สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
บทนำ
วันที่ 6 ตุลาคม 2519 นั้นเป็นวันที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่า ได้เกิดกรณีนองเลือดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐบาลและกลุ่มฝ่ายขวาหลายกลุ่มร่วมมือกันก่อการสังหารหมู่นักศึกษาประชาชน ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ใจกลางพระนคร จนทำให้มีผู้เสียชีวิตฝ่ายประชาชนอย่างน้อย 41 คน และบาดเจ็บ 145 คน การก่อการสังหารครั้งนี้ได้กลายเป็นข่าวแพร่ไปทั่วโลก แต่ที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือ การก่อกรณีนองเลือดครั้งนี้ ไม่มีการจับกุมฆาตกรผู้ก่อการสังหารเลยแม้แต่คนเดียว ในทางตรงข้ามนักศึกษาประชาชนที่เหลือรอดจากการถูกสังหารจำนวน 3,094 คน กลับถูกจับกุมทั้งหมดภายในวันนั้นเอง และถึงแม้ว่าในระยะต่อมา ผู้ถูกจับกุมจะได้รับการประกันตัวออกมาเป็นส่วนใหญ่ แต่สุดท้ายก็ยังมีเหลืออีก 27 คน ถูกอายัดตัวเพื่อดำเนินคดี เป็นชาย 23 คน และหญิง 4 คน จนท้ายที่สุด จะเหลือ 19 คน ซึ่งตกเป็นจำเลย ถูกคุมขังและดำเนินคดีอยู่เกือบ 2 ปีจึงจะได้รับการปล่อยตัว ส่วนผู้ก่อการสังหารซึ่งควรจะเป็นจำเลยตัวจริงนั้นไม่มีรัฐบาลหรือผู้กุมอำนาจครั้งไหนกล่าวถึงอีกเลย แม้กระทั่ง พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ นายกรัฐมนตรีสมัยที่ปล่อยผู้ต้องหา 6 ตุลาฯ ทั้ง 19 คนนี้ก็ได้กล่าวว่า แล้วก็ให้แล้วกันไป ลืมมันเสียเถิดนะ เหมือนกับว่าจะให้ลืมกรณีฆาตกรรมดังกล่าวเสีย มิให้กล่าวถึงคนร้ายในกรณีนี้อีกจริงอยู่ประเทศด้อยพัฒนาเช่นประเทศไทย มีคดีอิทธิพลจำนวนมากที่ทางการไม่กล้าแตะต้อง และจับคนร้ายไม่ได้ แต่คดีอิทธิพลเหล่านั้นแตกต่างจากคดี 6 ตุลาฯ เพราะการก่ออาชญากรรมในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 เป็นเหตุการณ์กลางเมืองที่เปิดเผยจนได้รับรู้กันทั่วโลก รวมทั้งผู้ต้องหาที่เปิดเผยโจ่งแจ้งก็มีอยู่มาก แต่คนเหล่านี้นอกจากจะไม่ถูกจับกุมตามกฎหมายแล้ว ยังได้ความดีความชอบในฐานะที่เป็นผู้พิทักษ์ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อีกด้วย ปัญหาในกรณีนี้ก็คือ อิทธิพลอะไรที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มฆาตกรซึ่งผลักดันให้ผู้ก่ออาชญากรรมลอยนวลอยู่ได้เช่นนี้? และนักศึกษาผู้ตกเป็นเหยื่อของการฆาตกรรมได้ก่อความผิดร้ายแรงเพียงใดหรือ จึงต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรงเช่นนี้?
เงื่อนงำของการสังหารโหดนี้ได้รับการคลี่คลายในตัวเองขั้นหนึ่งในเย็นวันนั้นเอง เมื่อคณะทหารกลุ่มหนึ่งในนามของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ได้กระทำการรัฐประหารยึดอำนาจล้มเลิกการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ล้มรัฐบาลที่ได้มาจากการเลือกตั้งตามวิถีทางรัฐสภาและฟื้นระบอบเผด็จการขวาจัดขึ้นมาปกครองประเทศแทน ถ้าหากว่าการสังหารหมู่เมื่อเช้าวันที่ 6 ตุลาคม คือการก่ออาชญากรรมต่อนักศึกษาผู้รักความเป็นธรรมแล้ว การรัฐประหารเมื่อเย็นวันที่ 6 ตุลาคม คือ การก่ออาชญากรรมต่อประเทศชาติ เพราะเป็นการทำลายสิทธิประชาธิปไตยของประชาชนทั้งชาติ ที่ได้มาจากการเสียสละเลือดเนื้อและชีวิตของวีรชน 14 ตุลาคม 2516 เมื่อโยงการรัฐประหารของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ครั้งนี้เข้ากับการสังหารโหดที่เกิดขึ้นในวันเดียวกัน จะทำให้มองเห็นภาพการเคลื่อนไหวของพลังปฏิกิริยาที่ร่วมมือกันก่ออาชญากรรมได้ชัดเจนขึ้น
ดังนั้น เพื่อนำมาสู่ความเข้าใจของที่มาแห่งกรณี 6 ตุลาคม 2519 ในบทความนี้ จึงจะขอนำเสนอสาระสำคัญ ดังหัวข้อต่อไปนี้
1. สภาพการณ์ทางการเมืองไทย หลังกรณี 14 ตุลาฯ
กรณี 6 ตุลาคม 2519 เกิดขึ้นได้อย่างไรนั้น ก่อนอื่นคงต้องเริ่มต้นจากกรณี 14 ตุลาคม 2516 เหตุการณ์ครั้งนั้น นับเป็นครั้งแรกที่นักศึกษาและประชาชนที่ปราศจากอาวุธ และไม่เคยมีส่วนร่วมทางการเมือง ได้ลุกฮือขึ้นสู้ต่อสู้ จนกระทั่งสามารถโค่นรัฐบาลเผด็จการ ที่นำโดยสถาบันทหารและระบบราชการลงได้ หลังจากที่ระบอบนี้ครอบงำการเมืองไทยอยู่นานถึง 16 ปีนับตั้งแต่การยึดอำนาจของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อเดือนตุลาคม 2501 การเปลี่ยนแปลงเริ่มตั้งแต่เมื่อเกิดความรุนแรงในเช้าวันที่ 14 ตุลาคม จากการเกิดเหตุปะทะของนักศึกษาประชาชนและเจ้าหน้าที่ตำรวจทหาร จากนั้นการต่อสู้ของฝ่ายประชาชนลุกลาม จนทำให้รัฐบาลไม่อาจควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ ในที่สุด จอมพลถนอม กิตติขจร ต้องประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเวลาเย็นวันที่ 14 ตุลาคม 2516 นั้นเอง จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ประกาศตั้งนายสัญญา ธรรมศักดิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นนายกรัฐมนตรี เหตุการณ์จึงได้กลับคืนสู่สภาพปกติในวันที่ 15 ตุลาคม หลังจากที่อดีตผู้นำ 3 คน คือ จอมพลถนอม กิตติขจร จอมพลประภาส จารุเสถียร และพ.อ.ณรงค์ กิตติขจร ได้เดินทางหนีออกจากประเทศ
แม้ว่าจะประกาศเป็นรัฐบาลรักษาการ แต่นายสัญญา ธรรมศักดิ์ได้เปลี่ยนภาพลักษณ์ของการบริหารประเทศไปไม่น้อย จากการตั้งคณะรัฐบาลที่มีพลเรือนเป็นส่วนข้างมาก คือ 19 คน โดยมีตำรวจและทหารเพียง 5 คน ซึ่งส่วนมากดำรงตำแหน่งในส่วนกลาโหมและมหาดไทย ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การรัฐประหารเดือนพฤศจิกายน 2494 เป็นต้นมา ที่คณะบริหารมีสัดส่วนของพลเรือนมากเช่นนี้ จากนั้น คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามผลการปฏิบัติราชการ (กตป.) ซึ่งแต่เดิม มี พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร เป็นเลขาธิการ ถูกยกเลิก นายสัญญา ธรรมศักดิ์ ได้ประกาศว่าจะปกครองประเทศด้วยระบอบประชาธิปไตย จะให้เสรีภาพแก่ประชาชนอย่างเต็มที่ พยายามที่จะแสดงความใกล้ชิดกับประชาชนโดยการออกรายการโทรทัศน์ที่ชื่อว่า “พบประชาชน” เป็นระยะๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลมิได้บริหารประเทศโดยพลการดังที่ผ่านมา นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ก็ยังให้สัญญาที่จะแก้ปัญหาของประเทศในหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาเงินเฟ้อ ปัญหาความเดือดร้อนของชาวนา ปัญหาความยากจนของประชาชน เป็นต้น และสัญญาว่าจะดำเนินการให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยโดยเร็ว และให้มีการสอบสวนคดีสังหารหมู่ในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 ส่วน พล.อ.กฤษณ์ สีวะรา ผู้บัญชาการทหารบก ก็ได้เสนอเรื่องให้มีการยกเลิกการพระราชทานยศจอมพลแก่นายทหาร ทำให้ยศจอมพลสิ้นสุดลง
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลก็ประสบวิกฤตอย่างหนัก เพราะปัญหาหลายด้านรุมเร้า ส่วนหนึ่งมาจากวิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น อันเนื่องจากวิกฤตการณ์น้ำมันในตลาดโลก ซึ่งเกิดขึ้นใน พ.ศ.2517 ทำให้รัฐบาลต้องขึ้นราคาน้ำมันภายในประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ทำให้ประชาชนเดือดร้อนมากขึ้น นอกจากนี้ก็คือการเผชิญกับกระแสการตื่นตัวของประชาชน ทำให้เกิดการประท้วงจากประชาชนส่วนต่างๆ ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม จนรัฐบาลไม่อาจจะแก้ปัญหาได้ การควบคุมเสถียรภาพทางการเมืองก็ทำได้ยาก ดังนั้น ในวันที่ 21 พฤษภาคม 2517 นายกรัฐมนตรี สัญญา ธรรมศักดิ์ จึงลาออกจากตำแหน่ง แต่ก็ได้รับการแต่งตั้งกลับมาใหม่ และบริหารประเทศต่อมาอีก 9 เดือน หลังจากที่ได้มีการพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในวันที่ 7 ตุลาคม 2517 และให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 26 มกราคม 2518 ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนเสียงมากที่สุด ดังนั้น ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าพรรค จึงได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ และได้มีการตั้งรัฐบาล 2 พรรคระหว่างพรรคประชาธิปัตย์และเกษตรสังคม แต่ปรากฏว่าในวันแถลงนโยบาย สภาลงมติไม่รับรองนโยบายรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช จึงต้องลาออกจากตำแหน่ง และ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช หัวหน้าพรรคกิจสังคม ได้รวบรวมเสียงพรรคต่างๆ 12 พรรคมาสนับสนุนจนมากเพียงพอ จึงได้เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ได้แถลงนโยบายหลักคือ การผันเงินสู่ชนบท สงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อยในกรุงเทพฯ ให้ขึ้นรถเมล์ฟรี รักษาพยาบาลฟรี และวางนโยบายต่างประเทศให้สหรัฐฯ ถอนทหารจากประเทศไทย รัฐบาลชุดนี้ได้รับการรับรองจากสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2518
รัฐบาลของม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช บริหารประเทศต่อจากนั้นมาได้นาน 10 เดือน ก็เกิดวิกฤตการณ์อย่างหนักในคณะรัฐบาล หลังจากที่นายกรัฐมนตรีพยายามจะดึงพรรคเกษตรสังคมมาเข้าร่วมรัฐบาล แต่กลับก่อให้เกิดความแตกแยกอย่างมากในหมู่พรรคร่วมรัฐบาลพรรคอื่น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์จึงได้ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฏรในวันที่ 12 มกราคม 2519 และประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 4 เมษายน 2519 ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์ได้รับชัยชนะด้วยเสียงมากที่สุด แม้กระทั่ง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี ก็พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งที่เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ดังนั้น ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จึงกลับมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และตั้งรัฐบาลผสม 4 พรรค คือ พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำร่วมกับพรรคชาติไทย ที่นำโดย พล.ต.ประมาณ อดิเรกสาร พรรคธรรมสังคม นำโดย พล.อ.อ.ทวี จุลละทรัพย์ และ พรรคสังคมชาตินิยม นำโดย นายประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ รัฐบาลชุดนี้ บริหารประเทศมาจนถึงเมื่อเกิดเหตุการณ์วันที่ 6 ตุลาคม 2519 จึงสิ้นสภาพอย่างเป็นทางการ ด้วยการรัฐประหารของฝ่ายทหาร
2. ปัจจัยที่นำมาสู่กรณี 6 ตุลาฯ
จากเงื่อนไขทางการเมืองที่กล่าวมา
เป็นบริบทพื้นฐานที่จะทำความเข้าใจการเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
ซึ่งปัจจัยที่นำมาสู่กรณี 6 ตุลาฯ สามารถพิจารณาตามหัวข้อได้ดังนี้คือ
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar