สปช. รับทราบ รายงานรับมือวิกฤต กรุงเทพจม จัดตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเพื่อรับมือ ชี้เหตุ “การใช้น้ำบาดาล-ตึกสูงมาก” ทำแผ่นดินทรุด ผลระยะยาวอาจต้องย้ายเมืองหลวง เตือนไม่ป้องกัน 15 ปีจมแน่
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 22 กรกฎาคม มีการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) มีนายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสปช.เป็นประธานการประชุมเพื่อพิจารณารายงานของคณะกรรมการเตรียมการเพื่อรับมือวิกฤตการณ์ (กรุงเทพจม) สปช. เรื่องการปฏิรูปเพื่อรับมือวิกฤตการณ์น้ำทะเลขึ้นสูงและแผ่นดินทรุดพื้นที่กทม.และปริมณฑล โดยมีนายวิทยา กุลสมบูรณ์ ประธานคณะกรรมการ ชี้แจงว่า
จากลักษณะพื้นดินของกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีระดับความสูงจากน้ำทะเลประมาณ 0.5-2.0 เมตร ประกอบกับกทม.มีการพัฒนาความเจริญในหลายๆ ด้าน ส่งผลให้เกิดการขยายตัวของเมือง เพื่อรองรับจำนวนประชากรที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆทำให้ความต้องการทรัพยากรมีเพิ่มมากขึ้น และนอกจากการทรุดตัวตามธรรมชาติแล้ว ยังพบว่าเกิดจากการใช้น้ำบาดาลในพื้นที่ระบบน้ำประปาเข้าไม่ถึง
ซึ่งปัญหาที่พบจากการใช้น้ำบาดาลมาเป็นระยะเวลายาวนาน ทำให้พื้นดินในกทม.และปริมณฑลเกิดทรุดตัว รวมทั้งภาวะน้ำหนักกดทับจากสิ่งปลูกสร้างที่เพิ่มขึ้น เพราะปัจจุบันกทม.มีอาคารสูง 20ชั้นขึ้นไปประมาณ 700 แห่ง และ 8-20 ชั้น 4 พันแห่ง และรถไฟฟ้าที่เกิดขึ้นหลายสาย ทำให้พื้นที่บางส่วนของกทม.และปริมณฑลมีโอกาสจะจมน้ำทะเลได้ในอนาคต
นายวิทยา กล่าวต่อว่า ดังนั้น การปฏิรูป โดยเฉพาะในเชิงนโยบายจะต้องครอบคลุมทุกมิติที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ โดยจัดเป็นคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อรับมือวิกฤตการณ์น้ำทะเลหนุนสูงและแผ่นดินทรุด โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยจัดทำเป็นแผนหลักระยะยาว โดยเพิ่มเติมกฎหมายและขยายขอบเขตบทบาท กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการปฏิรูปองค์กร ต้องกำหนดให้หน่วยงานหรือคณะกรรมการเฉพาะเพื่อขับเคลื่อนแผนงาน กำกับดูแลภารกิจในการป้องกันและรับมือปัญหาวิกฤตน้ำเพิ่มขึ้น
รวมทั้งให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการรับรู้และตระหนักถึงปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้น ซึ่งโอกาสที่กทม.และปริมณฑลมีความเสี่ยงสูงมากที่จะได้รับผลกระทบจากการทรุดตัวของดินและน้ำทะเลขึ้นสูง หากไม่ดำเนินการหรือมีมาตรการรองรับในระยะสั้น จะเกิดความเสี่ยงสูงมาก จากพื้นที่น้ำทะเลท่วมในวงกว้างและลึก โดยต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน และใช้งบประมาณมหาศาล และอาจจะต้องมีการทบทวนประเด็นของการย้ายเมืองหลวงด้วย แต่ขณะนี้กทม.มีความเสี่ยงอยู่ในระดับกลาง หากดำเนินการด้านมาตรการเพื่อรองรับในระยะเวลาที่เหมาะสมก็จะสามารถรับมือวิฤตการณ์ได้ทัน สามารถควบคุมความเสียหายได้ในระดับหนึ่ง
จากนั้น สมาชิกสปช.ได้อภิปรายกันอย่างกว้างขวาง โดยเห็นว่าควรให้มีการขุดลอก คู คลอง เพื่อให้การระบายน้ำสะดวกรวดเร็วขึ้นในช่วงน้ำท่วม และสร้างทางน้ำออกสู่ทะเล รวมถึงมีการเสนอให้หยุดการเติบโตของเมือง โดยพิจารณาย้ายแหล่งอุตสาหกรรม แหล่งธุรกิจ ออกนอกพื้นที่กทม.และพื้นที่ภาคตะวันออกด้วย โดยอาจจะเป็นโครงการใน 20 –30 ปีข้างหน้า จากนั้นที่ประชุมมีมติรับทราบรายงานดังกล่าว ด้วยคะแนน 166 ต่อ 5 งดออกเสียง 4 เพื่อส่งให้คณะกรรมาธิการนำกลับไปทบทวนใหม่ก่อนส่งให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายใน 7 วัน
ต่อมา นายสุจริต คูณธนกุลวงศ์ กรรมาธิการฯ แถลงว่า สำหรับมาตรการป้องกันเพื่อไม่ให้กทม.จมนั้น จะต้องทำในหลายประเด็น 1.การควบคุมการใช้น้ำบาดาล เพื่อควบคุมการทรุดตัวของแผ่นดิน 2.การควบคุมผังเมืองเพื่อควบคุมอาคารสูงไม่ให้กดทับพื้นดิน 3.ควบคุมการยกระดับของน้ำทะเล 4.บูรณาการดำเนินการป้องกันแบบองค์รวม หากไม่มีการดำเนินการอะไรกทม.จะจมใน 15 ปีข้างหน้า
ดังนั้น ในช่วงเวลานี้ต้องเร่งทำให้เป็นยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อหามาตรการในการรับมือ ซึ่งปัจจัยที่น่าห่วงที่สุดคือการหนุนของน้ำทะเลเพราะไม่สามารถควบคุมได้ ขณะนี้ที่อ่าวไทยมีน้ำทะเลเพิ่มขึ้นทุกปี จึงมีแนวคิดที่จะทำเขื่อนกั้นน้ำทะเล ตั้งแต่อ.ศรีราชา ถึง อ.หัวหิน เพื่อป้องกันไม่ให้กทม.จม ตลอดจน
จากลักษณะพื้นดินของกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีระดับความสูงจากน้ำทะเลประมาณ 0.5-2.0 เมตร ประกอบกับกทม.มีการพัฒนาความเจริญในหลายๆ ด้าน ส่งผลให้เกิดการขยายตัวของเมือง เพื่อรองรับจำนวนประชากรที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆทำให้ความต้องการทรัพยากรมีเพิ่มมากขึ้น และนอกจากการทรุดตัวตามธรรมชาติแล้ว ยังพบว่าเกิดจากการใช้น้ำบาดาลในพื้นที่ระบบน้ำประปาเข้าไม่ถึง
ซึ่งปัญหาที่พบจากการใช้น้ำบาดาลมาเป็นระยะเวลายาวนาน ทำให้พื้นดินในกทม.และปริมณฑลเกิดทรุดตัว รวมทั้งภาวะน้ำหนักกดทับจากสิ่งปลูกสร้างที่เพิ่มขึ้น เพราะปัจจุบันกทม.มีอาคารสูง 20ชั้นขึ้นไปประมาณ 700 แห่ง และ 8-20 ชั้น 4 พันแห่ง และรถไฟฟ้าที่เกิดขึ้นหลายสาย ทำให้พื้นที่บางส่วนของกทม.และปริมณฑลมีโอกาสจะจมน้ำทะเลได้ในอนาคต
นายวิทยา กล่าวต่อว่า ดังนั้น การปฏิรูป โดยเฉพาะในเชิงนโยบายจะต้องครอบคลุมทุกมิติที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ โดยจัดเป็นคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อรับมือวิกฤตการณ์น้ำทะเลหนุนสูงและแผ่นดินทรุด โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยจัดทำเป็นแผนหลักระยะยาว โดยเพิ่มเติมกฎหมายและขยายขอบเขตบทบาท กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการปฏิรูปองค์กร ต้องกำหนดให้หน่วยงานหรือคณะกรรมการเฉพาะเพื่อขับเคลื่อนแผนงาน กำกับดูแลภารกิจในการป้องกันและรับมือปัญหาวิกฤตน้ำเพิ่มขึ้น
รวมทั้งให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการรับรู้และตระหนักถึงปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้น ซึ่งโอกาสที่กทม.และปริมณฑลมีความเสี่ยงสูงมากที่จะได้รับผลกระทบจากการทรุดตัวของดินและน้ำทะเลขึ้นสูง หากไม่ดำเนินการหรือมีมาตรการรองรับในระยะสั้น จะเกิดความเสี่ยงสูงมาก จากพื้นที่น้ำทะเลท่วมในวงกว้างและลึก โดยต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน และใช้งบประมาณมหาศาล และอาจจะต้องมีการทบทวนประเด็นของการย้ายเมืองหลวงด้วย แต่ขณะนี้กทม.มีความเสี่ยงอยู่ในระดับกลาง หากดำเนินการด้านมาตรการเพื่อรองรับในระยะเวลาที่เหมาะสมก็จะสามารถรับมือวิฤตการณ์ได้ทัน สามารถควบคุมความเสียหายได้ในระดับหนึ่ง
จากนั้น สมาชิกสปช.ได้อภิปรายกันอย่างกว้างขวาง โดยเห็นว่าควรให้มีการขุดลอก คู คลอง เพื่อให้การระบายน้ำสะดวกรวดเร็วขึ้นในช่วงน้ำท่วม และสร้างทางน้ำออกสู่ทะเล รวมถึงมีการเสนอให้หยุดการเติบโตของเมือง โดยพิจารณาย้ายแหล่งอุตสาหกรรม แหล่งธุรกิจ ออกนอกพื้นที่กทม.และพื้นที่ภาคตะวันออกด้วย โดยอาจจะเป็นโครงการใน 20 –30 ปีข้างหน้า จากนั้นที่ประชุมมีมติรับทราบรายงานดังกล่าว ด้วยคะแนน 166 ต่อ 5 งดออกเสียง 4 เพื่อส่งให้คณะกรรมาธิการนำกลับไปทบทวนใหม่ก่อนส่งให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายใน 7 วัน
ต่อมา นายสุจริต คูณธนกุลวงศ์ กรรมาธิการฯ แถลงว่า สำหรับมาตรการป้องกันเพื่อไม่ให้กทม.จมนั้น จะต้องทำในหลายประเด็น 1.การควบคุมการใช้น้ำบาดาล เพื่อควบคุมการทรุดตัวของแผ่นดิน 2.การควบคุมผังเมืองเพื่อควบคุมอาคารสูงไม่ให้กดทับพื้นดิน 3.ควบคุมการยกระดับของน้ำทะเล 4.บูรณาการดำเนินการป้องกันแบบองค์รวม หากไม่มีการดำเนินการอะไรกทม.จะจมใน 15 ปีข้างหน้า
ดังนั้น ในช่วงเวลานี้ต้องเร่งทำให้เป็นยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อหามาตรการในการรับมือ ซึ่งปัจจัยที่น่าห่วงที่สุดคือการหนุนของน้ำทะเลเพราะไม่สามารถควบคุมได้ ขณะนี้ที่อ่าวไทยมีน้ำทะเลเพิ่มขึ้นทุกปี จึงมีแนวคิดที่จะทำเขื่อนกั้นน้ำทะเล ตั้งแต่อ.ศรีราชา ถึง อ.หัวหิน เพื่อป้องกันไม่ให้กทม.จม ตลอดจน
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar