RE.การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และความขัดแย้งในสังคมไทย
การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และความขัดแย้งในสังคมไทย
โดย เด่นพงษ์ รักประชา
ประชาธิปไตย
คำว่า ประชาธิปไตย เป็นศัพท์ใหม่เพิ่งมีผู้ตั้งศัพท์นี้มาเมื่อประมาณ 100 ปีมานี้เอง จากรากศัพท์เดิมของคำว่า ประชาธิปไตย แปลมาจากคำในภาษากรีก “ DEMOKRATIA “ ซึ่งมาจากมูลศัพท์ “DEMOS”แปลว่า ปวงชน ผสมกับคำว่า .” KRATOS “ แปล ว่าอำนาจ และ “ KRATIEN “ แปลว่า การปกครอง ดังนั้นคำว่า “ DEMOKRATIA “ จึงหมายถึง อำนาจสูงสุดของปวงชน การปกครองโดยมติของปวงชน
คำ
ว่า ประชาธิปไตย จึงหมายถึงรูปแบบการปกครองที่ถือมติปวงชนเป็นใหญ่
เพราะอำนาจสูงสุดเป็นของปวงชน
ซึ่งมีสิทธิ์กับหน้าที่ตามธรรมชาติของมนุษยชน
ถึง
แม้จะมีผู้ตั้งศัพท์คำว่าประชาธิปไตยขึ้นมาเมื่อ 100 ปีที่แล้วก็ตาม
แต่รูปแบบการปกครองประชาธิปไตยมีมาพร้อมกับการเกิดสังคมของมนุษย์ชาติที่
มนุษย์รู้จักอยู่ร่วมกันเป็นหมู่เป็นกลุ่มในสังคม
ในยุคสมัยของสังคมบุพกาลทุกคนต้องล่าเนื้อหาอาหารกินเองจะอาศัยแรงงานคนอื่น
หาให้กินไม่ได้
ซึ่งหมายความว่าในยุคของสังคมบุพกาลมนุษ์ไม่มีการเบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบ
กัน
ใน
ระยะต่อมามนุษย์ได้รู้จักการเลือกตั้งเจ้าโคตรเจ้าตระกูลขึ้นมาเป็นหัวหน้า
กลุ่มหรือหัวหน้าของสังคม เพื่อทำพิธีทางไสยศาสตร์
จึงเกิดมีการรวมกลุ่มเกิดชุมชนขึ้น ต่อมา มีการแย่งชิงเขตแดนที่ทำมาหากิน
จึงมีการรบราฆ่าฟันกันในแต่ละกลุ่ม
หัวหน้ากลุ่มไหนแข็งแรงก็สามารถขยายอาณาเขตของตนให้กว้างขวางออกไป
และจับเอาฝ่ายตรงกันข้ามมาเป็นเชลย
ซึ่งเชลยนี้ครั้งแรกก็ฆ่าทิ้งหรือใช้กินเป็นอาหาร
แต่ต่อมาเชลยที่ถูกจับได้ถูกบังคับให้เป็นทาสเพื่อใช้แรงงานให้แก่เจ้าโคตร
เจ้าตระกูลที่เป็นหัวหน้าของสังคม ระบบทาส
ซึ่งเป็นระบบที่โหดร้ายที่สุดของมนุษย์ชาติจึงเกิดขึ้น
เมื่อ
ระบบทาสได้เริ่มขึ้นในสังคมของมนุษย์
รูปแบบการปกครองประชาธิปไตยที่มีมาแต่เดิมนั้นก็หมดไป
พวกนายทาสได้กลายมาเป็นหัวหน้าของสังคม
และได้ใช้วิธีปกครองแบบบังคับอย่างโหดร้ายทารุณที่สุดกับพวกทาส
ทาสจึงเปรียบเสมือนสัตว์ที่พูดได้
นายทาสจะซื้อขายหรือเข่นฆ่าและบังคับใช้แรงงานได้ตามใจชอบเหมือนกับสัตว์
ในกฏหมายเก่าของไทยก็ได้บัญญัติไว้ว่า ทาสเป็นทรัพย์สินชนิดหนึ่งจำพวกเดียวกับสัตว์ที่มีชีวิตทั้งหลายเรียกว่า “
วิญญาณทรัพย์ “
ระบบทาสจึงเป็นระบบเผด็จการที่ทารุณโหดร้ายและเลวทรามที่สุดของมนุษย์
ที่ดำรงคงอยู่มาเป็นเวลาหลายร้อยปี ความเจริญรุ่งเรืองในยุคต่างๆของมนุษย์
ได้ถูกสร้างขึ้นอย่างมากมายก็โดยน้ำพักน้ำแรงของพวกทาส เช่นสถานที่โบราณ
วัตถุก่อสร้างต่างๆ ที่สร้างขึ้นในสมัยโรมัน สมัยกรีก และโบสถ์
วัดวาอารามสมัยเก่าของไทยก็ได้ถูกสร้างขึ้นโดยน้ำพักน้ำแรงของพวกทาสทั้ง
นั้น ระบบทาสได้ดำรงคงอยุ่ในสังคมไทยมาจนถึงรัชสมัยรัชกาลที่ ๕
เมื่อ
วิวัฒนาการของสังคมได้เจริญก้าวหน้าขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง
ระบบทาสได้กลายมาเป็นสิ่งที่ขัดขวางความเจริญทางการผลิตทำให้เกิดความขัด
แย้งกันภายในของสังคมระบบทาสขึ้น พวกลูกทาสได้ลุกขึ้นต่อสู้ อาทิ
การต่อสู้ของสปาตาคุสในระบบทาสโรมัน เมื่อ ๗๔ ปีก่อนพระเยซูเกิด เป็นต้น
ต่อมาพวกเจ้าทาสจึงได้ผ่อนผันให้ทาสบางส่วนทำการเพาะปลูกในที่ดินของเจ้าทาส
และนำผลผลิตที่ได้ส่งเป็นเครื่องบรรณาการให้แก่พวกนายทาสหรือที่เรียกว่า
“ส่งส่วย “
สมัย
ก่อนมนุษย์เรายังไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฏเกณฑ์ต่างๆของธรรมชาติ
ไม่สามารถอธิบายสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในจักรภพนี้ได้
จึงเชื่อเอาอย่างงมงายว่าธรรมชาติและสรรพสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลกนี้
ล้วนมีสิ่งบรรดาลมาจากเบื้องบนเพื่อให้เป็นไปเช่นนั้น ซึ่ง
อำนาจจากเบื้องบนนั้นเชื่อกันว่าเป็นอำนาจของพระเจ้า
หรืออำนาจของพวกเทวาอารักษ์ พวกเจ้าโคตรเจ้าตระกูลทั้งหลาย
ผู้ที่เป็นหัวหน้าสังคมที่ถูกเลือกขึ้นในยุคของสังคมบุพกาลเพื่อให้เป็นตัว
แทนในการทำพิธีทางไสยศาสตร์นั้น ต่อมาก็ได้ตั้งตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์
หรือจักรพรรดิ์ ปกครองอยู่ตามดินแดนหรือในแค้วนต่างๆ บุคคล
เหล่านี้ได้ตั้งตนเองขี้นเป็นตัวแทนของพระเจ้า
อ้างว่าพระเจ้าส่งตนลงมาจุติในโลกมนุษย์ หรือเป็นตัวแทนมาจากเบื้องบน
คือสวรรค์เพื่อลงมาโปรดมนุษย์ โดยได้รับอำนาจมาจากสรวงสวรรค์
เพื่อให้มาปกครองมนุษย์ เช่นในสมัยโบราณของจีนเชื่อกันว่ากษัตริย์หรือ
จักรพรรดิ์เป็นโอรสมาจากสวรรค์
ในประเทศญี่ปุ่นสมัยเก่าก็เชื่อกันว่าจักรพรรดิเป็นโอรสของพระอาทิตย์มาเกิด
เป็นต้น
นี้
คือต้นเหตุหรือแนวความคิดที่กษัตริย์ หรือจักรพรรดิ์ของประเทศต่างๆ
คิดไปเองว่า
ที่ดินและสรรพสิ่งทั้งหลายรวมทั้งคนและสัตว์ทั้งหมดภายใต้สวรรค์เป็นสมบัติ
ของตน
ใน
ประวัติศาสตร์ของกรุงศรีอยุธยายังปรากฏในกฏหมาย “ ตราสามดวง “ ว่า “
ที่ดินทั้งหลายในแคว้นศรีอยุธยาเป็นของพระเจ้าอยู่หัวโดยพระบรมเดชานุภาพ “
ระบอบศักดินา จึงเกิดขึ้น
อำนาจการปกครองทุกอย่างอยู่ในมือของผู้เป็นหัวหน้าของสังคมแต่ผู้เดียว
กษัตริย์ หรือจักรพรรดิ์ ก็สามารถใช้อำนาจได้โดยไม่จำกัดขอบเขต
อำนาจเผด็จการโดยสมบูรณ์ของกษัตริย์ก็เกิดขึ้น ต่อมากษัตริย์
หรือจักรพรรดิ์ ยังได้ตราเป็นกฏหมายขึ้นอีกว่า
เมื่อตัวเองตายลงก็ให้ลูกหรือญาติที่สนิทของตนรับช่วงเป็นผู้สืบทอดวงค์
ตระกูลปกครองประเทศสืบต่อไป เป็นการสืบทอดราชสันติวงค์ต่อไปอีกเป็นทอดๆ
รูป
แบบการปกครองนี้คือรูปแบบการปกครองเผด็จการศักดินา
มิได้แตกต่างไปจากการปกครองในระบอบทาสมากนัก
จะต่างกันก็เพียงแต่ว่าเปลี่ยนจากระบอบทาสมาเป็น ระบบ “ส่วย “
ใน
ระบอบสังคมศักดินาพวกทาสนอกจากจะผลิตเพื่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัวแล้วยัง
ต้องผลิตให้แก่พวกเจ้าศักดินาอีกด้วยตามระบบ “ ส่วย “
ซึ่งปัจจัยและเครื่องมือสำหรับทำมาหากินอยู่ในมือของพวกเจ้าศักดินา
เช่นที่ดินและเครื่องมือในการผลิตต่างๆ
การปกครองแบบนี้ในเมืองไทยเรียกว่า การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
เป็นรูปแบบการปกครองที่กษัตริย์มีอำนาจสูงสุดแต่ผู้เดียว
สังคม
ศักดินาในยุโรบได้ถูกโค่นล้มลงไปในปลายของศตวรรตที่ ๑๘
ระบอบทุนนิยมได้เข้ามาแทนที่
การวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์ชาติจากสังคมหนึ่งเข้าสู่อีกสังคมหนึ่งเป็น
กฏเกณฑ์ตามธรรมชาติของสังคมที่จะต้องเป็นไปเช่นนั้น
มาร์กช์ได้ค้นพบในวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ถึงสาเหตุการเปลี่ยนของสังคม
จากสังคมหนึ่งไปสู่อีกสังคมหนึ่งโดยเกิดจากการขัดแย้งภายในของสังคมนั้น
เอง ระหว่างความสัมพันธ์การผลิต
คือมีผู้ถือปัจจัยการผลิตและกำลังการผลิตอีกด้านหนึ่ง
เมื่อความสัมพันธ์การผลิตในสังคมใดสอดคล้องกันสังคมนั้นก็เจริญพัฒนา
ถ้าสังคมใดที่ผู้ถือปัจจัยการผลิตขัดขวางกำลังการผลิต
ความขัดแย้งภายในสังคมนั้นก็จะเกิดขึ้น
เมื่อความขัดแย้งเกิดขึ้นถึงขั้นรุณแรงที่สุดก็สามารถเปลี่ยนไปสู่สังคมอีก
รูปแบบหนึ่งที่สูงกว่า
เช่นการเปลี่ยนแปลงจากสังคมระบอบทาสไปสู่สังคมระบอบศักดินา
และการเปลี่ยนแปลงสังคมศักดินา เข้าสู่ระบอบทุนนิยม จากทุนนิยม
เข้าสู่สังคมนิยม จากระบอบสังคมนิยมเข้าสู่ระบอบสังคมคอมมิวนิสต์
นี่คือวิวัฒนาการของสังคมของมนุษย์ชาติที่มาร์กช์ได้ค้นพบและพิสูจน์ให้เห็น
ในวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ซึ่งถือว่าเป็นผลงานอันยิ่งใหญ่ทางประวัติศาสตร์
อย่างหนึ่งของมาร์กช์
ดัง
นั้นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของมนุษย์
จึงเป็นหน้าที่อันชอบธรรมตามธรรมชาติของมนุษยชนพึงกระทำ
อำนาจสูงสุดของปวงชนย่อมหมายถึงอำนาจของผู้ที่เป็นกำลังการผลิตซึ่งเป็นพลัง
ส่วนมากของสังคม
การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยก็คือการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์การ
ผลิต
โดยเปลี่ยนปัจจัยการผลิตจากบุคคลกลุ่มน้อยในสังคมให้มาอยู่ในมือของผู้ที่
เป็นกำลังการผลิตที่เป็นพลังส่วนมากของสังคม
เมื่อเป็นเช่นนี้ระบอบประชาธิปไตยอันสมบูรณ์จึงจะเกิดขึ้น
เนื่อง
จากการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเป็นสิทธิและหน้าที่อันชอบธรรมตามธรรมชาติของ
มนุษย์ ที่มนุษย์พึงกระทำ มนุษย์ชาติทั่วโลกจึงได้ลุกขึ้นต่อสู้
เพื่อสิทธิและเสรีภาพของตนอยู่เรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ในยุโรป
อเมริกา อาฟริกา อาเชีย ลาตินอเมรืกา และตะวันออกกลางเป็นต้น
ซึ่งการต่อสู้ได้ดำเนินไปในรูปแบบที่แตกต่างกัน ในประเทศยุโรปตะวันตก
ในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย
ประชาชนของประเทศเหล่านั้นได้ต่อสู้มาเป็นขั้นๆและยาวนาน
เริ่มจากการจัดตั้งพรรคการเมืองต่างๆขึ้นโดยไม่มีการจำกัดความคิดทางด้าน
อุดมการณ์
ไปจนถึงการเรียกร้องสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้งเท่าเทียมกันของหญิงชาย
สิทธิในการจัดตั้งสหพันธ์กรรมกรแรงงานในอาชีพต่างๆ
เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้แก่สมาชิกผู้ใช้แรงงานในด้านต่างๆที่เป็นธรรม
และระบบสวัสดิการต่างๆ
ประชาชนสามารถเลือกตัวแทนของตนเองได้โดยวิถีทางประชาธิปไตย
และสามารถตั้งรัฐบาลที่เป็นตัวแทนรักษาผลประโยชน์ให้แก่มวลชนที่เป็นเสียง
ส่วนมากของสังคม
แต่
ในประเทศที่ชนชั้นปกครองไม่ยอมให้ประชาชนมีประชาธิปไตยตามธรรมชาติโดยสันติ
วิธี ประชาชนในประเทศเหล่านั้นย่อมทำการต่อสู้โดยวิธีรุนแรง
ซึ่งก็เป็นหน้าที่และสิทธิอันชอบธรรมโดยธรรมชาติของมนุษย์ในสังคมนั้น อาทิ
การปฏิวัติใหญ่ในฝรั่งเศสในปี คศ. ๑๗๘๙
และการปฏิวัติใหญ่ในรัสเซียเมื่อปี คศ. ๑๙๑๗ เป็นต้น
การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของไทย
ถึง
ปี พศ. ๒๔๗๕
ระบอบศักดินาซึ่งเป็นระบอบเก่าแก่และล้าหลังกำลังเสื่อมสลายได้กลายมาเป็น
สิ่งที่ขัดขวางกำลังการผลิต ทำให้เศรษฐกิจของชาติไม่เจริญก้าวหน้า
ราษฎรที่เป็นผู้ผลิตส่วนมากของสังคม ได้รับความเดือดร้อน
จึงได้มีการเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองแบบศักดินาเป็นระบอบ
ประชาธิปไตยที่ดีกว่า ได้เกิดการขัดแย้งกันขึ้นภายในสังคม
ข้าราชการและปัญญาชนที่มีหัวก้าวหน้าภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชไม่พอใจ
กับความเป็นอยู่ของสังคมที่หล้าหลังและความไม่ยุติธรรมในระบอบเผด็จการกษัต
ริย์ และ ขณะเดียวกันระบอบศักดินาในประเทศยุโรปตะวันตก
ได้ถูกโค่นล้มลงมีการวิวัฒนาการอย่างก้าวกระโดดทางด้านอุตสาหกรรม
มีการค้นพบเครื่องมือการผลิตใหม่ๆ
เช่นเครื่องจักรกลและเครื่องจักรไอน้ำแบบใหม่ในปลายศตวรรษที่ ๑๘
ทำให้ประเทศเหล่านั้นกลายมาเป็นประเทศทุนนิยมได้ขยายขอบเขตอิธิพลทาง
เศรษฐกิจข้ามทวีปเข้าสู่ประเทศด้อยพัฒนาหรือประเทศในโลกที่สามเพื่อล่า
อาณานิคมเมืองขึ้น เพื่อเป็นแหล่งขูดรีดแรงงาน
แสวงหาวัตถุดิบตลอดจนใช้เป็นแหล่งสำหรับระบายสินค้า
ประเทศฝรั่งเศสได้เข้ายึดครองในอินโดจีน ฮอลันดาเข้ายึดครองอินโดนิเชีย
อังกฤษเข้ายึดครองอินเดีย พม่า มลายู
ปอร์ตุเกสเข้ายึดครองประเทศในอาฟริกาเป็นต้น
ใน
ประเทศไทยพวกชาติตะวันตกได้บังคับให้ชนชั้นปกครองศักดินาไทยทำสัญญาไม่เสมอ
ภาคต่างๆกับประเทศอังกฤษ ประเทศฝรั่งเศส
ทำให้ไทยต้องเสียเอกราชทางการเมือง ทางศาล และทางด้านเศรษฐกิจ
รวมทั้งต้องเสียดินแดนเป็นจำนวนมากให้แก่ประเทศเหล่านั้น
เมื่อ
เดือนกุมภาพันธ์ ปี พศ. ๒๔๗๐
ปัญญาชนผู้รักชาติรักประชาธิปไตยที่เป็นตัวแทนกองหน้าของราษฎรไทยได้ร่วมกัน
จัดตั้ง คณะราษฎร ขึ้นในประเทศฝรั่งเศส มี ดร. ปรีดี พนมยงค์
เป็นหัวหน้า เพื่อทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบกษัตริย์เผด็จการ
มาเป็นระบอบประชาธิปไตยที่กษัตริย์อยู่ภายใต้กฏหมาย
หรือการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบราชา
ธิปไตยที่กษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ
โดยอำนาจการปกครองสูงสุดเป็นของปวงชน
และปวงชนเป็นผู้ใช้อำนาจนั้นผ่านทางนิติบัญญัติหรือรัฐสภา ทางการบริหาร
หรือรัฐบาล และทางตุลาการ มีหลักนโยบายทางการเมืองดังต่อไปนี้
๑. รักษาความเป็นเอกราชทั้งหลายเช่นเอกราชทางการเมือง ทางศาล ทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง
๒. รักษาความปลอดภัยในประเทศให้การประทุษร้ายต่อกันลดลงให้มาก
๓. บำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฏรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้ราษฎรทุกคนทำจะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดหยาก
๔. ให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน
๕. ให้ราษฎรมีเสรีภาพที่ไม่ขัดต่อหลักสี่ประการดังกล่าวแล้ว
๖. ให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร
หลัง
จาก คณะราษฎร ได้ก่อตั้งขึ้นในปี พศ ๒๔๗๐ อีกห้าปีต่อมาคือในปี พศ. ๒๔๗๕
ก็ได้ทำการยึดอำนาจเปลี่ยนการปกครองทำให้ระบอบเผด็จการกษัตริย์ต้องสิ้นสุด
ลง
และนำเอาระบอบการปกครองประชาธิปไตยมาใช้ในเมืองไทยเป็นประเทศแรกในเอเชีย
อาคเนย์.
โดยปวงชนชาวไทยมีสิทธิและเสรีภาพในการเลือกตัวแทนของตนเป็นรัฐบาล
ออกกฎหมายและรัฐธรรมนูญเพื่อปกครองตนเอง
ตาม
รัฐธรรมนูญฉบับ ๙ พฤษภาคม พศ. ๒๔๘๙
ได้ให้สิทธิประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ที่สุดแก่ปวงชนชาวไทย
ตามข้อความในมาตรา ๑๓ ให้มีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนาหรือลัทธินิยมใดๆ
มาตรา ๑๔ ให้เสรีภาพบริบูรณ์ในร่างกาย เคหสถาน ทรัพย์สิน การพูด
การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา การศึกษาอบรม การชุมนุมสาธารณะ การตั้งสมาคม
การตั้งพรรคการเมือง การอาชีพ
การ
เปลี่ยนแปลงการปกครอง พศ. ๒๔๗๕
เป็นการโค่นล้มระบอบศักดินาลงพร้อมกันนั้นก็ได้ลบล้างความสัมพันธ์การผลิต
โดยเปลียนปัจจัยการผลิตในการทำมาหากิน
เดิมอยู่ในมือของพวกศักดินาให้มาอยู่ในมือของชาวนาและกสิกรที่เป็นกำลังการ
ผลิตส่วนใหญ่ของสังคมในเวลานั้นโดยการออกพระราชบัญญัติต่างๆ เช่น
พรบ.ห้ามยึดทรัพย์กสิกร พรบ.ประมวลรัชฎากรยกเลิกรัชชูปการและอากรค่านาในปี
พศ. ๒๔๘๑ ซึ่งประกาศใช้ในเดือนเมษายน พศ. ๒๔๘๒
การออกกฏหมายจำกัดขนาดการยึดครองที่ดินได้ไม่เกินคนละ ๕๐ ไร่ในปี ๒๔๗๙
การ
เปลี่ยนแปลงการปกครองปี พศ. ๒๔๗๕
ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงจากสังคมศักดินาที่หล้าหลังเข้าสู่สังคมใหม่ที่
สูงกว่า
คือสังคมระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจรัฐอยู่ในมือของปวงชนที่เป็นเสียงส่วนใหญ่
ของสังคมจึงดีกว่าระบอบเผด็จการกษัตริย์ที่เป็นระบอบเก่าหล้าหลัง
เป็นการปกครองโดยประชาชน เพื่อประชาชนตามวิถีทางของประชาธิปไตยที่สมบูรณ์
พร้อมกันนั้นรัฐก็ได้วางโครงการเศรษฐกิจใหม่ เช่นการจัดตั้งธนาคารชาติ
โอนกิจการต่างๆมาเป็นของรัฐ
ปรับปรุงการศึกษาให้คนไทยทุกคนได้รับการศึกษา
จัดตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมืองขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้การศึกษาแก่
ปัญญาชนทุกคนทุกชนชั้น
การ
เปลียนจากสังคมหนึ่งเข้าสู่อีกสังคมหนึ่งที่สูงกว่าเป็นสิ่งที่ยากมากโดย
เฉพาะในระยะผ่านการยึดอำนาจแม้จะเป็นเรื่องยากก็ไม่ยากเท่ากับการรักษาไว้
และยิ่งเป็นเรื่องยากลำบากมากที่จะสร้างสังคมของมนุษย์ชาติขึ้นใหม่จากสังคม
เก่าที่หล้าหลัง
ดังนั้นในระยะผ่านซึ่งเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้
ระบบให้การศึกษาอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับประชาธิปไตยเพื่อให้ประชาชนในสังคม
ยอมรับและมีจิตสำนึกเพื่อให้ระบอบประชาธิปไตยพัฒนาก้าวหน้าต่อไป
เป็น
ที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่การเปลี่ยนการปกครอง พศ. ๒๔๗๕
ที่นำโดยกลุ่มบุคคลของคณะราษฎรยังไม่ทันที่จะเปลี่ยนระบบสังคมไทยให้ไปสู่
เป้าหมายตามนโยบายของคณะราษฎร
ก็ได้ถูกพวกซากเดนศักดินาที่เป็นพลังเก่าและหล้าหลังทำการขัดขวางการเปลี่ยน
แปลงมาตลอดและ สนับสนุนให้พวกทหารฝ่ายขวายึดอำนาจกลับคืนในวันที่ ๘
พฤษภาคม พศ.๒๔๙๐
จน
กระทั่งบัดนี้มีรัฐบาลที่ปกครองประเทศมาแล้วหลายยุคหลายสมัยแต่ประชาชนชาว
ไทยก็หาได้มีประชาธิปไตยไม่ เป็นเวลากว่า ๖๐
ปีแห่งความขัดแย้งในทางสังคมไทยระหว่างพลังเก่าซากเดนศักดินาหล้าหลัง
ที่เคยสูญเสียอำนาจไปเมื่อ ๖๐ ปีก่อนได้ฟื้นฟูอำนาจกลับคืนมาอีก
ผูกขาดอำนาจทางการเมือง การเศรษฐกิจ วัฒนธรรม
ร่วมกับพวกนายทุนต่างชาติครอบครองปัจจัยการผลิตของสังคมไทยไว้ในมือ
กับอีกฝ่ายหนึ่งที่เป็นกำลังการผลิตส่วนมากของสังคมได้แก่ ชาวไร่ ชาวนา
กรรมกร พ่อค้าแม่ค้าผู้ผลิตรายย่อยต่างๆ รวมทั้งข้าราชการ ทหาร ตำรวจ
ชั้นผู้น้อย
กำลังได้รับการกดขี่ขูดรีดแรงงานอย่างหนักจากกลุ่มพวกนายทุนผูกขาด
ความขัดแย้งของสังคมไทย
ปัญหา
เรื่องความขัดแย้งนี้ผู้เขียนจะขอวิจัยตามหลักของวัตถุนิยมประวัติศาสตร์โดย
แยกความขัดแย้งออกเป็นสองประเด็น
ประเด็นแรกคือผู้กุมปัจจัยการผลิตและประเด็นที่สองได้แก่กำลังการผลิต
หลัง
จากการรัฐประหาร ๘ พฤษภาคม
๒๔๙๐เป็นต้นมาความขัดแย้งในสังคมไทยได้ดำรงคงอยู่มาจนถึงเวลาปัจจุบัน
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ ของคณะราษฎร
ถึงแม้ว่าจะยึดอำนาจรัฐได้แต่สถาบันอื่นๆที่เป็นโครงสร้างส่วนบนของสังคม
เก่ายังเหลืออยู่โดยมิได้เปลี่ยนแปลง เช่น สถาบันทหาร ตำรวจ ศาล ศาสนา
โดยเฉพาะสถาบันกษัตริย์
ที่เป็นพลังเก่าของสังคมยังมีทัศนะหลงเหลือมาจากสังคมเก่าในระบบทาส
บุคคลที่เป็นตัวแทนของพลังเก่าจากสถาบันเหล่านี้เคยสูญเสียอำนาจ
เมื่อมีโอกาสก็สนับสนุนให้พวกทหารฝ่ายขวายึดอำนาจกลับคืนมา
เพื่อให้คุ้มครองสถาบันและรักษาผลประโยชน์ให้แก่กลุ่มของพวกตน
จึงเป็นสาเหตุให้พวกชนชั้นศักดินาเก่าฟื้นฟูอำนาจกลับคืนมาอีก
และกลายมาเป็นนายทุนผูกขาดร่วมกับพวกนายทุนต่างชาติผูกขาดอำนาจทาง การเมือง
การเศรษฐกิจ สังคม และ วัฒนธรรมไทย อยู่จนถึงปัจจุบัน
สมัย
ที่พวกชนชั้นศักดินาเรืองอำนาจ
พวกเจ้าศักดินาได้ปล่อยให้พวกพ่อค้าที่เป็นคนต่างชาติเชื้อสายจีนเข้ามาทำ
การค้าขาย เป็นนายหน้าผูกขาดการขนส่งสินค้าต่างๆ
โดยส่งให้พวกศักดินาส่วนหนึ่งและส่งไปขายยังต่างประเทศ
ในระยะหลังๆพวกพ่อค้าต่างชาติเหล่านี้ได้กลายมาเป็นนายทุนผูกขาดเศรษฐกิจของ
ชาติ เป็นเจ้าของธุรกิจการค้า
การธนาคารและการอุตสาหกรรมในสาขาต่างๆของสังคม
ต่อมากลุ่มนายทุนผูกขาดเหล่านี้ก็ได้เข้าไปมีส่วนบริหารกิจการของรัฐและได้
อาศัยอำนาจรัฐคุ้มครองผลประโยชน์ให้แก่กลุ่มของพวกตน
จาก
งานวิจัยของ เกริกเกียรติ พิพัฒน์เสรีธรรม ในหัวข้อเกี่ยวกับ
“การวิเคราะห์ลักษณะการเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ในประเทศไทย “ เมื่อปี
๒๕๒๕ หน้า ๓๒๕-
๓๔๖
แสดงให้เห็นถึงกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่และขนาดกลางที่ครอบครองเศรษฐกิจของชาติมี
ประมาณ ๑๐๐ กลุ่มซึ่งมียอดทรัพย์สินรวมกันประมาณ ห้าแสนล้านบาท
กลุ่มธุรกิจที่มีทรัพย์สินมากอันดับหนึ่งคือตั้งแต่หนึ่งหมื่นล้านขึ้นไปมี
ประมาณ ๗
กลุ่มในจำนวนนั้นเป็นของพวกนายทุนต่างชาติเชื้อสายจีนมาอันดับหนึ่ง
รองลงมาได้แก่กลุ่มศักดินานายทุน โดยเฉพาะกษัตริย์วชิราลงกรณ์เองมีทรัพย์สินมูลค่าถึง $ 53 Billionจากการประเมินของ Flobsในปี พ.ศ 2562 (ดูจากกลุ่มทุนในเวลาปัจจุบัน)
การ
ที่จะพิจารณาว่าสังคมหนึ่งสังคมใดเป็นสังคมอะไรนั้น
จะต้องดูที่ความสัมพันธ์การผลิตหรือรูปแบบการผลิตของสังคมนั้นว่าปัจจัยการ
ผลิตของสังคมนั้นอยุ่ในมือของชนชั้นไหน
ถ้าปัจจัยการผลิตอยู่ในมือของชนชั้นนายทุนที่เป็นชนกลุ่มน้อยของสังคม
สังคมนั้นก็เรียกว่าสังคมทุนนิยม
จากหลักทฤษฎีดังกล่าวตามข้อมูลของเกริกเกียรติจะเห็นได้ว่าประเทศไทยมีกลุ่ม
นายทุนผูกขาดประมาณ ๑๐๐ กลุ่ม (รวมกับกษัตริย์วชิราลงกรณ์ และกลุ่มทุนในเวลาปัจจุบันอีก 10 ตระกูล ) ที่กุมปัจจัยการผลิตของสังคม
เป็นเจ้าของธนาคาร เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมและธุรกิจการค้า
ซึ่งพวกนายทุนเหล่านี้สามารถกำหนดความเป็นอยู่ของคนในสังคม
กลุ่ม
นายทุนผูกขาดเหล่านี้นอกจากจะเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตแล้วยังมีกรรมสิทธิ์
ในการจัดสรรและแบ่งปันแรงงาน เช่น การบริหารจัดการ
การกำหนดค่าจ้างแรงงาน เป็นต้น
อีกอย่างคือกรรมสิทธิ์ในการแบ่งปันผลกำไรจากผลิตผลสินค้าต่างๆที่กรรมกร
ชาวไร่ ชาวนา ผู้ใช้แรงงานเป็นผู้ผลิต
สำหรับ
กรรมกรผู้ใช้แรงงานทั้งหลายที่เป็นผู้ผลิตให้แก่พวกนายทุนต่างๆเหล่านั้น
ฝ่ายกรรมกรเองจะได้รับเพียงแต่ค่าจ้างในการขายแรงงานที่พอประทังชีวิตไปวันๆ
เท่านั้น
ในระบอบทุนนิยมนายทุนจะจ้างค่าแรงงานต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อจะเอาผล
กำไรจากมูลค่าส่วนเกินจากแรงงานของกรรมกรให้มากที่สุด
ดังนั้นผลกำไรที่นายทุนทั้งหลายแบ่งปันกันแต่ละปี
คือผลกำไรที่สะสมมาจากมูลค่าแรงงานของกรรมกรที่ผลิตเป็นส่วนเกินให้แก่พวก
นายทุนแต่ละปี
เพราะลำพังเงินเดือนหรือรายได้ของกรรมกรแต่ละเดือนทีได้รับมาจะใช้เวลาผลิต
เพียงหนึ่งหรือสองอาทิตย์ก็จะคุ้มและเหลือเฟือ
ส่วนที่เหลือจึงเป็นการผลิตให้แก่นายทุน
ดังนั้นความร่ำรวยต่างๆของนายทุนผูกขาดเหล่านั้นคือความร่ำรวยที่สะสมมาจาก
การขูดรีดมูลค่าส่วนเกินของกรรมกร
ฉนั้น
ระบอบทุนนิยมจึงเป็นระบอบที่กดขี่ขูดรีดของพวกชนชั้นนายทุนกลุ่มน้อยที่
อาศัยอยู่บนแรงงานของชนส่วนมากของสังคม นายทุนไม่ได้ทำการผลิตให้แก่สังคม
แต่จะคอยสูบกินเลือดจากแรงงานของสังคม
ชนกลุ่มนี้จึงเป็นเสมือนกับพวกกาฝากของสังคม
ตาม
หลักทฤษฎีของวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ถือว่ารูปแบบการผลิตคือพื้นฐานชั้นล่าง
ของสังคม ในเมืองไทยรูปแบบการผลิตเป็นรูปแบบทุนนิยมผูกขาด
ฉนั้นพื้นฐานชั้นล่างของสังคมคือทุนนิยมผูกขาด
เมื่อพื้นฐานชั้นล่างเป็นทุนนิยมผูกขาดโครงสร้างส่วนบนของสังคมก็ต้องสร้าง
ขึ้นเพื่อให้เหมาะสมกับพื้นฐานชั้นล่างตามหลักปรัชญาที่ว่า “
รูปแบบจะต้องให้เหมาะสมกับเนื้อหา “
โครง
สร้างส่วนบนของสังคมได้แก่ รัฐ กฏหมาย ศาสนา ทหาร ตำรวจ การ เมือง
อุดมการณ์ ศิลปและวัฒนธรรม เป็นต้น
ย่อมสร้างขึ้นให้เหมาะสมกับเนื้อหาที่เป็นพื้นฐานชั้นล่างของสังคมเพื่อปก
ป้องพื้นฐานชั้นล่างที่เป็นระบบเศรษฐกิจของพวกนายทุน
ดังนั้นรัฐบาลชุดต่างๆที่ขึ้นมาบริหารประเทศที่เป็นตัวแทนของรัฐก็คือรัฐบาล
ของพวกนายทุนผูกขาด เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้แก่พวกนายทุน
อำนาจ
รัฐก็คือเครื่องมือของพวกนายทุนเพื่อใช้ในการกดขี่ขูดรีด
ข่มเหงรังแกชนชั้นผู้ใช้แรงงาน และประชาชนทั่วไป
ไม่ว่ารัฐบาลเหล่านั้นจะมาในรูปแบบของทหารหรือรูปแบบของพลเรือนก็คือรัฐบาล
ที่รักษาผลประโยชน์ให้แก่พวกนายทุน ในระบอบทุนนิยมทุกอย่างคือสินค้า
พวกนายทุนจะขายได้ทุกอย่างตั้งแต่คุณธรรม อุดมการณ์
ไปจนกระทั่งถึงชาติและประชาชน การผลิตสินค้าในระบอบทุนนิยมก็เพื่อหากำไร
เมื่อต้องการกำไรมากก็ต้องขูดรีดแรงงานมาก
ยิ่งขุดรีดมากผู้ขายแรงงานก็เดือดร้อนมาก
เมื่อประชาชนเดือดร้อนก็ต้องดิ้นรนหาทางลุกขึ้นต่อสู้เพราะ
ที่ไหนมีการกดขี่ที่นั่นย่อมมีการต่อสู้
เมื่อมีการกดขี่ขูดรีดมากขึ้นการต่อสู้ก็จะทวีความรุนแรงมากขึ้นความขัดแย้ง
ภายในสังคมก็จะรุนแรงมากขึ้น
ความ
ขัดแย้งนี้จึงเป็นความขัดแย้งหลัก ของชนชั้นสองฝ่ายในสังคม
คือความขัดแย้งระหว่างนายทุนผูกขาด
กับชนชั้นผู้ใช้แรงงานซึ่งเป็นความขัดแย้งของสองสิ่งที่อยุ่ตรงข้ามกัน
ตราบใดที่ระบอบทุนนิยมผูกขาดยังดำรงคงอยู่
ตราบนั้นความขัดแย้งนี้ก็จะดำเนินต่อไป
ผู้
ที่จะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งนี้ได้
ไม่ใช่พวกรัฐบาลที่เป็นตัวแทนของพวกนายทุนผูกขาด
แต่เป็นภาระกิจและหน้าที่โดยตรงของชนชั้นผู้ใช้แรงงานทั้งหลายในสังคม
เป็นหน้าที่และสิทธิอันชอบธรรมตามธรรมชาติของมนุษย์
เมื่อใดที่พลังของผู้ใช้แรงงานและพลังของ ปัญญาชน นักศึกษา ข้าราชการ ทหาร
ตำรวจ ที่มีหัวก้าวหน้า
และผู้รักชาติรักประชาธิปไตยทั้งหลายซึ่งเป็นพลังส่วนใหญ่ของสังคมรวมกันได้
ก็จะกลายเป็นพลังทางวัตถุที่แข็งแกร่ง
เมื่อนั้นก็จะสามารถโค่นล้มระบอบเผด็จการเก่าทุนนิยมผูกขาด ( ซึ่งกลายมาเป็นระบอบกษัตริย์เผด็จการในเวลานี้ ) ที่หล้าหลังลง
ได้
แล้วมวลชนที่เป็นพลังส่วนใหญ่ของสังคมก็จะสามารถมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์
มีสิทธิเสรีภาพ มีความเสมอภาค ความยุติธรรมในสังคมก็จะเกิดขึ้น
ประชาชนจะสามารถเลือกรัฐบาลของตนเองขึ้นมาปกครองประเทศ ตามระบอบประชาธิปไตย
สังคมใหม่ที่สูงกว่าก็จะเกิดขึ้นคือสังคมระบอบประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ของปวง
ชน.
(หมายเหตุ :-
บทความนี้ผู้เขียนได้เขียนขึ้นเมื่อประมาณเกือบ๔๐ปี มาแล้ว
ซึ่งผู้เขียนคิดว่าบทความนี้ก็ยังเหมาะสมกับสภาพเหตุการณ์ปัจจุบัน
เพื่อให้ท่านผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลายได้อ่านเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบจากอดีดจนถึงปัจจุบันสภาพการก็ยังเหมือนเดิม.)
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar