ประยุทธ์หมดความจำเป็นหรือยัง? ระบอบอำนาจที่สถาปนาขึ้นจากรัฐประหาร 2557 และรัฐธรรมนูญ 2560 ยังจำเป็นต้องใช้ประยุทธ์เป็นผู้นำหรือไม่ ประยุทธ์ยังมีประโยชน์ หรืออยู่ต่อไปจะเป็นโทษเป็นภัย ต่อเครือข่ายอนุรักษนิยม “อำนาจเหนือประยุทธ์”
แน่ละ นี่เป็นประเด็นการเมือง ที่ศาลรัฐธรรมนูญคงยืนยันว่าไม่มีผลต่อการวินิจฉัย แต่ในทางการเมือง ย่อมมีผลต่อการวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์ว่าจะแตกต่างอย่างไร ระหว่างประยุทธ์อยู่หรือไป
รัฐประหาร 2557 เกิดเพื่อคุ้มครองการเปลี่ยนผ่าน รัฐธรรมนูญ 2560 ถอยหลัง “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ไปครึ่งก้าว เลือกตั้ง 62 ใช้ 250 ส.ว.โหวตนายกฯ สถาปนา “ประชาธิปไตยเสมือน” ประยุทธ์และทีมงานรัฐประหารกวาดต้อนสมคบนักการเมืองอุปถัมภ์ ต่างตอบแทนผลประโยชน์ ทำลายพรรคฝ่ายประชาธิปไตยทั้งด้วยสูตรคำนวณเศษมนุษย์ ยุบพรรค ดูด ส.ส.
2 ปีที่ผ่านมา เกิดการลุกฮือของคนรุ่นใหม่ “ทะลุเพดาน” แต่ถูกปราบปรามอย่างหนักหน่วง ทั้งการใช้กำลัง คฝ. รถฉีดน้ำ กระสุนยาง และตั้งข้อหาร้ายแรง จับกุมคุมขัง หน่วงเหนี่ยว กว่าจะให้ประกัน
ถามว่าถึงวันนี้ “เอาอยู่” หรือยัง แน่ใจนะว่าคนรุ่นใหม่จะไม่เป็นภัย แน่ใจนะว่าไม่ต้องใช้ประยุทธ์แข็งกร้าวเป็นผู้นำรัฐอำนาจนิยม เพื่อควบคุมประชาชนให้อยู่ในโอวาท
คำถามแรกคือ ถ้าประยุทธ์มีอันเป็นไป ระบอบอำนาจนี้จะยังคงเป็นรัฐอำนาจนิยม แต่เปลี่ยนตัวผู้นำ เป็นนายกฯ นั่งหลับ หรือเป็นหนูบุรีรัมย์ จะ match กันไหม
อย่าลืมว่าประยุทธ์คือสัญลักษณ์ของ “รัฐเป็นบิดา” ตั้งตัวเป็นญาติผู้ใหญ่สอนสั่งอบรม ซึ่งหาคนบุคลิกใกล้เคียงได้ยาก ที่จะเป็นที่ยอมรับของรัฐราชการ ฝ่ายความมั่นคง
คำถามต่อมา งั้นอำนาจที่ประยุทธ์รับใช้อยู่ จะยอมรับการปรับเปลี่ยนไปสู่ผู้นำที่แข็งกร้าวน้อยกว่า ประนีประนอมกว่า การใช้อำนาจอย่างยืดหยุ่นกว่า ได้หรือไม่
ในระยะต่อไปคือเครือข่ายอำนาจอนุรักษ์จะยอมรับรัฐบาลจากเลือกตั้งหรือไม่ ไม่ว่าพรรคไหนชนะ เพราะถึงอย่างไร 250 ส.ว.ก็อยู่ได้แค่ปี 2567
ว่าอันที่จริง รัฐประหาร 57 คงไม่ได้วางแผนอยู่ยาว 5+3 ปี จนหอกย้อนมาทิ่มก้นประยุทธ์เช่นวันนี้ แต่มันผิดแผนเพราะการถอยหลังประชาธิปไตยสวนทางสังคมที่เปลี่ยนไปข้างหน้า จนย้อนแย้งรุนแรง
ความต้องการของเครือข่ายอนุรักษ์คือออกแบบประชาธิปไตยถอยหลัง แล้วกลับสู่เลือกตั้ง สืบทอดอำนาจรัฐประหารไปช่วงหนึ่ง เพื่อให้ประชาชนคุ้นชินกับ “แอก” กับการมีอำนาจและมีสิทธิเสรีภาพน้อยลง กว่าที่เคยมีมาหลายสิบปี (ซึ่งก็ไม่ใช่ประชาธิปไตยเต็มใบอยู่แล้ว แต่นี่ยิ่งน้อยลงอีก) จากนั้นค่อยปล่อยมือ
แต่กลับปล่อยมือไม่ได้ เพราะยิ่งบานปลายเช่นเกิดม็อบราษฎร ทะลุเพดานอย่างไม่เคยคาดคิดกันมาก่อน
เครือข่ายอำนาจซึ่งต้องใช้ประยุทธ์เป็นผู้นำแข็งกร้าวมา 8 ปี จึงไม่มีทางลง จนมาถึงจุดที่ต้องใช้ประยุทธ์ต่อไป หรือจะเปลี่ยน เปลี่ยนแค่ไหน
ระบอบที่รัฐประหารและรัฐธรรมนูญวางไว้นั้นเปรียบเหมือนหัวหอมซ้อนเป็นชั้นๆ อำนาจรัฐราชการ ทหาร ตำรวจ กระบวนการยุติธรรม องค์กรอิสระ 250 ส.ว. โดยมีประยุทธ์เป็นเหมือนก้อนหินใหญ่ทับไว้ เป็นโครงสร้างที่ใครอย่าแตะ
ถ้าเปลี่ยนประยุทธ์ จะยอมให้รื้อโครงสร้างนี้หรือไม่ เอาง่ายๆ แค่แก้รัฐธรรมนูญยังไม่ยอม จะยอมให้ปฏิรูปกองทัพ รื้อองค์กรอิสระ รื้อกระบวนการยุติธรรมหรือไม่ มองยาวไปคือ จะยอมให้พรรคฝ่ายค้านเข้ามาเป็นรัฐบาลหรือไม่ เป็นแล้วรื้อโครงสร้างได้แค่ไหน หรือได้แค่เป็นรัฐบาลแก้ปัญหาปากท้อง แล้วต้องพนมมือทุกสารทิศ ยอมรับโครงสร้างเดิม
เช่น ไหนๆ 250 ส.ว.ก็จะอยู่แค่ปี 2567 จะต้องแก้รัฐธรรมนูญทำไม
ประยุทธ์อยู่หรือไปจึงต้องมองเครือข่ายอำนาจด้วย ยอมหรือไม่ ไม่ยอมแล้วจะทำอย่างไร จะปรับเปลี่ยนอย่างไร ถ้าเปลี่ยนประยุทธ์ แล้วจะประนีประนอมหรือไม่ เช่นลดละเลิกการใช้ 112,116 (โทษประยุทธ์คนเดียว? ประยุทธ์เอากลับมาใช้ใหม่) หรือจะกลายเป็นฉวยโอกาสการเมืองผ่อนคลาย กวาดเข้าคุกให้หมดเสี้ยนหนาม
ระบอบประยุทธ์ไม่ใช่ประยุทธ์คนเดียว เพียงแต่ตัวประยุทธ์มีความสำคัญเพราะเหมือนก้อนหินใหญ่วางทับฐานราก ถ้าประยุทธ์ถูกขุดทิ้งไปคือโอกาสรื้อโครงสร้าง แต่เครือข่ายอนุรักษ์จะยอมไหม ถ้าประยุทธ์ถูกขุดทิ้งไปแล้วพอใจกับการไล่ประยุทธ์คนเดียว ก็กลายเป็นภาพลวงตารอบใหม่
พูดให้ถึงที่สุด ขบวนไล่ประยุทธ์มี 2 แนวทาง แนวหนึ่งคือมุ่งรื้อโครงสร้าง แก้รัฐธรรมนูญ ไปสู่การปฏิรูปทั้งระบบ
อีกแนวหนึ่งคือทุกอย่างประยุทธ์ทำคนเดียว รัฐประหารคนเดียว ป้อม ป๊อก ไม่เกี่ยว สืบทอดอำนาจคนเดียว ถวายสัตย์ไม่ครบก็ผิดคนเดียว ฉวยโอกาสแปดปีประชาชนเบื่อหน่ายสุดๆ กับความไร้ประสิทธิภาพ ไร้สมอง ไร้ฝีมือ ไล่ประยุทธ์แล้วเริ่มต้นใหม่ ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน เดินหน้าสู่เลือกตั้ง รู้รักสามัคคี บลาๆๆ
มองไปข้างหน้าแล้วประเมินสถานการณ์ ยังไม่เชื่ออยู่ดีว่า เครือข่ายอำนาจจะยอมให้ปรับเปลี่ยนประยุทธ์ เพราะเป็นการถอยก้าวใหญ่ แล้วไม่ใช่แค่ก้าวเดียว
ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ประยุทธ์ตกเก้าอี้ เครือข่ายอนุรักษ์จะถูกรุกให้ถอยอีก แต่ถ้าประยุทธ์ไม่หลุด ก็จุดชนวนที่ย้อนเป็นภัยต่อเครือข่ายอำนาจเช่นกัน
ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/politics/news_7231818
ตำรวจหญิงทารุณทหารหญิง อ้างเป็นกิ๊ก ส.ว. ฝากเข้าเป็นทหารแล้วขอตัวไป “ช่วยราชการ” เป็นคนรับใช้ ตำรวจหญิงอยู่ราชบุรี แต่ชื่ออยู่ใต้ ได้รับทั้งค่าเสี่ยงภัย เงินเพิ่มพิเศษสำหรับการสู้รบ อายุราชการทวีคูณ แถมน่าสงสัยว่าเข้ารับราชการตำรวจได้อย่างไร
นี่ไม่ใช่คดีทำร้ายร่างกายแล้วจบ เพราะสังคมตั้งคำถามทั้งตำรวจ ทหาร ส.ว. ว่าใช้อภิสิทธิ์ฝากเมียน้อยฝากคนใช้เข้ารับราชการง่ายๆ ได้อย่างไร กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ทำไมสมยอมให้อ้างชื่อ ได้สิทธิพิเศษบนหยาดเหงื่อคราบเลือดทหารตำรวจที่เสี่ยงภัยจริง
“ภาษีกู” ทั้งนั้นที่เอาไปเลี้ยงเมียน้อยจ้างคนใช้
ที่สำคัญ คนทั้งประเทศเชื่อว่า ไม่ได้มีแค่รายเดียว การใช้อภิสิทธิ์เส้นสายฝากเข้าทหารตำรวจน่าจะมีเต็มไปหมด ถ้า ส.ว.ฝากได้ นายพลก็ฝากได้ อาจเป็นลูกหลานญาติมิตรเอื้อเฟื้อมีน้ำใจ อาจเป็นทหารตำรวจแล้วทำตัวดีไม่ทารุณใคร ไม่เป็นข่าวฉาว จับไม่ได้ ทั้งที่ใช้อภิสิทธิ์เป็นกาฝาก “ภาษีกู”
ราชการฝากได้ไหม ได้ วิ่งเต้นเส้นสายเต็มไปหมด แต่อย่างน้อยราชการต้องผ่านสนามสอบใหญ่ เช่นสอบ ก.พ. สอบครู ถ้าฝากได้คือเป็นลูกจ้างก่อนแล้วค่อยดิ้นสอบบรรจุ แต่ตำรวจทหาร โดยเฉพาะสายงานธุรการ ใช้ข้ออ้างขาดแคลนบ้างเปิดรับพิเศษบ้างพิจารณาโดยคณะกรรมการ ไม่มีสอบแข่งขัน หรือสอบเป็นพิธี ไม่เปิดรับสมัครวงกว้าง
แน่จริงกล้าไหม ตำรวจทหารสายธุรการที่กินเงินภาษีอยู่ทุกวันนี้ ที่ไม่ได้จบ จปร.หรือสามพราน ไม่ได้ผ่าน ร.ร.นายสิบ ลองเปิดเผยชื่อนามสกุลดูซิ ลูกหลานใคร
ทหารไทยนั้นมีลักษณะพิเศษ คือหัวโต พุงโต นายพลเพียบ งานธุรการซ้ำซ้อน กำลังรบหลักแบบ พล.1 พล.2 พล.9 พล.ม. เป็นกำลังพลส่วนน้อย ที่ขยายใหญ่คืองานกิจการพลเรือน ความมั่นคงภายใน แล้วก็มีฝ่ายการเงิน ธุรการ สารบรรณ เต็มไปหมด
พูดง่ายๆ ไม่มีใครฝากลูกฝากเมียเข้าหน่วยรบหรอก มีแต่ฝากเข้าธุรการสารบรรณหรือกิจการพลเรือนอย่างลูกหลานจันทร์โอชา
แล้วก็ไม่มีใครฝากลูกฝากเมียไปอยู่ชายแดนใต้ มีแต่ชื่อ หรือโฉบไปโฉบมา เพื่อเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง อย่างที่เคยมีข้อกล่าวหารอง ผบ.ตร.คนดัง
พูดให้ถึงที่สุดจึงเป็นปัญหาโครงสร้างของทหารตำรวจ ใหญ่เทอะทะ อำนาจมาก ตรวจสอบไม่ได้ งบไม่อั้น ต่างจากครู ที่ถูกคุมอัตราด้วยจำนวนนักเรียน จนเกิดดราม่า ประกาศจ้างครูช่วยสอนเดือนละ 3,500 หมอพยาบาล ก็ถูกคุมอัตราด้วยงบบัตรทอง ตามรายหัวประชากร ถ้ามีมากเกิน ร.พ. “ขาดทุน”
ดังนั้น ถ้าปลัดอธิบดีฝากกิ๊กไปอยู่ ร.พ.หนองอีแหนบ แล้วขอตัวมาช่วยราชการที่บ้าน หมอพยาบาลจะโวยแหลกเพราะถูกกินแรง แต่ตำรวจสันติบาล โรงเรียนช่างฝีมือทหาร ไม่ยักเดือดร้อน
กอ.รมน.ก็เหมือนกัน ทหารตำรวจชายแดนใต้ ไม่ยักเรียกร้องผู้บังคับบัญชาให้ตรวจสอบรายชื่อ ว่าใครบ้างมาแขวนชื่อไว้เอาเบี้ยเสี่ยงภัยนับอายุราชการทวีคูณเพื่อเลื่อนขั้น
พูดกันจริงๆ ทหารตำรวจชายแดนใต้มีมากเกินไป เพราะใช้การทหารนำการเมือง ใช้กำลังกดปราบ วิสามัญ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” เป็นแค่คำขวัญ ยิ่งไม่สงบยิ่งเพิ่มงบเพิ่มอำนาจทหาร
กอ.รมน.มีไว้ทำไม ใช้งบปีละ 5,400 ล้าน 20 ล้านจัดงานแสดงดนตรีให้ตู่สะอื้น กอ.รมน.เป็นหน่วยงานตกค้างจากยุคสงครามเย็น ทำ propaganda ปฏิบัติการจิตวิทยา จัดตั้งมวลชนต่อต้านคอมมิวนิสต์ แต่สงครามสงบ 40 ปี ยังไม่ยุบ กอ.รมน. เปลี่ยนเป็นกลไกต่อต้านเสรีภาพประชาธิปไตย ปกป้องอำนาจอนุรักษนิยม
ตลกร้ายคือรัฐราชการไทยที่อ้างคุณธรรม เอาเข้าจริงมีอภิสิทธิ์เหลื่อมล้ำ แม้กระทั่งข้าราชการกันเอง ข้าราชการบางหน่วยทำงานหนัก ไม่ได้เงินพิเศษ บางหน่วยแทบไม่ต้องทำอะไร ได้เบี้ยประชุม
เงินพิเศษในระบบราชการมีอะไรบ้าง เงินประจำตำแหน่ง รถประจำตำแหน่ง (หรือค่าตอบแทนเหมาจ่ายรถประจำตำแหน่ง) ซึ่งดูเผินๆ เหมือนมีหลักเกณฑ์ เฉพาะข้าราชการระดับสูง เช่น อธิบดี ปลัดกระทรวง ซึ่งมีไม่กี่คน
แต่พอแยกโครงสร้าง แล้วไปดูตัวเลขจริง กระทรวงกลาโหมมีนายพลเทียบเท่าอธิบดีถึง 244 คน ศาลยุติธรรมมีผู้พิพากษาชั้นสี่ ได้ค่าตอบแทนเท่าปลัดกระทรวง พันกว่าคน อัยการก็น่าจะเป็นพันคน
องค์กรอิสระ พรรคก้าวไกลเพิ่งอภิปรายงบศาลรัฐธรรมนูญ ขอซื้อรถประจำตำแหน่งประธาน 8 ล้าน ตุลาการมีรายได้ 5.3 แสนต่อเดือน รวมเงินเดือนเงินประจำตำแหน่งค่ารับรองเบี้ยประชุมและเงินบำเหน็จ
ค่ารับรองเหมาจ่าย เดือนละ 5 หมื่นกว่าบาท ได้ทุกองค์กรอิสระ โดยเพิ่งจะมีในรัฐธรรมนูญ 60
เบี้ยประชุมก็มีคำถาม ประชุมในเวลาราชการทำไมต้องจ่ายเบี้ย ประชุมออนไลน์ก็ได้ จนเคยเกิดดราม่า ป.ป.ท.ประชุมไต่สวนจำนำข้าว ประชุม 2 ครั้งขอเบี้ย 7 หมื่นเพราะอ้างว่าประชุม 47 สำนวนพร้อมกัน ค่าปราบโกงนะนั่น
สินบนนำจับ จับของเถื่อน จับยาเสพติด เคยเห็นไหม ตำรวจ-ป.ป.ส.-ปปง.-ศุลกากร เข้าชื่อยาวเฟื้อย เพื่อแบ่งรางวัลและได้เลื่อนขั้น จับจริงไม่ว่ากัน แต่ผู้กำกับโจ้รวยหลายร้อยล้านเพราะอ้างว่านำยึดรถหรู คิดว่าผู้กำกับโจ้ทำคนเดียวเท่านั้น?
รัฐราชการไทยไม่ได้มีกาฝากแค่กิ่งสองกิ่งหรอก เผลอๆ เป็นพุ่มใหญ่กว่าต้นไม้ด้วยซ้ำ
ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/politics/news_7233779
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar