torsdag 14 juni 2012

" คำถามของลูกหลานไทยในอนาคตถึงบรรพบุรุษในอดีด พ.ศ ๒๕๕๕ " วันหนึ่งในอนาคตข้างหน้า ลูกหลานของเราอาจจะยืนอยู่ต่อหน้ากระดูกของเราและถามขึ้นว่า “ทำไมเมื่อมีโอกาสและเวลามาถึงบรรพบุรุษของพวกเขาจึงไม่สร้างประชาธิปไตยให้กับพวกขา ซึ่งส่งผลให้พวกเขาต้องตกเป็นทาสทางการเมือง และทางเศรษฐกิจของมหาอำนาจมาจนทุกวันนี้”


โดย  ปูนนก

นับตั้งแต่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายชนิด “ช๊อค” พลังของกลุ่มอำนาจเก่าอย่างหมดรูปเมื่อเดือน กรกฏาคม ปีที่แล้ว การเกิดขึ้นของรัฐบาลนายกยิ่งลักษณ์ซึ่งเป็นเนื้อแท้สายตรงจากอดีตนายกทักษิณ และพรรคไทยรักไทย สร้างความปริวิตกอย่างยิ่งกับกลุ่มอำนาจเก่า และมือที่มองไม่เห็น.. จนเกิดวลีจากผู้ยิ่งใหญ๋ที่ปิดกันให้แซ่ดนับตั้งแต่ตั้งรัฐบาลปู 1 คือ “รัฐบาลนี้จะอยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือน”

เพียงเวลาแค่เดือนแรกของการเข้ารับหน้าที่.. น้ำฟ้าและน้ำเขื่อนได้ถาโถมลงมาท่วมพื้นแผ่นดินมากมายเป็นประวัติการณ์ ภาคเหนือตอนล่าง, ตลอดทั่วภาคกลาง น้ำท่วมขังนานนับเดือน.. เศรษฐกิจประเทศพินาศย่อยยับ ประชาชนทุกยากแสนสาหัสนับล้านครัวเรือน การขอความร่วมมือจากรัฐบาลไปยังส่วนต่างๆ ของข้าราชการ และในส่วนของกรุงเทพมหานคร เป็นไปด้วยความยากลำบาก และติดขัด หรืออย่างน้อยที่สุดก็ทำงานอย่างเชื่องช้า ก็เพียงเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์เดียวก็คือ “รัฐบาลนี้จะอยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือน”

แต่ความจริงที่ว่า Thailand need change ได้ปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรมเสียแล้ว รัฐบาลปู 1 ที่มีผู้นำเป็นสตรีคนแรกของประเทศไทย ซึงดูเหมือนจะอ่อนประสบการณ์ไม่เท่าทันเลห์เหลี่ยมของนักการเมืองอาชีพอย่างพรรคประชาธิปัตย์ หรือ ส.ส. ท่านอื่นในสภา กลับยืนหยัดต่อสู้กับอำนาจมืดที่รุมเร้ากดดัน และพยายามสร้างปัญหาสารพัดในการบริหารงานประเทศอย่าง่อดทน และผ่านพ้นมาได้อย่างน่าชื่นชมและสง่างาม ไม่เพียงเท่านั้นท่านนายกยิ่งลักษณ์ยังสามารถฟื้นฟูภาพลักษณ์ที่เสียไปจากที่ประเทศไทยเคยเป็นตัวถ่วงแห่งอาเซียนสมัยรัฐบาลนายกอภิสิทธิ์ ให้กลับผงาดขึ้นมาและกำลังจะกลายเป็นผู้นำแถวหน้าแห่งความร่วมมือทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียน ดังนั้นจึงคงไม่ต้องแปลกใจเลยถึงความคลั่งแค้นและโกรธเกรี้ยวของผู้ยิ่งใหญ่ที่อำนาจคับประเทศนี้บางคนที่จะมีต่อรัฐบาลนายกยิ่งลักษณ์เพราะไม่สามารถที่จะทำให้รัฐบาลของประชาชนที่มีผู้นำเป็นสตรีชื่อ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ล้มลงไปได้ตามคำประกาศิตที่ประกาศเอาไว้ก่อนหน้าว่า “รัฐบาลนี้จะอยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือน”

นักบินผู้ขับเครื่องบินมักจะ
ทราบดีว่า ระยะบินที่เสี่ยงภัยที่สุดในการทำการบินก็คือ “ระยะเวลาในช่วงขึ้นบิน หรือในช่วงลงจอด” เพราะทั้งสองระยะคือช่วงเวลาที่ต้องทำการควบคุมเครื่องบินให้เที่ยงตรงที่สุดและต้องไม่เกิดความผิดพลาดมิฉะนั้นเครื่องบินจะเสียการทรงตัวและตกกระแทกพื้นได้ เพราะสภาพอากาศในระยะใกล้พื้นดินมีความแปรปรวนสูง ทั้งลมพายุ แรงกดอากาศ และสิ่งรบกวนการบิน ฯลฯ ซึ่งเหล่านี้ล้วนมีผลต่อผู้ควบคุมการบินและตัวเครื่องบินทั้งสิ้น.. นายกยิ่งลักษณ์เปรียบเสมือนนักบิน (ผู้บริหาร) ที่เพิ่งผ่านการฝึกหัดการบินเล็ก (บริษัทในเครือชินวัตร) มาบ้าง... แต่ต้องมาเป็นนักบิน (นายกรัฐมนตรี) ขับเครื่องบินพานิชย์ลำใหญ่ (ประเทศไทย) ซึ่งมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทั้งยังมีอุปสรรคมากมายชนิดเจียนอยู่เจียนไปที่โถมทับเข้ามาต่อผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้ที่เพิ่งเข้ามาเป็นนักการเมืองสมัยแรก... ซึ่งถ้าไม่แกร่งจริงคงจะล้มคว่ำ และพาให้เครื่องบินประเทศไทยล้มพังไม่เป็นท่าตั้งแต่แรกทำการขึ้นบิน.. เพราะไม่สามารถอดทนต่อแรงกดดันของคำขู่ของผู้ยิ่งใหญ่ที่สำทับมาตลอดเวลาว่า “รัฐบาลนี้จะอยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือน” อย่างแน่นอน

เมื่อพลาดการจากยึดอำนาจด้วยกระแสน้ำเมื่อแรกตั้งรัฐบาล กลุ่มอำนาจเก่าก็ไม่ละความพยายามเมื่อเห็นว่าท่านนายกยิ่งลักษณ์กำลังจะทำท่าขับเครื่องบินประเทศไทยไปได้ดี และทะยานขึ้นสูงไปตามลำดับซึ่งถ้าจะปล่อยเวลาเนิ่นนานไปจนเครื่องบินนี้บินสูงจนขึ้นถึงเพดานบินปกติ กลุ่มอำนาจเก่าก็จะหมดอำนาจที่จะทำลายอิทธิพลของรัฐบาลนายกยิ่งลักษณ์ไปโดยปริยายและสิ้นเชิง.. เนิ่นนานมาแล้วที่ประเทศไทยได้ถูกอำนาจและอิทธิพลมืดครอบงำอยู่จนทำให้ประชาชนและระบบโครงสร้างของประเทศไทยมีความคุ้นเคย และกลายเป็นระบบอุปถัมภ์ ทำให้เกิดการผสมปนเปกันจนแยกไม่ออกระหว่าง คุณความดีที่เกิดขึ้นต่อการรู้จักบุญคุณที่ได้รับการช่วยเหลือ กับการทำในสิ่งที่ผิดหรือถูกต่อสังคมโดยรวม... ด้วยเหตุนี้เองทำให้ภาคส่วนต่างๆ ของระบบราชการไทยที่เป็นกลไกสำคัญในการบริหารงานประเทศ แทนที่จะรับคำสั่งและปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย พวกเขากลับยอมรับที่จะปฏิบัติตามเสียงที่ออกมาจากเงามืดของส่วนที่ลึกลับที่สุดของประเทศนี้ ที่ประกาศว่า “รัฐบาลนี้จะอยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือน”
ความเคลื่อนไหวอย่างมีนัยยะสำคัญของกลุ่มอำนาจเก่าที่จะไม่ยอมสูญเสียอำนาจของตนไปให้กับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน โดยพยายามทุกวิถีทางที่จะล้มรัฐบาลนี้ให้ได้ ซึ่งถ้าจะประมวลหนทางของกลุ่มอำนาจเก่าเหล่านี้จะกระทำการเพื่อล้มรัฐบาลนี้ก็พอจะประมวลได้เป็นวิธีการดังนี้คือ

1, การจับ (ควบคุมตัว) ท่านนายยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพื่อบีบบังคับให้ประกาศลาออก หรือยุบสภา

2. การลอบสังหาร ท่านนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เหมือนดังที่เคยกระทำกับท่านนายกทักษิณ เพื่อตัดตอนการบริหารงานที่มาจากสายของอดีต
ท่านนายกทักษิณ

3. การใช้อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญประกาศยุบพรรคเพื่อไทย และตัดสิทธิทางการเมืองของ ส.ส. พรรค เพื่อทำให้สูญญากาศทางอำนาจการ
บริหารงานในสภา

4. ใช้อิทธิพลของพรรคประชาธิปัตย์สร้างความวุ่นวายในการทำงานของสภาโดยสร้างประเด็นต่างๆ ขึ้นมาเป็นชนวนสร้างความขัดแย้ง และให้
มวลชนจัดตั้งของกลุ่มพันธมิตรออกมาสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายด้วยการชุมนุมที่ใข้ความรุนแรงอย่างไม่เกรงกลัวกฏหมาย (เพราะมีอำนาจมืด
หนุนหลังอยู่) ทำให้เกิดการปะทะกับมวลชนคนเสื้อแดง หรือกำลังตำรวจและเกิดบานปลายจนกลายเป็นจลาจล

5. การใช้กำลังทหารรัฐประหารยึดอำนาจโดยอ้างว่ารัฐบาลไม่สามารถควบคุมความสงบในประเทศได้ และใช้กฏอัยการศึกในการควบคุมประเทศ
(ปิดประเทศ) และจัดการกับผู้ที่ต่อต้านอิทธิพลของกลุ่มอำนาจเก่า

ถ้าหยุดคิด และพิจารณาอย่างใคร่ครวญรอบคอบจริงจัง.. จะเห็นได้ว่า การต่อสู้ทางการเมืองที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยระหว่างกลุ่มอำนาจเก่า (กลุ่มทุนเก่า,เผด็จการอมาตย์) และกลุ่มอำนาจใหม่ (กลุ่มทุนใหม่, ประชาธิปไตย) ขณะนี้..มิได้เป็นเพียงการต่อสู้กันเพื่อให้ได้มาซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย โดยเป็นเพียงความขัดแย้งทางความคิดของประชาชนสองฝ่ายที่คิดแตกต่างกันตามลำพังเท่านั้น.. พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าเปรียบประเทศไทยเหมือนบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีผู้คนอาศัยอยู่ด้วยกันมากมายหลายคน ความขัดแย้งครั้งนี้มิใช่แค่คนในบ้านทะเลาะกันเท่านั้น แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ในความขัดแย้งครั้งนี้ก็คือมีคนข้างบ้านจำนวนมาก ส่งเสียงเชียร์ และเป็นกำลังหนุนของคนในบ้านแต่ละฝ่ายอยู่ด้วยโดยไม่ออกหน้าในแต่ละฝ่ายมิใช่น้อย ด้วยผลประโยชน์ที่มีอยู่อย่างมหาศาลและจะมีผลกระทบต่อโลกนี้เลยทีเดียว..

การสร้างเงื่อนไขความขัดแย้ง และมีความพยายามที่จะจุดให้เป็นประเด็นร้อนเพิ่มขึ้นให้มีมากขึ้นเรื่อยๆ โดยพรรคประชาธิปัตย์.. กลุ่มพันธมิตร.. และศาลรัฐธรรมนูญ มิใช่เหตุบังเอิญ แต่เป็นการวางแผนอย่างเป็นระบบของทีมงานกลุ่มอำนาจเก่า ที่จะพยายามในทุกวิถีทางที่จะทำลายรัฐบาลนายกยิ่งลักษณ์ และอำนาจรัสภาที่มาจากอธิปไตยของประชาชน เพื่อให้อำนาจของตนยังคงอยู่ต่อไป โดยไม่สนใจว่าจะเกิดความพินาศย่อยยับและความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประเทศนี้มากเพียงไร ขอเพียงให้ตนเองและกลุ่มของตนยังคงได้ยืนอยู่บนยอดสุดของการครองอำนาจในประเทศนี้ต่อไป
ประชาชนผู้มีจิตใจเป็นธรรมและรักประชาธิปไตยทั้งหลายครับ.. เวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของประเทศนี้ได้มาถึงแล้ว..แม้ว่าคนไทยจะไม่ใช่ชนชาติที่มีอุปนิสัยในการอ่าน หรือติดตามข่าวสารมากนักก็ตาม แต่การเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึงในเวลาอันใกล้นี้จะมีผลกระทบต่อประชาชนไทยทุกคน ประเทศไทยภายหลังการเปลื่ยนปลงครั้งนี้จะไม่มีทางกลับไปเหมือนเดิมได้อีกอย่างแน่นอน ท่านจะต้องเลือกที่จะอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในระหว่างการสงครามครั้งนี้ เพราะท่านจะไม่สามารถเลือกที่จะยืนอยู่ตรงกลางอย่างโดดเดี่ยวโดยไม่สนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้

และแม้ว่าถ้าท่านเลือกที่จะอยู่เฉยๆ ไม่สบับสนุนฝ่ายใดเลย นั่นก็หมายความว่า “ท่านได้เลือกแล้ว” และทางเลือกของท่านก็คือ “ ท่านเลือกที่จะไม่สนับสนุนให้ประเทศนี้มีการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย นั่นก็คือท่านสนับสนุนฝ่ายเผด็จการอมาตย์” นั่นเอง การศึกครั้งนี้อยู่ใกล้ตัว และมีผลกระทบต่อประชาชนไทยทุกๆ คนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความขัดแย้งได้เข้ามาอยู่ใกล้ตัวของเรามากเกินกว่าที่เราจะคาดคิดหรือปฏิเสธ ไม่ว่าท่านจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ท่านจะชอบหรือไม่ชอบ ท่านจะต้องการหรือไม่ต้องการ แต่ท่านก็ต้องกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งในครั้งนี้ มิฉะนั้นตัวท่านเองก็จะถูกกลืนกินโดยกงล้อแห่งความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในพัฒนาการแห่งสังคมโลก

สำรวจและพิจารณาถึงความเข้าใจของท่านและทำในสิ่งที่ท่านจะสามารถทำได้ให้ดีที่สุด เพื่ออนาคตของลูกหลานของเราที่จะต้องอยู่ต่อไปต่อจากเราอีกนานเท่านาน

มิฉะนั้นวันหนึ่งในอนาคตข้างหน้า ลูกหลานของเราอาจจะยืนอยู่ต่อหน้ากระดูกของเราและถามขึ้นว่า “ทำไมเมื่อมีโอกาสและเวลามาถึงบรรพบุรุษของพวกเขาจึงไม่สร้างประชาธิปไตยให้กับพวกขา ซึ่งส่งผลให้พวกเขาต้องตกเป็นทาสทางการเมือง และทางเศรษฐกิจของมหาอำนาจมาจนทุกวันนี้” ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงผมคงตายตาไม่หลับ และจะรู้สึกอับอายลูกหลานของผมมากจริงๆ ครับ

ปูนนก

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar