การปกครองในสังคมที่มีความแตกต่างกันอย่างมากระหว่างคนรวยกับคนจนได้ขยายออกไปบนถนนระหว่างคนที่มีกับคนที่ไม่มีสำหรับคนที่ไม่มีโอกาสตายบนท้องถนนมากกว่าคนที่มี...
โดย ฮันนา บีช ( Hannah Beech )
19 สิงหาคม พ.ศ. 2562
เมื่อมีเหตุการณ์ผิดพลาดใด
ๆ เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่รัฐผู้มีอำนาจก็มักจะให้สัญญาว่าจะแก้ไขให้ถูกต้อง
แต่พวกเขาได้ปฏิบัติตามคำสัญญา ที่ให้ไว้จริง ๆ หรือไม่นั้น
บทความของสำนักข่าว The New York Times ซีรีย์นี้จะทำการตรวจสอบเพื่อหาคำตอบในเรื่องนี้
กรุงเทพฯ
— ระหว่างที่หญิงคนหนึ่งกำลังขับรถจักรยานยนต์ไปทำงาน
เธอถูกชนโดยรถกระบะซึ่งมีนายตำรวจนอกเวลาปฏิบัติงานที่มีอาการมึนเมาสุรา
เป็นผู้ขับ
รถของเขาเสียหลักมาชนกับรถจักรยานยนต์ของเธอแล้วลากไปตามถนนราดยางในชนบทแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ของประเทศไทย
อรทัย จันทร์หอม ผู้ขับรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวถูกชนจนกระเด็น และเสียชีวิตทันที ณ จุดเกิดเหตุ
หลังเกิดเหตุคู่กรณีที่ชนเธอจนเสียชีวิตยังคงปฏิบัติหน้าที่ตำรวจ
เขายังมีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ และสามารถขับรถยนต์ได้ตามปกติเหมือน
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ศาลไม่ได้พิพากษาลงโทษจำคุกเขาแต่อย่างใด
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทางสังคมสูงที่สุดประเทศหนึ่งในโลก
แม้แต่บนท้องถนนก็ยังมีการแบ่งชนชั้นอย่างชัดเจน
โดยที่คนยากจนมักตกเป็นเหยื่อของอุบัติเหตุมากกว่าผู้ที่มีฐานะร่ำรวยหรือมีเส้นสาย
ตามรายงานประจำปี
พ.ศ. 2558 ขององค์การอนามัยโลก
ประเทศไทยมีอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนต่อจำนวนประชากร
สูงที่สุดเป็นอันดับสองของโลก รองจากประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม
สถานการณ์บ้านเมืองไม่สงบสุขและไม่มีกฎหมายคุ้มครอง
อย่างประเทศลิเบียเท่านั้น
แต่ถ้านับเฉพาะอัตราการเสียชีวิตจากรถจักรยานยนต์แล้ว
ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่หนึ่งของโลกเลยทีเดียว
“ฉันไม่เคยคิดถึงการตายจากอุบัติเหตุจากรถยนต์มาก่อนที่แม่ตายเลยค่ะ”
จุฬารัตน์ จันทร์หอม ลูกสาวของนางอรทัยผู้ตายกล่าวต่อด้วยว่า
“ฉันไม่เคยคิดว่ามันเป็นปัญหาใหญ่แบบนี้ในเมืองไทย”
รัฐบาลได้ให้คำปฏิญาณที่องค์การสหประชาชาติในปี
พ.ศ. 2558
ที่จะลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนลงครึ่งหนึ่งภายในปี พ.ศ.
2563 อย่างไรก็ตามเหลือเวลาไม่ถึง 1 ปีก่อนกำหนดเวลาเท่านั้น
ประเทศไทยก็ยังห่างไกลจากการที่จะทำให้สัญญาที่ได้ให้ไว้ เป็นจริงขึ้นได้
ถนนภายในประเทศไทยยังถูกจัดอันดับให้เป็นถนนที่อันตรายที่สุด 10
อันดับแรกในโลก จากจำนวนการเสียชีวิตด้วย
อุบัติเหตุซึ่งสามารถป้องกันได้มากกว่า 20,000 รายต่อปี
ประเทศไทยมีอัตราการเสียชีวิตบนท้องถนนลดลงเล็กน้อยตั้งแต่ปีพ.ศ.2558
และ ประเทศไทยมีการออกกฎหมายที่จำเป็นเพื่อทำให้ท้องถนนปลอดภัยมากขึ้น
แต่สิ่งที่ทางรัฐบาลไม่ได้แก้ปัญหาก็คือช่องว่างของรายได้ที่ต่างกันมากของประชากรในประเทศ
ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ไม่เพียงแต่ทำให้ ถนนเป็นที่ที่อันตรายเท่านั้น
แต่ยังแบ่งแยกประเทศออกเป็นสองฝั่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย
คือฝั่งคนมีเงิน และฝั่งคนจนสิ่งที่เราเรียนรู้
CreditCreditAdam Dean สำหรับ The New York Times
CreditAdam Dean สำหรับ The New York Times
ความไม่เท่าเทียมกันทั้งตอนมีชีวิตอยู่และตอนตาย
ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีความไม่เท่าเทียมกันมากที่สุดใน
40 ประเทศเศรษฐกิจใหญ่ จากการสำรวจโดยเครดิต สวิส ในปีที่ผ่านมา
ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่อันตรายต่อความปลอดภัยด้านการจราจรที่สูงสุดในโลก
แม้ว่าโดยรวมประเทศจะค่อนข้างยากจน
แต่ก็มีโครงข่ายถนนราดยางสภาพดีที่เหมาะกับการขับขี่ด้วยความเร็วสูง
พาหนะที่ผู้มีฐานะ
และชนชั้นกลางที่มีจำนวนมากขึ้นในสังคมใช้มักจะเป็นรถยนต์รุ่นใหม่ซึ่งมีสมรรถนะสูง
แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่สามารถเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์เพียงคันเดียวต่อครอบครัวเท่านั้น
โดยที่หมวกนิรภัยคุณภาพสูงที่ได้มาตรฐานตาม
กฎหมายเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยสำหรับประชาชนส่วนมาก
แม้ว่ากฎหมายจะกำหนดให้มีการสวมใส่หมวกนิรภัยระหว่างขับขี่รถจักรยานยนต์ก็ตาม
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนทางหลวงที่มีการจราจรคับคั่งมักเกิดจากการที่รถยนต์
SUV ชนเข้ากับรถจักรยานยนต์จนทำให้ซากจากอุบัติเหตุ ดังกล่าวเกลื่อนถนน
ภาพหลังเกิดอุบัติเหตุแบบนี้ก็มักจะเป็นที่พบเห็นได้ทั่วไป
เป็นภาพอันน่าสยดสยองบนท้องถนนเมืองไทย ไม่ว่าจะ เป็นเศษซากยางฉีกขาด
กันชนที่พังยับเยิน หรือแม้แต่รองเท้าแตะเปื้อนเลือด
อุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์ครั้งเดียวอาจทำให้เกิดการตายหลายศพตามมาได้
เนื่องจากระบบขนส่งมวลชนที่ยังไม่ครอบคลุมทั่วถึงบริเวณ ชานเมือง
จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกที่จะเห็นภาพของทั้งครอบครัวซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์มาคันเดียวโดยมีพ่อเป็นคนขับ
แม่ซ้อนพร้อมด้วย ลูกเล็ก ๆ อีกคนหรือสองคน
จากผลการรายงานความปลอดภัยบนถนนทั่วโลกขององค์การอนามัยโลกประจำปี
พ.ศ. 2561 ระบุว่ามีเพียงร้อยละ 12 ของการเสียชีวิตจาก
อุบัติเหตุบนท้องถนนเมืองไทยเกิดจากผู้ขับขี่รถยนต์
หรือยานพาหนะเบาชนิดอื่น ๆ
โดยที่ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ หรือคนเดินเท้า
ตามเมืองต่างๆ
ทั่วประเทศไทยมีทางเท้าที่กว้างและมีสภาพที่ใช้งานได้ดีไม่มากนัก
นักวิเคราะห์ให้เหตุผลว่าเป็นเพราะถนนและทางเท้า
ถูกออกแบบโดยให้ความสำคัญกับคนมีฐานะซึ่งส่วนมากแล้วไม่เดินในอากาศที่ร้อนอบอ้าวแบบเมืองไทย
และเมื่อใดก็ตามที่ทางเท้ากว้าง พอก็มักจะมีการตั้งหาบเร่แผงลอย
หรือแม้แต่รถจักรยานยนต์ขับกีดขวางบนทางเท้า
ทำให้ประชาชนต้องลงไปเดินบนถนนแทน
ความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจของประเทศไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ทำให้อัตราการเสียชีวิตบนถนนไม่เท่าเทียมกัน
ความยุติธรรมก็ยังถูกใช้ อย่างไม่เท่าเทียมอีกด้วย
กฎจราจรไม่สามารถใช้ควบคุมเหล่าบรรดามหาเศรษฐีหรือผู้ที่มีตำแหน่งหน้าตาในสังคมได้
พวกเขาเหล่านั้นสามารถขับรถเร็วกว่ากฎหมาย กำหนดโดยไม่ต้องได้รับการลงโทษ
หรือดื่มจนมึนเมาก่อนขับรถโดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมาเลยด้วยซ้ำ
ในปี
พ.ศ. 2555
หนุ่มไฮโซทายาทเจ้าของเครื่องดื่มชูกำลังกระทิงแดงซิ่งรถสปอร์ตเฟอร์รารี่หรู
ชนตำรวจแล้วลากไปจนเสียชีวิตคาถนน นายวรยุทธ์ อยู่วิทยา
ผู้คนขับรถคนนั้นมีระดับแอลกอฮอล์ในร่างกายเกินกฎหมายกำหนด
แม้ว่าเรื่องนี้จะผ่านมาได้ 7 ปีแล้วก็ตาม เขาก็ ยังไม่ได้ถูกดำเนินคดีใด ๆ
“สิ่งที่แน่ชัดในเมืองไทยก็คือถนนไม่ปลอดภัยสำหรับผู้ใช้ถนนเลย
ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม” เอฟเวอลิน เมอร์ฟี่ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการ
ป้องกันการบาดเจ็บที่เกิดจากอุบัติเหตุ จากองค์การอนามัยโลก หรือ W.H.O.
กล่าว เธอยังเสริมว่า “ไม่ว่าจะรถยนต์ รถจักรยานยนต์ หรือคนเดินเท้า
ผู้ใช้ถนนต้องได้รับความปลอดภัยเสมอ
ไม่ว่าผู้ใช้ถนนคนนั้นจะมีฐานะการเงินอย่างไรก็ตาม”
สิ่งที่เราเรียนรู้
การบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอประกอบกับการคอร์รัปชัน
การขับรถเร็วเกินกำหนด
เมาแล้วขับ
การไม่สวมหมวกนิรภัยที่มีคุณภาพเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตบนท้องถนนในประเทศ
นี่คือ บทสรุปที่เจ้าหน้าที่ในประเทศไทยได้ให้ไว้
Advertisement
ในขณะที่ประเทศไทยมีกฎหมายไว้เพื่อควบคุมสาเหตุหลักของการเสียชีวิตที่เจ้าหน้าที่ได้สรุปไว้ข้างต้น แต่กลับไม่มีการบังคับใช้จริงจัง
การจับปรับไม่เกิดขึ้นเมื่อผู้ขับขี่จักรยานยนต์ไม่สวมหมวกนิรภัย
เว้นแต่ในช่วงเวลาที่มีการกวดขันเพื่อให้ตำรวจเก็บค่าปรับได้ตามเกณฑ์
การไม่เคยชินกับด่านตรวจหรือเสียงรถตำรวจทำให้ผู้ที่ขับรถเร็วเกินกำหนด
หรือผู้ละเมิดกฎจราจรอื่น ๆ อาจไม่จอดข้างทางเมื่อถูกตำรวจ เรียกตรวจ
“มันเป็นเรื่องยากที่จะให้ประชาชนจอดรถ
เมื่อเขาไม่เคยชินกับการที่ต้องหยุดให้ตรวจ” พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก
รองผู้บัญชาการ ตำรวจนครบาลกล่าว
นอกจากนี้ยังมีการคอร์รัปชัน ผู้มีฐานะดีหรือมีเส้นสายรู้ว่าการติดสินบนสามารถช่วยให้พวกเขารอดได้ เมื่อโดนจับกุมเพราะทำผิดกฎจราจร
โดยเฉลี่ยแล้วตำรวจจราจรในกรุงเทพฯ
จำนวน 3,000 นายได้รับเงินเดือน เดือนละ 20,000 บาท
เพื่อแลกกับการทำงานกลางแดดร้อน เปียกฝน หรือทนฝุ่นควันพิษ
จึงทำให้การได้รับเงินสินบนเล็กน้อยเป็นสิ่งดึงดูดใจที่ดีและได้ผลมากด้วย
ในแต่ละปีจะมีสองช่วงเวลาได้แก่ช่วงประเพณีสงกรานต์กลางเดือนเมษายน
และปีใหม่สากลต้นเดือนมกราคมที่มักมีการรณรงค์เมาไม่ขับ
เพื่อลดอุบัติเหตุโดยการติดป้ายประกาศแสดงภาพอุบัติเหตุและการเสียชีวิตที่น่าสยดสยอง
เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้รถเพิ่มความระมัดระวังใน การขับขี่
ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นจะมีการจับกุมผู้ละเมิดกฎจราจรได้มากเป็นพิเศษ
แล้วจำนวนการจับกุมก็จะลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อผ่าน ทั้งสองช่วงเวลานี้ไปแล้ว
นายแพทย์แท้จริง
ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับกล่าวว่า
“ถ้าคนเรากินอาหารคลีนแค่ปีละสองครั้ง แต่เวลาที่เหลือทั้งปีกินแต่ ไอศกรีม
หมอของคุณคงจะคิดว่าคุณเป็นบ้า
แต่นั่นเป็นสิ่งที่เรากำลังทำกับเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน”
สิ่งที่เราเรียนรู้
‘สบาย สบาย’ ทำอะไรสบาย ๆ แบบไทยแท้
เมื่อถามว่าทำไมถึงมีคนตายจำนวนมากบนท้องถนน เจ้าหน้าที่รัฐให้เหตุผลว่าเป็นเพราะคนไทยติดกับคำว่า ‘สบาย สบาย’ นั่นเอง
คำว่า
‘สบาย สบาย’ เป็นคำพูดติดปากคนไทยที่แสดงให้เห็นนิสัยง่าย ๆ ตามแบบไทย
คำว่า ‘สบาย สบาย’ เป็นเหตุผลที่ทำให้เมืองไทย
เป็นเมืองที่ผ่อนคลายน่าเที่ยว
แต่ในทางกลับกันก็เป็นทัศนคติที่ไม่ช่วยส่งเสริมให้มาตรฐานด้านความปลอดภัยของประเทศสูงขึ้น
“ถ้าตำรวจปฏิบัติตามกฎจริง ๆ ไม่ใช่แค่ตักเตือน ประชาชนก็จะไม่พอใจ แล้วก็บ่นว่าไม่สบายสบายเลย” พล.ต.ต.จิรสันต์กล่าว
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดจากผลของการใช้ชีวิตแบบ
‘สบาย สบาย’ ก็คือการสวมหมวกนิรภัย
คนขับรถจักรยานยนต์ส่วนใหญ่มักจะไม่แยแสที่ จะหยิบหมวกนิรภัยมาสวมด้วยซ้ำ
“คนคิดว่ามลพิษทางอากาศเป็นเรื่องร้ายแรง
แต่ไม่คิดแบบเดียวกันกับเรื่องเมาแล้วขับ หรือการใส่หมวกนิรภัย”
นายแพทย์แท้จริง จากมูลนิธิเมาไม่ขับเสริมว่า
“เราพลาดมาตลอดในการทำให้ประชาชนเข้าใจว่าเขาสามารถรักษาชีวิตตัวเองได้”
แต่เจ้าหน้าที่สามารถสร้างความแตกต่างได้
โดยในพื้นที่ที่ตำรวจเขียนใบสั่งหรือจับปรับอย่างจริงจัง
จะพบเห็นการใส่หมวกนิรภัยได้ มากกว่า
รัฐบาลไทยสามารถให้ความรู้เพิ่มเติมแก่ประชาชนเรื่องการใส่หมวกนิรภัย ซึ่งโดยทั่วไปยังมีคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานหรือสวมใส่ไม่ถูกต้อง
นางเมอร์ฟี
จากองค์การอนามัยโลกกล่าวว่า
“ถ้าคุณเห็นคนใส่หมวกนิรภัยโดยที่ไม่คาดสายรัดใต้คาง
มันก็เท่ากับการใส่หมวกนั้นไม่มี ประโยชน์เลย
มันแสดงให้เห็นว่าคนยังขาดความเข้าใจพื้นฐานด้านความปลอดภัยอยู่”
สิ่งที่เราเรียนรู้
การโยนความผิดให้คนอื่น
ตามสถิติล่าสุดขององค์การอนามัยโลกหรือ
W.H.O. ในปี พ.ศ. 2559 คนไทยจำนวน 32.7 คนจากประชากร 100,000
คนเสียชีวิตจาก อุบัติเหตุบนถนน
เปรียบเทียบกับอัตราการเสียชีวิตบนถนนของปีเดียวกันในประเทศสหรัฐอเมริกาที่
12.4 คน ที่ประเทศอินโดนีเซียซึ่งเป็น
ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ด้อยพัฒนากว่า
สภาพถนนเป็นหลุมเป็นบ่อมากกว่าประเทศไทย แต่กลับมีอัตราการเสียชีวิต
บนถนนเพียงแค่ 12.2 คน
ในขณะที่ประเทศส่วนใหญ่ในยุโรปมีอัตราการเสียชีวิตบนถนนอยู่ที่เลขหลักเดียวเท่านั้น
ตั้งแต่รัฐบาลได้ให้คำปฎิญาณที่จะลดจำนวนการเสียชีวิตบนถนนลงครึ่งหนึ่ง
ขณะที่ประเทศอื่น ๆ ก็ได้ให้สัญญาเช่นเดียวกัน ประเทศไทย
เกือบจะไม่ได้ทำให้สถิติดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย
จึงทำให้ประเทศไทยรั้งอันดับเกือบสุดท้ายของประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิตบนถนนมากที่สุด
ในอันดับที่ 9 ของโลก
“ไม่มีพรรคการเมืองไหนเห็นเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่
ไม่มีนายกท่านใดต้องการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง” นายแพทย์แท้จริง จากมูลนิธิ
เมาไม่ขับกล่าวทิ้งท้ายว่า
“พวกเขาแค่สัญญาว่าจะลดอัตราการเสียชีวิตบนถนนลงครึ่งหนึ่ง
แม้จะรู้ว่าทำไม่ได้จริง อาจคิดว่าเราจะลืมสัญญา ที่พวกเขาเคยให้ไว้”
คำถามที่ว่าแล้วเป็นความรับผิดชอบของใครที่ประเทศไทยไม่มีความคืบหน้าในเรื่องนี้ถูกโยนกลับไปกลับมาระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐจากหลาย
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
นายชยธรรม์
พรหมศร รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร
ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้ให้สัญญากับองค์การ
สหประชาชาติที่จะลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนถนนลงครึ่งหนึ่ง
กล่าวว่าเขาไม่ได้รับรายงานเกี่ยวกับรายละเอียดของสัญญานี้
(เนื่องจากเอกสารภาษาอังกฤษฉบับนั้นไม่ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยและเผยแพร่ออนไลน์)
เจ้าหน้าที่ผู้ทำการเสนอข้อมูลเกี่ยวกับด้านความปลอดภัยในท้องถนนต่อองค์การสหประชาชาติเมื่อปี
พ.ศ. 2558 กล่าวว่าเธอเป็นเพียงตัวแทนเพื่อนร่วมงานของเธอ
ที่ไม่สามารถเข้าร่วมการประชุมในวันนั้นได้ ในทางกลับ
เพื่อนร่วมงานดังกล่าวนส.อุษณิศา จิกยอง แจ้งผ่านอีเมล์ว่าหน่วยงานของเธอ
“ไม่มีความรับผิดชอบต่อโครงการความปลอดภัยบนถนน ในระดับประเทศ”
นส.อุษณิศา
ให้ข้อมูลว่ากรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรง
แต่นายชยพล ธิติศักดิ์ ผู้อำนวยการทั่วไปของกรมป้องกันฯ
ปัดความรับผิดชอบกลับไปที่หน่วยงานต้นสังกัดของนส.อุษณิศา
เจ้าหน้าที่ของทั้งสองหน่วยงานต่างเห็นพ้องต้องกันว่าเป็นความรับผิดชอบโดยตรงของตำรวจ
“ปัจจัยหลักคือการบังคับใช้กฎหมาย”
นายชยพลกล่าวเสริม
“เราต้องทำให้ประชาชนตระหนักว่าหากไม่ปฏิบัติตามกฎหมายก็ต้องเผชิญ
กับผลร้ายแรงที่จะตามมา”
แต่ตำรวจปฏิเสธที่จะรับความผิดดังกล่าว
“ในฐานะตำรวจแล้วมีหลายสิ่งที่ตำรวจทำไม่ได้”
พล.ต.ต.จิรสันต์กล่าว “เราไม่สามารถสร้างถนนและระบบขนส่งมวลชนเพิ่มได้
เราไม่สามารถลดจำนวนรถบนถนนให้น้อยลง
เราไม่สามารถเปลี่ยนให้ประชาชนมีระเบียบวินัยได้.”
สิ่งที่เราเรียนรู้
ความเป็นมนุษย์มีราคาแพง
จากผลการศึกษาเมื่อปี
พ.ศ. 2561
ของธนาคารโลกที่ได้คาดการณ์ว่าประเทศไทยอาจสามารถเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศได้มากถึง
ร้อยละ 22 ในปี พ.ศ. 2581
หากสามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนถนนลงได้ครึ่งหนึ่ง
แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจตกต่ำ
รัฐบาลจากการรัฐประหารปี พ.ศ. 2557
ที่นำทีมโดยนายทหารเกษียณอายุก็แทบไม่ได้แก้ปัญหาเรื่อง
ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นปัญหาหลักของการเสียชีวิตบนถนนของประเทศไทยเลย
อย่างไรก็ตามประเทศไทยได้มีการปรับปรุงความปลอดภัยของถนนให้ดีขึ้น
และได้ให้สัญญาที่จะทำกิจกรรมอื่น ๆ อีกด้วย
โรงเรียนได้มีการบรรจุหลักสูตรเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน
รัฐบาลได้กำหนดมาตรฐานเรื่องความปลอดภัยของยานพาหนะขึ้นใหม่
จากสถิติแสดงให้เห็นว่ามีการพัฒนาขึ้นเล็กน้อย
อัตราการเสียชีวิตบนถนนลดลงร้อยละ 7 โดยในปี พ.ศ. 2561
มีจำนวนผู้เสียชีวิตบนถนน 22,491 รายเมื่อเทียบกับในปี พ.ศ. 2558
ที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตบนถนน 24,237 ราย
ในขณะที่ค่าใช้จ่ายทางเศรษฐศาสตร์มหภาคจำนวนมหาศาลของการเสียชีวิตบนท้องถนนสามารถวัดผลเป็นตัวเลขได้
สิ่งที่ไม่สามารถวัด
เป็นตัวเลขได้คือการสูญเสียที่เกิดจากบุคคลซึ่งไม่ต้องรับโทษที่คุกคามถนนในประเทศไทย
ครอบครัวของนางอรทัย
ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่เสียชีวิตไม่มีทนายในการดำเนินการคดีแพ่ง
เพื่อขออุทธรณ์คำตัดสินของศาลที่พิพากษา ไม่จำคุกนายตำรวจ
และไม่มีการดำเนินนการทางกฎหมายต่อจากนั้น
“ในเมืองไทยกฎหมายไม่มีความสำคัญ”
จุฬารัตน์ลูกสาวผู้ตายตัดพ้อว่า “คนจนแบบเราจะไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้
เราต้องตายไป อย่างไร้ค่า เพราะชีวิตของเรามันไม่มีค่าพอ”
ข้อสรุป: สำหรับคนจนแล้วถนนในเมืองไทยไม่ปลอดภัย ไม่ว่าจะที่ความเร็วแค่ไหนก็ตาม
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar