สุขภาพของกษัตริย์ภูมิพลกับบริบทการเปลี่ยนแปลง
โดย กลุ่มเสียงประชาชนไทย
ในวาระครบ
6 ปีของการรัฐประหารนับแต่ 19
กันยา
2549 ได้
เกิดภาวะตาสว่างของประชาชนไทยและชาวโลกแล้วว่าเนื้อแท้ของระบอบการปกครองไทย
คือระบอบราชาธิปไตย
ส่วนที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนนั้นเป็นเพียงรูปแบบประชาธิปไตยที่
หลอกลวงชาวโลกแต่เนื้อหาที่แท้จริงคือระบอบเผด็จการของพระราชาที่อำนาจทั้ง
ทางการเมือง
เศรษฐกิจและวัฒนธรรม
รวมศูนย์อยู่ที่ตัวพระมหากษัตริย์และราชวงศ์ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า
ทำไมจึงมีการรัฐประหารบ่อยครั้งและทุกครั้งก็จะได้รับการรับรองความถูกต้อง
จากกษัตริย์ภูมิพล
ทั้งนี้ก็เพื่อให้ระบอบอำนาจของประชาชนไม่อาจจะเติบโตได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรัฐประหารล่าสุดได้เปิดโปงระบอบราชาธิปไตยของไทยอย่าง
ชัดแจ้ง ดังจะเห็นได้จากตัวประธานองคมนตรี พล.อ.เปรม และองคมนตรี
พล.อ.สุรยุทธ รวมทั้งประธานศาลฎีกา
และประธานศาลปกครอง
ซึ้งเป็นอำนาจสายตรงและใกล้ชิดกษัตริย์เป็นผู้นำการรัฐประหารเอง
ทั้งนี้เป็นผลมาจากความลำพองใจที่ถือครองอำนาจมายาวนานโดยไม่มีอำนาจใดมาทัด
ทานประกอบกับเกิดความขัดแย้งในการสืบทอดรัชกาลที่ไม่ลงตัวของรัชกาลที่
10 จึงทำให้การรัฐประหาร 19
กันยา 2549 และ
การสืบทอดอำนาจเป็นไปอย่างประเจิดประเจ้อ
โดย พล.อ.เปรม
นำคณะออกมายึดอำนาจเองและทำการอย่างไม่เกรงใจต่อสายตาคนไทยและชาวโลกด้วยการ
ยึดทำเนียบรัฐบาล
ยึดสนามบินรวมถึงกล้าที่จะฆ่าประชาชนกลางเมืองหลวง
เพียงเพื่อที่จะรักษาอำนาจเผด็จการของตนไว้
และด้วยเหตุนี้ความเจ็บป่วยของกษัตริย์และราชินี
ในภาวะที่ชราภาพจึงเป็นบริบทสำคัญของการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐตัวจริงซึ่งเป็น
ที่จับจ้องของนานาชาติ
การไม่ออกมาปรากฏตัวต่อสาธารณะชนของกษัตริย์และราชินีที่นานกว่า
3
เดือน
จึงถูกจับตาของคนไทยและนานาชาติ
ว่าบุคคลทั้งสองกำลังเจ็บป่วยอย่างหนักและอาจจะถึงขั้นเสียชีวิตหรือทุพลภาพ
จนไม่อาจจะปฏิบัติการควบคุมอำนาจได้ต่อไป ประเทศไทยในเวลาครบรอบ 6
ปี ของการรัฐประหารจึงกลายเป็นประเทศข่าวลือ และความไม่มีเสถียรภาพ
ขณะนี้คนไทยกำลังจับจ้องข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี
แต่มิใช่ให้ความสนใจว่าใครจะได้เป็นหรือไม่ได้เป็นรัฐมนตรีแต่สนใจว่าสุขภาพ
ของกษัตริย์อยู่ในขั้นใด เพราะเมื่อปรับ
ครม.แล้วโดยพิธีการกษัตริย์จะต้องแสดงตัวทางโทรทัศน์ในการรับคำปฏิญาณตนของ
ครม.
ใหม่และจะต้องกล่าวให้โอวาทซึ่งขณะนี้พิธีการต่างๆที่ราชสำนักสร้างขึ้นโดย
ให้การแต่งตั้งข้าราชการ
ทหาร ตำรวจ พลเรือน
ระดับสูงต้องเข้าสู่พิธีกรรมที่ให้กษัตริย์ภูมิพลแสดงตัวเพื่อแสดงถึงอำนาจ
สูงสุดของกษัตริย์ได้ถูกยกเลิกไปเกือบหมดแล้ว
อาทิเช่น การใช้คฑาแตะบ่าผู้ที่ได้รับโปรดเกล้าให้เป็นนายพลใหม่
ปัจจุบันก็ไม่มีให้เห็นแล้ว
ท่ามกลางข่าวลือว่ากษัตริย์ป่วยหนักก็เกิดกระแสข่าวจากบริวารว่าสุขภาพของ
ท่านแข็งแรงดีเป็นการสวนกระแสมาตลอดแต่กษัตริย์และราชินีกลับไม่แสดงตัว
ทั้งๆที่ในช่วง
2-3 ปี
ที่ผ่านมาบุคคลทั้งสองก็ชอบแสดงตัวต่อสาธารณะและทำท่าว่าแข็งแรงในสภาพที่
เดินไม่ได้มาโดยตลอด
และยิ่งในระยะหลังพระราชพิธีที่สำคัญก็ไม่ปรากฏตัวทั้งสามีและภรรยาโดยเฉพาะ
ในงานวันเกิดของราชินีซึ่งมีข่าวจะเสด็จออกทั้งสองพระองค์แต่ก็ไม่เป็นจริง
หากเราจะศึกษาประเทศที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการและมีอำนาจรวมศูนย์อยู่ที่
ตัวผู้นำสูงสุดตลอดกาลโดยไม่มีวาระของการออกจากตำแหน่งนอกจากความตาย
ซึ่งในโลกนี้ก็เหลือน้อยเต็มทีซึ่งล่าสุดคือประเทศเกาหลีเหนือ
เราก็จะพบความจริงว่าความเจ็บป่วยและความตาย
ของผู้นำ คิม จอง อิล เป็นความลับสุดยอดแม้กระทั่งเวลาที่เสียชีวิต
จากข้อเท็จจริงที่สรุปได้จากสำนักข่าวกรองของเกาหลีใต้ที่มอร์นิเตอร์จอ
โทรทัศน์เกาหลีเหนือตลอดเวลาและจากการสืบสภาพการเคลื่อนไหวของชนชั้นนำของ
เกาหลีเหนือ
24 ชั่วโมงก็ได้พบความจริงว่า
วันเวลาที่ประกาศการเสียชีวิตของ นาย คิม จอง อิล
ผู้นำเกาหลีเหนืออย่างเป็นทางการทางโทรทัศน์เมื่อเวลา 12.00น.
ของวันที่ 19 ธันวาคม 2554นั้นไม่ตรงกับความเป็นจริงโดยยืนยันว่า
นาย คิม จอง อิล ได้เสียชีวิตก่อนหน้านั้นแล้ว 51 ชั่วโมง
เพราะอย่างน้อยที่สุดก่อนจะมีการประกาศข่าวทางโทรทัศน์ในเวลา 12.00น.
นั้น ในเวลา 10.00น.
ของวันเดียวกันนั้นก็มีการประกาศว่าจะมีการประกาศข่าวพิเศษในเวลา 12.00น.
และแหล่งข่าวหลายสำนักทั้งของเกาหลีใต้และสหรัฐอเมริกาที่จับจ้องเกาหลีเหนือผ่านดาวเทียมก็ไม่พบการเคลื่อนขบวนรถไฟพิเศษของ
นาย คิม จอง อิล
ที่อ้างว่าเสียชีวิตบนรถไฟขณะไปตรวจงานเพราะขบวนรถไฟพิเศษของเขานั้นมีตู้โบกี้ที่เปรียบเสมือนโรงพยาบาลเคลื่อนที่มากถึง
20
ตู้และหากนาย คิม
สิ้นใจบนรถไฟจริงก็จะต้องมีการระดมคณะแพทย์และควรจะต้องหยุดรถไฟเพื่อทำการ
รักษาพยาบาลอย่างสุดความสามารถของแพทย์ ซึ่งไม่อาจปกปิดความลับได้นานถึง 50
ชั่วโมง
จึงมีข้อสรุปว่านาย คิม ได้นอนป่วยและสิ้นชีวิตในที่พัก
แต่การปล่อยข่าวว่าสิ้นชีวิตบนรถไฟก็เพื่อสร้างภาพให้เห็นถึงความเสียสละสูง
สุดของท่านผู้นำว่าเป็นการตายในขณะปฏิบัติหน้าที่และเวลาที่ทอดยาวไปนานถึง
51 ชั่วโมงก่อนการประกาศอย่างเป็นทางการนั้นก็เป็นการเตรียมการเพื่อโฆษณาชวนเชื่อและเตรียมการของผู้สืบทอดอำนาจ
เกี่ยวกับเวลาการเสียชีวิตจริงของนาย
คิม หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ จุงอัง
อ้างแหล่งข่าวในกรุงปักกิ่งว่าเอกอัคราชฑูตจีนประจำกรุงเปียงยางซึ่งเป็น
ประเทศมหามิตรของเกาหลีเหนือได้ทราบเวลาการเสียชีวิตของนาย
คิม ที่ใกล้เวลาจริงที่สุดและจากการตายของนาย คิม นี้เกิดผลกระทบถึง นายวอน
เซ ฮุน
ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองของเกาหลีใต้ที่ไม่สามารถจะรู้ความจริงการเสีย
ชีวิตของนาย
คิม ได้ก่อนที่จะมีการประกาศทางโทรทัศน์อย่างเป็นทางการ
ทำให้การเตรียมการป้องกันการโจมตีของเกาหลีเหนือที่อาจจะเกิดขึ้นจากการผลัด
แผ่นดินไม่ทันการ
ความสำคัญของการเปลี่ยนอำนาจจากการตายของผู้นำเกาหลีเหนือก็ไม่ต่างอะไรจาก
การเปลี่ยนอำนาจอันจะเกิดจากการตายของกษัตริย์ไทยในขณะนี้ที่มีกฎหมายเผด็จ
การปกปิดความจริงทุกอย่างของราชสำนักแม้ประเทศไทยดูเหมือนจะมีเสรีภาพทาง
ข่าวสารมากกว่าก็ตามแต่ความสามารถในการใช้อำนาจเผด็จการของไทยมีลักษณะหลอก
ลวงด้วยรูปแบบที่ดีกว่าแต่เนื้อแท้เหมือนกันทั้งนักวิชาการ
นักข่าวในไทย ต่างหวาดกลัวกันหมดที่จะพูดถึงความจริง
ดังนั้นสถานการณ์ทางการเมืองไทยในวาระครบ
6
ปีของการรัฐประหารจึงเกิดภาวะตาสว่างว่าการผลัดเปลี่ยนอำนาจตัวจริงน่าจะ
เกิดขึ้นในอีกไม่นานนี้
ภาวะความเงียบสงัดในขณะนี้น่าจะเป็นภาวะเป็นความหวังสุดท้ายที่จะคงอำนาจ
เผด็จการตามความประสงค์ของกษัตริย์ภูมิพลจากการรักษาพญาบาลครั้งใหญ่และเป็น
การเตรียมการจัดฉากสร้างภาพและผ่องถ่ายอำนาจให้แก่รัชการที่
10 ที่ไม่เป็นไปตามกฎมนเฑียรบาลเพื่อจะให้แก่ผู้หญิงด้วยการสนับสนุนของ
พล.อ.เปรม และบริวาร แต่จากอำนาจของวังที่ขัดแย้งรุนแรงและความเจ็บป่วยหนักนี้ก็มีเหตุผลมากว่าการเตรียมการยึดอำนาจมา 6
ปี เพื่อการขึ้นครองบัลลังก์ของสตรีตามแผนการที่วางไว้น่าจะสายไปเสียแล้ว
แต่หากจะกระทำการฝ่าฝืนความจริงก็จะเกิดความรุนแรงและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
ทางโครงสร้างอย่างแน่นอน
..........................................................
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar