วันที่ ๒๔ มิถุนายน พศ. ๒๔๗๕ - วันที่ ๒๔ มิถุนายน พศ. ๒๕๕๗ ....เป็นเวลา ๘๒ ปี ที่มีการเริ่มต้นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่กษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐ ธรรมนูญ นับว่าไทยเป็นประเทศแรกที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ จนถึงวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ เมื่อรัชกาลที่ ๘ ถูกน้องชายลอบปลงพระชนต์ แล้วได้ขึ้นมาเป็นกษัตริย์รัชกาลที่ ๙แทน ระบอบประชาธิปไตยที่คณะราษฎรได้สถาปนาขึ้นจึงได้ดับสูญไปพร้อมกับการสิ้นพระ ชนต์ของในหลวงอานันทม์ ร. ๘ หลังจากนั้น ประเทศไทยก็ได้กลายมาเป็นระบอบเผด็จการภายใต้กษัตริย์ภูมิพล ..ที่กษัตริย์อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ.. ตั้งแต่นั้นมาความขัดแย้งในสังคมไทยก็เกิดขึ้นและดำรงค์อยู่มาจนถึงในเวลา ปัจจุบัน พอมาถึงตอนปลายรัชกาลที่ ๙ ความรุณแรงก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ มีการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างลูกชายและลูกสาวของกษัตริย์ภูมิพลซึ่งความขัด แย้งในเวลานี้ก็คือความขัดแย้งของ " ศึกชิงบัลลังก์ " ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็มีกลุ่มอำมาตย์ให้การสนับสนุนพอๆกัน... จนกว่าจะมีการเปลี่ยนรัชกาลที่ ๑๐ หรืออาจจะไม่มีก็ได้ ถ้าเชื่อตามคำทำทายของโหรหลวงเมื่อตอนตั้งกรุงรัตน์โกสินทร์.... !!! เมื่อผ่านยุคเผด็จการอำมหิตนี้ไปแล้วประเทศไทยจึงจะมีประชาธิปไตย มีสิทธิเสรีภาพ มีความยุติธรรม ความเท่าเทียมกันในสังคมก็จะเกิดขึ้น ....
ดร. ปรีดี พนมยงค์ บิดาแห่งการอภิวัฒน์ พ ศ. ๒๔๗๕
Dr. ปรีดี พนมยงค์ บิดาแห่งการอภิวัฒน์ ๒๔๗๕
เมื่อ
อายุได้ ๑๘ ปี นายปรีดีพนมยงค์
สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนกฎหมายและเป็นสมาชิกของเนติบัณฑิตยสภา
ต่อมาได้รับทุนจากกระทรวงยุติธรรมไปศึกษาวิชากฎหมาย ณ ประเทศฝรั่งเศส
ระหว่าง ๒๔๖๓- ๒๔๗๐นาย ปรีดี พนมยงค์ ถือกำเนิดและเติบโตมาในท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลง ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๔๔๓ อันเป็นช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ ๕ ในครอบครัวชาวนาจังหวัดพระนครศรีอยุทธยา ชีวิตในวัยเด็กทำให้นายปรีดีได้สัมผัสกับสภาพปัญหาของชาวนา ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศในยุคนั้น
“ ผมได้กล่าวแล้วถึงสภาพสังคมไทยที่ผมประสบพบเห็นแก่ตนเองว่าราษฎรได้มีความ อัตคัดขัดสนในทางเศรษฐกิจ เพราะไม่มีสิทธิเสรีภาพกับความเสมอภาคในทางการเมือง อีกทั้งตกอยู่ภายใต้อิทธิพลและอำนาจของหลายประเทศทุนนิยม ผมได้มีความคิดก่อนที่ได้มาศึกษาในฝรั่งเศสแล้วว่าจะต้องค้นคว้าศึกษาเพิ่ม เติม ว่าวิธีใดที่จะทำให้ความเป็นอยู่ของราษฎรดีขึ้น “
ภาย หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ นายปรีดีเป็นผู้นำคณะราษฎรฝ่ายพลเรือน ผู้มีบทบาทมากที่สุดในการจัดวางรูปแบบการปกครองในระบอบใหม่ เนื่องจากเป็นคนไทยคนแรกที่สำเร็จดุษฎีบัณฑิตกฎหมายจากมหาวิทยาลัยปารีส นายปรีดีจึงให้ความสำคัญกับงานด้านนิติบัญญัติ กับการปกครองเป็นพิเศษ นอกจากจะเป็นผู้ร่างประกาศคณะราษฎรแล้ว ท่านยังเป็นผู้ให้กำเนิดรัฐธรรมนูญฉบับแรกของสยามประเทศ ที่ใช้เป็นบรรทัดฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตย และยังเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการร่างพระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่ง ราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ ซึ่งมีเนื้อหาจัดรูปแบบการปกครองออกเป็นส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น
นาย ปรีดีมิได้มุ่งหมายเปลี่ยนแปลงการปกครองเพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งระบอบ ประชาธิปไตยทางการเมืองเท่านั้น หากแสดงเจตนารมณ์และแสดงบทบาทอย่างแจ่มชัดที่จะก้าวไปสู่ประชาธิปไตยทาง เศรษฐกิจ สังคมและการศึกษา เหนือสิ่งอื่นใด ท่านปรารถนาที่จะให้ระบอบประชาธิปไตยเป็นบรรทัดฐานในการพัฒนาประชาชาติเล็กๆ อย่างสยาม ให้ยืนหยัดอยู่อย่างมีเอกราชและศักดิ์ศรีในทุกด้าน ท่ามกลางนานาอารยประเทศในประชาคมโลกยุคใหม่ เจตนารมณ์ประชาธิปไตยของท่านปรากฎอย่างชัดเจนในหลัก ๖ ประการของ “ ประกาศคณะราษฎร “ ที่ท่านเป็นผู้ร่างขึ้นเพื่อใช้เป็นคำแถลงการณ์ในวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕
หลัก ๖ ประการของ “ ประกาศคณะราษฎร “
๑ จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่นเอกราชในทางการเมือง ในทางศาล ในทางเศรษฐกิจฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง๒ จะต้องรักษาความปลอดภัยในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก
๓ จะ ต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก
๔ จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน
๕ จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ
๖ จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร
นาย ปรีดี พนมยงค์ เป็นนักการเมืองคนแรกที่ริเริ่มแนวความคิดที่จะให้ราษฎรทุกคนได้รับการ ประกันสังคมจากรัฐบาล โดยระบุไว้อย่างชัดเจนในหมวดที่ ๓ แห่งเค้าโครงการเศรษฐกิจฯ แต่น่าเสียดายที่ร่างของแนวความคิดดังกล่าวถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ กว่าประเทศไทยจะยอมรับให้มีนโยบายประกันสังคมให้แก่ประชาชนก็เป็นเวลา ๖๐ ปีหลังจากนั้น
นาย
ปรีดีเป็นตัวตั้งตัวตีให้รัฐบาลยกฐานะกรมร่างกฎหมายเป็น “
คณะกรมการกฤษฎีกา “ ทำหน้าที่ร่างกฎหมายและเป็นที่ปรึกษากฎหมายของแผ่นดิน
ทั้งยังพยายามพลักดันให้ “ คณะกรรมการกฤษฎีกา “ ทำหน้าที่ “ ศาลปกครอง “
อีกด้วย แนวความคิดในเรื่อง “ ศาลปกครอง “ ของท่านแสดงให้เห็นว่า
ท่านต้องการให้ราษฎรสามารถตรวจสอบฝ่ายปกครองได้
และมีสิทธิในทางการเมืองเท่าเทียมกับข้าราชการอย่างแท้จริง
นายปรีดีสนับสนุนแนวคิดศาลปกครองมาตั้งแต่ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ
พ.ศ. ๒๔๗๕
“
ระหว่างที่ข้าพเจ้าศึกษาวิชากฎหมายนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่า
มหาอำนาจต่างชาติถือสิทธิสภาพนอกอาณาเขตเหนือประเทศสยาม
ไม่ว่าจะเป็นทางทฤษฎีหรือทางปฏิบัติ
คนในสังคมมหาอำนาจเหล่านี้ไม่ต้องขึ้นศาลไทย
เพราะคดีที่มีคู่ความเป็นคนสังกัดต่างชาติเหล่านั้น จะต้องให้ศาลกงสุล
หรือศาลคดีระหว่างประเทศตัดสิน
ทั้งนี้เป็นไปตามสนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาคระหว่างชาติมหาอำนาจกับประเทศสยาม
ในศาลคดีระหว่างประเทศ
คำวินิจฉัยของผูพิพากษาชาติยุโรปจะมีน้ำหนักมากกว่าคำวินิจฉัยของผู้พิพากษา
ชาวสยาม ข้าพเจ้าไม่พอใจการใช้อำนาจอธิปไตยเช่นนี้เลย
ข้าพเจ้าจึงได้ตัดสินใจที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกราชของชาติอัน
สมบูรณ์ โดยมีอำนาจอธิปไตยของตนอย่างเต็มเปี่ยม “เมื่อ ภารกิจด้านการปกครองกระทรวงมหาดไทยเข้ารูปเข้ารอยแล้ว นายปรีดีเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อเป็นผู้นำในการแก้ไขสนธิสัญญาไม่เสมอภาคที่รัฐบาลสยามสมัยสมบูรณาญา สิทธิราชย์ได้ทำไว้กับประเทศต่างๆ ในนามของสนธิสัญญาทางไมตรี พานิชย์ และการเดินเรือ เป็นจำนวน ๑๒ ประเทศ ซึ่งเป็นไปตามจุดมุ่งหมายของคณะราษฎรในหลัก ๖ ประการที่จะต้อง “ รักษาความเป็นเอกราชของประเทศไว้ให้มั่นคง “ หลักการใหญ่ๆ ซึ่งนายปรีดี พนมยงค์ สามารถแก้ไขในสนธิสัญญาไม่เสมอภาคได้สำเร็จ คือสิทธิสภาพนอกอาณาเขต แต่เดิมคนในบังคับของต่างประเทศไม่ต้องขึ้นศาลสยาม ทำให้สยามสูญเสียเอกราชในทางศาล นอกจากนี้ต่างประเทศยังบังคับให้รัฐบาลสยามเรียกเก็บภาษีขาเข้าได้เพียงไม่ เกินร้อยละ ๓ เท่านั้น ทำให้เก็บรายได้ไม่เต็มที่ นับเป็นการเสียเอกราชทางเศรษฐกิจที่จำต้องแก้ไข
นาย ปรีดีได้ใช้ยุทธวิธีบอกเลิกสนธิสัญญาไม่เสมอภาคกับประเทศคู่สัญญา และได้ยื่นร่างสนธิสัญญาฉบับใหม่ที่สยามได้เอกราชและอธิปไตยสมบูรณ์ให้ ประเทศเหล่านั้นพิจารณา นายปรีดีได้ใช้ความอุตสาหะพยายามเจรจา โดยอาศัยหลัก “ ดุลยภาคแห่งอำนาจ “ จนประเทศนั้นๆ ยอมทำสนธิสัญญาใหม่ที่สยามได้เอกราชอธิปไตยสมบูรณ์ทั้งในทางการเมือง ในทางศาล และในทางเศรษฐกิจ
เมื่อนายปรีดีเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการครัง ( พ.ศ. ๒๔๘๑- ๒๔๘๔ ) ได้ปฏิบัติภารกิจเพื่อสร้างความเป็นธรรมในสังคมคือ
๑ ยกเลิกเงินภาษีรัชชูปการ อันเป็นเงินส่วยที่ราษฎรไพร่ต้องเสียให้แก่เจ้าศักดินา
๒ ยกเลิกอากรค่านาซึ่งชาวนาต้องเสียแก่เจ้าศักดินาสูงสุดที่ถือว่าที่ดินทั้งหลายทั่วราชอาณาจักรเป็นของประมุขของสังคม
๓ จัด ระบบเก็บภาษีอากรที่เป็นธรรมในระบอบประชาธิปไตยโดยสถาปนา “ ประมวลรัชฎากร “ เป็นแบบฉบับครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งรวมบทบัญญัติเกี่ยวกับภาษีอากรทางตรง ผูใดมีรายได้มากก็เสียภาษีมาก และถ้าผู้ใดบริโภคเครื่องบริโภคที่ไม่จำเป็นแก่การดำรงชีพ ก็ต้องเสียภาษีอากรมากตามลำดับ
๔ การ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ เพื่อให้มีการใช้งบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีอากรของราษฎรอย่างรัดกุม และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติ
ใน ช่วงเวลาที่นายปรีดีเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แม้จะเป็นช่วงที่ใกล้เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ ๒ แล้วก็ตาม แต่เสถียรภาพทางการเงินและการคลังของสยามนับว่ามั่นคงที่สุดยุคหนึ่ง ด้วยการเล็งการณ์ ไกลของท่าน ได้ทำให้เสถียรภาพของเงินบาทมั่นคง กล่าวคือเมื่อก้าวเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ ๒ นาย ปรีดีคาดคะเนว่าเงินปอนด์ที่เป็นเงินทุนสำรองเงินตราอาจจะไม่มีเสถียรภาพจึง ได้นำเงินปอนด์จำนวนหนึ่งไปซื้อทองคำเป็นจำนวนน้ำหนักประมาณ ๑ ล้านออนซ์ ในราคาออนซ์ละ ๓๕ เหรียญสหรัฐฯ และได้นำทองคำนั้นมาเก็บไว้ในห้องนิรภัยกระทรวงการครัง ซึ่งยังคงรักษาไว้เป็นทุนสำรองเงินบาทอยู่จนปัจจุบัน
ทัน
ที่ที่กองทัพญี่ปุ่นบุกเข้าประเทศไทย เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔
ผู้นำเผด็จการทหารของไทยเวลานั้นเข้าร่วมกับญี่ปุ่นประกาศสงครามกับสัมพันธ
มิตรสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ
นายปรีดีได้อาศัยฐานะของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ทำการประสานความสามัคคีของคนไทยทุกฝ่ายทั้งภายในประเทศและนอกประเทศ
นับตั้งแต่พระบรมวงศานุวงค์ ทหาร ตำรวจ ข้าราชการพลเรือน นิสิตนักศึกษา
ปัญญาชน กรรมกร ชาวไร่ชาวนา
ทำงานกู้ชาติบ้านเมืองในนามของขบวนการเสรีไทย โดยมีท่านเป็นหัวหน้า
มีชื่อจัดตั้งว่า รูธ
ภารกิจของขบวนการเสรีไทยคือร่วมมือกับคนไทยและสัมพันธมิตรต่อสู้ญี่ปุ่นผู้
รุกราน
และปฏิบัติการให้ฝ่ายสัมพันธมิตรรับรองว่าเจตนารมณ์ที่แท้จริงของราษฎรไทย
ไม่เป็นศัตรูต่อฝ่ายสัมพันธมิตร
เพื่อหวังผลให้ฝ่ายสัมพันธมิตรรับรองว่าไทยเป็นรัฐเอกราชไม่ตกเป็นประเทศแพ้
สงคราม
ภาย
หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒
นายปรีดีได้ใช้ความรู้ความสามารถเจรจาต่อรองกับฝ่ายสัมพันธมิตร
ทำให้ประเทศไทยไม่ต้องถูกยึดครองโดยฝ่ายสัมพันธมิตร
ทำให้ประเทศไทยเป็นเอกราชมาจนถึงทุกวันนี้
และท่านมีส่วนสำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิกลำดับที่ ๕๕
ของสหประชาชาติ ซึ่งเป็นองค์การของผู้ชนะสงครามโลกในเวลานั้น
ต่อมาเมื่อวันที่ ๘ ธันวา ๒๔๘๘ มีพระบรมราชองการ ยกย่องนายปรีดี พนมยงค์
ไว้ในฐานะรัฐบุรุษอาวุโส
และได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ปฐมจุลจอมเกล้าวิเศษและนพรัตน์ราช
วราภรณ์ อันเป็นชั้นสูงสุดที่สามัญชนพึงได้รับ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ รัชกาลที่ ๘ เสด็จสวรรคต นายปรีดี พนมยงค์ นายกรัฐมนตรีได้ขอความเห็นชอบต่อรัฐสภาให้อันเชิญพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพล อดุลยเดช ขึ้นครองราชย์สืบสันติวงค์ต่อไป และรัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ เสร็จการประชุมรัฐสภา นายปรีดีได้ขอลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเหตุผลว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีได้เสด็จสวรรคตเสียแล้ว
( นายสุภา ศิริมานนท์ นักหนังสือพิมพ์อาวุโส ได้กล่าวใน สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ ๘ พฤษภาคม ๒๕๒๖)
“ ผมเห็นว่าชีวิตของท่านมีสองอย่าง คือถ้าไม่มีท่าน ไทยจะไม่มีประชาธิปไตยและไม่มีเอกราช เพราะท่านตั้งขบวนการเสรีไทยขึ้นมา เพื่อไม่ให้ไทยชื่อว่าเป็นประเทศแพ้สงคราม ส่วนกรณีสวรรคตนั้น ยังเป็นเรื่องที่ต้องสะสางกันต่อไป เป็นการใส่ร้ายป้ายสี ใครที่บังอาจกล่าวเรื่องนี้ต้องแพ้คดีในศาลหมด “
๗ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ พลโท ผิน ชุณหะวัณ และทหารบางกลุ่มได้ทำการรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลพลเรือน ซึ่งมีหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์เป็นนายกรัฐมนตรี และใช้กำลังทหารประกอบด้วยรถถังและอาวุธทันสมัยระดมยิงเข้าไปในทำเนียบท่า ช้างเพื่อจับตัวนายปรีดีซึ่งเป็นเพียงรัฐบุรุษอาวุโส เป็นผลให้นายปรีดีต้องหนีตายไปสิงคโปร์ และแม้ว่านายปรีดีได้รวบรวมกลุ่มผู้รักชาติในนามของขบวนการประชาธิปไตย ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๒ เข้าต่อสู้กับคณะรัฐประหาร แต่ก็ประสบความพ่ายแพ้ ทำให้นายปรีดีต้องลี้ภัยไปอยู่ประเทศจีน เหตุการณ์ครั้งนั้นนับเป็นการปิดฉากการปกครองระบอบประชาธิปไตย และส่งผลให้อำนาจมืดครอบงำการเมืองไทยไปอีกยาวนาน.
( ที่มาจาก สารคดี ฉบับพิเศษ คือวิญญาณเสรี ปรีดี พนมยงค์ พฤษภาคม ๒๕๔๓ )
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar