onsdag 8 oktober 2014
บันทึกด้วยอาลัย การจากไปของ "พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย" จากใจ จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการองค์การเสรีไทยฯ
MON, 10/06/2014 - 17:26 by JOM
บันทึกด้วยอาลัย กับการจากไป ของ พ.อ.ดร.อภิวันท์ วิริยะชัย
จากใจ จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการองค์การเสรีไทยฯ
ผมกับ ดร.อภิวันท์ นั้นเรียกได้ว่า เป็นเพื่อนในยามยาก เพราะเราได้ต่อสู้เรียกร้องเพื่อประชาธิปไตยกันมาตั้งแต่ปี 2550 – 2553 โดยเฉพาะเมื่อผมเป็น เลขาธิการพรรค รองหัวหน้าพรรค และเป็น หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เราได้ทำงานทางการเมืองร่วมกันมา โดยตลอด
คุณอภิวันท์นั้นเวลามีประชุมพรรค ท่านจะไม่เคยขาดการประชุมพรรคเลย เมื่อผมได้เป็นหัวหน้าพรรค ผมก็ให้ คุณอภิวันท์ เป็นตัวหลักในการดำเนินการประชุมพรรคอยู่บ่อยครั้ง เพราะท่านรู้จักชื่อ ส.ส.ทุกคนเป็นอย่างดี และที่สำคัญท่านมีอุดมการณ์ที่สอดคล้องกับผม เราพูดคุยกันอย่างถูกคอ เพราะว่าท่านอภิวันท์ มีอุดมการณ์ที่แน่วแน่ในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
ผมยังไม่เคยเห็นนายทหารคนไหน ที่ จบโรงเรียนนายร้อย จปร.แล้ว มีวิสัยทัศน์ มีทัศนคติต่อการเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างท่านอภิวันท์ เรียกได้ว่า ท่านเป็นแกะดำ หรือเป็นแกะหลงฝูงก็ว่าได้ ที่เป็นนายทหารที่มีหัวใจรักประชาธิปไตย หรือ จะเรียกว่า หัวใจท่านอภิวันท์นั้น แดงพันเปอร์เซ็นต์
ผลงานที่ผมถือเป็นบทบาทสำคัญของการเป็นนักการเมืองเพื่อประชาธิปไตยของท่านอภิวันนท์คือ ก่อนที่จะมีการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม ท่านอภิวันท์มีการประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทย และได้ประกาศเป็นมติ เพื่อที่จะนำเสนอให้ รัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้เอาเรื่องให้ ประเทศไทย เป็นภาคีใน ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ไอซีซี กรณีการหยุดยั้งการเข่นฆ่าประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยเสนอให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นคนลงนามรับรองเรื่องดังกล่าว
แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขณะนั้น กลับยุบสภาเสียก่อน ในวันที่ 9 ธันวาคม 2556 นับเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ที่อุดมการณ์ของ ท่านอภิวันท์ ที่จะสร้างหลักประกันไม่ให้คนไทยต้องถูกเข่นฆ่าเพราะเรียกร้องประชาธิปไตยเกิดขึ้นอีก
หลังจากรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ผมเองก็ได้หลบหนีออกมาอยู่ตามตะเข็บขายแดนไทยกัมพูชาและลาว และได้ติดต่อกับ ท่านอภิวันท์ เพื่อให้กำลังใจซึ่งกันและกัน รวมทั้งเพื่อแลกเปลี่ยนข่าวสารซึ่งกันและกันด้วย ผมก็ทราบว่า ขณะนั้น ท่านอภิวันท์ก็ยังอยู่ในประเทศไทย และเตรียมการที่จะหลบหนีอยู่ด้วยเหมือนกัน หลังจากที่ไปรายงานตัวตามคำสั่งของ คสช. และถูกนำไปปรับเปลี่ยนทัศนคติเป็นเวลาระยะหนึ่งแล้ว และถูกปล่อยตัวออกมา
แต่ท่านก็ทราบจาก “พรายกระซิบ” ว่า คสช.เตรียมที่จะยัดเยียดข้อหาร้ายแรงให้กับท่านนั่นก็คือ หมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ สุดท้ายผมก็ทราบว่า ท่านได้หลบหนีออกจากประเทศไทยแล้ว โดยท่านเล่าให้ผมฟังว่า หลบหนีออกมา ไม่ได้นำเอาอะไรติดตัวออกมาเลย ออกมาคนเดียว ใส่เพียงรองเท้าแตะมาเพียงคู่เดียว เรียกได้ว่า หนีกระเซอะกระเซิงออกมาเลย ออกมาตามจะเข็บขายแดน แล้วเดินทางไปยัง ประเทศฟิลิปปินส์ ได้ในที่สุด
เหตุผลที่ท่านอภิวันท์ เลือกขอลี้ภัยอยู่ในประเทศฟิลิปปินส์นั้น ท่านบอกกับผมว่า ที่ฟิลิปปินส์ เป็นที่ตั้งของ ศูนย์ผู้ลี้ภัยเพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็นเอชซีอาร์ ( UNHCR ) ซึ่งท่านก็ได้รับการช่วยเหลือจาก ยูเอ็นเอชซีอาร์ ที่จะให้ได้รับการรับรองการเป็นผู้ลี้ภัยอย่างถูกต้อง
ขณะที่ท่านอภิวันท์ ลี้ภัยอยู่ในประเทศฟิลิปปินส์ ผมได้คุยกับท่านเป็นประจำเกือบทุกวัน วันละ 2-3 ชั่วโมง คุยกันถึงเรื่องสถานการณ์บ้านเมือง การเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย รวมทั้งการให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เพราะตัวท่านเองขณะนั้นท่านบอกว่า ลำบากมาก คสช.ยึดทรัพย์สินของท่านทั้งหมด
แต่ท่านก็ยังมีความมุ่งมั่น ที่จะเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอยู่ในต่างประเทศ และมีความคิดที่จะร่วมกันกำหนดยุทธศาสตร์ กับ องค์การเสรีไทยฯที่จะเคลื่อนไหวต่อสู้ไปด้วยกัน ซึ่งผมก็ดีใจ ที่จะได้ท่านมาเสริมทัพให้กับ องค์การเสรีไทยฯ ให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น
แต่หลังจากที่พูดคุยติดต่อกันประมาณ 1 เดือน ขณะที่ท่านอภิวันท์อยู่ที่ฟิลิปปินส์ ท่านก็เริ่มบ่นให้ผมฟังว่า ท่านไม่สบาย เริ่มไอ เป็นหวัด และเจ็บหน้าอก หรือแน่นหน้าอก ซึ่งทำให้เราคุยกันน้อยลง
ต่อมาก็ทราบว่า ท่านได้เข้าไปรักษาตัวที่ ร.พ.แห่งหนึ่งในประเทศฟิลิปปินส์ เบื้องต้น ผมทราบจากคุณหมอบอกว่า ท่านเป็นโรคปอดปวม มีน้ำท่วมปอด และทราบว่ามีการเจาะปอดด้วย
จากนั้น ก็ทราบว่า ท่านเข้าไอซียู ซึ่งแพทย์รายงานเพิ่มเติมว่า ท่านมีน้ำตาลในเลือดสูงมาก ปอดปวม หายใจไม่สะดวก แพทย์จึงทำการรักษาโดยการล้างไต การฟอกเลือด ตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา ผมก็ทราบว่า อาการของท่านอภิวันท์ บางวันก็ทรง บางวันก็ทรุด
จนเมื่อหมอใช้ยาแรงขึ้น ฟอกไต บ่อยขึ้น ก็พอจะมีข่าวดีว่าท่านอาการดีขึ้นบ้าง แต่ตอนหลังกลับแย่ลงอีก ปอดติดเชื้ออย่างรุนแรง หมอต้องฟอกไตให้ไม่ต่ำกว่า 6 ครั้ง แต่ก็ไม่ดีขึ้น จนไตบวม ปอดติดเชื้อ จนเป็นฝ้าขาวหมด จนปอดเสียไปข้างหนึ่ง แต่สติท่านก็ยังพอรู้เรื่อง แต่พูดไม่ได้ เพราะใส่สายยาง แต่สายตาก็รับรู้ได้ โดยพยักหน้า ตอบรับ
ต่อมาเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ก็ทราบว่า ท่านอาการหนักขึ้นอีก และเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม หมอก็บอกว่า ให้ทำใจ ซึ่งตอนนั้นผมก็รู้แล้วว่า คงหมดหวังแล้ว ก็ได้แต่ สวดมนต์ภาวนา ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และหลวงปู่ทวด ได้ช่วยปกป้องให้ ท่านอภิวันท์ ได้หายและปลอดภัยโดยเร็ว
แต่แล้วเมื่อเวลาประมาณ 22.38 น. ของวันที่ 6 ตุลาคม 2557 ผมก็ได้รับข่าวร้ายว่า ท่านอภิวันท์ ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งเป็นการเสียชีวิตตรงกับวันที่ 6 ตุลาคม ตรงกับวันต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของนิสิตนักศึกษาและประชาชนคนไทยเมื่อ 38 ปีที่แล้ว
ผมจึงขออัญเชิญดวงวิญญาณของท่านอภิวันท์ให้ไปสู่สุขคติ และเป็นต้นแบบของวีรชน 6 ตุลา อีกหนึ่งคน ที่เสียสละชีวิตเพื่อปกป้อง และเรียกร้องประชาธิปไตยให้กับประชาชนคนไทย
และขอให้ ดวงวิญญาณของท่านอภิวันท์ ช่วยปกป้อง คุ้มครอง ให้พลังและกำลังใจกับผู้รักประชาธิปไตย ที่กำลังต่อสู้กันอยู่ในขณะนี้ เพื่อได้นำแสงสว่างแห่งความสำเร็จให้เกิดขึ้นกับพวกเรา โดยพวกเรา จะเดินตามรอยทางที่ท่านอภิวันท์ได้สร้างให้เป็นต้นแบบในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเอาไว้แล้ว
แม้ว่าประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทั่วประเทศจะรู้สึกเศร้าโศกเสียใจกับการจากไปของท่านอภิวันท์ แต่พวกเราที่กำลังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอยู่ในขณะนี้ จะเดินหน้าต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยอย่างไม่ย่อท้อต่อไป
สำหรับผมนั้น ความทรงจำ หรือ ความประทับใจ ที่มีต่อ ท่านอภิวันท์ วิริยะชัย ก็คือ ผมชื่นชมในความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวกับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างมาก โดยเฉพาะวันที่ ท่านขึ้นรถ 6 ล้อนำมวลชนออกไปเผชิญหน้ากับทหารเผด็จการอย่างไม่กลัวต่อชีวิต โดยไปที่หน้ากองบัญชาการทหารบก ถนนราชดำเนิน เพื่อไปสอนประชาธิปไตยให้กับนายทหารรุ่นน้อง ไปบอกกับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตนกลิน ที่รัฐประหารเมื่อ 19 กันยา 2549 ว่า เป็นการทรยศต่อประชาชน ทำให้ชื่อเสียงของสถาบันกองทัพต้องเสียหาย
ต่อมา ก็นำมวลชนไปที่หน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ เพื่อไปบอกกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ให้เลิกสนับสนุนกองทัพทำรัฐประหาร โดยบอกว่า พล.อ.เปรม กำลังทำผิดที่อยู่เบื้องหลังการทำรัฐประหาร และเรียกร้องให้ พล.อ.เปรม ลาออกจากองคมนตรี
และล่าสุดเมื่อตอนกลางคืนของวันที่ 21 พฤษภาคม 2557 ก่อนรัฐประหารเพียงไม่กี่ชั่วโมง ท่านอภิวันท์ ก็ได้ขึ้นปราศรัยบนเวที นปช.ที่ถนนอักษะ ซึ่งเป็นการขึ้นกล่าวปราศรัยครั้งสุดท้ายของท่าน ทั้ง ๆ ที่ขณะนั้น มีการประกาศกฎอัยการศึกแล้ว ห้ามมีการชุมนุมแล้ว แต่ท่านก็ขึ้นเวที เพื่อบอกว่า การประกาศกฎอัยการศึก ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้นไม่มีความชอบธรรม เพราะยังไม่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่อย่างใด ..นี่คือ ความกล้าหาญของท่านอภิวันท์
มีคนสงสัยว่า ทำไม พ.อ.ดร อภิวันท์ วิริยะชัย ซึ่ง จบ จปร.แต่มีสำนึกและจิตวิญญาณที่รักประชาธิปไตย และเห็นด้วยกับการปฎิรูประบอบประชาธิปไตย ซึ่งเรื่องนี้ ผมพอที่จะอธิบายได้ว่า เพราะท่านสำเร็จการศึกษาทั้งระดับปริญญาโท และปริญญาเอกจาก มหาวิทยาลัยอิลินอย ประเทศสหรัฐอเมริกา ท่านจึงซึมซับและเข้าใจวิถีทางประชาธิปไตยเป็นอย่างดี เมื่อท่านมาเล่นการเมืองยิ่งทำให้ท่านเห็นปัญหาของบ้านเมืองและจำเป็นที่จะต้องให้ประเทศไทยมีความเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น
ดังนั้น อุดมการณ์ของ ท่านอภิวันท์ วิริยะชัย จึงเป็นทหารผู้รักประชาธิปไตย ที่มีความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยวและเสียสละที่จะต่อสู้เพื่อเพื่อประชาธิปไตย จึงอยากให้ ทหารรุ่นหลัง ได้ศึกษาเป็นตัวอย่างว่า หากจะเอาชนะใจประชาชน ก็จะต้องศึกษาอุดมการณ์การต่อสู้ของ พ.อ. ดร.อภิวันท์ วิริยะชัย ทหารจะต้องยืนเคียงข้างประชาชน ทหารต้องยืนเคียงข้างประชาธิปไตย และเลือดของทหารไทย จะต้องเป็นเลือดที่จะต่อสู้เพื่อรักษาและปกป้องประชาธิปไตยเท่านั้น.
Prenumerera på:
Kommentarer till inlägget (Atom)
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar