6 ตุลา : เหตุการณ์ที่ธรรมศาสตร์กับผลกระทบต่อทั้งประเทศ
เกิดอะไรขึ้นที่ธรรมศาสตร์และท้องสนามหลวงในวันที่ 6ตุลาคม 2519เป็นเรื่องที่ยังเป็นที่จดจำ ศึกษาหาความจริงและสรุปบทเรียนกันไปอีกนานในสังคมไทย
ผมเองก็ไปร่วมงานรำลึก 6 ตุลา มาหลายต่อหลายครั้งและเห็นว่าในงานรำลึกแต่ละครั้งมักมีแง่มุมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมอยู่เสมอ
นอกจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในธรรมศาสตร์และสนามหลวงแล้ว “6 ตุลา” มีผลกระทบต่อประเทศไทยทั้งประเทศและมีผลต่อเนื่องมายาวนาน
เหตุการณ์ในวันนั้นคือการที่ผู้มีอำนาจในขณะนั้นหรืออาจต้องเรียกว่ารัฐไทยได้เลือกใช้กำลังความรุนแรงเข้าจัดการกับผู้ที่เห็นต่างอย่างเหี้ยมโหดทารุณ เกิดการเข่นฆ่านักศึกษาประชาชนในตอนเช้าตรู่และกลางวัน แล้วค่ำวันเดียวกันนั้นก็เกิดการรัฐประหารที่วางแผนล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว ทำให้ประเทศกลับสู่ยุคเผด็จการเต็มรูปแบบอีกครั้งนานถึง 3 ปีก่อนที่จะเป็นประชาธิปไตยแบบพิกลพิการที่ประชาชนไม่สามารถกำหนดอนาคตของตนเองได้อีกเกือบ 10 ปี
การเข่นฆ่าครั้งนั้นผลักไสให้นักศึกษาประชาชนจำนวนนับพันต้องออกไปอยู่ป่าเขา ร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธด้วยข้อสรุปว่า“เลือดต้องล้างด้วยเลือด”และ“อำนาจรัฐเกิดจากกระบอกปืน” นำไปสู่การสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิตของคนไทยด้วยกันครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน กว่าจะได้ข้อสรุปว่าการต่อสู้ในแนวทางนั้นไม่สอดคล้องกับสภาพสังคมไทยและไม่ใช่ทางออกของประเทศ
การรัฐประหารครั้งนั้นได้ปิดกั้นโอกาสในการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนลงไป การจัดตั้งและการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิและประโยชน์ของประชาชนอาชีพต่างๆโดยเฉพาะกรรมกรผู้ใช้แรงงานและชาวนาต้องยุติลงหรือไม่ก็อยู่ในสภาพอ่อนแอมากตลอดมา
สิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งก่อนและหลัง “6 ตุลา” มีส่วนอย่างสำคัญทำให้อุดมการณ์เสรีประชาธิปไตยไม่ได้รับการปลูกฝังและพัฒนาให้เข้มแข็งในสังคมไทย ขณะที่ผู้มีอำนาจก็สรุปบทเรียนและพัฒนาการใช้การรัฐประหารบวกกับการออกแบบรัฐธรรมนูญให้ซับซ้อนมีหลักประกันว่าอำนาจในการบริหารประเทศจะอยู่ในมือของพวกตนเท่านั้น ไม่เป็นของประชาชน
มีบางคนมองโลกในแง่ดีว่าผู้มีอำนาจของไทยในเวลาต่อมาเรียนรู้ที่จะไม่ใช้ความรุนแรงเข้าจัดการกับผู้เห็นต่างเหมือนเมื่อ 6 ตุลา แต่การเรียนรู้และปรับเปลี่ยนวิธีการของผู้อำนาจดูจะมีอยู่เพียงช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ต่อมาก็ยังเกิดการรัฐประหารและตามมาด้วยการเข่นฆ่าประชาชนอีก
ส่วนในช่วง 10 กว่าปีมานี้ แม้ไม่มีการปราบประชาชนควบกับการรัฐประหารในวันเดียวกันอย่างจะจะเหมือนเหตุการณ์ 6 ตุลา แต่สังคมไทยก็เหมือนกับเผชิญอยู่กับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นเมื่อ 6 ตุลา 2519 เพียงแต่เหตุการณ์ที่เข้มข้นและเกิดในวันเดียวกันเหล่านั้นถูกคลี่ออกไปในช่วงเวลาที่ยาวกว่า ทำให้เกิดเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการปลุกให้คนเกลียดชังกัน การเข่นฆ่าประชาชนไปจำนวนมากโดยไม่มีใครถูกลงโทษ การรัฐประหารที่นำไปสู่การปกครองแบบเผด็จการและการเขียนรัฐธรรมนูญที่ไม่ให้ประชาชนมีอำนาจหรือมีสิทธิ์มีเสียง
พูดในมิตินี้แล้ว สังคมไทยก็ยังไม่ได้พัฒนาดีขึ้นกว่าเมื่อ 40 กว่าปีก่อนเท่าใดนัก ทั้งนี้ก็เพราะสังคมไทยยังไม่พัฒนาไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย ที่รู้จักใช้กลไกวิธีการแบบประชาธิปไตยในการแก้ปัญหาความขัดแย้งแตกต่างทางความคิดและการเมืองอย่างที่เขาทำกันในนานาอารยประเทศ
เกิดอะไรขึ้นที่ธรรมศาสตร์และท้องสนามหลวงในวันที่ 6ตุลาคม 2519เป็นเรื่องที่ยังเป็นที่จดจำ ศึกษาหาความจริงและสรุปบทเรียนกันไปอีกนานในสังคมไทย
ผมเองก็ไปร่วมงานรำลึก 6 ตุลา มาหลายต่อหลายครั้งและเห็นว่าในงานรำลึกแต่ละครั้งมักมีแง่มุมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมอยู่เสมอ
นอกจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในธรรมศาสตร์และสนามหลวงแล้ว “6 ตุลา” มีผลกระทบต่อประเทศไทยทั้งประเทศและมีผลต่อเนื่องมายาวนาน
เหตุการณ์ในวันนั้นคือการที่ผู้มีอำนาจในขณะนั้นหรืออาจต้องเรียกว่ารัฐไทยได้เลือกใช้กำลังความรุนแรงเข้าจัดการกับผู้ที่เห็นต่างอย่างเหี้ยมโหดทารุณ เกิดการเข่นฆ่านักศึกษาประชาชนในตอนเช้าตรู่และกลางวัน แล้วค่ำวันเดียวกันนั้นก็เกิดการรัฐประหารที่วางแผนล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว ทำให้ประเทศกลับสู่ยุคเผด็จการเต็มรูปแบบอีกครั้งนานถึง 3 ปีก่อนที่จะเป็นประชาธิปไตยแบบพิกลพิการที่ประชาชนไม่สามารถกำหนดอนาคตของตนเองได้อีกเกือบ 10 ปี
การเข่นฆ่าครั้งนั้นผลักไสให้นักศึกษาประชาชนจำนวนนับพันต้องออกไปอยู่ป่าเขา ร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธด้วยข้อสรุปว่า“เลือดต้องล้างด้วยเลือด”และ“อำนาจรัฐเกิดจากกระบอกปืน” นำไปสู่การสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิตของคนไทยด้วยกันครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน กว่าจะได้ข้อสรุปว่าการต่อสู้ในแนวทางนั้นไม่สอดคล้องกับสภาพสังคมไทยและไม่ใช่ทางออกของประเทศ
การรัฐประหารครั้งนั้นได้ปิดกั้นโอกาสในการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนลงไป การจัดตั้งและการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิและประโยชน์ของประชาชนอาชีพต่างๆโดยเฉพาะกรรมกรผู้ใช้แรงงานและชาวนาต้องยุติลงหรือไม่ก็อยู่ในสภาพอ่อนแอมากตลอดมา
สิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งก่อนและหลัง “6 ตุลา” มีส่วนอย่างสำคัญทำให้อุดมการณ์เสรีประชาธิปไตยไม่ได้รับการปลูกฝังและพัฒนาให้เข้มแข็งในสังคมไทย ขณะที่ผู้มีอำนาจก็สรุปบทเรียนและพัฒนาการใช้การรัฐประหารบวกกับการออกแบบรัฐธรรมนูญให้ซับซ้อนมีหลักประกันว่าอำนาจในการบริหารประเทศจะอยู่ในมือของพวกตนเท่านั้น ไม่เป็นของประชาชน
มีบางคนมองโลกในแง่ดีว่าผู้มีอำนาจของไทยในเวลาต่อมาเรียนรู้ที่จะไม่ใช้ความรุนแรงเข้าจัดการกับผู้เห็นต่างเหมือนเมื่อ 6 ตุลา แต่การเรียนรู้และปรับเปลี่ยนวิธีการของผู้อำนาจดูจะมีอยู่เพียงช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ต่อมาก็ยังเกิดการรัฐประหารและตามมาด้วยการเข่นฆ่าประชาชนอีก
ส่วนในช่วง 10 กว่าปีมานี้ แม้ไม่มีการปราบประชาชนควบกับการรัฐประหารในวันเดียวกันอย่างจะจะเหมือนเหตุการณ์ 6 ตุลา แต่สังคมไทยก็เหมือนกับเผชิญอยู่กับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นเมื่อ 6 ตุลา 2519 เพียงแต่เหตุการณ์ที่เข้มข้นและเกิดในวันเดียวกันเหล่านั้นถูกคลี่ออกไปในช่วงเวลาที่ยาวกว่า ทำให้เกิดเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการปลุกให้คนเกลียดชังกัน การเข่นฆ่าประชาชนไปจำนวนมากโดยไม่มีใครถูกลงโทษ การรัฐประหารที่นำไปสู่การปกครองแบบเผด็จการและการเขียนรัฐธรรมนูญที่ไม่ให้ประชาชนมีอำนาจหรือมีสิทธิ์มีเสียง
พูดในมิตินี้แล้ว สังคมไทยก็ยังไม่ได้พัฒนาดีขึ้นกว่าเมื่อ 40 กว่าปีก่อนเท่าใดนัก ทั้งนี้ก็เพราะสังคมไทยยังไม่พัฒนาไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย ที่รู้จักใช้กลไกวิธีการแบบประชาธิปไตยในการแก้ปัญหาความขัดแย้งแตกต่างทางความคิดและการเมืองอย่างที่เขาทำกันในนานาอารยประเทศ
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar