เรื่องราวในคุกที่วังทวีวัฒนา
พิธีเผาศพกษัตริย์ภูมิพลได้ออกอากาศสถานีโทรทัศน์ในประเทศไทยทุกช่อง หลายแสนคนมาที่กรุงเทพฯเพื่อเป็นสักขีพยานในพิธีกรรมนั้นและมีอีกหลายล้านคนที่ติดตามทั่วประเทศ ทุกอย่างได้วางแผนเอาไว้อย่างรอบคอบและได้ออกแบบท่าเต้นและมีการซ้อมแต่งตัวเต็มรูปแบบสามครั้ง ซึ่งทางพระราชวังต้องการให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ
แต่ในขณะที่งานพิธีฉลองกำลังดำเนินไปนั้น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งทนความร้อนไม่ไหวเป็นลมล้มลงกับพื้นต่อหน้าต่อตาคนไทยที่ดูการถ่ายทอดสดทั้งประเทศ ทันทีก็มีเจ้าหน้าที่วิ่งไปช่วยเขาแล้วพยุงเขาลุกขึ้นให้ยืนบนเท้าของตัวเองได้แต่ก็ยังมีอาการโอนเอนไปมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังสามารถกลับคืนมายืนทำพิธีค่อไปได้ ซึ่งเรื่องเช่นนี้ไม่ใช่ของแปลก- ในสหราชอาณาจักรตัวอย่างเช่นนี้ก็เคยมีมาแล้ว ทหารห้านายในกองทหารของ Queen's Guard หมดสติลงในงาน Trooping the Colour ในพิธีที่พระราชวัง Buckingham ในเดือนมิถุนายนปี 2560 ซึ่งที่โน่นมีสภาพดินฟ้าอากาศเย็นกว่าในกรุงเทพฯ
อย่างไรก็ตามวชิราลงกรณ์ต้องการให้ทหารไทยมีการแต่งกาย อย่างสมบูรณ์แบบ เขาเป็นคยหลงใหลในเรื่องไสยศาสตร์ที่ทำให้เขามั่นใจว่าถ้าให้ทหารแต่งเครื่องแบบและฝึกซ้อมมาดีมีร่างกาแข็งแรงจะไม่มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น พวกทหารไทยได้เรียนรู้ถึงความหวาดระแวงใจของวชิราลงกรณ์เป็นอย่างดี ถ้าเกิดมีความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย พวกเขารู้ว่าพวกเขาต้องเผชิญกับการลงโทษในค่ายทหารที่พระราชวังทวีวัฒนาอย่างแน่นอน ซึ่งเป็นคุกส่วนตัวของกษัตริย์ที่อยู่เขตทางตอนเหนือของกรุงเทพฯ
การลงโทษวชิรางกรณ์เองเป็นผู้กำหนด ตามระบบที่เรียกว่า " โบว์ดำ " ( Black Ribbon )
หนึ่งโบว์ดำ: หนึ่งเดือน
สองโบว์ดำ: สามเดือน
สามโบว์ดำ: เก้าเดือน
ทหารผู้ที่เป็นลมที่งานศพของภูมิพล คือผู้ บัญชาการ กฤษณะ ปานบุตร เป็นทหารเรือในกรมราชองครักษ์ เขาได้รับการลงโทษตามระบบโบว์ดำอันดับสาม จากวชิราลงกรณ์ เพราะท่านโกรธเคืองทหารคนนี้มาก เขาถูกลงโทษเป็นเวลาเก้าเดือนในคุกของกษัตริย์และถูกลดระดับให้เป็นพลทหารธรรมดาในกองทัพทหารของเขา
[อัพเดท - ณ เดือนมีนาคม 2561 กฤตนัยยังคงถูกควบคุมตัวและไม่ได้กลับบ้าน]
วชิราลงกรณ์มีพระราชวังหลายแห่งในและรอบ ๆ กรุงเทพฯ วังทวีวัฒนาเป็นสถานที่ซึ่งเขาได้ใช้เวลาอยู่กับภรรยาคนที่สามคือ ศรีรัศ สุวดี อดีตพนักงานต้อนรับในไนต์คลับที่เขาแอบแต่งงานในปี 2544
เริ่มตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นไปเขาเริ่มใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในมิวนิคประเทศเยอรมนีกับอดีตพนักงานต้อนรับบนเครืองบินของสายการบินไทย Suthida Tidjai และในปี 2557 เขาหย่าขาดจากศรีรัศ และได้ปฏิบัติต่อเธออย่างโหดร้ายที่สุด โดยไล่ออกจากฐานันดรศักดิ์ และได้จำคุกญาติสนิทของเธอส่วนใหญ่รวมถึงพ่อแม่ผู้สูงอายุของเธอและพี่ชายสามคนที่เคยทำงานเป็นบอดี้การ์ดของเขา
ตอนนี้วังส่วนใหญ่จะใช้เป็นคุกและค่ายลงโทษทหาร
จากการวิจัยของ ปวิน ชัชวาลพงษ์พันธ์ ได้พบเมรุเผาศพภายในอาคารทวีวัฒนาใกล้กับเรือนจำ
ในปี 2558 คนวงในใก้ลชิดของวชิราลงกรณ์ สามคนอดีตหัวหน้าหน่วยคุ้มกัน พลตรี พิศิษฐ์ ศักดิ์ "แจ็ค" เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยาผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง สุริยัน สุชาริพลวงค์ (หมอหยอง ) พันตำรวจตรี ปรากรม วารุณประภา โดยวชิราลงกรณ์สั่งให้โกนหัว ก่อนที่พวกเขาจะตายได้ถูกจำคุกในคุกที่วังทวีวัฒนา โดยทางการอ้างว่า Prakrom ฆ่าตัวตายโดยการแขวนคอในที่คุมขังและหมอหยองเสียชีวิตจาก“ การติดเชื้อในเลือด” การตายของพิศิษฐ์ไม่เคยประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ครอบครัวของเขาได้รับการบอกเล่าว่าเขาเองก็ถูกแขวนคอเช่นกัน
ศพของชายทั้งสามถูกเผาอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องชันสูตร ยังไม่ทราบว่ามีคนอยู่ในคุกที่ทวีวัฒนาจำนวนกี่คน Pavin กล่าวว่ามีบางคนที่ถูกจำคุกที่นั่นบอกว่าที่นั่นคือ "นรกบนดิน"
ห้ามมิให้คนเข้าไปดูในคุก กลุ่มสิทธิมนุษยชนและสื่อมวลชนของไทยไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เนื่องจากความกลัวต่อกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่ทำให้เกิดการถกเถียงเรื่องการใช้อำนาจโดยทางราชวงศ์
นอกจากเรือนจำวังทวีวัฒนายังมีค่ายฝึกอบรมสำหรับนักเรียนนายร้อยในหน่วยทหารราบราชวัลลภ 904 กองกำลังทหารภายใต้การบัญชาการของวชิราลงกรณ์เอง เครื่องบินโบราณสองลำรวมถึง Douglas C-47 ในปี 1940 นั้นจอดอยู่ในบริเวณพระราชวัง ก่อนหน้านี้เคยจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศที่ดอนเมืองมาก่อน วชิราลงกรณ์ก็ได้เอามาเป็นของส่วนตัวในปี 2550
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการจัดตั้งค่ายลงโทษทางทหารขึ้นในคอมเพล็กซ์ ค่ายลงโทษนี้ - แยกออกจากคุก - เป็นที่ที่ทหารถูกส่งไปลงโทษถ้าพวกเขาไม่เป็นที่พอใจของวชิราลงกรณ์จะได้รับการลงโทษตามระบบ " โบว์ดำ "
คำให้การของทหารที่ถูกลงโทษอยู่ในค่ายได้เปิดเผยให้เห็นถึงระบอบการปกครองอันโหดร้ายนี้มาก
โดยในวันแรกที่ทหารมาถึงค่ายพวกเขาแต่ละคนจะถูกจับใส่ในกระสอบและจากนั้นจะถูก“ ผู้สอน” เตะ และถูกทุบ เริ่มต้น ตี โดยผู้รับผิดชอบของโครงการลงโทษ
จากนั้นก็จะมีกิจวัตรแต่ละวันเริ่มต้นเวลา 4:45 น. เมื่อผู้ต้องขังในค่ายตื่นขึ้นเขาพร้อมจะเริ่มต้นกิจกรรมของวันในเวลา 5:00 น. จะต้องทำการฝึกร่างกายหนึ่งชั่วโมงก่อนอาหารเช้า และได้รับการตรวจสอบเป็นรายบุคคลในเวลา 7:00 น
ไม่ว่าพวกทหารเหล่านั้นจะอยู่ในตำแหน่งใดจะถูกเจ้าหน้าที่ในค่ายรังแกและถูกทารุณเหมือนทหารเกณฑ์ธรรมดาถ้าผิดมระเบียบหรือมีความบกพร่องเพียงเล็กน้อยในเครื่องแบบหรือความผิดพลาดใด ๆ ในการซ้อมที่พวกเขาถูกบังคับให้ทำจะถูก ลงโทษกับคนที่ละเมิดระเบียบวินับ โดยให้ฝึดอยู่นานหลายชั่วโมงและรวมถึงการคลานผ่านท่อน้ำเสียต้องแบกท่อนซุงหนักผ่านจุดจนอ่อนเพลียและถูกตีโดยผู้สอนด้วยไม้เป็นมัด ๆ และ ถูกถีบดว้ยรองเท้าบู๊ต
เมื่อผู้ต้องขังแต่ละคนถูกลงโทษทุกวันส่วนที่เหลือของวันนั้นจะมีการฝึกฝนร่างกายอย่างเข้มข้น มีการหยุดพักหนึ่งชั่วโมงสำหรับมื้อกลางวันและมื้อค่ำ แต่จะอนุญาตให้พักได้เพียงห้านาทีต่อชั่วโมง การฝึกซ้อมดำเนินไปด้วยดีในตอนเย็นจากนั้นผู้ต้องขังจะต้องเตรียมเครื่องแบบและขัดรองเท้าในวันรุ่งขึ้นเมื่อการทดสอบเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
เนื่องจากความบ้าคลั่งของวชิราลงกรณ์ทหารที่มีน้ำหนักเกินต้องเผชิญกับความยากลำบากเป็นพิเศษที่ค่ายลงโทษทวีวัฒนา อาหารของพวกเขาถูก จำกัด และผู้ต้องขังบางคนได้รับอนุญาตให้กินอาหารวันละมื้อ พวกเขาไม่อนุญาตุให้ดื่มน้ำยกเว้นในช่วงเวลาอาหารและจะไม่อนุญาตให้พักผ่อนในที่ร่มในช่วงพักห้านาทีในการฝึกซ้อม บางครั้งจะถูกบังคับให้ต้องสวมเสื้อโค้ตหนา ๆ เพื่อทำให้เหงื่อออกมากขึ้นซึ่งผู้สอนเชื่อว่าจะลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น ผู้ต้องขังบางคนได้รับความทุกข์ทรมานจากภาวะไตวายซึ่งเป็นผลมาจากการทรมานแบบนี้
ผู้ต้องขังถูกห้ามไม่ให้มีการติดต่อกับครอบครัวในขณะที่อยู่ในค่ายลงโทษ ในบางกรณีครอบครัวของพวกเขาไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหนเป็นเวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน
อาจารย์ผู้สอนที่ค่ายจะถ่ายทำวีดิโอในการลงโทษผู้ต้องขังทุกวัน และจะส่งไปยังวชิราลงกรณ์เป็นประจำซึ่งเห็นได้ชัดว่าท่านชอบดูวิดีโอของทหารที่ถูกทุบตีและถูกทำร้าย
ในเวลาเที่ยงคืนผู้ต้องขังจะได้รับอนุญาตให้กลับไปยังอาคารค่ายทหารในคอมเพล็กซ์เพื่อนอนไม่กี่ชั่วโมง ค่ายทหารเป็นอาคารชั้นเดียวที่คับแคบมีเพดานต่ำจนผู้ต้องขังต้องคลานไปที่เสื่อนอน มีห้องน้ำสกปรกและมีพื้นที่สำหรับซักล้างขนาดเล็กๆ ในค่ายทหารต้องเปิดไฟไว้ตลอดคืน
ผู้ต้องขังบางคนที่ถูกลงโทษเนื่องจากการลงโทษเป็นพิเศษจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้านอนจนเวลาเที่ยงคืน
- พวกเขาจะตื่นขึ้นเพราะถูกทุบตี ทหารบางคนรายงานว่าได้รับคำสั่งให้กินหนอนและดื่มปัสสาวะ
การลงโทษที่รุนแรงที่สุดคือส่งไปยังคุกในพระราชวังซึ่งเรียกกันว่า "คุกมืด" ทหารในค่ายลงโทษไม่รู้เรื่องอะไรเลยกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่นั่นและไม่มีการติดต่อกับนักโทษที่ถูกคุมขังอยู่ที่นั่นเลย
เจ้าหน้าที่อย่างน้อยหนึ่งคนเสียชีวิตในระหว่างถูกลงโทษที่ค่ายฝึกซ้อมทวีวัฒนา
พันโท Kitsanapol“ Bom” Pochana ผู้บัญชาการกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 12 เป็นเจ้าหน้าที่ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงและเป็นผู้นิยมราชวงศ์ที่ภูมิใจที่มักจะพูดกับนักเรียนนายร้อยทหารและนักเรียนมัธยมปลายเพื่อให้ส่งเสริมสถาบันกษัตริย์
เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2560 คนขับรถแท็กซี่ทะเลาะกับทหารสองนายจากกองพันหน้าเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ที่รังสิต เหตุการณ์ดังกล่าวถูกแชร์บนโซเชียลมีเดียและรายงานในหนังสือพิมพ์ไทยบางฉบับ
วชิราลงกรณ์ ตระหนักถึงเหตุการณ์ดังกล่าวและสั่งให้ผู้พัน Kitsanapol และเจ้าหน้าที่ S3 ของกองทัพ พันตรี ธ นากิจ“ มัน” Deesonthikun เพื่อรายงานการลงโทษที่วังทวีวัฒนา เห็นได้ชัดว่ากษัตริย์โกรธเพราะเขาเชื่อว่าเจ้าหน้าที่อาวุโสไม่สามารถควบคุมกำลังทหารของตนได้อย่างเหมาะสมและไม่แน่ใจว่าทหารจะแต่งตัวเรียบร้อย
หลังจากมาถึงวังเจ้าหน้าที่ทั้งสองถูกขังในวังในขั้นต้น หัวของพวกเขาถูกโกนและพวกเขาถูกบังคับให้สวมเครื่องแบบผู้ต้องขังและใส่กุญแจมือ ต่อมาถูกย้ายไปที่ค่ายลงโทษทางทหาร
ในระหว่างการคุมขัง Kitsanapol น้ำหนักลดลงประมาณ 30 กิโลกรัม เขาต้องเผชิญกับความอัปยศอดสูและการใช้ในชีวิตประจำวัน เขาหายตัวไปจากโซเชียลมีเดียเป็นเวลาหลายสัปดาห์ด้วยหน้า Facebook ของเขาอยู่เฉยๆตั้งแต่วันที่ 19 มิถุนายนถึง 10 กรกฎาคม
ในวันที่ 10 กรกฎาคมเขาโพสต์เพลงชื่อ“ The Lesson” บน Facebook พร้อมความคิดเห็นที่ว่า“ ฉันชอบที่จะทิ้งเพลงนี้ไว้กับคุณ”
เมื่อเดือนสิงหาคมการทำโทษของเขาเริ่มลดน้อยลง แต่เขาก็ยังต้องฝึกซ้อมทุกวันที่ทวีวัฒนากับนักเรียนนายร้อยหนุ่มที่ต้องการเข้าร่วมหน่วยทหารรักษาพระองค์และหน่วยทหารราบราชวัลลภ
ในช่วงบ่ายของวันที่ 13 สิงหาคม Kitsanapol ได้รับคำสั่งให้เข้าร่วมวิ่งกับนักเรียนนายร้อยในระยะทาง 2 กม. และทดสอบสมรรถภาพทางกายภายในบริเวณของพระราชวัง เขาทรุดตัวลงในระหว่างการทดสอบนี้และถูกทรมานกับภาวะหัวใจหยุดเต้น อาจารย์ผู้สอนพยายามทำ CPR แต่เมื่อถึงเวลาที่รถพยาบาลมาถึงเขาก็ได้ประกาศว่าเขาเสียชีวิตแล้ว อาจารย์ทหารที่วังบอกนักเรียนนายร้อยไม่ให้พูดอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
งานศพของเขาถูกจัดขึ้นเมื่อวันที่ 15 สิงหาคมที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุที่บางเขน เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นยศพันเอกตามคำสั่งของวชิราลงกรณ์ จากทหารที่ได้รับ โบว์ดำ และถูกส่งไปยังค่ายลงโทษทวีวัฒนาด้วยเหตุผลเพียงเล็กน้อยที่สุด ทั้งนี้เป็นที่รู้กันทั่วไปในความแปรปรวนทางอารมณ์ของวชิราลงกรณ์
นายทหารอาวุโสคนหนึ่งต้องถูกส่งไปที่ค่ายเป็นเวลาสามเดือนหลังจากวชิราลงกรณ์สังเกตว่าเขาใส่กระดุมผิดข้าง อีกคนหนึ่งถูกส่งไปที่ทวีวัฒนาและลดระดับลงมาเป็นพลทหารธรรมดาเพราะกษัตริย์ไม่พอใจกับรูปการทักทายของเขา ทหารคนหนึ่งถึงกับลงเอยที่ค่ายลงโทษเพราะวชิราลงกรณ์ มองว่าเขา
“ ดูหน้าตาเป็นจีนเกินไป”
กษัตริย์มักที่จะแต่งกายสมบูรณ์แบบในเครื่องแบบทหารซึ่งแตกต่างจากพฤติกรรมแปลกประหลาดของเขาในมิวนิคซึ่งเขาถูกถ่ายภาพกึ่งเปลือยหลายครั้งบ่อยครั้งขณะสวมเสื้อคอปาดและกางเกงยีนส์ทรงเตี้ยและมีรอยสักปลอมเต็มร่างกาย
เริ่มตั้งแต่เยาว์วัยวชิราลงกรณ์ ได้กลายเป็นคนพาลเกเร ชอบทรมานผู้อื่น เขามีความหลงใหลในการฝึกซ้อมทหารและคลั่งใคร้ในเครื่องแบบ จากรายงานในบทความในเดอะเดลี่เทเลกราฟเมื่อปีที่แล้ว:ในฐานะเป็นนักเรียนที่โรงเรียนประจำของมิลล์ฟิลด์ในอังกฤษ “ เขาเป็นคนไม่ฉลาดเขาไม่ได้อยู่ในทีมใด ๆ และแม้จะมีการพักเรียนก่อนหน้านี้ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา…ภาษาอังกฤษของเขายังคงไม่สมบูรณ์และมีนิสัยแปลกๆ แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของเขาก็คือความกระตือรือร้นที่มีต่อโรงเรียนนายร้อยทหารราบ ซึ่งเขาจะเก่งในเรื่องการสวมชุดอย่างพิถีพิถันในการฝึกซ้อมสวนสนามในยามบ่ายวันศุกร์ที่ทุกคนไม่พอใจการตะโกนและการทักทายที่เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง ...
“ เหมือนกับคนทั่วๆไปจากฐานะความได้เปรียบที่เหนือกว่าคนอื่นที่เป็นพื้นฐานแนวความคิดของเขาประกอบกับความผิดปกติทางด้านจิตใจและชีวิตอันโดดเดี่ยวทำให้มหิดลสามารถเปลี่ยนจากความรู้สึกที่เป็นมิตรกลายมาเป็นคนพาลเกเรอย่างเลวทรามไปได้ในฉับพรันทันที ซึ่งพฤติกรรมของเขาอาจอธิบายออกมาได้ว่าเป็นคนมีสองขั้ว จากความปีติยินดีของเขาจะสามารถเปลียนเป็นตรงกันข้ามพุ่งขึ้นไปสู่ความบ้าคลั่งได้อย่างรวดเร็วจะเห็นได้ที่หอพักของเขาเพื่อนร่วมหอพักก็มักจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอย่างหยาบคายที่สุดในเวลาไม่กี่ชั่วโมงโดยการพูดพร่ำอย่างฉับพลันราวกับว่าเขาเพิ่งจะคิดแผนการณ์แก้แค้นและการทำร้ายร่างกายกับคนที่เดินข้ามเขาไป "
ครึ่งศตวรรษต่อมาวชิราลงกรณ์ยังคงเป็นคนพาลเกเรที่สติไม่มั่นคงเหมือนเดิม แต่ตอนนี้เขาได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ของประเทศไทยเขามีพลังและโอกาสที่จะทรมานผู้อื่นได้โดยตนเองไม่ต้องได้รับโทษ การละเมิดและการทรมานกับคนอื่นๆที่วังทวีวัฒนาแสดงให้เห็นว่าเขาประพฤติตนอย่างไรเมื่อเขาสามารถทำในสิ่งที่เขาต้องการได้
ตราบใดที่เขายังคงเป็นกษัตริย์ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ของประเทศคนไทยทั้งประเทศก็จะตกอยู่ในความหวาดกลัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด.
.....................................................................
( แปลและเรียบเรียง จาก " Beware of the Black Ribbon " โดย แอนดรูแมกเกเกอร์มาแชล )
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar