fredag 9 november 2018

ปล้นกันต่อไปพวกโจรในเครื่องแบบ ปล้นอำนาจ ปล้นทรัพย็สินของประเทศ !!!

รัฐตูดขาด... ล้วงเงินท้องถิ่นกว่าแสนล้าน เรื่องใหญ่แต่เงียบมาก อ้างว่า เป็นการเอาเงินมาใช้เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ





รัฐตูดขาด สั่งแก้ระเบียบฯ ใช้เงินท้องถิ่น อนุมัติ 1.5 แสนล้าน อ้างกระตุ้นเศรษฐกิจ


BY SARA BAD
ON NOVEMBER 29, 2017
Ispace Thailand


เมื่อวันที่ 28 พ.ย.ที่ผ่านมา มีการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่(ครม.สัญจร) ณ จังหวัดสงขลา ในที่ประชุมได้มีวาระการประชุม กล่าวถึง การแก้ระเบียบปลดล็อกการใช้งบประมาณองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) ที่มีสะสมกว่า 1.5 แสนล้านบาท โดยอ้างว่าเป็นไปเพื่อพัฒนาท้องถิ่น โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและประธานในที่ประชุม ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ได้สั่งให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงการคลังหารือเรื่องนี้ร่วมกันและวางกรอบการใช้เงินให้โปร่งใส[1]





ในที่ประชุม พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องนี้ กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการใช้จ่ายเงินสะสมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือ อปท. เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยกระทรวงมหาดไทยจะหารือกับกระทรวงการคลัง กำหนดเป็นแนวทางที่ชัดเจนออกมาและจะกำชับกับผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ ให้ดูแลเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณท้องถิ่นให้ตรงวัตถุประสงค์และโปร่งใส [2] ซึ่งที่ประชุม ครม.ได้อนุมัติไฟเขียวให้แก้ระเบียบการใช้จ่ายเงินท้องถิ่นได้

ในส่วนของ พลโทสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ที่ประชุมครม.มีมติรับทราบให้นำเงินสะสมท้องถิ่นไปสร้างความเข้มแข็งตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ เพื่อนำมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ซ่อมถนน ซ่อมสนามกีฬา ซึ่งเป็นงบซ่อมแซม ไม่ใช่การสร้างใหม่[3]





โดยกระทรวงมหาดไทยเคยรายงานให้คณะรัฐมนตรีในที่ประชุมทราบว่า อปท.มีเงินสะสมประมาณ 318,000 ล้านบาท สามารถนำมาใช้จ่ายได้ประมาณ 150,000 ล้านบาท เพราะส่วนที่เหลือจากการเปิดเผยของ พล.ท.สรรเสริญ ได้อธิบายว่ารัฐบาลนำมาใช้ทั้งหมดไมได้ เพราะครึ่งหนึ่งต้องกันไว้สำหรับรายการอื่นๆ เช่นเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ คนพิการ และเงินที่รัฐบาลยังไม่ได้อนุมัติ และไม่ต้องไม่น้อยกว่า 25% ของงบสำรองที่ต้องมี

ที่มาที่ไปของเรื่องนี้เกิดขึ้นจากแนวคิดของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ต้องนำงบประมาณ 2 แสนล้านบาท ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มาจ้างงาน และส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน ซึ่งงบดังกล่าว แบ่งเป็น 2 ส่วน โดยร้อยละ 25 เป็นงบสำรองขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือ อปท.ทั้งหมด ส่วนอีกร้อยละ 75 นำมาใช้ได้ ทั้งนี้เงินดังกล่าวมาจาก อปท. 7 พันกว่าแห่งทั่วประเทศ ในจำนวนนี้มี 2 พันกว่าแห่ง จะมีเพียงเงินสำรองสำหรับแก้ปัญหาเท่านั้น ไม่สามารถนำไปใช้ได้ ขณะที่อีกประมาณ 5 พันแห่ง สามารถนำมาใช้ได้ในอัตราที่ไม่เท่ากัน โดยเงินจำนวนดังกล่าวต้องแบ่งสำรองไว้ใช้กรณีบรรเทาสาธารณภัย อีกส่วนหนึ่งก็กันไว้ สำหรับเบี้ยเลี้ยงคนชราและผู้พิการ เป็นต้น

ซึ่งจากการประมาณการแล้ว จะมีงบประมาณที่จะสามารถนำไปใช้ได้ มีประมาณ 150,000 ล้านบาท แต่การจะนำงบประมาณไปใช้ ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ด้วย ว่าจะนำงบประมาณไปใช้อย่างไร[4] โดยนายสมคิด ก็ได้เสนอให้กระทรวงมหาดไทยนำเสนอคณะรัฐมนตรีและอนุมัติเรียบร้อย โดยข้อกล่าวอ้างของพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรี มหาดไทย ที่ว่างบประมาณดังกล่าวต้องการมาช่วยเหลือประชาชนและพัฒนาประเทศในโอกาสต่าง ๆ โดยตลอดอยู่แล้ว ดังนั้นการอนุมัติใช้ไม่น่าจะเสียหายตรงไหน





ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีความพยายามเร่งรัดมาก เพราะแนวคิดของนายสมคิดนี้ เพิ่งจะเสนอกระทรวงมหาดไทยไปเมื่อวันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมา และ ครม.อนุมัติ วันที่ 28 พ.ย.เลย า ซึ่งจากข้อกฎหมายของการใช้เงิน อปท.นั้น ต้องระบุการใช้เงินด้วย และที่มาที่ไปของโครงการด้วย แต่มหาดไทยยังไม่มีโครงการเลย จะสั่งการให้จังหวัด อำเภอ ดำเนินการได้อย่างไร มีแต่กล่าวลอยๆว่า เป็นงบกระตุ้นเศรษฐกิจ และจะกำหนดเป็นแนวทางที่ชัดเจนออกมาในอนาคต และจะกำชับ ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ ให้ดูแลการใช้จ่ายงบประมาณท้องถิ่น ให้ตรงวัตถุประสงค์ และโปร่งใส[5] ซึ่งเลื่อนลอยมาก สำหรับงบประมาณมหาศาลกว่า 1.5 แสนล้านบาท เกือบเท่ากับงบประมาณกระทรวงมหาดไทยเลยทีเดียว




ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีความพยายามเร่งรัดมาก เพราะแนวคิดของนายสมคิดนี้ เพิ่งจะเสนอกระทรวงมหาดไทยไปเมื่อวันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมา และ ครม.อนุมัติ วันที่ 28 พ.ย.เลย า ซึ่งจากข้อกฎหมายของการใช้เงิน อปท.นั้น ต้องระบุการใช้เงินด้วย และที่มาที่ไปของโครงการด้วย แต่มหาดไทยยังไม่มีโครงการเลย จะสั่งการให้จังหวัด อำเภอ ดำเนินการได้อย่างไร มีแต่กล่าวลอยๆว่า เป็นงบกระตุ้นเศรษฐกิจ และจะกำหนดเป็นแนวทางที่ชัดเจนออกมาในอนาคต และจะกำชับ ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ ให้ดูแลการใช้จ่ายงบประมาณท้องถิ่น ให้ตรงวัตถุประสงค์ และโปร่งใส[5] ซึ่งเลื่อนลอยมาก สำหรับงบประมาณมหาศาลกว่า 1.5 แสนล้านบาท เกือบเท่ากับงบประมาณกระทรวงมหาดไทยเลยทีเดียว

ในส่วนของที่มาของเงินองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) นั้น แบ่งออกเป็น 3 แบบ ได้แก่ รายได้ที่จัดเก็บเอง, รายได้จากภาษีและค่าธรรมเนียมที่รัฐจัดเก็บให้และจัดสรรให้ และรายได้จากเงินอุดหนุดจากรัฐบาล(อ่านเพิ่มเติม http://www.rd.go.th/publish/fileadmin/user_upload/morkor/km/guidebook/Local_Administrator.pdf) ซึ่งปัจจุบันรายได้รวมของ อปท.อยู่ที่ 318,000 ล้านบาท หากถูกรัฐส่วนกลางอย่างกระทรวงมหาดไทยหยิบไปใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายประชารัฐของรัฐบาลทหาร 150,000 ล้านบาท

คงน่าสนใจไม่น้อยที่จะพิจารณาต่อประเด็นรัฐตูดขาด ถึงกระทั่งสั่งแก้ระเบียบ อปท.ให้ใช้เงินท้องถิ่น เพราะจากตัวเลขของการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลทหารตลอด 3 ปี กว่า 8 ล้านล้านบาท ไม่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศโตขึ้นเลย แม้รัฐบาลจะพยายามปรับแก้ตัวเลขจีดีพีขนาดไหน ก็แทบจะรั้งท้ายประเทศในภูมิภาคอาเซียนนี้ ตัวเลขงบประมาณขาดดุลสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพียงแค่ในปี 2560 รัฐบาลมีงบประมาณขาดดุลอยู่ที่ 541,740 ล้านบาท ซึ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับปีก่อนๆ และจะเห็นได้ว่าดุลของรัฐบาลไทย ปี พ.ศ. 2556-2560 มีดุลการคลับต่อเนื่องเรื่อยๆ แค่ในยุครัฐบาลทหาร มีภาวะขาดดุลไปแล้วกว่า 1,331,789 ล้านบาท ซึ่งไม่มีที่ท่าว่าจะลดลง[6]

คงเห็นแล้วว่ารัฐบาลทหารผลาญงบประมาณของประเทศไปมหาศาลแค่ไหน ที่เราเห็นๆคุ้นๆเช่น การผลาญเงินประกันสังคม และยังจะผลาญต่อไปถึงองค์กรปกครองท้องถิ่นอีก น่าสนใจว่าจะไปผลาญที่ไหนต่อ

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar