ในเมื่อ นปช. หมด สภาพในการนำ เราต้องนำตนเอง
ขอเสนอรูปธรรม
ใจ อึ๊งภากรณ์
ภาพและคำพูดของแกนนำ
นปช. หลังได้รับการปล่อยตัว น่าจะพิสูจน์อย่างเบ็ดเสร็จว่าแกนนำ นปช.
ไม่เหลืออะไรที่จะเรียกได้ว่าเป็น “การนำการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย”
พวกเราหลายคนไม่แปลกใจ เพราะตั้งแต่การพูดเชิงรุกสู้ที่ราชประสงค์ในปี
2553 ซึ่งรวมถึงการโม้ถึง “ทหารแตงโม” แต่จบด้วยการยอมจำนน
เราก็เห็นชัดว่าไม่มีความสามารถในการนำขบวนการ
ที่พูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าเราอยากเห็นคนตายเพิ่ม ไม่ใช่
แต่สิ่งที่เราอยากเห็นคือการเปลี่ยนและขยายยุทธวิธีในการเคลื่อนไหว
เช่นการสร้างสายสัมพันธ์กับขบวนการแรงงาน และการวางแผนไปสู่การนัดหยุดงาน
การสร้างเครือข่ายเคลือ่นไหวในต่างจังหวัด เพื่อการยึดสถานที่สำคัญเป็นระยะๆ
หรือการปิดร้านค้าไม่ไปทำงานในบางเมือง
โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีคนเสื้อแดงจำนวนมากเป็นต้น แต่ในปี 2553
และจนถึงทุกวันนี้แกนนำ นปช. เขาไม่ทำ
ตั้งแต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้รับการเลือกตั้งในปี2554 แกนนำ นปช.
มองว่าเสื้อแดงต้องเป็นแค่กองเชียร์ให้รัฐบาลเพื่อไทยเท่านั้น
และในขณะที่ยิ่งลักษณ์และทักษิณพยายามจูบปากกับประยุทธ์
และขยับไปสู่การนิรโทษกรรมทหารและนักการเมืองประชาธิปัตย์ที่ฆ่าเสื้อแดง
ขยับไปสู่การทอดทิ้งเพื่อนที่ติด 112 ในคุก ขยับไปใช้ 112 เพิ่มขึ้น
และไม่ทำอะไรเลยเพื่อปฏิรูปให้การเมืองไทยเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น แกนนำ นปช.
ก็คอยชักชวนให้คนเสื้อแดงนิ่ง ไม่มีการเรียนรู้สรุปบทเรียนจากอดีต
ไม่มีการวางแผนสร้างเครือข่ายเพื่อปกป้องประชาธิปไตยแต่อย่างใดเลย
มีแต่คำพูดวนซ้ำเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง
เมื่อมีการข่มขู่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ แกนนำ นปช.
ก็โอ้อวดว่าถ้ามีรัฐประหาร เขาจะ “ยกระดับการต่อสู้ไปถึงที่สุด” พร้อมกันนั้นก็นิ่งเฉยต่อการคุกคามสังคมโดยม็อบสุเทพ โดยอ้างว่าถ้าออกมาคัดค้านจะทำให้ทหารสามารถทำรัฐประหารได้
แต่การจูบปากทหารในปี 2554 และการนิ่งเฉยตลอดมา
ก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้รัฐประหารเกิดขึ้น และเมื่อมันเกิดก็เห็นชัดว่า นปช.
ไม่มีแผนอะไรที่จะรับมือ ไม่มีการยกระดับการต่อสู้เลย จนตอนนี้ก็ไปยอมแพ้
แต่เสื้อแดงธรรมดาและพลเมืองรักประชาธิปไตยยังไม่แพ้
บางคนอาจเถียงว่า แกนนำ นปช. ไม่มีทางเลือกอื่น “นอกจากจะพาคนไปตาย” จึงต้องยอม เราต้องโต้กลับไปว่า
มันมีทางเลือกอีกมากมาย
และในรูปธรรมพลเมืองไทยผู้กล้าหาญจำนวนมากได้พิสูจน์ว่ามีทางเลือก
กลุ่มคนที่ประท้วงรัฐประหารอย่างต่อเนื่องในกรุงเทพฯ เชียงใหม่
และที่อื่น พิสูจน์ว่าเราไม่จำเป็นต้องยอมจำนนต่อทหาร
และในกลุ่มคนที่เคลื่อนไหวต้านรัฐประหาร มีนักสหภาพแรงงานร่วมอยู่ด้วย
ซึ่งพิสูจน์ว่าการเชื่อมกับแรงงานไม่ใช่แค่ความเพ้อฝัน
จาตุรนต์ ฉายแสง ก็พิสูจน์เป็นรูปธรรมว่า ยิ่งลักษณ์ และคนอื่น
ไม่จำเป็นต้องคลานเข้าไปรายงานตัว ซึ่งยิ่งลักษณ์คงได้รับคำแนะนำตรงนั้นจากทักษิณ
จาตุรงค์ พิสูจน์ว่าแกนนำมีศักดิ์ศรีได้ และให้กำลังใจผู้รักประชาธิปไตยได้
หลายคนที่หลบหนีลงใต้ดิน เพราะไม่ยอมไปรายงานตัว
และอาจหาทางข้ามพรมแดนออกไป ก็พิสูจน์ว่าแนกนำ นปช. บางคน มีทางเลือกอื่นเช่นกัน
นอกจากจะยอมแพ้
ท่ามกลางกระบวนการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนสังคมทั่วโลก
มันเป็นเรื่องธรรมดาที่แกนนำเก่าหมดสภาพ ถูกพิสูจน์ว่ามือไม่ถึง
แล้วมีแกนนำใหม่เข้ามาแทนที่ผ่านการพิสูจน์ความสามารถในรูปธรรม
เสื้อแดงเป็นล้าน และพลเมืองอื่นๆ ที่รักและหวงประชาธิปไตย
จะไม่ยอมแพ้ และจะโกรธแค้นกับการทำลายประชาธิปไตยมาอย่างเป็นระบบในรอบ 8
ปีที่ผ่านมา
ประเด็นคือ พวกเราที่ต้องนำตนเองจะสู้อย่างไร?
เพราะทหารมันประกาศแล้วว่ามันจะคุมอำนาจต่อไปยาว
และจะปฏิกูลการเมืองในเวลานั้นเพื่อลดเสียงประชาชน
การต่อสู้แบบนำตนเอง นัดเอง มาเอง
มีความสำคัญยิ่งในสถานการณ์เฉพาะหน้าปัจจุบัน เพราะทหารปราบยาก
แต่เราทุกคนต้องถามตนเองว่าทำต่อไปแบบนี้ได้นานเท่าไร ก่อนที่จะเหนื่อยและเบื่อ?
เราจึงมีความหวังว่าผู้ปฏิบัติการระดับรากหญ้าทั้งหลาย จะหันหน้าเข้าสู่กัน
เพื่อสร้างเครือข่ายต้านรัฐประหารในรูปแบบองค์กร
ประสานการเคลื่อนไหวและต่อสู้ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ในขณะที่คงไว้แกนนำหลากหลาย
หลายหัว อย่างที่เขาเคยทำในอียิปต์
ที่สำคัญคือควรมีการนัดคุยกันระหว่างตัวแทนกลุ่มต่างๆ แบบไม่เปิดเผย
อย่างต่อเนื่อง เพื่อถกเถียงทำความเข้าใจกับภาพรวมทางการเมือง
และเพื่อกำหนดแนวทางการต่อสู้ ซึ่งต้องเชิญกลุ่มอื่นๆ มาร่วมมากขึ้นตลอด
ไม่มีการกีดกันใคร ต้องออกไปหาสหภาพแรงงานและกลุ่มเกษตรกรในจังหวัดต่างๆ
โดยมีกติกาการประชุมง่ายๆ เพื่อไม่ให้มีความเป็นอาวุโส ทุกคนเท่าเทียมกัน
สิ่งที่เราน่าจะเข้าใจได้แล้วคือ มันต้องสู้ระยะยาว ต้องมีแผน
และต้องมีองค์กรเคลื่อนไหวที่เหมาะสมกับภาระทางสังคมอันนี้
--
Giles Ji Ungpakorn
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar