ราคายางตกหนัก
หลังรัฐคิกออฟโครงการประกันรายได้ชาวสวน แค่เริ่มโครงการยางแผ่นรมควันชั้น
3 รูดลงกว่า 5 บาท กระทบยางก้อนถ้วยอีสาน
เหตุพ่อค้ากดราคารับซื้อรายวันฟันกำไรส่วนต่าง
เครือข่ายชาวสวน-ชุมนุมสหกรณ์ชี้นโยบายผิดพลาด รัฐแบกภาระแทนพ่อค้าหวั่น
ธ.ค.เหลือโลละ 30 บาท กนย.อนุมัติวงเงิน 2.4 หมื่นล้าน เคาะจ่ายงวดแรก 1-15
พ.ย. แบ่งเจ้าของสวน-คนกรีด 60:40
#prachachat #ประกันรายได้ยาง
#prachachat #ประกันรายได้ยาง
ราคายางตกหนัก หลังรัฐคิกออฟโครงการประกันรายได้ชาวสวน…
“ถาวร” เตรียมสนามบินบุรีรัมย์รับปิดแข่ง "โมโตจีพี" เร่งสร้างเทอร์มินัลใหม่เสริมท่องเที่ยว 2020
#prachachat #โมโตจีพี #สนามบินบุรีรัมย์
#prachachat #โมโตจีพี #สนามบินบุรีรัมย์
คอลัมน์สามัญสำนึก ถวัลย์ศักดิ์ สมรรคะบุตร ตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา…
วิธีเดียวที่จะแก้ไขปัญหาฝุ่น
PM 2.5 อย่างถาวรที่สุด คือ การลดจำนวนรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลลง
ควบคู่ไปกับการพัฒนาน้ำมันกำมะถันต่ำไม่เกิน 10 ppm/มาตรฐาน Euro 5
แต่ปัญหาก็คือ ในแผนวาระแห่งชาติฉบับนี้เขียนไว้แค่ ให้ “ศึกษา”
ความเหมาะสมในการ “จำกัด” อายุรถยนต์นั้นหมายถึง
รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลสามารถวิ่งต่อไปได้เรื่อย ๆ
จากปัจจุบันที่มีไม่ต่ำกว่า 11 ล้านคันทั่วประเทศ
#คอลัมน์สามัญสำนึก #ถวัลย์ศักดิ์สมรรคะบุตร
"น่าเกลียด, สกปรก, เลวร้าย... และเป็นกษัตริย์"
พาดหัวรายงานเรื่องวชิราลงกรณ์ของ "เลอ มง" ฉบับตีพิมพ์กระดาษ "ดุ" มาก
(ขอบคุณ "มิตรสหายท่านหนึ่ง" อย่างสูงที่ช่วยแจ้งและจัดหาไฟล์อิเล็คโทรนิคให้)
ผมก็เพิ่งรู้ว่า รายงานของ "เลอ มง" เรื่องวชิราลงกรณ์ที่ผมโพสต์เมื่อเช้ามืดวันนี้(เวลาไทย) - ดูกระทู้ที่แล้ว https://t.co/uMma0dPTr5
ในฉบับพิมพ์กระดาษ พาดหัว "ดุ" กว่าฉบับทางเว็บเสียอีก
Affreux, sale, méchant... et roi.
แปลเป็นอังกฤษ ประมาณว่า "Ugly, dirty, bad ... and king."
หรือเป็นไทย ทำนองที่จั่วเป็นหัวกระทู้ข้างบนแหละ
ฉบับพิมพ์นี้ อยู่ใน "แม็กกาซีน" ซึ่งแถมมากับฉบับวันเสาร์เมื่อวาน
รามา 10: กษัตริย์องค์ใหม่ของไทยผู้มีพฤติกรรมที่ชวนให้น่ากังวล
เมื่อวานนี้ นสพ. "เลอ มง" ของฝรั่งเศส ได้ตีพิมพ์รายงานขนาดยาวเกี่ยวกับวชิราลงกรณ์ของคุณ อาโรลด์ ทิโบต์ (Harold Thibault) - ภายใต้ชื่อเรื่องข้างต้น
ตัวรายงานจริง อยู่ที่นี่ อ่านได้เฉพาะผู้เป็นสมาชิก https://goo.gl/SKJFpD
แต่คุณ Andrew MacGregor Marshall ได้นำออกเผยแพร่ อ่านได้ที่นี่ (เป็นภาษาฝรั่งเศส มีคำนำภาษาอังกฤษของคุณแอนดรูสั้นๆ และตอนท้ายคุณแอนดรูได้โพสต์ฉบับแปลภาษาอังกฤษที่ใช้ Google Translate ไว้ด้วย) https://goo.gl/W5NMc3
ข้างล่างนี้ ผมสรุปเนื้อหาของรายงาน
...............
- วชิราลงกรณ์เป็นคนเจ้าอารมณ์ที่คาดเดายากว่าจะทำอะไร เขาชอบใช้ชีวิตในบาวาเรีย รัชสมัยของเขาสามารถเป็นรัชสมัยที่โหด
- คนเยอรมันไม่ได้สนใจวชิราลงกรณ์จนกระทั่งเดือนกรกฎาคม 2016 เมื่อ Build ตีพิมพ์ภาพของเขาที่สนามบินมิวนิค ในชุดคร้อปท็อปโชว์พุง และลายแท็ตทูกลางหลัง
- เขาใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในบาวาเรียในปีหลังๆนี้ ในขณะที่พระราชบิดานอนป่วย
- วันที่ 13 ตุลาคม 2016 กษัตริย์ภูมิพลสวรรคต วชิราลงกรณ์บินกลับไทย แต่อยู่ได้ราวสองสัปดาห์ก็กลับเยอรมันอีก เขาได้รับประกาศเป็นกษัตริย์วันที่ 1 ธันวา แต่พิธีราชาภิเษกยังไม่แน่ว่าจะมีเมื่อไร เดิมวิษณุ เครืองามบอกว่าสิ้นปี 2017 แต่ก็ผ่านไป ขณะนี้ มีการพูดกันว่า อาจจะในเดือนมีนาคม 2018 [ดังที่ผมเคยเล่าไปว่า ผมได้ยินว่า อาจจะเป็นเมษายน ช่วงวันจักรีหรือใกล้ๆกัน แต่เรื่องนี้ก็ยืนยันไม่ได้ - สศจ.]
- บุคลิกของวชิราลงกรณ์เป็นเรื่องอ่อนไหวในไทย ทุกคนรู้ลักษณะนิสัยเขา ความเป็นคนโมโหง่าย เอาแต่ใจ การมีสนมหลายคน แต่เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งต้องห้ามที่จะพูด ถ้าใครพูดจะผิดกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งมีบทลงโทษหนักสำหรับใครที่แม้แต่จะพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับราชวงศ์ ในปี 2015 เคยมีคนถูกจับเพียงเพราะพูดประชดเสียดสีสุนัขทรงเลี้ยง
- พวกชนชั้นนำความจริงต้องการจะให้น้องสาววชิราลงกรณ์ ฟ้าหญิงสิรินธร ผู้ได้รับความนิยม ขึ้นครองราชย์มากกว่า
- ความพิลึกของกษัตริย์องค์ใหม่เป็นที่รู้กันทั่ว ในปี 2010 อีริค จี จอห์น เอกอัครรัฐทูตอเมริกัน ถาม พล.อ.เปรม ประธานองคมนตรีว่า วชิราลงกรณ์อยู่ที่ไหน เปรมตอบว่า "คุณก็รู้ไลฟ์สไตล์ของเขา รู้ว่าเขาเป็นคนยังไง..." ในโทรเลขการทูตของสหรัฐที่เปิดเผยโดยวิกิลีกส์อีกฉบับหนึ่ง ลาฟ บอยซ์ ทูตอเมริกันอีกคนหนึ่ง เล่าถึงดินเนอร์ที่มีแขกเหรื่อ 600 คน แล้วฟูฟู สุนัขของวชิราลงกรณ์ ที่เขาตั้งให้เป็นพลอากาศเอก และถูกจับแต่งตัวในชุดทหารตามยศ กระโดดขึ้นโต๊ะอาหาร และกินน้ำในแก้วของแขก รวมทั้งของทูต
- ชนชั้นนำไทย ความจริงอยากให้ฟ้าหญิงสิรินธรขึ้นครองราชย์มากกว่า แต่เป็นไปไม่ได้ เพราะเธอไม่ได้แต่งงาน ไม่มีลูก และกษัตริย์ภูมิพลได้กำหนดไว้ตั้งแต่ปี 1972 ให้วชิราลงกรณ์เป็นรัชทายาท
- เมื่อ 2 ปีก่อน ขณะที่พระราชบิดากำลังใกล้สวรรคต วชิราลงกรณ์ซื้อบ้าน 2 หลังริมทะเลสาบ สตรานเบิร์ก ในบาวาเรีย ซึ่งมีทิวทัศน์สวยงาม
- บ้านในตุสซิงที่เขาซื้อ ราคาประมาณ 12 ล้านยูโร นายกิลโด ไลน์เนอร์ (Guido Lindner) ผู้จัดการโรงแรม Hotel du Lac ที่อยู่ใกล้ๆบ้านนั้น ให้สัมภาษณ์ว่า "วชิราลงกรณ์ได้รับการปฏิบัติจากพวกบริพาร ราวกับเป็นพระพุทธเจ้าที่มีชีวิต" นายกิลโดเล่าว่าคณะผู้ติดตามของวชิราลงกรณ์เคยเสนอขอซื้อโรงแรมเขา [เข้าใจว่า เพื่อเคลียร์บริเวณนั้นให้มีความไพรเวทมากขึ้น จากแขกโรงแรม - สศจ.] แต่เขาไม่ขาย วชิราลงกรณ์ยังได้ซื้อบ้านอีกแห่งที่ฟิลดาฟิ้ง ที่ห่างออกไปไม่กี่กิโลเมตร เพื่อเขาจะได้มีที่อยู่กับคู่ควงแต่ละคน แยกกัน และกับลูกชาย
- ย่านทะเลสาบ สตรานเบิร์ก ที่วชิราลงกรณ์อยู่เป็นย่านที่พวกนักธุรกิจรวยๆหรือศิลปินไปพักอาศัย มีความสงบมากกว่าโรงแรมฮิลตันใกล้สนามบินมิวนิค ซึ่งวชิราลงกรณ์เคยอยู่ประจำก่อนจะมาซื้อบ้าน แต่วชิราลงกรณ์ก็ยังไปพักที่ฮิวตันบ้างเป็นบางครั้ง
- วชิราลงกรณ์ชอบขับเครื่องบิน (บทรายงานเล่าถึงกรณีที่วชิราลงกรณ์ขับเครื่องบินขวางเครื่องบินของนายกฯญี่ปุ่น ที่พอล แฮนด์ลี่ย์ เล่าไว้ใน The King Never Smiles)
- โรงแรมฮิลตัน เดิมเป็นโรงแรมเคมปินสกี้ ซึ่งราชวงศ์ไทยถือหุ้นใหญ่ ก่อนจะขายให้ฮิลตัน อดีตพนักงานโรงแรมผู้หนึ่งให้สัมภาษณ์ว่า สมัยที่วชิราลงกรณ์ไปพักประจำที่นั่น สร้างความยุ่งเหยิงให้ทางโรงแรม วชิราลงกรณ์กับคณะจะมาพักครั้งละ 2-3 เดือน หลายครั้งต่อปี บางครั้งสถานทูตไทยในเบอร์ลินแจ้งต่อโรงแรมล่วงหน้าเพียงแค่ไม่กี่วัน ว่าวชิราลงกรณ์จะมาพัก ครั้งหนึ่ง ในช่วงต้นทศวรรษ 2010s ทางโรงแรมต้องย้ายการประชุมคอนเฟอเรนซ์ที่จัดโดยลูกค้าสำคัญของโรงแรม คือบริษัทประกันภัย Allianz ที่มีผู้เข้าร่วมประชุมนับร้อย ออกไปจัดที่อื่น เพราะวชิราลงกรณ์กับคณะมาพักโรงแรมกระทันหัน
- การมาพักแต่ละครั้งของวชิราลงกรณ์จะมาพร้อมกับกระเป๋าข้าวของหนักเป็นตันๆ ทางโรงแรมต้องจัดการเคลียร์ชั้นโรงแรมเป็นชั้นๆ หรือปีกบางปีกของโรงแรม โดยเฉพาะเมื่อวชิราลงกรณ์พาคู่ควงมามากกว่าหนึ่งคน [เพื่อให้แยกกันอยู่คนละชั้นคนละปีก - สศจ.] ทีมบริพารของวชิราลงกรณ์เคยพยายามจะบังคัับให้พนักงานชาวเยอรมันของโรงแรมต้องหมอบคลานต่อหน้าวชิราลงกรณ์ แต่ทางฝ่ายจัดการของโรงแรมไม่ยอม ทางทีมบริพารเลยขอให้พนักงานห้ามมองสบตาหรือพูดกับวชิราลงกรณ์. ในห้องพักของวชิราลงกรณ์จะมีการประดับภาพพวกรถยนต์เก่าที่เขาสะสม
- อดีตพนักงานโรงแรมคนเดียวกันเล่าว่า วันหนึ่ง พนักงานหญิงทำความสะอาด (เมด) พบว่า ทีมบริพารของวชิราลงกรณ์ได้แขวนรูปฮิตเล่อร์ไว้บนผนัง อดีตพนักงานที่ให้สัมภาษณ์บอกว่า ไม่แน่ใจว่าเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์อย่างประหลาดหรือเพราะความนิยมชมชอบฮิตเล่อร์กันแน่ ทางฝ่ายจัดการโรงแรมต้องบอกอย่างเข้มงวดต่อเจ้าหน้าที่สถานทูตไทยให้เอาภาพนั้นออก
...............
[รายงานยังไม่จบ - ถ้ามีเวลา ผมจะมาแปลสรุปที่เหลือต่อ กระทู้นี้ยาวมากแล้ว และตอนนี้เป็นเวลาดึกมากของที่นี่]
#คอลัมน์สามัญสำนึก #ถวัลย์ศักดิ์สมรรคะบุตร
น่าเกลียด, สกปรก, เลวร้าย... และเป็นกษัตริย์ "Ugly, dirty, bad ... and king."
"น่าเกลียด, สกปรก, เลวร้าย... และเป็นกษัตริย์"
พาดหัวรายงานเรื่องวชิราลงกรณ์ของ "เลอ มง" ฉบับตีพิมพ์กระดาษ "ดุ" มาก
(ขอบคุณ "มิตรสหายท่านหนึ่ง" อย่างสูงที่ช่วยแจ้งและจัดหาไฟล์อิเล็คโทรนิคให้)
ผมก็เพิ่งรู้ว่า รายงานของ "เลอ มง" เรื่องวชิราลงกรณ์ที่ผมโพสต์เมื่อเช้ามืดวันนี้(เวลาไทย) - ดูกระทู้ที่แล้ว https://t.co/uMma0dPTr5
ในฉบับพิมพ์กระดาษ พาดหัว "ดุ" กว่าฉบับทางเว็บเสียอีก
Affreux, sale, méchant... et roi.
แปลเป็นอังกฤษ ประมาณว่า "Ugly, dirty, bad ... and king."
หรือเป็นไทย ทำนองที่จั่วเป็นหัวกระทู้ข้างบนแหละ
ฉบับพิมพ์นี้ อยู่ใน "แม็กกาซีน" ซึ่งแถมมากับฉบับวันเสาร์เมื่อวาน
รามา 10: กษัตริย์องค์ใหม่ของไทยผู้มีพฤติกรรมที่ชวนให้น่ากังวล
เมื่อวานนี้ นสพ. "เลอ มง" ของฝรั่งเศส ได้ตีพิมพ์รายงานขนาดยาวเกี่ยวกับวชิราลงกรณ์ของคุณ อาโรลด์ ทิโบต์ (Harold Thibault) - ภายใต้ชื่อเรื่องข้างต้น
ตัวรายงานจริง อยู่ที่นี่ อ่านได้เฉพาะผู้เป็นสมาชิก https://goo.gl/SKJFpD
แต่คุณ Andrew MacGregor Marshall ได้นำออกเผยแพร่ อ่านได้ที่นี่ (เป็นภาษาฝรั่งเศส มีคำนำภาษาอังกฤษของคุณแอนดรูสั้นๆ และตอนท้ายคุณแอนดรูได้โพสต์ฉบับแปลภาษาอังกฤษที่ใช้ Google Translate ไว้ด้วย) https://goo.gl/W5NMc3
ข้างล่างนี้ ผมสรุปเนื้อหาของรายงาน
...............
- วชิราลงกรณ์เป็นคนเจ้าอารมณ์ที่คาดเดายากว่าจะทำอะไร เขาชอบใช้ชีวิตในบาวาเรีย รัชสมัยของเขาสามารถเป็นรัชสมัยที่โหด
- คนเยอรมันไม่ได้สนใจวชิราลงกรณ์จนกระทั่งเดือนกรกฎาคม 2016 เมื่อ Build ตีพิมพ์ภาพของเขาที่สนามบินมิวนิค ในชุดคร้อปท็อปโชว์พุง และลายแท็ตทูกลางหลัง
- เขาใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในบาวาเรียในปีหลังๆนี้ ในขณะที่พระราชบิดานอนป่วย
- วันที่ 13 ตุลาคม 2016 กษัตริย์ภูมิพลสวรรคต วชิราลงกรณ์บินกลับไทย แต่อยู่ได้ราวสองสัปดาห์ก็กลับเยอรมันอีก เขาได้รับประกาศเป็นกษัตริย์วันที่ 1 ธันวา แต่พิธีราชาภิเษกยังไม่แน่ว่าจะมีเมื่อไร เดิมวิษณุ เครืองามบอกว่าสิ้นปี 2017 แต่ก็ผ่านไป ขณะนี้ มีการพูดกันว่า อาจจะในเดือนมีนาคม 2018 [ดังที่ผมเคยเล่าไปว่า ผมได้ยินว่า อาจจะเป็นเมษายน ช่วงวันจักรีหรือใกล้ๆกัน แต่เรื่องนี้ก็ยืนยันไม่ได้ - สศจ.]
- บุคลิกของวชิราลงกรณ์เป็นเรื่องอ่อนไหวในไทย ทุกคนรู้ลักษณะนิสัยเขา ความเป็นคนโมโหง่าย เอาแต่ใจ การมีสนมหลายคน แต่เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งต้องห้ามที่จะพูด ถ้าใครพูดจะผิดกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งมีบทลงโทษหนักสำหรับใครที่แม้แต่จะพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับราชวงศ์ ในปี 2015 เคยมีคนถูกจับเพียงเพราะพูดประชดเสียดสีสุนัขทรงเลี้ยง
- พวกชนชั้นนำความจริงต้องการจะให้น้องสาววชิราลงกรณ์ ฟ้าหญิงสิรินธร ผู้ได้รับความนิยม ขึ้นครองราชย์มากกว่า
- ความพิลึกของกษัตริย์องค์ใหม่เป็นที่รู้กันทั่ว ในปี 2010 อีริค จี จอห์น เอกอัครรัฐทูตอเมริกัน ถาม พล.อ.เปรม ประธานองคมนตรีว่า วชิราลงกรณ์อยู่ที่ไหน เปรมตอบว่า "คุณก็รู้ไลฟ์สไตล์ของเขา รู้ว่าเขาเป็นคนยังไง..." ในโทรเลขการทูตของสหรัฐที่เปิดเผยโดยวิกิลีกส์อีกฉบับหนึ่ง ลาฟ บอยซ์ ทูตอเมริกันอีกคนหนึ่ง เล่าถึงดินเนอร์ที่มีแขกเหรื่อ 600 คน แล้วฟูฟู สุนัขของวชิราลงกรณ์ ที่เขาตั้งให้เป็นพลอากาศเอก และถูกจับแต่งตัวในชุดทหารตามยศ กระโดดขึ้นโต๊ะอาหาร และกินน้ำในแก้วของแขก รวมทั้งของทูต
- ชนชั้นนำไทย ความจริงอยากให้ฟ้าหญิงสิรินธรขึ้นครองราชย์มากกว่า แต่เป็นไปไม่ได้ เพราะเธอไม่ได้แต่งงาน ไม่มีลูก และกษัตริย์ภูมิพลได้กำหนดไว้ตั้งแต่ปี 1972 ให้วชิราลงกรณ์เป็นรัชทายาท
- เมื่อ 2 ปีก่อน ขณะที่พระราชบิดากำลังใกล้สวรรคต วชิราลงกรณ์ซื้อบ้าน 2 หลังริมทะเลสาบ สตรานเบิร์ก ในบาวาเรีย ซึ่งมีทิวทัศน์สวยงาม
- บ้านในตุสซิงที่เขาซื้อ ราคาประมาณ 12 ล้านยูโร นายกิลโด ไลน์เนอร์ (Guido Lindner) ผู้จัดการโรงแรม Hotel du Lac ที่อยู่ใกล้ๆบ้านนั้น ให้สัมภาษณ์ว่า "วชิราลงกรณ์ได้รับการปฏิบัติจากพวกบริพาร ราวกับเป็นพระพุทธเจ้าที่มีชีวิต" นายกิลโดเล่าว่าคณะผู้ติดตามของวชิราลงกรณ์เคยเสนอขอซื้อโรงแรมเขา [เข้าใจว่า เพื่อเคลียร์บริเวณนั้นให้มีความไพรเวทมากขึ้น จากแขกโรงแรม - สศจ.] แต่เขาไม่ขาย วชิราลงกรณ์ยังได้ซื้อบ้านอีกแห่งที่ฟิลดาฟิ้ง ที่ห่างออกไปไม่กี่กิโลเมตร เพื่อเขาจะได้มีที่อยู่กับคู่ควงแต่ละคน แยกกัน และกับลูกชาย
- ย่านทะเลสาบ สตรานเบิร์ก ที่วชิราลงกรณ์อยู่เป็นย่านที่พวกนักธุรกิจรวยๆหรือศิลปินไปพักอาศัย มีความสงบมากกว่าโรงแรมฮิลตันใกล้สนามบินมิวนิค ซึ่งวชิราลงกรณ์เคยอยู่ประจำก่อนจะมาซื้อบ้าน แต่วชิราลงกรณ์ก็ยังไปพักที่ฮิวตันบ้างเป็นบางครั้ง
- วชิราลงกรณ์ชอบขับเครื่องบิน (บทรายงานเล่าถึงกรณีที่วชิราลงกรณ์ขับเครื่องบินขวางเครื่องบินของนายกฯญี่ปุ่น ที่พอล แฮนด์ลี่ย์ เล่าไว้ใน The King Never Smiles)
- โรงแรมฮิลตัน เดิมเป็นโรงแรมเคมปินสกี้ ซึ่งราชวงศ์ไทยถือหุ้นใหญ่ ก่อนจะขายให้ฮิลตัน อดีตพนักงานโรงแรมผู้หนึ่งให้สัมภาษณ์ว่า สมัยที่วชิราลงกรณ์ไปพักประจำที่นั่น สร้างความยุ่งเหยิงให้ทางโรงแรม วชิราลงกรณ์กับคณะจะมาพักครั้งละ 2-3 เดือน หลายครั้งต่อปี บางครั้งสถานทูตไทยในเบอร์ลินแจ้งต่อโรงแรมล่วงหน้าเพียงแค่ไม่กี่วัน ว่าวชิราลงกรณ์จะมาพัก ครั้งหนึ่ง ในช่วงต้นทศวรรษ 2010s ทางโรงแรมต้องย้ายการประชุมคอนเฟอเรนซ์ที่จัดโดยลูกค้าสำคัญของโรงแรม คือบริษัทประกันภัย Allianz ที่มีผู้เข้าร่วมประชุมนับร้อย ออกไปจัดที่อื่น เพราะวชิราลงกรณ์กับคณะมาพักโรงแรมกระทันหัน
- การมาพักแต่ละครั้งของวชิราลงกรณ์จะมาพร้อมกับกระเป๋าข้าวของหนักเป็นตันๆ ทางโรงแรมต้องจัดการเคลียร์ชั้นโรงแรมเป็นชั้นๆ หรือปีกบางปีกของโรงแรม โดยเฉพาะเมื่อวชิราลงกรณ์พาคู่ควงมามากกว่าหนึ่งคน [เพื่อให้แยกกันอยู่คนละชั้นคนละปีก - สศจ.] ทีมบริพารของวชิราลงกรณ์เคยพยายามจะบังคัับให้พนักงานชาวเยอรมันของโรงแรมต้องหมอบคลานต่อหน้าวชิราลงกรณ์ แต่ทางฝ่ายจัดการของโรงแรมไม่ยอม ทางทีมบริพารเลยขอให้พนักงานห้ามมองสบตาหรือพูดกับวชิราลงกรณ์. ในห้องพักของวชิราลงกรณ์จะมีการประดับภาพพวกรถยนต์เก่าที่เขาสะสม
- อดีตพนักงานโรงแรมคนเดียวกันเล่าว่า วันหนึ่ง พนักงานหญิงทำความสะอาด (เมด) พบว่า ทีมบริพารของวชิราลงกรณ์ได้แขวนรูปฮิตเล่อร์ไว้บนผนัง อดีตพนักงานที่ให้สัมภาษณ์บอกว่า ไม่แน่ใจว่าเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์อย่างประหลาดหรือเพราะความนิยมชมชอบฮิตเล่อร์กันแน่ ทางฝ่ายจัดการโรงแรมต้องบอกอย่างเข้มงวดต่อเจ้าหน้าที่สถานทูตไทยให้เอาภาพนั้นออก
...............
[รายงานยังไม่จบ - ถ้ามีเวลา ผมจะมาแปลสรุปที่เหลือต่อ กระทู้นี้ยาวมากแล้ว และตอนนี้เป็นเวลาดึกมากของที่นี่]
*** "ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่
และถวายงานด้วยความจงรักภักดี" goo.gl/N12zRJ
*** ตั้งมั่วๆ ถอดมั่วๆ วชิราลงกรณ์ ถอดยศ "ชยุตรา สิริวชิรภักดิ์"
จากร้อยโท เป็นสิบเอก คุณชยุตรา เป็น 1 ใน 13 สตรีที่มีชื่อวชิราลงกรณ์ในนามสกุล
ทบทวนดูรายชื่อทั้งหมดและข่าวการถอดยศเธอ https://goo.gl/Bd9vUQ
แหะๆ ขออภัยๆ ข้าน้อยสมควรตาย ทวิตที่แล้ว เขียนว่า มีสุภาพสตรีนามสกุล
"สิริวชิรภักดิ์" 13 คน ความจริง ในรายชื่อที่รวบรวมไว้น่ะมี 15
แต่นับจำนวนผิดไป ขออภัยๆ :)
*** วชิราลงกรณ์จะปิดพื้นที่บริเวณพระราชวังดุสิต
แล้วทำเป็นเหมือน "บั๊คกิ้งแฮม"? goo.gl/HQS4Jo
*** "3 เจ้าสัว" : เจ้าสัวจัสตินกินขาดครับ
กินแบบเสือนอนกิน แบบไม่ต้องทำงานอะไรเลยก็กิน กินแบบยังใช้เงินรัฐอีกต่างหาก goo.gl/Puq1TQ
*** หุหุ เดี๋ยวนี้
วังทวีวัฒนาของกษัตริย์ รับให้บริการ "ซ่อม" นายทหารด้วยนะ - ทหารคนที่ยกปืนขู่ปู
เพิ่งถูกส่งไปรับบริการ goo.gl/Z1pZJB
*** สงสัยเรื่อง
พันโทกฤษณพล โภชนดา ตายระหว่างถูกเสี่ยจัสตินลงโทษ "ซ่อม" ในวังทวีวัฒนา จะมีมูลจริงๆแฮะ goo.gl/46Ydv5
*** ในประเทศ ... อะ แฮ่ม ... "กะลาแลนด์"
ที่ประมุขไปใช้ชีวิตในต่างประเทศปีละกว่าครึ่ง
แต่คนในประเทศไม่สามารถแม้แต่เอ่ยถึง ก็ต้องพึ่งสื่อต่างประเทศแบบนี้แหละครับ
(ช่างขัดอกขัดใจจริงๆ สำหรับคน "รักเจ้า" แบบผม ที่ต้องมาคอยตามในสื่อฝรั่งนี่น่ะ)
https://goo.gl/rzW4N5
*** การใช้ชีวิตในยุโรปของกษัตริย์ไทย การใช้ชีวิตในยุโร...
*** เกร็ดความรู้ ..ประเด็นกษัตริย์ "ขอ"(สั่ง)ให้แก้รัฐ...
*** การใช้ชีวิตในยุโรปของกษัตริย์ไทย การใช้ชีวิตในยุโร...
*** เกร็ดความรู้ ..ประเด็นกษัตริย์ "ขอ"(สั่ง)ให้แก้รัฐ...
พุทธิพงษ์ทนไม่ได้ ลั่นไม่เกิน 7 วัน แถลงข่าวใหญ่จับผู้เผยแพร่ข่าวหมิ่นสถาบันฯ
https://prachatai.com/journal/2019/10/84632
https://prachatai.com/journal/2019/10/84632
คลิกดู-พุทธิพงษ์ทนไม่ได้ ลั่นไม่เกิน 7 วัน แถลงข่าวใหญ่จับผู้เผยแพร่ข่าวหมิ่นสถาบันฯ | ประชาไท Prac
วิจารณ์ลักษณะที่สอง ในสังคมการเมือง อำนาจเป็นของประชาชนเสมอ เพียงแต่ว่ายุคใดสมัยใด อำนาจนั้นจะถูก “แย่งชิง” ไปหรือไม่ หรือประชาชนจะมอบอำนาจนั้นให้แก่ใคร ดังนั้น หากจะย้อนกลับไปหาความเป็นเจ้าของอำนาจ ในท้ายที่สุดก็จะเจอประชาชนในฐานะเจ้าของอยู่ดี การอ้างว่ากษัตริย์เป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นผู้ปกครอง มาตั้งแต่นมนาน ในสังคมการเมืองหนึ่งอาจไม่เคยขาดซึ่งสถาบันกษัตริย์เลย นั่นอาจเป็นการอ้างตามประวัติศาสตร์ของพวกราชาชาตินิยม ประวัติศาสตร์ของเจ้า ไม่จำเป็นต้องเป็นโค้ดของเรา Saint-Just อธิบายว่า กษัตริย์นั้นเป็นทรราชโดยธรรมชาติและโดยตัวของมันเอง เราไม่ต้องพิจารณาเลยว่าการกระทำของกษัตริย์หรือการบริหารราชการแผ่นดินของ กษัตริย์มีความผิดทางอาญาหรือไม่ ถ้ากษัตริย์เป็นทรราช นั่นไม่ใช่เพราะความผิดจากการบริหารราชการแผ่นดินของเขา แต่เขาเป็นทรราชก็ด้วยลักษณะของความเป็นกษัตริย์นั่นแหละ Saint-Just เสนออย่างชาญฉลาดว่า การที่กษัตริย์ยึดครองอำนาจสูงสุดของประชาชนไปใช้เอง นั่นแสดงให้เห็นว่าลักษณะของความเป็นกษัตริย์เป็นอาชญากรรมนิรันดร (crime éternel) ต่อประชาชน มนุษย์จึงย่อมมีสิทธิสัมบูรณ์ในการลุกขึ้นสู้และติดอาวุธ Saint-Just อธิบายว่า ไม่มีใครสามารถครองราชย์ได้อย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง เพราะ กษัตริย์ทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นกบฏและเป็นผู้แย่งชิง (usurpateur) อำนาจของประชาชนไป
หรือในประกาศคณะราษฎร “ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่าประเทศของเรานี้เป็นของราษฎร ไม่ใช่ของกษัตริย์ตามที่เขาหลอกลวง บรรพบุรุษของราษฎรเป็นผู้ช่วยกันกู้ให้ประเทศมีอิสรภาพพ้นมือจากข้าศึก พวกเจ้ามีแต่ชุบมือเปิบ และกวาดรวบทรัพย์สมบัติเข้าไว้ตั้งหลายร้อยล้าน เงินเหล่านี้เอามาจากไหน? ก็เอามาจากราษฎร เพราะวิธีทำนาบนหลังคนนั้นเอง”
หากพิจารณาตามแนวทางนี้ ก็จะไม่มีปัญหาเรื่องอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนหรือไม่ เพราะ อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนเสมอ ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยตลอดกาล เพียงแต่ว่าบางช่วงบางตอน ถูก “ฉกฉวยแย่งชิงขโมย” ไป และสักวันหนึ่ง ประชาชนก็เอากลับคืนมาจนได้
โดย แสงตะวัน
การล้มเจ้าหรือการโค่นล้มระบอบเผด็จการกษัตริย์คือการทำบุญทำกุศลให้แก่สังคมและประเทศชาติเป็นการปลดปล่อยประชาชนออกจากระบอบป่าเถื่อนเหี้ยมโหดผิดมนุษย์ทำให้ประชาชนทั้งหลายที่ได้รับการกดขี่หลุดพ้นออกจากโซ่ตรวนในระบอบเผด็จการของษัตริย์ประหลาดวิกลจริตบ้ากามในเวลานี้
ระบอบเผด็จการกษัตริย์ทำให้ประเทศชาติหล้าหลังไม่ได้รับการพัฒนา เศรษฐกิจพังทลาย ประชาชนยากจนเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้าไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้ ศักดิ์ศรีของมนุษย์ถูกเหยียบย่ำมีค่าเพียงฝุ่นใต้ตีนของกษัตริย์ ไม่มีสิทธิ เสรีภาพ ความเป็นธรรมในสังคมไม่มี เพราะถูกครอบงำโดยระบอบเผด็จการของกษัตริย์
วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ขณะที่ภูมิพลนอนป่วยไม่รู้สึกตัวอยู่นั้น วชิราลงกรณ์ยังเป็นมกุฏราชกุมารอยู่ได้ร่วมมือกับพลเอกเปรมประธานองคมนตรี สั่งให้พลเอกประยุทธ์กับพวกยึดอำนาจจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนแล้วเรียกตัวเองว่า " คณะรักษาความสงบแห่งชาติ " ( คสช. ) แล้วตั้งรัฐบาลเผด็จการทหารขึ้นเรียกว่ารัฐบาล คสช.
วันที่ 13 คุลาคม 2559 ได้มีการประกาศการตายของภูมิพลขึ้นอย่างเป็นทางการรัฐบาลประยุทธ์ก็ได้ประกาศอันเชิญให้ วชิราลงกรณ์ได้ขึ้นมาเป็นกษัตริย์สืบทอดอำนาจจากพ่อคือกษัตริย์ภูมิพลรัชกาลที่ 9 เจ้าของระบอบกษัตริย์เผด็จการมาจนถึงวันตายหลังจากป่วยมาเป็นเวลายาวนาน แม้แต่วันเวลาการตายที่แน่นอนก็ไม่เปิดเผยให้ชาวไทยและชาวโลกทราบ
วชิราลงกรณ์ จากเด็กที่เติบโตมาอย่างสปอยจากพ่อแม่ที่มีอำนาจอย่างล้นฟ้า ทำให้วชิราลงกรณ์กลายเป็นเพลย์บอย เป็นคนไม่เอาถ่านเรียนหนังสือไม่จบมียศแค่ สิบเอกจากโรงเรียนนายร้อย ดันทรูนประเทศออสเตเรีย มีนิสัยเกเร เป็นนักเลงหัวไม้ชอบเล่นการพนัน ชอบเสพสุขมีเมียและนางบำเรอมากมายมีฮาเรมอยู่ที่
มิวนิคประเทศเยอรมันนี มีวังที่ทำเป็นคุกส่วนตัว เป็นคนทีไร้ความรับผิดชอบไร้จิตสำนึก ต่อสังคมประเทศชาติ และเพื่อนมนุษย์
วชิราลงกรณ์มาจากครอบครัวที่พ่อเป็นมหาโจรปล้นประเทศ และแม่ที่มีจิตใจเหี้ยมโหดเคยสั่งฆ่าคนไทยด้วยกันมาแล้วอย่างมากมายในประวัติศาสตร์จนมีนักกวีที่มีชื่อคนหนึ่งเขียนว่า " พ่อเจ้าปล้นแม่เจ้าฆ่ายังกล้าทำ " หรือที่ประชาชนเรียก " ไอ้เหี้ยสั่งฆ่าอีห่าสั้งยิง "
วชิราลงกรณ์ไม่ได้รับการอบรมมาเพื่อให้เป็นกษัตริย์เพื่อปกครองประเทศตามระบอบประชาธืปไตยเขาเกิดมาจากระบอบเผด็จการของภูมิพลและสิริกิตย์ที่สืบทอดเป็นมรดกมาจาก " ระบอบเศรษฐกิจของสังคมศักดินา "
หลังจากวชิราลงกรณ์ได้ขึ้นมาเป็นกษัตริย์ไม่นานก็ได้รวบอำนาจของชาติทุกอย่างไว้ในมือ " อำนาจและทรัพย์สินทุกอย่างเป็นของกูแต่ผู้เดียว " เอากลไกรัฐและทรัพย์สินส่วนที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์มาอยู่ใต้การควบคุมของตัวเองโดยสิ้นเชิงทั้ง " ราชการในพระองค์ " และ " ทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ ทุกอย่างเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์หลุดลอยออกจากฝ่ายบริหารนิติบัญญัติโดยสิ้นเชิง " ยิ่งไปกว่านั้นกษัตริย์ใหม่ยังมีอภิสิทธิ์อันมหาศาลเหนือสังคมไทยทุกอย่าง ทั้งทางกฏหมาย และการเมืองทางเศรษฐกิจและทางวัฒนธรรมสังคม
สรุปแล้วกษัตริย์ ใหม่ มี อำนาจครอบคุมสังคมไทยทุกอย่างและใช้อำนาจนั้นอย่างไม่มีขอบเขต ไม่รับผิดชอบไม่เกรงอกเกรงใจประชาชนชาวไทยทั้งประเทศที่เลี้ยงดูราชวงค์นี้มาจนทุกวันนี้ ขูดรีดกดขี่ข่มเห็ง รังแกประชาชน เอารัดเอาเปรียบสังคม เหี้ยมโหด รุณแรงอย่างไร้มนุษยธรรมมากยิ่งขึ้นไปกว่ายุคของภูมิพล
ม. 112 และ ม. 44ใช้ เป็นกฏหมายครอบจักรวาฬที่รัฐบาลของกษัตริย์จะใช้อย่างไรกับใครก็ได้ " ตามพระราชอัชญาศัย "
ใช้อำนาจมืดกำจัดได้กับทุกคนที่ไม่พอใจไม่เว้นแม้แต่ลูกเมียและคนใกล้ชิดที่รับใช้และควบคุมอำนาจรัฐโดยผ่านรัฐบาล ค.ส.ช.ภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ ดังนั้นประยุทธ์จึงเป็นเพียงหุ่นหรือสุนัขรับใช้ของกษัตริย์ที่ทำตามคำสั่งของกษัตริย์เหมือนเด็กว่านอนสอนง่ายทุกอย่าง ซึ่งกษัตริย์เองไม่ต้องอยู่ในประเทศนั่งสั่งงานจากเมืองมิวนิคประเทศเยอรมัน
ประยุทธ์ก็จะไปนั่งหมอบกราบต่อหน้ารูปของกษัตริย์เพื่อรับคำสั่งตามความประสงค์ของกษัตริย์ รัฐบาล คสช.จึงเป็นเพียงนอร์มินีของกษัตริย์ใหม่มีหน้าที่อย่างเดียวคือปล้นประเทศชาติปล้นประชาชนในรูปแบบต่างๆกันเพื่อหาเงินให้แก่ตัวเองและเพื่อไปถวายกษัตริย์มหาเพลย์บอยที่กำลังมัวเมาหลงระเริงในอำนาจเสพสุขและมีชีวิตฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมกับบรรดานางสนมนางบำเรอทั้งหลายแหล่ที่เขาตั้งยศฐาบรรดาศักดิ์ให้เป็นนายร้อย นายพัน นายพลอยู่ในเวลานี้ พวก " ข้าราชการในพระองค์ " ที่กินเงินเดีอนจากภาษีประชาชน
ส่วนประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศไม่มีอำนาจตรวจสอบหรือออกความเห็นคัดค้านใดๆทั้งสิ้น ทั้งที่กษัตริย์เองและรัฐบาล คสช.ก็กินเงินเดือนจากภาษีของประชาชนปีละหลายหมื่นล้านบาท เราจึงเรียกระบอบการปกครองแบบนี้ว่าเป็น " การปกครองระบอบกษัตริย์เผด็จการ " ( King Dictatorship System ) ไม่ใช่ "การปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์เป็นประมุข " อย่างพวกนักวิชาการรับจ้างทั้งหลายเรียกเพื่อต้องการเอาใจกษัตริย์
ปัจจัยการผลิตของสังคม ( Means of Production )
การปกครองระบอบกษัตริย์เผด็จการ กษัตริย์เป็นผู้ถือครองปัจจัยการผลิตส่วนมากของสังคมหรือเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต ( Means of Production ) ซึ่งหมายถึงสื่งที่มนุษย์ใช้ผลิตวัตถุที่มีคุณค่าแก่มนุษย์ในการดำรงชีพและในการพัฒนาสังคม ปัจจัยการผลิตได้แก่ ที่ดิน แหล่งแร่ แหล่งน้ำ เครื่องมือการผลิต ( Instruments of Production ) การธนาคารและเครดิต การค้าและการคมนาคม โรงงานวิสาหกิจ โรงงานปูนชิเมนต์ กิจการโรงแรม ฯลฯ ซึ่งในตำราเศรษฐกิจวิทยาสมัยอาดัมสมิธเรียกว่า " Constant Capital " ในตำราเศรษฐกิจสมัยใหม่เรียกว่า " ทุนของสังคม " ( Social Capital )
จากการประเมินของสำนักงานประเมินทรัพย์สิน ฟอบส์ ( Fobes ) ประเมินเมื่อปี 2559 ว่าทรัพย์สินส่วนตัวของกษัตริย์ภูมิพลมีมูลค่าถึง 35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นกษัตริย์ที่ร่ำรวยมากที่สุดในโลก
เมื่อกษัตริย์เป็นเจ้าของทุนส่วนมากของสังคม และเป็นเจ้าของระบอบเศรษฐกิจผูกขาดที่เป็นพื้นฐานของสังคม ภูมิพล จึงกลายมาเป็นนายทุนสามานย์ผูกขาดที่ใหญ่ที่สุดในสังคม ระบอบเศรษฐกิจแบบนี้จึงเรียกว่า " ระบอบเศรษฐกิจศักดินา " ( Feudalist Economy System) เพื่อหลอกลวงตาชาวไทยและชาวโลกพวกนักวิชาการกากเดนศักดินาได้ให้นิยามระบอบเศรษฐกิจแบบนี้ว่า"เศรษฐกิจพอเพียง "
ทุนของสังคมส่วนใหญ่ไปรวมศูนย์อยู่ภายใต้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นผู้บริหารและจัดการ เป็นองค์กรอิสระไม่ขึ้นกับรัฐ รัฐไม่สามารถตรวจสอบได้และได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี
เมื่อลูกชายภูมิพล ร. 10 ขึ้นครองราชย์ก็ได้โอนสำนักงานนี้มาเป็นของส่วนตัวโดยสิ้นเชิง เป็นการปล้นทรัพย์สมบัติอันมหาศาลของชาติของแผ่นดินอย่างเลวทรามและเห็นแก่ตัวที่สุดของกษัตริย์ใหม่ ( ดูประกอบจากบทความ อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุลอำนาจและสมบัติอยู่ในมือกูคนเดียว ชัดๆ ไม่ต้องอ้อมค้อมอีกต่อไป : มาแล้วครับ พรบ.ทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ ฉบับใหม่ goo.gl/WJqXFX)
โครงสร้างส่วนบนของสังคม
โครงสร้างส่วนบนของสังคมได้แก่ รัฐ ศาล กฏหมาย การเมือง ศาสนา วัฒนธรรมและอุดมการณ์ รวมไปถึงสื่อสารมวลชน เจ้าของปัจจัยการผลิตจะสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องรักษา "ระบอบเศรษฐกิจศักดินา " ที่เป็นพี้นฐานชั้นล่างของสังคม เหมือนกับบ้านจะต้องมีหลังคาซึ่งสอดคล้องกับหลักปรัชญาที่ว่า " รูปแบบต้องให้เหมาะสมกับเนิ้อหา " ดังนั้นในระบอบกษัตริย์เผด็จการองค์คาพยพที่เป็นโครงสร้างส่วนบนของสังคมจึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปกปักรักษาระบอบเศรษฐกิจนี้เอาไว้ กษัตริย์มีอำนาจเหนือสังคมทุกอย่าง เหนือ รัฐ เหนือศาล เหนือกฏหมายเป็นจอมทัพของสามเหล่าทัพมีอำนาจแต่งตั้งทหาร ตำรวจข้าราชการได้ทุกระดับ เขาจึงสั่งให้ทหารยึดอำนาจรัฐได้ทุกครั้งที่เขาต้องการเพื่อรักษาผลประโยชน์และระบอบเศรษฐกิจของเขา ทหารจึงเป็นเพียงเครื่องมือของกษัตริย์ที่ใช้ให้กุมอำนาจรัฐเพื่อกดขี่ขูดรีดเอากับประชาชน เหมือนพลเอก ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี หัวหน้ารัฐบาล คสช.ทำอยู่ในเวลานี้ที่ได้รับมอบหมาย ม. 44 จากกษัตริย์ทำหน้าที่แทนกษัตริย์ได้ทุกอย่างกับประชาชนไทยทุกคนในประเทศนี้แม้แต่สั่งยึดทรัพย์อดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร นี่คือธาตุแท้ของระบอบกษัตริย์เผด็จการ
พลังการผลิตของสังคม ( Productive Forces ) ซึ่งประกอบไปด้วย " เครื่องมือการผลิต " ( Instruments of Production ) คือพื้นฐานชั้นล่างทางเศรษฐกิจ
ได้แก่ ชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน กรรมกรผู้ใช้แรงงาน พ่อค้าแม่ค้า ที่เป็นผู้ผลิตเลี้ยงสังคม และเป็นชนส่วนใหญ่ของประเทศ ประชาชนที่เป็นผู้ผลิตเลี้ยงสังคมเหล่านี้นอกจากจะไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากรัฐในเรื่องค่าแรง และสวัสดิการต่างๆแล้ว รัฐยังกดขี่ ขูดรีด ข่มเหงรังแก รีดไถ คตโกง เอารัดเอาเปรียบประชาชนฝ่ายที่เป็นพลังการผลิตทุกอย่างอย่างไร้ความเป็นธรรม ไม่มีสิทธิเสรีภาพ ไม่มีความเสมอภาคและประชาธิปไตย รัฐใช้อำนาจบังคับไม่ให้ประชาชนลืมตาอ้าปากได้แม้แต่ในวงการสงฆ์ โดยใช้ ม. 44 และ ม. 112 เป็นเครื่องมือในการปราบปรามประชาชน ประชาชนได้รับการดูถูกเหยียดหยามว่าเป็นไพร่ เป็นฝุ่นใต้ขี้ตีนของกษัตริย์
ชนส่วนใหญ่ที่เป็นพลังการผลิตของสังคม ( Productive Forces ) นอกจากจะผลิตเลี้ยงตัวเองและครอบครัวแล้วยังผลิตเลี้ยงกษัตริย์และครอบครัวพร้อมนางบำเรอทั้งหลายแหล่อีกด้วย ต้องส่งส่วยเป็นเงินปีละหลายหมื่นล้านบาท โดยที่กษัตริย์เองและครอบครัวไม่ต้องทำการผลิตอะไรนอกจากนอนอาศัยกินแรงงานของประชาชนที่เป็นฝ่ายผลิตเลี้ยงดูแบบเสือนอนกิน เราจึงเรียกพวกนี้ว่า " พวกกาฝากสังคม "
กาฝากสังคมเหล่านี้มีชีวิตเสพสุข อยู่อย่างฟุ้งเฟ้อทำตัว เป็นอภิสิทธ์ชน มีอำนาจเหนือสังคมเหนือกฏหมายทุกอย่าง มีวิธีเสพสุขแบบพิสดารเหมือนทากหรือปลิงที่สืบพันธ์กันเองและมีชีวิตอยู่ด้วยการดูดกินเลือดของคนไทยทั้งประเทศ
วชิราลงกรณ์เองมีฮาเรมส่วนตัวอยู่ที่เมืองมิวนิคประเทศเยอรมันนี มีนางบำเรอมากมายที่เขาสามารถแต่งตั้งให้เป็นยศฐาบรรดาศักดิ์อะไรก็ได้ มีวังหลายแห่ง บางแห่งก็ทำเป็นคุกส่วนตัว มีเครื่องบินส่วนตัวใหม่เอี่ยม 2 - 3 ลำ สำหรับไว้ขี่เล่นในต่างประเทศ ทำตัวเป็นกุ้ยเสเพลอย่างไรก็ได้ซึ่งไม่มีกษัตริย์ในโลกที่ไหนเขาทำกัน
ตามหลักทฤษฏีที่ว่าในสังคมใดที่ความสัมพันธ์การผลิต ( Production Relation ) คือผู้ถือครองปัจจัยการผลิตกับกำลังการผลิตสอดคล้องต้องกันสังคมนั้นก็จะพัฒนาก้าวหน้า แต่ถ้าสังคมใดที่เจ้าของปัจจัยการผลิตกับกำลังการผลิตไม่สอดคล้องกันสังคมนั้นก็จะเกิดการขัดแย้งกันขึ้นเมี่อความขัดแย้งนี้ถึงขั้นรุนแรงที่สุดก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมใหม่ที่ดีกว่าซึ่งเป็นไปตามกฏเกณฑ์วิวัฒนาการของมนุษย์ชาตื ตามที่ Dr. Karl Marx ได้ค้นพบในวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ของการเปลี่ยนแปลงของสังคมมนุษย์ จากระบอบสังคมปฐมการ สู่สังคมทาส สังคมศักดินา สังคมทุนนิยม และสังคมนิยม
จากสภาพการณ์ของการเปลี่ยนแปลงสังคมแบบนี้เมื่อความสัมพันธ์การผลิต คือผู้ถือครองปัจจัยการผลิตของสังคมไทย ได้แก่ ฝ่ายกษัตริย์ กับฝ่ายที่เป็นพลังการผลิตของสังคม ที่กำลังเกิดการขัดแย้งกันอยู่ในเวลานี้ เนี่องจากฝ่ายเจ้าของปัจจัยการผลิตขัดขวางพลังการผลิตไม่ให้เจริญพัฒนาก้าวหน้า ทำให้เศรษฐกิจหล้าหลัง ประชาชนที่เป็นพลังการผลิตถูกกดขี่ขูดรีดไปทั่วทุกหย่อมหญ้า เมื่อมนุษย์ในสังคมได้รับการกดขี่ได้รับความเดือดร้อนก็จะเป็นไปตามทฤษฏีที่ว่า
" ความเป็นอยู่ปากท้องของมนุษย์เป็นเครื่องกำหนดจิตสำนึกของมนุษย์ " คือเมื่อชนชั้นที่เป็นพลังการผลิตมีจิตสำนึกที่รู้ตัวว่าถูกกดขี่เบียดเบียน ทำให้เกิดหูตาสว่างตื่นตัว ก็จะเป็นพลังหลักขับเคลื่อนรวมตัวกันลุกขึ้นต่อสู้โค่นล้มระบอบกษัตริย์เผด็จการที่ป่าเถื่อนนั้นลงได้
อำนาจทุกอย่างก็จะเป็นของประชาชนและประชาชนจะเป็นผู้ใช้อำนาจนั้นทั้งทาง นิติบัญญัติ บริหาร และ ตุลาการ ประชาชนก็จะมีสิทธิ เสรีภาพ มีประชาธิปไตย เป็นเจ้าของประเทศ ไม่ต้องเสียค่าส่งส่วยให้แก่กษัตริย์บ้ากามและครอบครัวปีละหลายหมื่นล้านบาท ประชาชนทั้งประเทศก็จะได้รับการปลดปล่อยตนเองออกจากสังคมทาสภายใต้ ม. 112 และ ม. 44 ของระบอบเผด็จการกษัตริย์ที่จองจำเรามาเป็นเวลา 80 กว่าปีแล้ว ประชาชนก็จะมีความสุขไปชั่วลูกชั่วหลานนี่คือการทำบุญอันยิ่งใหญ่ให้แก่ประเทศชาติและประชาชนไทยทั้งประเทศร่วมกัน.
กษัตริย์นั้นเป็นทรราชย์โดยธรรมชาติและเป็นอาชญากรรมนิรันดร ...
กษัตริย์นั้นเป็นทรราชโดยธรรมชาติ และ เป็นอาชญากรรมนิรันดร
Saint-Just อธิบายว่า กษัตริย์นั้นเป็นทรราชโดยธรรมชาติและโดยตัวของมันเอง เราไม่ต้องพิจารณาเลยว่าการกระทำของกษัตริย์หรือการบริหารราชการแผ่นดินของ กษัตริย์มีความผิดทางอาญาหรือไม่ ....... คัดมาจากบทความตอนหนึ่งของการเสวนาของคณะนิติราษฎร์ เมื่อ ๓๐ กย. ๒๕๕๕ ( จากการอธิบาย ของ Saint - just เราก็สามารถสรูปได้ว่า ภูมิพลก็คือ " ทรราชและ อาชญากรรมนิรันดร " ต่อประชาชนเพราะปล้นอำนาจมาจากปวงชนชาวไทย )
วิจารณ์ลักษณะที่สอง ในสังคมการเมือง อำนาจเป็นของประชาชนเสมอ เพียงแต่ว่ายุคใดสมัยใด อำนาจนั้นจะถูก “แย่งชิง” ไปหรือไม่ หรือประชาชนจะมอบอำนาจนั้นให้แก่ใคร ดังนั้น หากจะย้อนกลับไปหาความเป็นเจ้าของอำนาจ ในท้ายที่สุดก็จะเจอประชาชนในฐานะเจ้าของอยู่ดี การอ้างว่ากษัตริย์เป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นผู้ปกครอง มาตั้งแต่นมนาน ในสังคมการเมืองหนึ่งอาจไม่เคยขาดซึ่งสถาบันกษัตริย์เลย นั่นอาจเป็นการอ้างตามประวัติศาสตร์ของพวกราชาชาตินิยม ประวัติศาสตร์ของเจ้า ไม่จำเป็นต้องเป็นโค้ดของเรา Saint-Just อธิบายว่า กษัตริย์นั้นเป็นทรราชโดยธรรมชาติและโดยตัวของมันเอง เราไม่ต้องพิจารณาเลยว่าการกระทำของกษัตริย์หรือการบริหารราชการแผ่นดินของ กษัตริย์มีความผิดทางอาญาหรือไม่ ถ้ากษัตริย์เป็นทรราช นั่นไม่ใช่เพราะความผิดจากการบริหารราชการแผ่นดินของเขา แต่เขาเป็นทรราชก็ด้วยลักษณะของความเป็นกษัตริย์นั่นแหละ Saint-Just เสนออย่างชาญฉลาดว่า การที่กษัตริย์ยึดครองอำนาจสูงสุดของประชาชนไปใช้เอง นั่นแสดงให้เห็นว่าลักษณะของความเป็นกษัตริย์เป็นอาชญากรรมนิรันดร (crime éternel) ต่อประชาชน มนุษย์จึงย่อมมีสิทธิสัมบูรณ์ในการลุกขึ้นสู้และติดอาวุธ Saint-Just อธิบายว่า ไม่มีใครสามารถครองราชย์ได้อย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง เพราะ กษัตริย์ทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นกบฏและเป็นผู้แย่งชิง (usurpateur) อำนาจของประชาชนไป
หรือในประกาศคณะราษฎร “ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่าประเทศของเรานี้เป็นของราษฎร ไม่ใช่ของกษัตริย์ตามที่เขาหลอกลวง บรรพบุรุษของราษฎรเป็นผู้ช่วยกันกู้ให้ประเทศมีอิสรภาพพ้นมือจากข้าศึก พวกเจ้ามีแต่ชุบมือเปิบ และกวาดรวบทรัพย์สมบัติเข้าไว้ตั้งหลายร้อยล้าน เงินเหล่านี้เอามาจากไหน? ก็เอามาจากราษฎร เพราะวิธีทำนาบนหลังคนนั้นเอง”
หากพิจารณาตามแนวทางนี้ ก็จะไม่มีปัญหาเรื่องอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนหรือไม่ เพราะ อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนเสมอ ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยตลอดกาล เพียงแต่ว่าบางช่วงบางตอน ถูก “ฉกฉวยแย่งชิงขโมย” ไป และสักวันหนึ่ง ประชาชนก็เอากลับคืนมาจนได้
การโค่นล้มระบอบกษัตริย์เผด็จการคือการทำบุญอย่างหนึ่งให้แก่ประเทศชาติ
การล้มเจ้าหรือการโค่นล้มระบอบเผด็จการกษัตริย์คือการทำบุญทำกุศลให้แก่สังคมและประเทศชาติเป็นการปลดปล่อยประชาชนออกจากระบอบป่าเถื่อนเหี้ยมโหดผิดมนุษย์ทำให้ประชาชนทั้งหลายที่ได้รับการกดขี่หลุดพ้นออกจากโซ่ตรวนในระบอบเผด็จการของษัตริย์ประหลาดวิกลจริตบ้ากามในเวลานี้
ระบอบเผด็จการกษัตริย์ทำให้ประเทศชาติหล้าหลังไม่ได้รับการพัฒนา เศรษฐกิจพังทลาย ประชาชนยากจนเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้าไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้ ศักดิ์ศรีของมนุษย์ถูกเหยียบย่ำมีค่าเพียงฝุ่นใต้ตีนของกษัตริย์ ไม่มีสิทธิ เสรีภาพ ความเป็นธรรมในสังคมไม่มี เพราะถูกครอบงำโดยระบอบเผด็จการของกษัตริย์
วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ขณะที่ภูมิพลนอนป่วยไม่รู้สึกตัวอยู่นั้น วชิราลงกรณ์ยังเป็นมกุฏราชกุมารอยู่ได้ร่วมมือกับพลเอกเปรมประธานองคมนตรี สั่งให้พลเอกประยุทธ์กับพวกยึดอำนาจจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนแล้วเรียกตัวเองว่า " คณะรักษาความสงบแห่งชาติ " ( คสช. ) แล้วตั้งรัฐบาลเผด็จการทหารขึ้นเรียกว่ารัฐบาล คสช.
วันที่ 13 คุลาคม 2559 ได้มีการประกาศการตายของภูมิพลขึ้นอย่างเป็นทางการรัฐบาลประยุทธ์ก็ได้ประกาศอันเชิญให้ วชิราลงกรณ์ได้ขึ้นมาเป็นกษัตริย์สืบทอดอำนาจจากพ่อคือกษัตริย์ภูมิพลรัชกาลที่ 9 เจ้าของระบอบกษัตริย์เผด็จการมาจนถึงวันตายหลังจากป่วยมาเป็นเวลายาวนาน แม้แต่วันเวลาการตายที่แน่นอนก็ไม่เปิดเผยให้ชาวไทยและชาวโลกทราบ
วชิราลงกรณ์ จากเด็กที่เติบโตมาอย่างสปอยจากพ่อแม่ที่มีอำนาจอย่างล้นฟ้า ทำให้วชิราลงกรณ์กลายเป็นเพลย์บอย เป็นคนไม่เอาถ่านเรียนหนังสือไม่จบมียศแค่ สิบเอกจากโรงเรียนนายร้อย ดันทรูนประเทศออสเตเรีย มีนิสัยเกเร เป็นนักเลงหัวไม้ชอบเล่นการพนัน ชอบเสพสุขมีเมียและนางบำเรอมากมายมีฮาเรมอยู่ที่
มิวนิคประเทศเยอรมันนี มีวังที่ทำเป็นคุกส่วนตัว เป็นคนทีไร้ความรับผิดชอบไร้จิตสำนึก ต่อสังคมประเทศชาติ และเพื่อนมนุษย์
วชิราลงกรณ์มาจากครอบครัวที่พ่อเป็นมหาโจรปล้นประเทศ และแม่ที่มีจิตใจเหี้ยมโหดเคยสั่งฆ่าคนไทยด้วยกันมาแล้วอย่างมากมายในประวัติศาสตร์จนมีนักกวีที่มีชื่อคนหนึ่งเขียนว่า " พ่อเจ้าปล้นแม่เจ้าฆ่ายังกล้าทำ " หรือที่ประชาชนเรียก " ไอ้เหี้ยสั่งฆ่าอีห่าสั้งยิง "
วชิราลงกรณ์ไม่ได้รับการอบรมมาเพื่อให้เป็นกษัตริย์เพื่อปกครองประเทศตามระบอบประชาธืปไตยเขาเกิดมาจากระบอบเผด็จการของภูมิพลและสิริกิตย์ที่สืบทอดเป็นมรดกมาจาก " ระบอบเศรษฐกิจของสังคมศักดินา "
หลังจากวชิราลงกรณ์ได้ขึ้นมาเป็นกษัตริย์ไม่นานก็ได้รวบอำนาจของชาติทุกอย่างไว้ในมือ " อำนาจและทรัพย์สินทุกอย่างเป็นของกูแต่ผู้เดียว " เอากลไกรัฐและทรัพย์สินส่วนที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์มาอยู่ใต้การควบคุมของตัวเองโดยสิ้นเชิงทั้ง " ราชการในพระองค์ " และ " ทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ ทุกอย่างเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์หลุดลอยออกจากฝ่ายบริหารนิติบัญญัติโดยสิ้นเชิง " ยิ่งไปกว่านั้นกษัตริย์ใหม่ยังมีอภิสิทธิ์อันมหาศาลเหนือสังคมไทยทุกอย่าง ทั้งทางกฏหมาย และการเมืองทางเศรษฐกิจและทางวัฒนธรรมสังคม
สรุปแล้วกษัตริย์ ใหม่ มี อำนาจครอบคุมสังคมไทยทุกอย่างและใช้อำนาจนั้นอย่างไม่มีขอบเขต ไม่รับผิดชอบไม่เกรงอกเกรงใจประชาชนชาวไทยทั้งประเทศที่เลี้ยงดูราชวงค์นี้มาจนทุกวันนี้ ขูดรีดกดขี่ข่มเห็ง รังแกประชาชน เอารัดเอาเปรียบสังคม เหี้ยมโหด รุณแรงอย่างไร้มนุษยธรรมมากยิ่งขึ้นไปกว่ายุคของภูมิพล
ม. 112 และ ม. 44ใช้ เป็นกฏหมายครอบจักรวาฬที่รัฐบาลของกษัตริย์จะใช้อย่างไรกับใครก็ได้ " ตามพระราชอัชญาศัย "
ใช้อำนาจมืดกำจัดได้กับทุกคนที่ไม่พอใจไม่เว้นแม้แต่ลูกเมียและคนใกล้ชิดที่รับใช้และควบคุมอำนาจรัฐโดยผ่านรัฐบาล ค.ส.ช.ภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ ดังนั้นประยุทธ์จึงเป็นเพียงหุ่นหรือสุนัขรับใช้ของกษัตริย์ที่ทำตามคำสั่งของกษัตริย์เหมือนเด็กว่านอนสอนง่ายทุกอย่าง ซึ่งกษัตริย์เองไม่ต้องอยู่ในประเทศนั่งสั่งงานจากเมืองมิวนิคประเทศเยอรมัน
ประยุทธ์ก็จะไปนั่งหมอบกราบต่อหน้ารูปของกษัตริย์เพื่อรับคำสั่งตามความประสงค์ของกษัตริย์ รัฐบาล คสช.จึงเป็นเพียงนอร์มินีของกษัตริย์ใหม่มีหน้าที่อย่างเดียวคือปล้นประเทศชาติปล้นประชาชนในรูปแบบต่างๆกันเพื่อหาเงินให้แก่ตัวเองและเพื่อไปถวายกษัตริย์มหาเพลย์บอยที่กำลังมัวเมาหลงระเริงในอำนาจเสพสุขและมีชีวิตฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมกับบรรดานางสนมนางบำเรอทั้งหลายแหล่ที่เขาตั้งยศฐาบรรดาศักดิ์ให้เป็นนายร้อย นายพัน นายพลอยู่ในเวลานี้ พวก " ข้าราชการในพระองค์ " ที่กินเงินเดีอนจากภาษีประชาชน
ส่วนประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศไม่มีอำนาจตรวจสอบหรือออกความเห็นคัดค้านใดๆทั้งสิ้น ทั้งที่กษัตริย์เองและรัฐบาล คสช.ก็กินเงินเดือนจากภาษีของประชาชนปีละหลายหมื่นล้านบาท เราจึงเรียกระบอบการปกครองแบบนี้ว่าเป็น " การปกครองระบอบกษัตริย์เผด็จการ " ( King Dictatorship System ) ไม่ใช่ "การปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์เป็นประมุข " อย่างพวกนักวิชาการรับจ้างทั้งหลายเรียกเพื่อต้องการเอาใจกษัตริย์
ปัจจัยการผลิตของสังคม ( Means of Production )
การปกครองระบอบกษัตริย์เผด็จการ กษัตริย์เป็นผู้ถือครองปัจจัยการผลิตส่วนมากของสังคมหรือเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต ( Means of Production ) ซึ่งหมายถึงสื่งที่มนุษย์ใช้ผลิตวัตถุที่มีคุณค่าแก่มนุษย์ในการดำรงชีพและในการพัฒนาสังคม ปัจจัยการผลิตได้แก่ ที่ดิน แหล่งแร่ แหล่งน้ำ เครื่องมือการผลิต ( Instruments of Production ) การธนาคารและเครดิต การค้าและการคมนาคม โรงงานวิสาหกิจ โรงงานปูนชิเมนต์ กิจการโรงแรม ฯลฯ ซึ่งในตำราเศรษฐกิจวิทยาสมัยอาดัมสมิธเรียกว่า " Constant Capital " ในตำราเศรษฐกิจสมัยใหม่เรียกว่า " ทุนของสังคม " ( Social Capital )
จากการประเมินของสำนักงานประเมินทรัพย์สิน ฟอบส์ ( Fobes ) ประเมินเมื่อปี 2559 ว่าทรัพย์สินส่วนตัวของกษัตริย์ภูมิพลมีมูลค่าถึง 35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นกษัตริย์ที่ร่ำรวยมากที่สุดในโลก
เมื่อกษัตริย์เป็นเจ้าของทุนส่วนมากของสังคม และเป็นเจ้าของระบอบเศรษฐกิจผูกขาดที่เป็นพื้นฐานของสังคม ภูมิพล จึงกลายมาเป็นนายทุนสามานย์ผูกขาดที่ใหญ่ที่สุดในสังคม ระบอบเศรษฐกิจแบบนี้จึงเรียกว่า " ระบอบเศรษฐกิจศักดินา " ( Feudalist Economy System) เพื่อหลอกลวงตาชาวไทยและชาวโลกพวกนักวิชาการกากเดนศักดินาได้ให้นิยามระบอบเศรษฐกิจแบบนี้ว่า"เศรษฐกิจพอเพียง "
ทุนของสังคมส่วนใหญ่ไปรวมศูนย์อยู่ภายใต้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นผู้บริหารและจัดการ เป็นองค์กรอิสระไม่ขึ้นกับรัฐ รัฐไม่สามารถตรวจสอบได้และได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี
เมื่อลูกชายภูมิพล ร. 10 ขึ้นครองราชย์ก็ได้โอนสำนักงานนี้มาเป็นของส่วนตัวโดยสิ้นเชิง เป็นการปล้นทรัพย์สมบัติอันมหาศาลของชาติของแผ่นดินอย่างเลวทรามและเห็นแก่ตัวที่สุดของกษัตริย์ใหม่ ( ดูประกอบจากบทความ อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุลอำนาจและสมบัติอยู่ในมือกูคนเดียว ชัดๆ ไม่ต้องอ้อมค้อมอีกต่อไป : มาแล้วครับ พรบ.ทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ ฉบับใหม่ goo.gl/WJqXFX)
โครงสร้างส่วนบนของสังคม
โครงสร้างส่วนบนของสังคมได้แก่ รัฐ ศาล กฏหมาย การเมือง ศาสนา วัฒนธรรมและอุดมการณ์ รวมไปถึงสื่อสารมวลชน เจ้าของปัจจัยการผลิตจะสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องรักษา "ระบอบเศรษฐกิจศักดินา " ที่เป็นพี้นฐานชั้นล่างของสังคม เหมือนกับบ้านจะต้องมีหลังคาซึ่งสอดคล้องกับหลักปรัชญาที่ว่า " รูปแบบต้องให้เหมาะสมกับเนิ้อหา " ดังนั้นในระบอบกษัตริย์เผด็จการองค์คาพยพที่เป็นโครงสร้างส่วนบนของสังคมจึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปกปักรักษาระบอบเศรษฐกิจนี้เอาไว้ กษัตริย์มีอำนาจเหนือสังคมทุกอย่าง เหนือ รัฐ เหนือศาล เหนือกฏหมายเป็นจอมทัพของสามเหล่าทัพมีอำนาจแต่งตั้งทหาร ตำรวจข้าราชการได้ทุกระดับ เขาจึงสั่งให้ทหารยึดอำนาจรัฐได้ทุกครั้งที่เขาต้องการเพื่อรักษาผลประโยชน์และระบอบเศรษฐกิจของเขา ทหารจึงเป็นเพียงเครื่องมือของกษัตริย์ที่ใช้ให้กุมอำนาจรัฐเพื่อกดขี่ขูดรีดเอากับประชาชน เหมือนพลเอก ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี หัวหน้ารัฐบาล คสช.ทำอยู่ในเวลานี้ที่ได้รับมอบหมาย ม. 44 จากกษัตริย์ทำหน้าที่แทนกษัตริย์ได้ทุกอย่างกับประชาชนไทยทุกคนในประเทศนี้แม้แต่สั่งยึดทรัพย์อดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร นี่คือธาตุแท้ของระบอบกษัตริย์เผด็จการ
พลังการผลิตของสังคม ( Productive Forces ) ซึ่งประกอบไปด้วย " เครื่องมือการผลิต " ( Instruments of Production ) คือพื้นฐานชั้นล่างทางเศรษฐกิจ
ได้แก่ ชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน กรรมกรผู้ใช้แรงงาน พ่อค้าแม่ค้า ที่เป็นผู้ผลิตเลี้ยงสังคม และเป็นชนส่วนใหญ่ของประเทศ ประชาชนที่เป็นผู้ผลิตเลี้ยงสังคมเหล่านี้นอกจากจะไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากรัฐในเรื่องค่าแรง และสวัสดิการต่างๆแล้ว รัฐยังกดขี่ ขูดรีด ข่มเหงรังแก รีดไถ คตโกง เอารัดเอาเปรียบประชาชนฝ่ายที่เป็นพลังการผลิตทุกอย่างอย่างไร้ความเป็นธรรม ไม่มีสิทธิเสรีภาพ ไม่มีความเสมอภาคและประชาธิปไตย รัฐใช้อำนาจบังคับไม่ให้ประชาชนลืมตาอ้าปากได้แม้แต่ในวงการสงฆ์ โดยใช้ ม. 44 และ ม. 112 เป็นเครื่องมือในการปราบปรามประชาชน ประชาชนได้รับการดูถูกเหยียดหยามว่าเป็นไพร่ เป็นฝุ่นใต้ขี้ตีนของกษัตริย์
ชนส่วนใหญ่ที่เป็นพลังการผลิตของสังคม ( Productive Forces ) นอกจากจะผลิตเลี้ยงตัวเองและครอบครัวแล้วยังผลิตเลี้ยงกษัตริย์และครอบครัวพร้อมนางบำเรอทั้งหลายแหล่อีกด้วย ต้องส่งส่วยเป็นเงินปีละหลายหมื่นล้านบาท โดยที่กษัตริย์เองและครอบครัวไม่ต้องทำการผลิตอะไรนอกจากนอนอาศัยกินแรงงานของประชาชนที่เป็นฝ่ายผลิตเลี้ยงดูแบบเสือนอนกิน เราจึงเรียกพวกนี้ว่า " พวกกาฝากสังคม "
กาฝากสังคมเหล่านี้มีชีวิตเสพสุข อยู่อย่างฟุ้งเฟ้อทำตัว เป็นอภิสิทธ์ชน มีอำนาจเหนือสังคมเหนือกฏหมายทุกอย่าง มีวิธีเสพสุขแบบพิสดารเหมือนทากหรือปลิงที่สืบพันธ์กันเองและมีชีวิตอยู่ด้วยการดูดกินเลือดของคนไทยทั้งประเทศ
วชิราลงกรณ์เองมีฮาเรมส่วนตัวอยู่ที่เมืองมิวนิคประเทศเยอรมันนี มีนางบำเรอมากมายที่เขาสามารถแต่งตั้งให้เป็นยศฐาบรรดาศักดิ์อะไรก็ได้ มีวังหลายแห่ง บางแห่งก็ทำเป็นคุกส่วนตัว มีเครื่องบินส่วนตัวใหม่เอี่ยม 2 - 3 ลำ สำหรับไว้ขี่เล่นในต่างประเทศ ทำตัวเป็นกุ้ยเสเพลอย่างไรก็ได้ซึ่งไม่มีกษัตริย์ในโลกที่ไหนเขาทำกัน
ตามหลักทฤษฏีที่ว่าในสังคมใดที่ความสัมพันธ์การผลิต ( Production Relation ) คือผู้ถือครองปัจจัยการผลิตกับกำลังการผลิตสอดคล้องต้องกันสังคมนั้นก็จะพัฒนาก้าวหน้า แต่ถ้าสังคมใดที่เจ้าของปัจจัยการผลิตกับกำลังการผลิตไม่สอดคล้องกันสังคมนั้นก็จะเกิดการขัดแย้งกันขึ้นเมี่อความขัดแย้งนี้ถึงขั้นรุนแรงที่สุดก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมใหม่ที่ดีกว่าซึ่งเป็นไปตามกฏเกณฑ์วิวัฒนาการของมนุษย์ชาตื ตามที่ Dr. Karl Marx ได้ค้นพบในวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ของการเปลี่ยนแปลงของสังคมมนุษย์ จากระบอบสังคมปฐมการ สู่สังคมทาส สังคมศักดินา สังคมทุนนิยม และสังคมนิยม
จากสภาพการณ์ของการเปลี่ยนแปลงสังคมแบบนี้เมื่อความสัมพันธ์การผลิต คือผู้ถือครองปัจจัยการผลิตของสังคมไทย ได้แก่ ฝ่ายกษัตริย์ กับฝ่ายที่เป็นพลังการผลิตของสังคม ที่กำลังเกิดการขัดแย้งกันอยู่ในเวลานี้ เนี่องจากฝ่ายเจ้าของปัจจัยการผลิตขัดขวางพลังการผลิตไม่ให้เจริญพัฒนาก้าวหน้า ทำให้เศรษฐกิจหล้าหลัง ประชาชนที่เป็นพลังการผลิตถูกกดขี่ขูดรีดไปทั่วทุกหย่อมหญ้า เมื่อมนุษย์ในสังคมได้รับการกดขี่ได้รับความเดือดร้อนก็จะเป็นไปตามทฤษฏีที่ว่า
" ความเป็นอยู่ปากท้องของมนุษย์เป็นเครื่องกำหนดจิตสำนึกของมนุษย์ " คือเมื่อชนชั้นที่เป็นพลังการผลิตมีจิตสำนึกที่รู้ตัวว่าถูกกดขี่เบียดเบียน ทำให้เกิดหูตาสว่างตื่นตัว ก็จะเป็นพลังหลักขับเคลื่อนรวมตัวกันลุกขึ้นต่อสู้โค่นล้มระบอบกษัตริย์เผด็จการที่ป่าเถื่อนนั้นลงได้
อำนาจทุกอย่างก็จะเป็นของประชาชนและประชาชนจะเป็นผู้ใช้อำนาจนั้นทั้งทาง นิติบัญญัติ บริหาร และ ตุลาการ ประชาชนก็จะมีสิทธิ เสรีภาพ มีประชาธิปไตย เป็นเจ้าของประเทศ ไม่ต้องเสียค่าส่งส่วยให้แก่กษัตริย์บ้ากามและครอบครัวปีละหลายหมื่นล้านบาท ประชาชนทั้งประเทศก็จะได้รับการปลดปล่อยตนเองออกจากสังคมทาสภายใต้ ม. 112 และ ม. 44 ของระบอบเผด็จการกษัตริย์ที่จองจำเรามาเป็นเวลา 80 กว่าปีแล้ว ประชาชนก็จะมีความสุขไปชั่วลูกชั่วหลานนี่คือการทำบุญอันยิ่งใหญ่ให้แก่ประเทศชาติและประชาชนไทยทั้งประเทศร่วมกัน.
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar