบุคคลอื่น เช่น น.ส.จรูญ ตะละภัฏ เป็นต้น

โดยข้อมูลนี้ เราจะเห็นได้ว่า เมื่อรัชกาลที่ ๙ กินข้าวเช้าอิ่ม ก็ได้เดินไปถึงหน้าห้องบรรทมของรัชกาลที่ ๘ ก่อนเสียงปืนไม่นานนักและเข้าไปในห้องนั้น โดยที่นายชิตและบุศย์มิได้ห้ามปราม เพราะตามคำให้การของพระพี่เลี้ยงเนื่องนั้น ปรากฏว่าพี่น้องคู่นี้นั้น ถ้าผู้ใดตื่นก่อน มักจะเข้าไปยั่วเย้าอีกคนหนึ่งให้ตื่น ฉะนั้นนายชิตและบุศย์ ย่อมไม่สงสัยว่าเหตุใดรัชกาลที่ ๙ จึงเข้าไปในห้องรัชกาลที่ ๘
เมื่อเข้าไปในห้องรัชกาลที่ ๘ แล้วก็เอาปืนของรัชกาลที่ ๘ นั้นเอง ถือเดินไปที่พระแท่น เลิกมุ้งขึ้นแล้ว “บุรุษร่างสูง แขนยาว” ผู้นี้ก็เอาปืนจ่อยิงรัชกาลที่ ๘ ขณะที่รัชกาลที่ ๘ ยังไม่ทันรู้ตัวว่าจะถูกฆ่า

ถ้าจะถามว่ารัชกาลที่ ๘ ไม่รู้ตัวในเวลาที่น้องชายเลิกมุ้งหรือ
ตอบได้ว่า จะรู้หรือไม่ ก็ไม่สำคัญ เพราะพี่ชายย่อมไม่ระแวงน้องชาย นอกจากนี้ ทั้งคู่ก็มักจะใช้ปืนล้อผู้อื่นอยู่แล้ว พระพี่เลี้ยงเนื่องให้การว่า บางครั้งทั้งคู่จะใช้ปืนจี้ล้อพวกฝ่ายใน เช่น ท้าวสัตยา นางสาวจรูญ นางสาวทัศนียาและพระพี่เลี้ยงเนื่อง บางครั้งถึงกับเอาปืนเข้าไปใกล้ๆ ยกขึ้นเล็งไปยังคนเหล่านั้น ฉะนั้นแม้รัชกาลที่ ๘ จะเห็นรัชกาลที่ ๙ ถือปืน ก็ไม่มีวันระแวง

ปัญหาสุดท้ายก็คือ จะเป็นเรื่องอุบัติเหตุได้หรือไม่
ไม่น่าจะเป็นอุบัติเหตุ เพราะถ้ารัชกาลที่ ๙ เอาปืนล้อรัชกาลที่ ๘ แม้จะเล็งปืนเข้าไปใกล้เพียงใด ก็ไม่น่าจะถึงกับเอาปืนจ่อกระชับเข้าไปที่หน้าผากเป็นอันขาด (ตามการตรวจแผลของนายแพทย์สุด แสงวิเชียร) เพราะทรงย่อมรู้เหมือนกับคนอื่นทั่วไปว่า ปืนกระบอกนั้นไกอ่อน ถ้ากระชับปืนเข้าที่หน้าผากขนาดนั้น ย่อมเป็นการเสี่ยงภัยจนเกินไป
สำหรับปัญหาเกี่ยวกับพยานหลายคน เช่น นายชิต นายบุศย์ และนายฉลาด เทียมงามสัจ ที่ให้การตรงกันว่า รัชกาลที่ ๙ ไม่ได้เข้าไปในห้องบรรทม เชื่อไม่ได้เลยหรือ
ตอบได้ว่า เชื่อไม่ได้ คนเหล่านี้ล้วนให้การเท็จ เพราะสำหรับนายฉลาดนั้น เป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการโกหกของตนเอง นายฉลาดยอมรับในศาลว่า ตั้งแต่ถูกเรียกตัวไปสอบสวนก็ได้เบี้ยเลี้ยงจากสันติบาลวันละ ๓ บาท นอกจากนี้หลังจากที่ถูกปลดจากสำนักราชวัง ฐานหย่อนความสามารถ เมื่อเดือน ม.ค.๒๔๙๑ ก็ยังได้รับการบรรจุเข้าทำงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ด้วยความสนับสนุนของพนักงานสอบสวน ข้อที่ชี้ชัดได้ว่านายฉลาดโกหกก็คือ การที่นายฉลาด บอกว่าไม่เห็นผู้ร้ายวิ่งออกจากห้องบรรทมเลย นี่เป็นการโกหกชัดๆ เพราะเมื่อมีการปลงพระชนม์เกิดขึ้นแล้ว ผู้ร้ายที่ไหนจะยอมอยู่เป็นเหยื่อในห้องบรรทม จะต้องวิ่งหนีออกจากห้องนั้น

ส่วนนายชิตกับนายบุศย์นั้น ตกอยู่ในฐานะน้ำท่วมปาก พูดมากไม่ได้ เพราะการฟ้องร้องคดีสวรรคตนี้เกิดขึ้นหลังจากที่พวกทหารก่อรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลเลือกตั้ง ผลจากรัฐประหารทำให้พระพินิจชนคดี พวกศักดินาได้เป็นอธิบดีกรมตำรวจ และดำเนินการสอบสวน นายชิตเองถูกฉีดยาให้เคลิบเคลิ้ม ถูกขู่เข็ญสารพัด(๑๐) ทั้งคู่รู้ดีว่า พวกศักดินาและพระพินิจฯ จะต้องเล่นงานพวกนายปรีดี พนมยงค์ให้ได้ โดยใช้กรณีสวรรคตเป็นเครื่องมือ ฉะนั้นถึงตนพูดความจริง ก็ไม่มีประโยชน์ ซ้ำจะเป็นอันตรายถึงครอบครัว เพราะทั้งคู่รู้ดีว่า สมัยนั้นมีการใช้อำนาจเผด็จการรัฐประหารอย่างป่าเถื่อน เช่น ยิงทิ้ง จับกุมคุมขังและทรมานผู้บริสุทธิ์อย่างไรบ้าง จึงยอมสงบปาก หวังที่จะได้รับความเมตตาของศาล และอย่างน้อยที่สุด ทั้งคู่น่าจะได้รับคำรับรองจากศักดินาว่า ถ้าศาลตัดสินประหารชีวิต รัชกาลที่ ๙ จะให้อภัยโทษ ไม่ต้องถูกประหารชีวิตและทางครอบครัวจะได้รับการเลี้ยงดู

เป็นที่น่าเสียใจที่ นายชิตและนายบุศย์ไม่ได้รับความปรานีจากศักดินา หลังจากที่เขาถูกตัดสินประหารชีวิต แม้จะถวายฎีกา แต่รัชกาลที่ ๙ ยกฎีกาเสีย จอมพล ป. เล่าให้ลูกชาย (พล.ต.อนันต์ พิบูลย์สงคราม) ฟังว่าตนเอง “....ได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึง ๓ ครั้ง...” (๑๐) แต่รัชกาลที่ ๙ ไม่ยอมให้ผู้ที่รู้ความลับของตนมีชีวิตต่อไป จึงยกฎีกาเสีย
อย่างไรก็ดี ศักดินาใหญ่ก็ฉลาดพอที่จะส่งเงินอุดหนุนจุนเจือ ครอบครัวผู้ถูกประหารชีวิตเสมอมา เพื่อป้องกันมิให้ครอบครัวผู้สิ้นชีวิตโวยวาย ซึ่งเรื่องนี้ นายปรีดี พนมยงค์ได้เปิดโปงไว้ในคำฟ้องคดีที่นายชาลี เอี่ยมกระสิทธ์ หมิ่นประมาทนายปรีดีว่า ครอบครัวผู้ตายได้รับการช่วยเหลือทางการเงินจากพระราชวงศ์องค์หนึ่ง ซึ่งพวกศักดินาก็ไม่กล้าโต้ตอบแต่อย่างใด

 

จ. ในเมื่อหลักฐานพยานแวดล้อมต่างผูกมัดว่า รัชกาลที่ ๙ ฆ่ารัชกาลที่ ๘ เช่นนี้ทำไมศาลไม่พิพากษาเอาตัวไปลงโทษ
ที่เป็นเช่นนี้ ขณะนั้น อำนาจมืดอันเกิดจากการรัฐประหารด้วยปืนแผ่ซ่านไปทั่ว มีความพยายามที่จะปกป้องรัชกาลที่ ๙ และโยนบาปไปให้พวก ดร.ปรีดี โดยการใช้วิธีการทุกอย่าง เช่น
จ.๑ สร้างพยานเท็จ นอกจากที่กล่าวแล้ว ยังมีการสร้างพยานเท็จว่า ดร.ปรีดีและพวก ปรึกษากันว่าจะฆ่ารัชกาลที่ ๘ ที่บ้านพระยาศรยุทธเสนี โดยมีนายตี๋ ศรีสุวรรณ เป็นผู้ล่วงรู้ความลับนี้ เรื่องโกหกพรรค์นี้ แม้ศาลก็ไม่กล้าเชื่อ ในภายหลัง นายตี๋ ศรีสุวรรณ ยอมรับกับท่านปัญญานันทะ ภิกขุว่าตนให้การเท็จ
นอกจากนี้ยังมีนายวงศ์ เชาวนะกวี ให้การว่าได้ยินนายปรีดีพูดกับตนว่า ต่อไปนี้นายปรีดีจะไม่ป้องกันราชบัลลังก์ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าหัวเราะ เพราะนายวงศ์มิใช่ผู้ที่สนิทชิดเชื้อกับนายปรีดี พอที่นายปรีดีจะพูดความลับ อันเป็นความเป็นความตายด้วย
จ.๒ มีการทำลายหลักฐานต่างๆที่จะผูกมัดรัชกาลที่ ๙ ในภายหลัง เช่น พระชนนีสั่งให้พระพี่เลี้ยงเนื่อง ทำความสะอาดพระศพ แล้วยังให้หมอนิตย์ เย็บบาดแผล ทั้งที่พระชนนีเป็นพยาบาลมาก่อน ย่อมรู้ดีว่า ควรจัดการอย่างไรกับศพที่มีเค้าว่าจะถูกฆาตกรรม
นอกจากนี้ยังมีการผลัดเสื้อผ้าพระศพ โดยเฉพาะหมอนนั้นถูกนำไปฝัง หลังรัชกาลที่ ๘ สวรรคตไปแล้ว ๑๐ วัน ซึ่งพระยาชาติเดชอุดม เลขาธิการพระราชวังให้การว่าจะทำเช่นนี้ได้ต้องมี ”ผู้ใหญ่สั่ง” แน่นอนผู้ที่ใหญ่กว่าเลขาธิการพระราชวัง ในวังหลวงนั้นเห็นจะมีแต่พระชนนี หาไม่ก็รัชกาลที่ ๙ เท่านั้น
ที่ร้ายกว่านี้คือ มีการเคลื่อนย้ายพระศพรัชกาลที่ ๘ ออกไปและมีผู้ยกเอาพระศพไปไว้บนเก้าอี้โซฟาแทน(๑๑) การแตะต้องพระบรมศพนั้น มิใช่ว่าจะกระทำได้ง่ายๆ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้านายผู้ใหญ่ก่อนเท่านั้น
จ.๓ เมื่อรัฐบาลพลเรือนชุดก่อนที่จะถูกรัฐประหาร จะชันสูตรพระศพรัชกาลที่ ๘ กลับถูกคัดค้านจากกรมขุนชัยนาทและพระชนนีจนกระทำไม่ได้(๑๒)
จ.๔ แม้แต่ศาลฎีกา ก็พยายามช่วยเหลือรัชกาลที่ ๙ และโยนความผิดให้ผู้อื่น ดังจะเห็นได้ว่า
จ.๔.๑ มีเพียงสองคนเท่านั้นในคดีนี้ ที่ไม่ได้รับการตรวจพิสูจน์เขม่าปืนที่มือ คือพระชนนีกับร.๙ เมื่อปรากฏว่ามีนายตำรวจคนหนึ่งเสนอให้ทำการพิสูจน์ด้วย ผลต่อมาปรากฏว่านายตำรวจผู้นั้นถูกสั่งปลดออกจากราชการ
จ.๔.๒ ศาลหลีกเลี่ยงไม่ยอมปฏิบัติตามมาตรา ๑๗๒ และ ๑๗๒ ทวิ แห่งประมวลวิธีความอาญาซึ่งกำหนดว่า การซักค้านพยาน อันจะเกิดความเสียหายต่อจำเลย ต้องกระทำต่อหน้าจำเลย ศาลกลับเดินเผชิญสืบพระชนนีและรัชกาลที่ ๙ ที่สวิสเซอร์แลนด์ ในวันที่ ๑๒ และ ๑๕ พ.ศ. ๒๔๙๓ โดยไม่ยอมให้จำเลยและทนายไปซักค้านด้วย แม้พระชนนีและรัชกาลที่ ๙ ให้การสับสน ทนายจำเลยก็ซักค้านไม่ได้
การซักค้านรัชกาลที่ ๙ และพระราชชนนีโดยอัยการ คราวนี้ได้กระทำอย่างขอไปที อย่างน่าเกลียด ทั้งที่รัชกาลที่ ๙ เป็นผู้ที่น่าสงสัยที่สุด ในฐานะที่ได้รับประโยชน์จากการตายของรัชกาลที่ ๘ แต่ผู้เดียว อัยการกลับซักถามรัชกาลที่ ๙ เพียงไม่กี่คำ และเลี่ยงที่จะไต่ถามในสิ่งที่เป็นสาระสำคัญ นอกจากนี้ศาลฎีกายังหลีกเลี่ยงไม่ยอมปฏิบัติตามมาตรา ๒๐๘ และ ๒๐๘ ทวิ และ ๒๒๕ แห่งประมวลวิธีความอาญา เพราะว่าตามปกตินั้น คดีสำคัญๆจะต้องนำไปให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาวินิจฉัย แต่คดีสวรรคตเป็นคดีที่สำคัญกว่าคดีทั้งปวงในประวัติศาสตร์ ที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกากลับไม่ได้วินิจฉัย มีเพียงผู้พิพากษา ๕ คนเท่านั้น ที่เป็นผู้ตัดสินคดี ที่คณะศาลฎีกาไม่ยอมเอาคดีนำขึ้นสู่ที่ประชุมใหญ่ ก็เพราะไม่อยากให้ผู้ที่จับได้ไล่ทัน คัดค้านนั่นเอง
จ.๔.๓ เพื่อให้ความผิดพ้นจากตัวรัชกาลที่ ๙ ศาลฎีกาถึงกับประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์อย่าง นายเฉลียว ปทุมรส ซึ่งคนผู้นี้ ศาลฎีกาไม่สามารถกล่าวออกมาได้ว่า เกี่ยวข้องกับคดีสวรรคตอย่างไร นอกจากอ้างซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า มีความใกล้ชิดกับนายปรีดี เช่น ยืนตามคำให้การของ “นายรวิ ผลเนืองมา” ว่านายเฉลียว จัดรถพระที่นั่งของรัชกาลที่ ๘ ให้นายปรีดีใช้ ขณะที่รัชกาลที่ ๘ อยู่ที่หัวหิน อันเป็นการแสดงความไม่จงรักภักดี (ซึ่งเป็นคำให้การเท็จเพราะขณะนั้นนายปรีดีก็อยู่ที่หัวหินด้วย) ไม่ว่านายเฉลียวจะใกล้ชิดกับนายปรีดี หรือมีความจงรักภักดีกับรัชกาลที่ ๘ มากน้อยเพียงใด การประหารชีวิตนายเฉลียว ก็เป็นบาปอันมหันต์ของศาลฎีกาชุดนั้น เพราะกระทั่งฆาตกร ศาลก็วินิจฉัยไม่ได้ว่าใครเป็นผู้กระทำ ศาลกลับให้ฆ่านายเฉลียว เพียงเพราะนายเฉลียวใกล้ชิดกับนายปรีดี
เมื่อการสะสางคดีนี้จบลง โดยการมีแพะรับบาป ต้องคำพิพากษาประหารชีวิต ๓ คนคือ นายชิต สิงหเสนี นายบุศย์ ปัทมศริน นายเฉลียว ปทุมรส ส่วนรัชกาลที่ ๙ ก็ได้ทรงหนีไปอยู่ต่างประเทศชั่วคราวระยะหนึ่งจึงเสด็จกลับ เพื่อเป็นการหนีเสียงครหานินทาของประชาชน โดยวางหมากให้แม่เป็นผู้ออกรับแทน
ก่อนที่คนทั้ง ๓ จะถูกประหารชีวิต คนหนึ่งได้ขอพบเผ่า ศรียานนท์เป็นการส่วนตัว และได้พูดคุยกับเผ่าเป็นการลำพังประมาณ ๑๐ นาที เมื่อหนังสือพิมพ์ได้ถามหลังการประหาร ๓ คนนั้นแล้ว ว่าได้คุยเรื่องอะไรกันบ้าง เผ่าไม่ยอมตอบ แน่นอนเผ่าจะต้องรู้ว่า ใครเป็นฆาตกรโหดในกรณีดังกล่าวและไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า เผ่าจะไม่ได้บอกเพื่อนสนิทให้รู้ความลับนี้ ในจำนวนเหล่านั้นมี แปลก สฤษดิ์และประภาสรวมอยู่ด้วย
การกำจัดรัชกาลที่ ๘ นั้น นับว่าเป็นการยิงทีเดียวได้นก ๒ ตัว เพราะนอกจากรัชกาลที่ ๙ จะจัดการกับรัชกาลที่ ๘ ได้แล้ว ยังได้กำจัด ดร.ปรีดี ซึ่งเป็นต้นตอทำลายผลประโยชน์ของพวกกลุ่มศักดินาอีกด้วย อีกทั้ง ดร.ปรีดีจะรู้อะไรมากไปสักหน่อย สมควรที่จะถูกทำลายลงเสียที ฉะนั้นเมื่อสิ้นเสียงปืนไม่นาน ปรีดีต้องลี้ภัยทางการเมืองไป ตั้งแต่ปี ๒๔๙๑ จนถึงปัจจุบัน
ข้อน่าสังเกตประการหนึ่ง ซึ่งเพิ่งถูกค้นพบในระยะหลังๆคือ เมียของ ร.ท.สิทธิชัย ชัยสิทธิเวชผู้ถูกระบุว่าเป็นมือปืน แล้วหนีตาม ดร.ปรีดีไปอยู่เมืองนอก ชื่อชะอุ่ม กลับได้รับตำแหน่งหัวหน้าแม่ครัวในวังสวนจิตรลดาตราบเท่าทุกวันนี้ ลูกทุกคนได้รับการส่งเสียให้เงินทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ และตัว ร.ท.สิทธิชัยเองก็กลับมาอยู่อาศัยที่ลาดพร้าว ซอย ๑๐๑ อย่างสุขสบาย โดยที่เจ้าตัวไม่ต้องทำมาหากินแต่อย่างใด หากเขาเป็นฆาตกรจริง ทำไมรัชกาลที่ ๙ จึงยังทรงไว้วางพระทัยในตัวแม่ครัวปัจจุบัน และเหตุใดจึงไม่ให้มีการลงโทษตามตัวบทกฎหมาย เช่นเดียวกับที่เคยเล่นงานนายชิตและนายบุศย์
หลักฐานจากผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สวรรคตที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ได้ชี้อย่างเด่นชัดว่า ฆาตกรผู้ฆ่ารัชกาลที่ ๘ อย่างเลือดเย็นนั้น จะเป็นผู้อื่นมิได้เลย นอกจากรัชกาลที่ ๙ มหาราชองค์ปัจจุบัน
     
หลักฐานอ้างอิง  
 ๑. คำให้การพระยาชาติเดชอุดม (พยานโจทก์) คดีสวรรคต
๒. คำให้การของนายเวช สุนทรรัตน์ (มหาดเล็กหน้าวัง)
๓. คำให้การของนายมังกร ภมรบุตร (มหาดเล็กในฐานะพยานโจทก์)
๔. คำให้การของพระพี่เลี้ยงเนื่อง
๕. คำให้การของพระพี่เลี้ยง (พยานโจทก์)
๖. คำวินิจฉัยของศาลกลางเมือง
๗. คำให้การของนายแพทย์นิตย์ เวชวิศิษฐ์ ผู้ตรวจศพ
๘. คำวินิจฉัยของศาลกลางเมือง
๙. คำให้การของกรมขุนชัยนาทฯ
๑๐. พล.ท.อนันต์ พิบูลย์สงคราม จอมพล ป.พิบูลสงคราม เล่ม ๕ หน้า ๖๘๗
๑๑. คำให้การ พระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียร
๑๒. คำให้การหมอนิตย์และคำให้สัมภาษณ์ของ มจ.สกลวรรณกร วรวรรณ ต่อ นสพ.เสียงไทย วันที่ ๒๘ มิ.ย. ๒๔๘๘