.....................................................................
ข่าวเฉพาะกิจ—ชีวิตลับของกษัตริย์วชิราลงกรณ์ ในวังสุขสำราญใน ...
ข่าวเฉพาะกิจ—ชีวิตลับของกษัตริย์วชิราลงกรณ์ ในวังสุขสำราญในเยอรมนี
EXCLUSIVE—The secrets of King Vajiralongkorn’s German pleasure palace
(Scroll down for English-language version)
กษัตริย์วชิราลงกรณ์ ผู้เป็นที่สร้างความขัดแย้งและแตกแยกของประเทศไทย ได้ดีดตัวขึ้นไปเด่นดังนั่งพาดหัวข่าวทั่วโลก เดือนที่แล้ว หลังจากที่หนังสือพิมพ์ บิลด์ ได้แฉว่า โรงแรมหรู แกรนด์โฮเต็ล ซอนเน็นบิลค์ ของเยอรมนี ได้รับใบอนุญาตพิเศษ จากทางการแคว้นบาวาเรีย ให้เปิดดำเนินการให้การพำนักแก่เขา ในขณะที่โรงแรมทุกแห่งในแคว้น ต้องปิดตัวลงเพื่อช่วยชะลอการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
วชิราลงกรณ์ ใช้เวลาส่วนใหญ่พำนักอยู่ที่ แกรนด์โฮเต็ล ซอนเน็นบิลค์ ที่ตั้งอยู่ในเมืองท่องเที่ยวเล่นสกีเชิงเขาแอลป์ การ์มิช-พาร์เทงเคอเช่น ตั้งแต่ต้นปี พศ 2559 เขาจ่ายเงินสดล่วงหน้าเป็นค่าเช่าโรงแรมเป็นเวลาหลายปี แขกชาวบ้านธรรมดาสามัญ ไม่สามารถเข้าไปในเขตโรงแรมได้ ใครเข้าใกล้ก็จะโดนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงแรม เชิญให้ออกไป
โรงแรมแห่งนี้ ได้กลายเป็นวังหลักมีไว้เสวยสุขสำราญบานเบิก พร้อมไปด้วยฮาเร็ม 20 สาว และข้าทาสบริวารอีกกลุ่มใหญ่ หลายคนในเหล่าข้าฯซึ่งก็ไม่ต่างจากนักโทษในคุกนั่นเอง เพราะติดภาระประจำการในเยอรมนี ต้องพลัดพรากจากครอบครัวในเมืองไทยเป็นส่วนใหญ่
วชิราลงกรณ์ มีความวิตถารทางเพศที่ชอบสาวๆในเครื่องแบบ และมีการจัดการบริหารให้นางบำเรอเหล่านั้นจัดเป็นหมวดหมู่เหมือนกรมทหาร ซึ่งเขาเรียกว่า หน่วยบริการทางอากาศ (SAS) เลียนตามชื่อ หน่วยรบพิเศษ ของกองทัพอากาศอังกฤษ ซึ่งเป็นหน่วยทหารระดับอีลีตในฝ่ายทหารอังกฤษ
เขายังลอกคำขวัญของ หน่วย SAS อีกด้วย ที่มีว่า “ใครกล้า คือคนชนะ”
เวลาส่วนใหญ่ นางบำเรอฮาเร็มเหล่านี้ อาศัยอยู่ที่ แกรนด์โฮเต็ล ซอนเน็นบิลค์ โดยสงวนชั้นที่สี่ทั้งชั้น เป็นที่พักส่วนตัวของวชิราลงกรณ์กับนางบำเรอ
พนักงานโรงแรม และข้าทาสบริวารส่วนใหญ่ จะไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปที่ชั้นสี่ ที่เป็นที่พำนักส่วนตัวของวชิราลงกรณ์ พร้อมทั้งห้องพิเศษ มีไว้สำหรับการร่วมเพศหมู่กับนางบำเรอโดยเฉพาะ ที่เขาตั้งชื่อเรียกว่า “ห้องสุขสำราญ” บนชั้นสี่นี้ เต็มไปด้วยเครื่องของสูงค่าโบราณและของมีค่าที่ขนมาจากเมืองไทย
ผู้หญิงในฮาเร็ม โดยทั่วไป โดนเกณฑ์เข้ามาหลังจากที่เข้าร่วม กองทหารรักษาพระองค์ ซึ่งในขณะนี้ เป็นกองกำลังที่มีอิทธิพลสูงสุดในกองทัพไทย บางนางเข้าร่วมโดยสมัครใจ ด้วยความหวังว่า การได้เป็นนางบำเรอของกษัตริย์ จะนำมาซึ่งทรัพย์สินเงินทองและความสำเร็จให้ตัวเองและครอบครัว แต่มีบางส่วนถูกกดดันให้เข้าฮาเร็ม และมีความหวั่นกลัวต่อผลที่จะตามมาหากปฏิเสธไป
นางบำเรอเหล่านี้ จะได้รับเลขหมาย ไล่ไปจากหมายเลขหนึ่ง SAS01 ขึ้นไป อันแสดงอาวุโสและระดับตำแหน่งในฮาเร็ม แล้วยังได้สถาปนายศทางทหาร และได้รับพระราชทานชื่อพิเศษมีนามสกุลหลวง – สิริวชิรภักดิ์
ในปี พศ 2560 สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ได้เปิดเผยรายชื่อผู้หญิง 11 คน ที่มีนามสกุลนี้ ในประกาศราชกิจจาฯ แต่งตั้งเลื่อนยศที่นี่ https://www.facebook.com/somsakjeam/posts/1379242932128982
นับแต่นั้นมา ก็มีการเปิดเผยชื่อนางบำเรอพวกนี้เพิ่มขึ้น มีอย่างน้อย 15 คนที่ได้รับนามสกุลนี้พร้อมทั้งเลื่อนขั้นทางทหาร ภรรยาของเขา ราชินี สุทิดา ได้รับตำแหน่งขั้นนายพลในกองทหารรักษาพระองค์ ก่อนหน้าที่จะตกกระป๋องไป นางบำเรอ นฤมล “ก้อย” อุ่นพรม ได้รับยศขั้นพันเอก และได้ชื่อใหม่ว่า สินีนาฏ วงศ์วชัรภักดิ์
ในหมู่หญิงที่ได้นามสกุล สิริวชิรภักดิ์ ที่ยืนยันได้ จากคำประกาศแต่งตั้งทางทหาร มีดังนี้
• พันตรีหญิง ปภัสสร สิริวชิรภักดิ์
• พันตรีหญิง ภรณ์ทิพย์ สิริวชิรภักดิ์
• พันตรีหญิง สังวาลย์ สิริวชิรภักดิ์
• ร้อยเอกหญิง วราภรณ์ สิริวชิรภักดิ์
• ร้อยเอกหญิง ภัทริยา สิริวชิรภักดิ์
• ร้อยเอกหญิง ปรางหวาน สิริวชิรภักดิ์
• ร้อยเอกหญิง สุรีรัตน์ สิริวชิรภักดิ์
• ร้อยเอกหญิง ศศธร สิริวชิรภักดิ์
• ร้อยเอกหญิง ณัฏฐา สิริวชิรภักดิ์
• ร้อยโทหญิง กรองทอง สิริวชิรภักดิ์
• ร้อยโทหญิง ชยุตรา สิริวชิรภักดิ์
• ร้อยโทหญิง อนุสรา สิริวชิรภักดิ์
• ร้อยโทหญิง อรอนงค์ สิริวชิรภักดิ์
แหล่งข่าวแจ้งว่า มีหญิงสองคน โดนไล่ออกจากฮาเร็ม
https://scontent-cdg2-1.xx.fbcdn.net/v/t1.0-9/91261949_10157687924461154_10269657646759936_n.jpg?_nc_cat=110&_nc_sid=8024bb&_nc_ohc=32HF9SVOC6IAX8IQhKQ&_nc_ht=scontent-cdg2-1.xx&oh=dc5b6ff71ecac05dd48fd8bb418ed073&oe=5EA76D25
พันตรีหญิง ฐานิดา สิริวชิรภักดิ์ ถูกไล่ออกหลังจากถูกกล่าวหาว่า เป็นพวกเดียวกับก้อย หลังจากที่ก้อยตกไปแล้ว และ พันตรีหญิง นววรรณ สิริวชิรภักดิ์ ถูกกล่าวหาว่าใช้ยาเสพย์ติด กล่าวกันว่า เธอต้องมอมตัวเองด้วยยาไอซ์ เพื่อช่วยทำใจให้ร่วมเพศกับ วชิราลงกรณ์ ได้ลงคอ
หลังจากที่ก้อยตกกระป๋องไปแล้ว คนที่ขึ้นมาแทนมีอาวุโสและเป็นที่โปรดปรานสูงสุด คือ พันตรีหญิง ปภัสสร สิริวชิรภักดิ์ ที่ได้เป็นหมายเลขหนึ่ง SAS01 และได้ติดสอยห้อยตามลูกสาวของวชิราลงกรณ์ ปรากฏมีรูปมีวีดีโอหลายครั้ง ที่นางติดตามรับใช้ เจ้าหญิงภัชรกิติยาภา
นางบำเรอหลายคน เคยมีโปรไฟล์บนโซเชียลมีเดีย และต่างก็ตัดผมสั้นกุด และใส่สร้อยห้อยล็อกเก็ตรูปหัวใจ เป็นเครื่องหมายว่า เป็นสมาชิกในฮาเร็มของวชิราลงกรณ์ โปรไฟล์เหล่านั้น ได้ถูกลบทิ้งหมดแล้ว
วชิราลงกรณ์ ใช้เวลาส่วนใหญ่ในเยอรมนีมาตั้งแต่ปี พศ 2550 แต่แรกนั้น เขาไปเพื่อรับการรักษาสุขภาพให้ตัวเองและลูกชาย
วชิราลงกรณ์ ติดเชื้อ เอชไอวี และลูกชาย เจ้าชาย ทีปังกร เป็นออทิสซึ่ม มีคลีนิคที่ไม่ค่อยน่าไว้ใจซึ่งมีเจ้าของเป็นคนไทยในเยอรมนี ชื่อว่า วิลล่าเมดิค่า ได้อ้างว่าสามารถรักษาโรคเอชไอวี และออทิสซึ่มได้ แถมยังอวดอ้างว่า สามารถชะลอความแก่ให้คงเป็นหนุ่มเป็นสาวได้โดยการฉีดเซลล์สดๆ ที่ได้มาจากการบดอวัยวะของลูกแกะที่ยังไม่คลอด มีชายชาวเอเชียแก่ๆหลายคนมารักษาที่นั่น
เจ้าของ วิลล่า เมดิค่า ชื่อ นิวัฒน์ “บ๊อบบี้” กิตติชัยวงศ์ แต่ก็เป็นไปได้ว่า เขามาออกหน้าแทนเจ้าของตัวจริง https://www.nationthailand.com/business/30206948
เว็บไซต์ของคลีนิคอยู่ที่นี่ http://villa-medica.com/
บทความที่ลบล้างข้ออ้างการรักษาด้วยการฉีดเซลจากการบดลูกแกะในท้อง อยู่ที่นี่: https://www.buzzfeed.com/…/the-science-of-the-lambs-how-the…
นายแพทย์ใหญ่ของ วิลล่า เมดิคา เบอร็คาร์ด แอชฮอฟ ได้หนุนวิธีรักษาคนติดเชื้อ เอชไอวี ด้วยการใช้สารที่เรียกว่า ยูเครน ที่ถูกลบล้างความน่าเชื่อถือไปแล้ว หาอ่านรายละเอียดได้ที่นี่ https://en.wikipedia.org/wiki/Ukrain และที่นี่ https://www.psiram.com/de/index.php/Burkhard_Aschhoff
ผู้ร่วมงานของเขา เจฟฟรี่ เฮิอร์ตเก้น ก็ยังอ้างว่า สามารถรักษาโรคออทิสซึ่มได้ ด้วยการใช้เสต็มเซลล์จากลูกแกะในท้อง ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ใดๆที่รับรองการรักษาชนิดนี้ บทความแย้งข้ออ้างการรักษาวิธีนี้ อ่านได้ที่นี่ https://scienceblogs.com/…/another-cell-therapy-quackery-fo…
แม้ว่า ข้ออ้างเรื่องการรักษาโรคออทิสซึ่ม เป็นการแพทย์ปลอมๆ แต่มันได้รับการโปรโมตจากพิธีกร วุฒิธร “วู้ดดี้” มิลินทจินดา เช่นที่ https://youtu.be/V7uidyfwl0o
นอกจากไปรับการรักษาโรคเอชไอวีของเขา กับโรคออทิสซึ่มของลูกชาย วชิราลงกรณ์ ย้ายไปอยู่ที่เยอรมนี เพื่อเลี่ยงเมียคนที่สาม ศรีรัศม์ และจะได้สำราญกับเมียน้อยทั้งหลาย โดยเฉพาะ สุทิดา ติดใจ อดีตพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของสายการบินไทย ที่เขาได้พบบนเที่ยวบิน เมื่อเดือน มกราคม พศ 2550 สุทิดาก็ได้ไปใช้ชีวิตอยู่กับวชิราลงกรณ์ตั้งแต่นั้น
ในปี 2552 มีโทรเลขลับจากทางการทูตของสหรัฐได้กล่าวว่า “สมเด็จพระบรมโอรสาฯ ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ (มากถึง 75 เปอร์เซ็นต์) ในสองปีที่ผ่านมานี้ในยุโรป (แรกเริ่มอยู่ที่ วิลล่า สปาการแพทย์ ห่างจากมิวนิค 20 กิโลเมตร) กับเมียน้อยเอก และหมาพูเดิ้ลสีขาวตัวโปรด ฟูฟู เชื่อกันว่า วชิราลงกรณ์ มีปัญหาทางแพทย์เกี่ยวกับโลหิดผิดปกติ (แหล่งข่าวหลายแห่งอ้างว่า เขามีเชื้อเอชไอวี และตับอักเสบ ซี ที่เกิดขึ้นจากมะเร็งในเม็ดเลือดที่ไม่ได้พบบ่อยนัก หรือไม่ก็โรคประกอบกันหลายอย่าง ทำให้ต้องได้รับการถ่ายเลือดเป็นประจำ)” อ่านได้ที่นี่ https://wikileaks.org/plusd/cables/09BANGKOK2967_a.html
ที่พำนักหลักในเยอรมนี ของวชิราลงกรณ์ อยู่หลายปี อยู่ที่ โรงแรม เคมปินสกี้ ใกล้สนามบินมิวนิค กองทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นเจ้าของโรงแรมนี้ และ วชิราลงกรณ์ กับบริวาร ได้เช่าอาศัยในชั้นบนสุดของโรงแรมที่มีสี่ชั้น โดยเช่าหมดทั้งปีกตึกด้านหนึ่ง
ในปลายปี 2557 วชิราลงกรณ์ ได้หย่าขาดจาก ศรีรัศม์ และจองจำเธอไม่ให้ออกจากบ้านพักที่จังหวัดราชบุรี และจับกุมญาติของเธอเข้าคุก รวมทั้งพ่อแม่ ลุง พี่ชายน้องชายสามคน และน้องสาวอีกคนหนึ่ง
ในเดือนมกราคม พศ 2558 ฮิลตัน ได้ซื้อโรงแรมเคมปินสกี้ในมิวนิคไป และเปลี่ยนชื่อใหม่ แต่วชิราลงกรณ์ ก็ยังคงพักอยู่ที่นั่นต่อไป
ในปีเดียวกันนั้นเอง เขาก็ได้ซื้อคฤหาสถ์หลังใหญ่ในถิ่นคนรวยในมิวนิค – คือ วิลล่า สโตรลเบิร์ก ตั้งอยู่ริมทะเลสาบสตาร์นเบิร์ก ที่เมืองทุตซิ่ง ด้วยราคาประมาณ 12 ล้านยูโร และคฤหาสถ์อีกหลังหนึ่งไม่ไกลกัน ในเมือง เฟลดาฟิง ด้วยมูลค่าประมาณ 5.1 ล้านยูโร
แต่เขากลับไม่เคยพักที่คฤหาสถ์ทั้งสองนั้น หลังใหญ่ในทุตซิง ก็ไม่มีคนอยู่เป็นส่วนใหญ่ และหลักเล็กที่เฟลดาฟิง ก็เป็นที่ที่อาศัยของทีปังกร กับคนเลี้ยง และแทบจะไม่เคยได้พบหน้าพ่อแม่เลย
นับแต่ปี 2559 เป็นต้นมา วชิราลงกรณ์ ก็เริ่มไปพักที่ แกรนด์โฮเต็ล ซอนเน็นบิลค์ เป็นส่วนใหญ่ เมืองท่องเที่ยว การ์มิช-พาร์เทงเคอเช่น อยู่บนเทือกเขาแอลป์ ห่างจากมิวนิคไปทางใต้ใช้เวลาขับรถประมาณหนึ่งชั่วโมง และอยู่ใกล้กับที่เล่นสกี Zugspitze และ Garmisch Classic
โรงแรมนี้ เดิมที เป็นคฤหาสถ์ที่พักอาศัยของตระกูล เบเด้อร์ ผู้ร่ำรวย ประมาณ 200 ปีมาแล้ว ก่อนที่จะถูกแปรไปเป็นโรงแรม ในปี พศ 2433 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ก็ถูกใช้เป็นโรงพยาบาลของพวกนาซี และตั้งแต่ปี พศ 2525 ก็ได้เปลี่ยนมือเจ้าของไปเป็น ดาร์วิช บิน อิสมาเอล อัล-บาลูชี รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของประเทศโอมาน
สุลต่านโอมาน ผู้มีวังใกล้ๆกัน มักจะส่งแขกมาพักที่โรงแรมนี้ และทีมสกีแห่งชาติของประเทศออสเตรีย ก็พักที่นี่ ในปี พศ 2561 ระหว่างที่มีการแข่งสกีเวิร์ลคัพ แต่โดยทั่วไป แกรนด์โฮเต็ล ซอนเน็นบิลค์ ก็ปิดไม่ได้ให้คนมาพัก เพราะจะสงวนไว้สำหรับวชิราลงกรณ์ และบริวาร ในเว็บไซต์ของโรงแรมมีแจ้งว่า “มีห้องพักจำนวนจำกัด”
สุทิดา ผู้กลายมาเป็นเมียคนที่สี่ของวชิราลงกรณ์ในเดือน พฤษภาคม ปีที่แล้ว แทบจะไม่ได้มาพักที่ ซอนเน็นบิลค์ เธอใช้เวลาส่วนใหญ่พักอยู่ที่ โรงแรมวอลเด็ก ในเมือง เองเกิลเบิร์ก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
กว่าสุทิดาจะได้ขึ้นมาแต่งงานกับวชิราลงกรณ์ เขาก็เบื่อเธอไปแล้ว นางบำเรอคนโปรด คือ ก้อย ผู้พักอยู่กับเขา พร้อมกับ
นางบำเรอทั้งฮาเร็มที่ ซอนเน็นบิลค์ ก้อยได้รับการสถาปนาเป็น “เจ้าคุณพระ”
เมื่อเดือน กรกฎาคม ปีที่แล้ว แต่ก็ตกกระป๋องอย่างว่องไว
แถมโดนจับขังคุกหลังจากได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาไม่กี่เดือน
เมื่อไรที่วชิราลงกรณ์มาพักที่โรงแรมวอลเด็ก กับ สุทิดา ฮาเร็มทั้งหมดก็ตามมาด้วย แต่โดยส่วนใหญ่ สุทิดา ถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังในสวิตเซอร์แลนด์ และตัวกษัตริย์ ก็ไปเสวยความสุขสำราญ กับสาวๆหน่วย เอสเอเอส ที่เยอรมนี
ค่าเช่าโรงแรมทั้งโรงแรม แกรนด์โฮเต็ล ซอนเน็นบิลค์ และอีกส่วนใหญ่ที่โรงแรม วอลเด็ก กับทั้ง โรงแรม ฮิลตั้นที่สนามบินมิวนิค เป็นจำนวนมากมายมหาศาล วชิราลงกรณ์ เป็นกษัตริย์ล่องหน นานๆจะกลับเมืองไทยสักที เพียงเพื่อมาทำพิธีรีตรองสำคัญๆเท่านั้น แล้วกลับไปใช้เวลาไม่ทำงานเอาแต่สำราญสุขส่วนใหญ่ในยุโรป ทั้งหมดจ่ายโดยเงินภาษีอากรจากคนไทย
Vajiralongkorn has been spending most of his time at Grand Hotel Sonnenbichl in the Alpine resort town of Garmish-Partenkirchen since early 2016. He has paid cash up front to rent the hotel for several years. Ordinary guests are not allowed, and security guards turn away anyone who approaches.
The hotel has become Vajiralongkorn’s main pleasure palace, where he lives with a harem of around 20 women, and a large entourage of Thai staff, many of whom are prisoners, trapped in Germany and separated from their families in Thailand for most of the time.
Vajiralongkorn has a fetish for military ranks and clothing, and he has organised the women in his harem as a military regiment, which he calls the SAS, or Special Air Service, like the British air force special forces corps which is among the most elite units in the UK military.
The harem has the same motto as the British SAS too: “Who Dares Wins”.
Most of the time, the women are based at the Grand Hotel Sonnenbichl, and the entire fourth floor of the hotel is reserved for Vajiralongkorn and his concubines.
Hotel staff, and most palace servants, are not allowed on the fourth floor. Vajiralongkorn’s living quarters are there, along with a special suite for group sex with his harem, which he calls “ห้องสุขสำราญ” — “the pleasure room”. The fourth floor is also full of Thai antiquities and treasures, brought from Bangkok.
Women in the harem are usually recruited after they join the King’s Guard units that now dominate the Thai military. Some of the women join willingly, hoping that becoming a concubine of the king can bring them and their families wealth and success. Others are pressured to join, and are afraid of the consequences if they refuse.
The women are given a number, from SAS01 upwards, to show their seniority and rank in the harem. They are also given a military rank, and bestowed with a special royal surname — Sirivajirabhakdi.
In 2017, Somsak Jeamteerasakul identified 11 women with this surname who had been given military promotions. https://www.facebook.com/somsakjeam/posts/1379242932128982
Since then, more women have been identified, and there are at least 15 who have been given a military rank and a special surname, not including his wife Queen Suthida who was appointed a general in the King’s Guard, and until her downfall last year his concubine Niramon “Koi” Ounprom who was given the rank of major general and given the name Sineenat Wongvajirapakdi.
Among the Sirivajirabhakdi women who can be identified via their military promotions are:
• Major Prapassorn Sirivajirabhakdi
• Major Pornthip Sirivajirabhakdi
• Major Sangwan Sirivajirabhakdi
• Captain Waraporn Sirivajirabhakdi
• Captain Pattriya Sirivajirabhakdi
• Captain Prangwan Sirivajirabhakdi
• Captain Sureerat Sirivajirabhakdi
• Captain Sasathorn Sirivajirabhakdi
• Captain Nattasiri Sirivajirabhakdi
• Lieutenant Krongthong Sirivajirabhakdi
• Lieutenant Chayutara Sirivajirabhakdi
• Lieutenant Anusara Sirivajirabhakdi
• Lieutenant Onanong Sirivajirabhakdi
Two women have been expelled from the harem, sources say.
Major Thanida Sirivajirabhakdi was thrown out after being accused of siding with Koi after the purge, and Major Nawawan Sirivajirabhakdi) was accused of drug use. Allegedly she needed to take methamphetamine to bring herself to have sex with Vajiralongkorn.
Following the downfall of Koi, the most senior woman in the harem and Vajiralongorn’s favourite concubine is Major Prapassorn Sirivajirabhakdi). She is currently SAS01, and she has been photographed several times with Vajiralomgkorn’s daughter Princess Bajrakitiyabha.
Several of the women previously had profiles on social media, and most of them had short, cropped hair and identical heart shaped pendants, more signifiers that they are members of Vajiralongkorn’s harem. The profiles have since been removed.
Vajiralongkorn has spent most of his time in Germany since 2007. He originally moved there for health treatment for himself and his son.
Vajiralongkorn has HIV, and his son Prince Dipangkorn has autism. A dubious Thai-owned clinic in Germany called Villa Medica claims to be able to cure both HIV and autism, and also claims it can keep elderly people young by injecting them with stem cells from sheep foetuses. Many wealthy old Asian men have been treated there.
Villa Medica is owned by Niwat “Bobby” Kittichaiwong, although he is probably a nominee for the real owner. https://www.nationthailand.com/business/30206948
Its website is here: http://villa-medica.com/
An article on the discredited sheep foetus treatment is here: https://www.buzzfeed.com/…/the-science-of-the-lambs-how-the…
The main doctor at Villa Medica, Burkhard Aschhoff, has touted a discredited HIV treatment using a substance called Ukrain. Some details are here https://en.wikipedia.org/wiki/Ukrain and here https://www.psiram.com/de/index.php/Burkhard_Aschhoff
His colleague Geoffrey Huertgen also claims to treat autism using stem cells from sheep foetuses. There is no scientific backing for this claim, which is comprehensively debunked in this article: https://scienceblogs.com/…/another-cell-therapy-quackery-fo…
Even though the claim that autism can be cured at Villa Medica is bogus, it has been promoted by various Thai celebrities, including talkshow host Vuthithorn “Woody” Milintachinda. https://youtu.be/V7uidyfwl0o
Besides seeking treatment for his HIV and his son’s autism, Vajiralongkorn also moved to Germany so he could avoid his third wife Srirasmi, and spend time with his mistresses, in particular Suthida Tidjai, a former Thai Airways cabin attendant he met on a flight in January 2007. Suthida began living in Germany with Vajiralongkorn.
In 2009, a secret US diplomatic cable noted that: “Crown Prince Vajiralongkorn has spent most (up to 75%) of the past two years based in Europe (primarily at a villa at a medicinal spa 20km outside of Munich), with his leading mistress and beloved white poodle Fufu. Vajiralongkorn is believed to be suffering from a blood-related medical condition (varying sources claim he is either: HIV positive; has Hepatitis C; is afflicted by a rare form of ‘blood cancer,’ or some combination which leads to regular blood transfusions).” https://wikileaks.org/plusd/cables/09BANGKOK2967_a.html
For several years, Vajiralongkorn’s main residence in Germany was the Kempinski Hotel at Munich Airport. The Kempinski Hotel group was owned by the Thai monarchy via the Crown Property Bureau, and Vajiralongkorn and his entourage rented the entire top floor of one of the two four-storey wings of the hotel.
In late 2014, Vajiralongkorn divorced Srirasmi, put her in house arrest in Rachaburi, and jailed most of her relatives including her parents, her uncle, her three brothers and a sister.
In January 2015 the Kempinski Hotel in Munich was taken over by Hilton and rebranded. Vajiralongkorn continued to live there.
During the same year he bought two large villas in exclusive areas near Munich — Villa Stolberg, on Lake Starnberg in Tutzing, for an estimated 12 million euros, and a villa in nearby Feldafing for an estimated 5.1 million euros.
However, he has never lived in either villa. The large mansion in Tutzing has been mostly unoccupied, while Dipangkorn lives in Feldafing with his carers, rarely seeing either of his parents.
From 2016, Vajiralongkorn began spending most of his time at the Grand Hotel Sonnenbichl. The resort of Garmish-Partenkirchen is in the Alps, about an hour’s drive south of Munich, and close to skiing areas including the Zugspitze and Garmisch Classic.
The vast building was originally built as a residence for the wealthy Bader family nearly 200 years ago, before being turned into a hotel in 1890. During World War Two it was used as a military hospital by the Nazis. Since 1982, it has been owned by Darwish Bin Ismail Al-Balushi, finance minister of Oman.
The Sultan of Oman, who has a residence nearby, sometimes uses the hotel to entertain guests, and the Austrian national ski team stayed there in 2018 during the skiing World Cup, but otherwise Grand Hotel Sonnenbichl is generally closed to the public and reserved for Vajiralongkorn and his entourage. The hotel website says it has “limited room availability”.
Suthida, who became Vajiralongkorn’s fourth wife in May last year, rarely stays at Sonnenbichl. She spends most of her time in Switzerland at Hotel Waldegg in the town of Engelberg.
By the time Vajiralongkorn married Suthida he was already growing bored of her. His favourite mistress was Koi, who lived with him and the rest of his harem at Sonnenbichl. Koi was appointed the king’s “noble consort” in July last year, but was dramatically purged and jailed a few months later in October.
When Vajiralongkorn stays at Hotel Waldegg with Suthida, the harem comes too. But most of the time Suthida is left alone in Switzerland, and the king enjoys himself with his SAS in Germany.
The cost of renting the whole of Grand Hotel Sonnenbichl, plus much of Hotel Waldegg and the Hilton Munich Airport, is immense. Vajiralongkorn has become an absentee monarch, only returning to Thailand briefly for royal rituals and ceremonies, while spending the rest of his time on an extended holiday abroad — paid for by Thai taxpayers.
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar