fredag 16 augusti 2019

สยาม ราชอาณาจักรใต้ดิน

  วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๔๘๘ วันสันติภาพไทย  รำลึกวันสันติภาพไทยพ้นสถานะประเทศผู้แพ้สงครามในสงครามโลกครั้งที่ ๒  ประวัติศาสตร์และความเป็นมาท่านจะหาอ่านได้จากบทความข้างล่างนี้ ....

 
ปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการและหัวหน้าขบวนการเสรีไทยขณะประกาศแถลงสันติภาพ

 

สยาม ราชอาณาจักรใต้ดิน

                                  สยาม ราชอาณาจักรใต้ดิน
โดย  ปรีดี พนมยงค์  ( หลวงประดิษฐมนูธรรม )  รัฐบุรุษอาวุโส  อดีตผู้สำเร็จราชการในรัชกาลที่ ๘ และ อดีตนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย
จากหนังสือ  ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้า  และ ๒๑ ปีที่ลี้ภัยในสาธารณรัฐราษฎรจีน. ( เอกสารประวัติศาสตร์  ต้นฉบับเดิมเขียนเป็นภาษาฝรั่งเศสซื่อ MA VIE  MOUVEMENTÈE ET MES 21 ANS D´ EXIL EN CHINE POPULAIRE  แปลโดย  จำนงค์  ภควรวุฒิ  พรทิพย์  โตใหญ่ )
-๑-       เมื่อญี่ปุ่นโจมตีอ่าวเพีร์ลฮาเบอร์ในวันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔  และได้ยื่นคำขาดต่อรัฐบาลสยามเพื่อนำทัพญี่ปุ่นผ่านดินแดนสยามในการที่จะไป โจมตีพะม่าและมลายู  ซึ่งอยู่ในปกครองของอังกฤษ  ข้าพเจ้าทราบดีว่า  นี่เป็นการเข้ายึดครองสยามนั่นเอง  การกระทำเช่นนี้ของญี่ปุ่นขัดกับอุดมคติของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติของ ข้าพเจ้า  ในระหว่างที่มีการประชุมคณะรัฐมนตรี  ได้มีการประชุมหารือ  เกี่ยวกับข้อเรียกร้องของญี่ปุ่นในการเดินทัพผ่านดินแดนสยาม  ข้าพเจ้าได้พยายามผลักดันให้รัฐบาลดำเนินนโยบายที่เราได้แถลงไว้หลายครั้ง หลายหนในอดีต  กล่าวคือ  เราจะต่อต้านการรุกรานของกองทัพทหารต่างชาติไม่ว่าชาติใด  เพื่อพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งเอกราชและอธิปไตยของชาติ  นอกจากนี้  ข้าพเจ้าพิจารณาเห็นว่า  จะเป็นการต่อสู้เพื่อเหตุผลอันชอบธรรม   เพราะนี่เป็นการต่อต้านการรุกรานของต่างชาติ  ขณะที่ข้าพเจ้าแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีนี้  นายกรัฐมนตรี  จอมพลป. พิบูลสงครามก็ขัดจังหวะ  และห้ามข้าพเจ้าพูดต่อ  มีรัฐมนตรีบางคนที่เห็นว่า  เพียงอนุญาตให้กองทหารญี่ปุ่นเดินทัพผ่านประเทศสยามนั้นยังไม่พอ  หากยังคิดอีกว่า  ประเทศสยามน่าจะเข้าเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น  เพื่อจะได้ดินแดนที่สูญเสียให้อังกฤษและฝรั่งเศสไปกลับคืนมา   แต่ผลที่สุดความเห็นของข้าพเจ้าก็จัดอยู่ในกลุ่มเสียงข้างน้อย
            การที่ข้าพเจ้าคัดค้านการยินยอมของรัฐบาลจอมพลป. พิบูลสงครามนั้นทำให้ญี่ปุ่นโกรธแค้นข้าพเจ้ามาก   และได้บีบบังคับให้นายกรัฐมนตรีย้ายข้าพเจ้าออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลังไปรับตำแหน่งอื่นที่สูงขึ้น   แต่ต้องไม่ใช่ตำแหน่งที่มีอำนาจบริหารราชการ  ข้าพเจ้าจึงได้ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี   และสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเอกฉันท์ให้ข้าพเจ้าดำรงตำแหน่งในคณะผู้สำเร็จ ราชการแทนพระองค์ที่ว่างอยู่ ๑ ตำแหน่ง  ต่อมาภายหลังข้าพเจ้าได้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แต่เพียงผู้เดียว  แม้ว่าข้าพเจ้าจะรู้สึกว่าถูกบังคับก็ตาม  ข้าพเจ้าก็ยอม  เพราะคิดว่าตำแหน่งใหม่นี้จะทำให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสจัดตั้งองค์การต่อต้าน ญี่ปุ่น  ซึ่งต่อมารู้จักกันในนาม  “ ขบวนการเสรีไทย “
นอก จากกลุ่มคนไทยผู้รักชาติที่อยู่ในประเทศแล้ว  นักเรียนไทยในต่างประเทศ  เช่น  ในอังกฤษและสหรัฐอเมริกาได้รวมตัวกันจัดตั้ง  “ ขบวนการเสรีไทย “  โดยได้เข้าร่วมกับขบวนการที่เราจัดตั้งขึ้นภายในประเทศ  กลายเป็นขบวนการเดียวกัน  โดยมีข้าพเจ้าเป็นหัวหน้า
          ในระหว่างที่ญี่ปุ่นยึดครองประเทศไทยในเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ นั้น  มีผู้สนับสนุนและเข้าร่วมเป็นแนวหน้าของขบวนการเสรีไทยจำนวนประมาณ  ๘๐,๐๐๐ คน  และอีก ๕๐๐,๐๐๐ คนพร้อมที่จะเข้าร่วมเมื่อคราวจำเป็น 
-๒-        กองทหารญี่ปุ่นได้ชัยชนะในมลายูในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน  และรุกรานคืบหน้ารวดเร็วถึงประเทศพม่า  นับเป็นการคุกคามทั่วทั้งเอเชียอาคเนย์ รัฐบาลไทยสมัยจอมพลป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีประกาศสงครามต่อสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา  โดยหวังว่าอาจจะได้ดินแดนบางส่วนที่สยามเคยสูญเสียไปและที่ญี่ปุ่นเข้าไปยึด ครองนั้นกลับคืนมา  นอกจากนี้  รัฐบาลไทยยังได้แสดงท่าทีเป็นศัตรูต่อประเทศจีนด้วย  การประกาศสงครามนั้น  ถือว่าไม่ถูกต้องตามกฏหมาย  เพราะไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร  และข้าพเจ้า ซึ่งอยู่ในคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็ไม่ได้ลงนาม  ถึงกระนั้นฝ่ายสัมพันธมิตรบางประเทศถือว่า  ประเทศไทยเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น  เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นฝ่ายชนะสงคราม เจ้า หน้าที่หลายคนที่ฝ่ายรัฐบาลสัมพันธมิตรส่งเข้ามาในประเทศสยามอย่างลับๆ  เพื่อมาเป็นที่ปรึกษาในการทำสงครามพลพรรค  และเป็นเจ้าหน้าที่ประสานงานฝ่ายสัมพันธมิตรนั้น เรียกขบวนการของเราว่า  “ สยาม  ราชอานาจักรใต้ดิน “ 
-๓-         ขบวนการของเราได้กำหนดภารกิจที่จะต้องปฏิบัติ ๒ ด้านประกอบกันคือ  ด้านหนึ่งต่อสู้ญี่ปุ่นผู้รุกราน  และอีกด้านหนึ่ง  เจรจากับฝ่ายสัมพันธมิตร  เพื่อให้สัมพันธมิตรเห็นว่า  การประกาศสงครามของจอมพลป. พิบูลสงคราม  ไม่ถูกต้องตามกฏหมาย  เพื่อให้สัมพันธมิตรรับรองขบวนการของเรา  และรัฐบาลพลัดถิ่นที่เราคิดจะตั้งขึ้น  ตลอดจนยอมรับว่าเป็นพันธมิตรด้วย  ดังเช่นที่พวกเขาได้รับรอง  COMITE  FRANCAIS  DE  LIBERATION  NATIONALE    นำ โดยนายพล เดอโกลล์  ด้วยเหตุนี้เราจึงได้ส่งทูตพิเศษเพื่อไปเจรจาเรื่องนี้ อย่างลับๆ  เราได้มอบให้สถานเอกอัครราชทูตสยามที่ประจำอยู่ที่กรุงสต็อกโฮล์ม  ซึ่งได้ร่วมขบวนการด้วยเป็นผู้ติดต่อกับสถานเอกอัครราชทูตโซเวียตที่ประจำ อยู่ที่กรุงสต็อกโฮล์มเช่นกัน การ เจรจาครั้งนี้เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความระมัดระวัง  ความรอบคอบและเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง  เพราะประเทศอังกฤษถือว่าการประกาศสงครามของจอมพลป. พิบูลสงครามนั้นมีผลสมบูรณ์ในขณะที่ประเทศสัมพันธมิตรอื่น  (  สหรัฐอเมริกา  สหภาพโซเวียต  รัฐบาลผลัดถิ่นของฝรั่งเศส ) ต่างก็มีท่าทีเฉพาะของตน  แต่ในแง่ของการทหารนั้น  บทความหลายชิ้น  และหนังสือหลายเล่มที่ตีพิมพ์ในสหราชอานาจักร  และสหรัฐอเมริกาเป็นพยานหลักฐานอย่างหนึ่งที่แสดงถึงความช่วยเหลือ  และความร่วมมือของเรานานัปการ  อันเป็นส่วนหนึ่งที่นำไปสู่ชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตร  ข้าพเจ้าขอนำคำเปิดเผยของลอร์ดหลุยส์  เมานท์แบทเตน  ที่ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์  ไทมส์  ฉบับวันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ มากล่าวอ้างไว้ดังนี้  หนังสือพิมพ์ไทมส์   ๑๘/๑๒/๑๙๔๖ “  อาคันตุกะผู้หนึ่งจากสยาม  การรณรงค์ของหลวงประดิษฐฯ คำเปิดเผยของลอร์ด  เมานท์แบทเตน “ 
“   ลอร์ด  เมานท์แบทเตน  แห่งพม่า  ผู้ซึ่งไม่นานมานี้  เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรภาคเอเชียอาคเนย์  ได้รับการต้อนรับเลี้ยงอาหารกลางวันโดยชิตี้  ลิเวอรี่ คลับ ณ ไซออน คอลเลจ  เมื่อวานนี้ได้บรรยายไว้ในสุนทรพจน์ของท่านถึงบทบาทอันยิ่งใหญ่ของหลวง ประดิษฐ์ฯ  รัฐบุรุษอาวุโสแห่งสยาม  ในการกำจัดกองทัพญี่ปุ่นซึ่งยึดครองประเทศนั้น  ท่านลอร์ดได้สาธยายเกี่ยวกับรายละเอียดซึ่งหนังสือพิมพ์ไทมส์ได้เคยลงพิมพ์ ในฉบับประจำวันที่ ๒๒ ธันวาคม คือประมาณ หนึ่งปีมาแล้ว  และได้ประกาศแถลงว่า  หลวงประดิษฐฯ บุคคลผู้มีบทบาทที่น่าตื่นเต้นคนหนึ่งแห่งสงครามในเอเชียอาคเนย์นั้นกำหนดจะ มาถึงประเทศอังกฤษโดยเรือเดินสมุทร  ควีน  เอลิซาเบท  พรุ่งนี้เช้า
ลอร์ด เมานท์แบทเตน  กล่าวว่า ปรีดี พนมยงค์  รัฐบุรุษอาวุโสแห่งสยาม  ซึ่งรู้จักกันทั่วโลกในนามหลวงประดิษฐ์ฯ “   และพวกเราหลายคนแห่งกองบัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรภาคเอเชียอาคเนย์  รู้จักเขาตามชื่อระหัสว่า “ รู้ธ “ เขามาเยี่ยมประเทศนี้ ( อังกฤษ )  และข้าพเจ้าหวังว่าเราจะใช้โอกาศนี้ให้การรับรองเขาอย่างอบอุ่น  เพราะเหตุที่หลวงประดิษฐ์ฯเป็นบุรุษผู้มีบทบาทอันน่าตื่นเต้นคนหนึ่งแห่ง สงครามในเอเชียอาคเนย์  เป็นที่ทราบกันว่าในระหว่างสงครามนั้นไม่มีการกล่าวถึงชื่อของเขาอย่างเปิด เผยและเรื่องราวทั้งปวงเกี่ยวกับเขาก็ถูกถือว่าเป็น  “ ความลับสุดยอด” แม้ กระทั่งทุกวันนี้  คนอังกฤษส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยทราบกันเท่าไรนักถึงพฤติกรรมอันอาจหาญที่เขากระทำ สำเร็จมาแล้ว   ขณะญี่ปุ่นรุกรานสยามหลวงประดิษฐฯ เป็นรัฐมนตรีคนหนึ่งในรัฐบาล  แต่เขาปฏิเสธที่จะลงนามในการประกาศสงครามต่อเรา  หลวงพิบูลฯ “ ควิสลิง “ ( QUISLING คือ นายกรัฐมนตรี นอร์เวย์สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งเข้าร่วมกับฝ่ายนาซี- หมายเหตุผู้เรียบเรียง ) รู้ว่าเขา ( หลวงประดิษฐ์ฯ )  เป็นคนหนึ่งที่ทรงอำนาจและได้รับความนิยมอย่างยิ่งในประเทศ  และก็หวังที่จะทำให้เขาเป็นหุ่นเชิดโดยให้เขาขึ้นไปเป็นคนหนึ่งในคณะผู้ สำเร็จราชการแทนพระองค์  ซึ่งหลวงประดิษฐ์ฯ ยอมรับตำแหน่งนี้  หลวงพิบูลฯหรือญี่ปุ่นมิได้ตระหนักแม้แต่น้อยว่า  ขณะที่หลวงประดิษฐ์ฯ ยอมรับตำแหน่งหน้าที่นั้น  เขาก็ได้เริ่มต้นดำเนินการจัดตั้งและอำนวยการขบวนการต่อต้านของชาวสยามขึ้น"
" คณะผู้แทนหายสาบสูญไป  “ 
"เรา ได้รับรู้จากแหล่งต่างๆว่า หลวงพิบูลฯ มิได้ประสบผลทุกๆอย่างตามวิถีทางของเขาในประเทศสยามแต่การจะติดต่อ  ( กับขบวนการต่อต้านภายในสยาม )นั้น ก็ลำบากมากและทั้งนี้ก็เป็นการยากที่จะล่วงรู้ได้ด้วยว่า อะไรเกิดขึ้นกันแน่คณะผู้แทนของหลวงประดิษฐฯ ๒ คณะได้หายสาปสูญไประหว่างการเดินทางไปยังประเทศจีน  ซึ่งเต็มไปด้วยภยันตราย  แต่ในที่สุด ก็ได้มีการพบปะกันระหว่างสัมพันธมิตรและขบวนการเสรีไทย  เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงระยะเดียวกันกับที่ข้าพเจ้าได้รับการแต่ง ตั้งให้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตร  นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เราก็ได้ติดต่อกันเป็นประจำ  การติดต่อทั้งนี้นับได้ว่า เป็นความสัมพันธ์พิเศษยิ่งอย่างหนึ่ง  เพราะผู้บัญชาการทหารสูงสุดของสัมพันธมิตรได้แลกเปลี่ยนแผนการทหารที่สำคัญๆ กับประมุขแห่งรัฐ  ซึ่งโดยทางเทคนิคแล้วถือว่าอยู่ในสถานะสงครามกับเรา   “  เราจะเห็นได้ว่าหลวงประดิษฐ์ฯ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี  และเขากล้าหาญที่สามารถจัดการให้มีการล้มรัฐบาลของหลวงพิบูลฯได้สำเร็จในปี พ.ศ. ๒๔๘๗  โดยจัดให้มีรัฐบาลใหม่ขึ้น  ซึ่งเป็นรัฐบาลที่เขาแต่งตั้งเอง  และทำให้เขาสามารถดำเนินแผนการต่อต้านญี่ปุ่นได้ดีขึ้น
กอง กำลังเสรีไทยที่ได้รับการฝึกฝนในประเทศเราและได้ปฏิบัติการร่วมกันกับกอง กำลังบริติชที่ ๕ และกองกำลัง ที่ ๑๓๖  รวมทั้งกองกำลังอเมริกัน  O.S.S. นั้นบางส่วนได้กระโดดร่มเข้าไปร่วมงานของหลวงประดิษฐ์ฯ  บางคนถูกจับกุมคุมขังโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลหลวงพิบูลฯ  แต่ก็ถูกคุมขังพอเป็นพิธีเท่านั้น  เพราะพวกเขาก็พบปะกับหลวงประดิษฐ์ฯได้อย่างลับๆ  และได้ตั้งสถานีวิทยุติดต่อกับกองบัญชาการของข้าพเจ้า
ใน เดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๘๘ หลวงประดิษฐ์ฯได้ส่งบุคคลชั้นหัวหน้าสำคัญๆแห่งขบวนการต่อต้านนำโดยนายดิ เรก  ชัยนาม  รัฐมนตรีต่างประเทศสยามมาปรึกษาหารือกับข้าพเจ้าที่เมืองแคนดี  เราจัดให้คณะดังกล่าวออกมาและส่งกลับโดยเครื่องบินทะเล  หรือโดยเรือบิน ( ชนิดที่ต่อเป็นลำเรือไม่ใช่ทุ่น )  ในระหว่างสนทนา เราก็ได้วางแผนการที่เป็นรูปธรรมสำหรับการปฏิบัติการภายหน้า  เพื่อให้ประสานกับหลักสำคัญแห่งยุทธภูมิของข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าเองได้มีการตระเตรียมพร้อมเสมอเมื่อถึงความจำเป็นที่จะให้หลวง ประดิษฐ์ฯบินออกมาในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน  ตราบจนถึงตอนปลายสงคราม  เขาได้จัดตั้งกองกำลังเพื่อก่อวินาศกรรม  และจัดตั้งกำลังพลพรรคประมาณ ๖ หมื่นคน  กับทั้งการสนับสนุนอีกมากมายที่เตรียมพร้อมอย่างเงียบๆ  เพื่อที่จะร่วมปฏิบัติการ ซึ่งล้วนแต่อยู่ในบริเวณที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญๆในสยาม “  “ หลวงประดิษฐ์ฯ ( เขา ) ไม่เคยทำให้เราผิดหวัง “ 
“ ข้าพเจ้าเข้าใจดีทีเดียวถึงความยากลำบากที่เขาต้องควบคุมพลังนี้  แต่ข้าพเจ้าเองก็ต้องระลึกอยู่เสมอเช่นเดียวกันถึงภยันตรายอันใหญ่หลวงแห่ง การเคลื่อนไหวโดยที่ยังไม่ถึงเวลา  ซึ่งจะเป็นผลให้ญี่ปุ่นทำการตอบโต้ทำลาย  และจะทำให้แผนยุทธศาสตร์แห่งยุทธภูมิทั้งปวงของข้าพเจ้าเกิดผลกระทบปั่นป่วน วุ่นวาย  ความเครียดที่บังคับให้หลวงประดิษฐ์ฯต้องแบกรับไว้  และภยันตรายที่เขาต้องเผชิญตลอดเวลา ๓ ปี  นับว่าเป็นสิ่งที่น่าพรั่นพรึงอย่างยิ่ง  แต่ก็อาศัยความที่มีวินัยของเขาเองประกอบกับที่เขาได้ชักจูงให้บรรดาผู้ เชื่อถือเลื่อมใสในตัวเขาปฏิบัติตามนั่นเอง  ที่ทำให้ได้ประสบชัยชนะในที่สุด  เขาไม่เคยทำให้เราผิดหวังเลย
ข้าพเจ้า รู้ว่ามีบุคคลมากหลายที่เคยตกเป็นเชลยศึกในสยาม  ได้มีความสำนึกอันถูกต้องในแง่ที่มีความกตัญญูรู้คุณต่อความปราถนาดีของหลวง ประดิษฐ์ฯ  ซึ่งมีต่อเรา ดัง นั้นจึงขอให้เราให้เกียรติแก่บุคคลผู้นี้  ที่ได้มีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่ออุดมการณ์ของพันธมิตรและต่อประเทศของเขา เอง  ข้าพเจ้าทราบด้วยว่า เขาเป็นบุคคลที่ได้ส่งเสริมมิตรภาพระหว่างอังกฤษกับสยามอย่างแข็งขัน  การต่อต้านการกดขี่ของญี่ปุ่นในเอเชียอาคเนย์ดำเนินไปอย่างเกือบไม่ขาดสาย ทั้งนี้ก็เพราะ หลวงประดิษฐ์ฯ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งยวดในการนี้  ( เสียงตบมือแสดงความชื่นชมยินดีก้องขึ้นเป็นเวลายาวนาน )  "
-๔-         รัฐบาลสหรัฐอเมริกา  โดยประธานาธิบดีรูสเวลท์ไม่มีนโยบายที่จะทำให้ประเทศของเราเป็น “ อาณานิคม “ จะเห็นได้จากบันทึกที่จัดทำโดยกรมกิจการแปชิฟิคตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเตรียมเผื่อท่านประธานาธิบดีจะใช้ในการสนทนากับ มร. เชอร์ชิล และจอมพลสตาลิน  ที่นครยัลต้าในปี พ.ศ. ๒๔๘๘  บันทึกนี้กล่าวถึงสถานภาพภายหน้าของสยามที่ข้าพเจ้าขอยกข้อความตอนหนึ่งมา ดังนี้
“  เหตุการณ์ที่ชาวยุโรปบีบบังคับประเทศไทย  และการที่ชาวยุโรปได้ยึดเอาดินแดนแห่งเอเชียอาคเนย์ไปนั้นยังอยู่ในความทรง จำของชาวเอเชีย  รัฐบาลนี้ ( ส.ร.อ. ) ไม่อาจจะร่วมในการปฏิบัติต่อประเทศไทย ไม่ว่าในรูปแบบใด  เยี่ยงจักรวรรดินิยมสมัยก่อนสงครามได้ “ บันทึกนี้ยังกล่าวย้ำอีกว่า
“  เรามิได้ถือว่า  ประเทศไทยเป็นศัตรู   แต่เป็นประเทศที่ถูกยึดครองโดยศัตรู  เรารับรองเอกอัครราชทูตประเทศไทยในกรุงวอชิงตันเป็น “ อัครราชทูตแห่งประเทศไทย “  ฐานะเหมือนกันกับอัครราชทูตเดนมาร์ก  เราสนับสนุนให้มีประเทศไทยที่เป็นเอกราชและมีเสรีภาพ  พร้อมด้วยอธิปไตยที่ไม่ถูกบั่นทอน  และปกครองโดยรัฐบาลที่ชาวไทยเลือกเอง   ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งในเอเชียอาคเนย์  ซึ่งเป็นประเทศเอกราชอยู่ก่อนสงคราม  แม้ว่าเราจะมีส่วนสำคัญในการทำให้ญี่ปุ่นพ่ายแพ้  แต่ถ้าหากผลแห่งสงครามทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียดินแดนที่ตนมีอยู่ก่อน สงครามหรือเอกราชถูกบั่นทอนเราเชื่อว่า  ผลประโยชน์ของ ส.ร.อ. ทั่วตะวันออกไกลจะถูกกระทบกระเทือน ภาย ในประเทศไทยซึ่งเดิมยอมจำนนต่อญี่ปุ่นและต่อมาร่วมมือกับญี่ปุ่น   อันเป็นที่รู้กันอย่างกว้างขวางทั่วไปนั้น  ได้ถูกเปลี่ยนเป็นรัฐบาลใหม่ซึ่งส่วนใหญ่คุมโดยหลวงประดิษฐ์ฯ  ผู้สำเร็จราชการฯปัจจุบันที่ได้รับการนับถือที่สุดของบรรดาผู้นำไทย  และเป็นผู้ต่อต้านญี่ปุ่นมาตั้งแต่ต้น”
นอกจากนี้ นายคอร์ เดล ฮัลล์ ( Cordel  Hull )  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีจดหมายลงวันที่  ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๖  แจ้งไปยังรองผู้อำนวยการสำนักงานศูนย์ยุทธศาสตร์เกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาล อเมริกันที่มีต่อประเทศไทย  ดังความต่อไปนี้
“  สหรัฐอเมริกาถือว่า ไทยเป็นรัฐเอกราชที่บัดนี้ตกอยู่ภายใต้การยึดครองด้วยทหารญี่ปุ่น .... “  รัฐบาลอเมริกันหวังว่า จะสถาปนาเอกราชของประเทศไทยโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้  จากข่าวสารต่างๆที่ได้รับแสดงให้เห็นว่า  ในรัฐบาลไทยปัจจุบันก็ยังมีข้าราชการส่วนหนึ่งที่คัดค้านไม่เห็นด้วยกับการ ที่รัฐบาลไทยยอมจำนนต่อการกดดันของฝ่ายญี่ปุ่น  เป็นที่ทราบกันดีว่า  มีหลวงประดิษฐ์มนูธรรม ( หรือที่รู้จักกันในนาม นายปรีดี พนมยงค์ )  คนหนึ่งในคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ร่วมอยู่ด้วย  นอกจากนี้หลวงประดิษฐ์ฯ ยังมีส่วนสำคัญในขบวนการใต้ดิน  ซึ่งมีจุดเพื่อฟื้นสถานภาพของรัฐบาลไทยที่เคยเป็นอยู่ก่อนหน้าการรุกรานของ ญี่ปุ่น
ด้วย เหตุผลดังกล่าว  รัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกาจึงถือว่าหลวงประดิษฐ์ฯ เป็นตัวแทนแห่งการสืบต่อมาของรัฐบาลแห่งประเทศไทยตามที่เป็นอยู่ก่อนหน้าที่ นายกรัฐมนตรีไทยสมัยนั้น ( จอมพลป. พิบูลสงคราม )  จะไปเข้ากับฝ่ายญี่ปุ่นในตอนที่ญี่ปุ่นบุก  และยอมรับว่า ( หลวงประดิษฐ์ฯ )  เป็นผู้นำคนสำคัญในขบวนการเพื่อเอกราชของชาติไทย ด้วย เหตุนี้ โดยไม่เป็นการผูกมัด รัฐบาลสหรัฐอเมริกาในอนาคต  เราจึงถือว่า หลวงประดิษฐ์ฯ เป็นตัวแทนและผู้นำสำคัญคนหนึ่งของชาติไทย  ตราบใดที่ชาวไทยยังไม่ได้แสดงออกในทางตรงกันข้าม
คอร์เดล  ฮัลล์   "
-๕-      ส่วนท่าทีของสหราชอาณาจักรนั้น  แม้ว่าผู้นำทางทหาร ดังเช่นลอร์ด เมานท์แบทเตน  จะแสดงความชื่นชมต่อคุณูปการของเราที่มีต่อฝ่ายสัมพันธมิตร   ( ดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในตอนที่ ๓ )  ในเบื้องแรก  รัฐบาลสหราชอาณาจักร  ซึ่งประกอบด้วยนักการเมืองที่มีแนวโน้มนิยมชมชอบลัทธิจักรวรรดินิยมไม่ ยินยอมเจรจากับเราในทางการเมืองในส่วนที่เกี่ยวกับเอกราชของชาติไทยภายหลัง ที่ฝ่ายสัมพัธมิตรได้ชัยชนะ  ดังนั้นลอร์ดเมานท์แบทเตน  จึงได้รับคำสั่งอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลของตนให้เจรจากับผู้แทนฝ่ายเรา เพียงเฉพาะเรื่องกิจการทางทหารอย่างเดียวเท่านั้น  นักการเมืองชาวอังกฤษในยุคนั้นทราบดีทีเดียวว่า  การประกาศสงครามระหว่างสยามกับสหราชอาณาจักรนั้น ไม่ถูกต้องตามกฏหมาย  อย่างไรก็ตามอังกฤษถือว่า  ประเทศเราจะต้องชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามให้แก่อังกฤษ
 เมื่อ รัฐบาลอังกฤษมีท่าทีปฏิเสธการเจรจาทางการเมืองเช่นนี้  เราจึงได้หันมาใช้ความพยายามเจรจาในเรื่องนี้กับรัฐบาลอเมริกัน  ที่นำโดยประธานาธิบดีรูสเวลท์  ซึ่งมีท่าทีสนับสนุนสยาม  และพยายามเจรจากับรัฐบาลผสมของจีน   (ระหว่างจีนคณะชาติกับจีนคอมมิวนิสต์  )  โดยทางเราได้ส่งคณะผู้แทนไปเจรจาเรื่องเอกราชของชาติ
เรา ได้ขอให้สถานอัครราชทูตของเราที่กรุงสต็อกโฮล์มติดต่อกับสถานอัครราชทูตของ โซเวียตที่นั่นเช่นกัน  ให้ช่วยส่งบันทึกรายงานฉบับหนึ่งไปยังรัฐบาลโซเวียต  เพื่อสนับสนุนความต้องการอันชอบธรรมของเรารัฐบาลของประธานาธิบดีรูสเวลท์ได้ ให้ความช่วยเหลือแก่เราหลายครั้งหลายคราว  เพื่อที่จะทำให้อังกฤษเปลี่ยนใจ  หรืออย่างน้อยที่สุดให้อังกฤษมีท่าทีเดียวกับ ส.ร.อ.  ในการยอมรับว่าประเทศสยามมิได้เป็นศัตรู  แต่เป็นประเทศอยู่ภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่น
อย่าง ไรก็ตาม  ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ เราได้พิจารณาเห็นว่า  ถึงเวลาแล้วที่ขบวนการเสรีไทยจะต่อสู้การรุกรานของญี่ปุ่นอย่างเปิดเผย  แทนที่จะกระทำการอย่างลับๆ  แต่ก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติการ  เราได้ปรารถนาที่จะให้รัฐบาลอเมริกันและอังกฤษยืนหยัดต่อเราก่อนว่า  จะเคารพความเป็นเอกราชของประเทศสยามแม้ว่า  จอมพลป. พิบูลสงครามจะได้ประกาศสงครามกับประเทศทั้งสองโดยไม่ถูกต้อง  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้ส่งโทรเลขลับด่วนมาก ๒ ฉบับ  ซึ่งมีข้อความตรงกัน ฉบับหนึ่งถึงกระทรวงต่างประเทศ ส.ร.อ.  และอีกฉบับถึงลอร์ดเมานท์แบทเตน  
 ข้าพเจ้าขอยกข้อความในโทรเลขของข้าพเจ้า  ซึ่งทางกระทรวงต่างประเทศของ ส.ร.อ. ได้พิมพ์ภายหลังญี่ปุ่นยอมจำนนไปแล้ว ๒๕ ปี ดังนี้
 ๑)     บันทึกจัดทำโดยกระทรวงต่างประเทศ ส.ร.อ. เลขที่ ๓๔๐๐๐๑๑  p.w./ ๕๒๙๔๕  วอชิงตัน ๒๘ พฤษภา ๒๔๘๘
 สาส์ นถึงรัฐมนตรีต่างประเทศจากรู้ธ ( ปรีดี พนมยงค์ ) ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศส.ร.อ. ได้รับเมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๘  มีข้อความดังต่อไปนี้
 “  การต่อต้านเสรีไทยในการดำเนินกิจกรรมทั้งหลายนั้น  ได้ทำตามคำแนะนำของผู้แทนอเมริกันเสนอมาในการที่มิให้ปฏิบัติการใดๆต่อสู้ ญี่ปุ่นก่อนถึงเวลาอันควร  แต่ขณะนี้  ข้าพเจ้าเชื่อว่า  กำลังใจรบของญี่ปุ่นจะลดน้อยลงไป  ถ้าขบวนการเสรีไทยไม่คงอยู่ภายในฉากกำบังอีกต่อไป  ญี่ปุ่นจะถูกบีบให้ยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไขต่อสัมพันธมิตรเร็วขึ้น  เพราะการสลายตัวของสิ่งที่เรียกว่า  วงไพบูลย์ร่วมกัน  อย่างไรก็ตาม  เราได้ถือตามคำแนะนำว่าขบวนการเสรีไทยจะต้องพยายามขัดขวางความร่วมมือที่ ญี่ปุ่นจะได้จากประเทศไทย  เราได้ยึดถือนโยบายนี้อย่างเคร่งครัดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  แต่ท่านย่อมเห็นได้ว่า  ญี่ปุ่นนับวันยิ่งจะมีความสงสัยขบวนการเสรีไทยมากยิ่งขึ้น  เมื่อไม่นานมานี้รัฐบาลไทย  (รัฐบาลควง ฯ )  ไม่ยอมทำตามคำขอของญี่ปุ่นที่ขอเครดิตเพิ่มเติมอีก ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐  บาท  ข้าพเจ้าได้รับแจ้งจากรัฐบาลปัจจุบันว่า  จะอยู่ในตำแหน่งต่อไปไม่ได้  ถ้าหากญี่ปุ่นบีบบังคับให้ปฏิบัติตามคำขอดังกล่าว

 ถ้า ญี่ปุ่นยืนยันเช่นนั้น  รัฐบาลใหม่ก็จะตั้งขึ้นและปฏิการต่อสู้ญี่ปุ่น  โดยประการแรกประกาศโมฆะกรรม  ซึ่งหนี้สินและข้อตกลงซึ่งรัฐบาลพิบูล ฯกับญี่ปุ่นได้ทำกันไว้ตลอดทั้งสนธิสัญญาที่ผนวก ๔ รัฐมาลัย (มาเล  ผู้เรียบเรียง )และรัฐฉานไว้กับประเทศไทย  รวมทั้งการประกาศสงครามต่ออังกฤษและ ส.ร.อ. ด้วยพื้นฐานแห่งความสัมพันธ์ระหว่าง ๒ ชาตินี้กับประเทศไทยจะสถาปนาขึ้นดังที่เป็นอยู่ก่อนญี่ปุ่นบุกเพิร์ล ฮาร์เบอร์  ก่อนที่จะดำเนินแผนการนี้  ข้าพเจ้าปรารถนาแจ้งให้ท่านทราบถึงสถานการณ์ที่เป็นอยู่  แม้ว่าข้าพเจ้าตระหนักว่า  ส.ร.อ. มีเจตนาดีต่อเอกราชของประเทศไทย  และมีไมตรีจิตต่อราษฎรไทย  ข้าพเจ้าเชื่อว่าในวันที่เราลงมือปฏิบัติการนั้น ส.ร.อ.จะประกาศเคารพความเป็นเอกราชของประเทศไทย  และถือว่าประเทศไทยเป็นสมาชิกของสหประชาชาติและไม่ถือว่าประเทศไทยเป็น ประเทศศัตรู ทั้งนี้จะเป็นการส่งเสริมกำลังใจอย่างใหญ่หลวงต่อมวลราษฎรไทย ซึ่งเตรียมพร้อมแล้วในการเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง “

ข้าพเจ้าได้ส่งสาระในโทรเลขฉบับนี้ไปยังผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรเอเชียอาคเนย์ด้วยเช่นกัน
 ๒ )  วันที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๘  ข้าพเจ้าได้รับคำตอบจากผู้รักษาการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ส.ร.อ. มีความดังต่อไปนี้

“  ขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อสาส์นของท่านถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ  เราเข้าใจความปราถนาของท่านที่จะให้ประเทศไทยต่อสู้ศัตรูทางปฏิบัติการโดย เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  เราเชื่อแน่ว่าอย่างไรก็ตามท่านย่อมตระหนักว่า  การต่อสู้ศัตรูร่วมกันของเรานั้น  ต้องสมานกับยุทธศาสตร์ทั้งปวงในการต่อสู้กับญี่ปุ่น  และไม่เป็นผลดีถ้าไทยทำก่อนเวลาอันสมควร  และก่อนที่จะมีหลักประกันพอสมควรว่าจะได้ชัยชนะ  หรือถ้าลงมือปฏิการอย่างเปิดเผยโดยมิได้อยู่ในแผนยุทธศาสตร์ของผู้บัญชาการ ทหารสูงสุดสัมพันธมิตรภาคเอเชียอาคเนย์ เรา หวังว่า  ท่านจะใช้ความพยายามต่อไปที่จะป้องกันการกระทำก่อนถึงเวลาอันสมควร  โดยขบวนการเสรีไทย  หรือการปฏิบัติอันเร่งให้ญี่ปุ่นยึดอำนาจจากรัฐบาลไทย (รัฐบาลควง ฯ ) เรา เชื่อมั่นว่า  ท่านจะแจ้งให้เราและอังกฤษทราบถ้าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงกระทันหัน ทั้งๆที่ท่านพยายามยับยั้งไว้แล้วก็ตาม  ส.ร.อ. เข้าใจแจ่มแจ้ง  และเห็นคุณค่าในความปรารถนาจริงใจของท่านและมวลราษฎรไทยในการปฏิเสธการ ประกาศสงครามและข้อตกลงระหว่างญี่ปุ่นกับรัฐบาลพิบูลฯนั้น  แต่ยังไม่เข้าใจแจ้งชัดว่าเหตุใดรัฐบาลปัจจุบัน ( รัฐบาลควง ฯ ) จะลาออกขณะนี้  หรือจะมีการบีบบังคับอย่างใดอย่างหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลชุดต่อไปต้องเลือกเอา การปฏิเสธการประกาศสงครามและข้อตกลงกับญี่ปุ่นเป็นการกระทำในเบื้องแรก ย่อม จะเห็นได้ว่า  ขบวนการเสรีไทยจะบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ได้ดีกว่าเมื่อออกมาปฏิบัติการเปิด เผยแล้ว คือโดยจู่โจมการลำเลียงการคมนาคมกองกำลังยุทโธปกรณ์ของศัตรู  อย่างฉับพลันและอย่างมีการประสานงาน  รวมทั้งยึดตัวนายทหาร  พนักงาน เอกสาร  จุดสำคัญของศัตรู  แล้วการปฏิบัติทางการเมืองเพื่อปฏิเสธการประกาศสงครามและการเข้ามีฐานะเสมอ กันกับสัมพันธมิตรก็จะตามมาภายหลัง เรา ให้ความสำคัญต่อการมีรัฐบาลไทยที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญอย่างแท้จริงบนผืน แผ่นดินไทย  เพื่อที่จะทำการร่วมมือกับสัมพันธมิตร เราหวังว่า  การเตรียมทุกอย่างที่จะเป็นไปได้  จะต้องทำขึ้นในอันที่จะป้องกันการจับกุมหรือการแยกย้ายบุคคลสำคัญที่เป็น ฝ่ายสัมพันธมิตร  เพื่อว่ารัฐบาลดังกล่าวนั้นจะเข้ารับงานได้ทันทีในบริเวณที่ปลอดญี่ปุ่น  และสามารถสั่งการทางทหารให้กองทัพไทยปฏิบัติการร่วมมือกับสัมพันธมิตร  และสามารถรื้อฟื้นกลไกของรัฐบาลพลเรือนในบริเวณที่กู้อิสรภาพแล้ว ส.ร.อ. ไม่อาจประกาศโดยลำพังได้ว่าชาติอื่นชาติใดเป็นสมาชิกสหประชาชาติ  แต่จะมีความยินดีประกาศซ้ำอีกโดยเปิดเผยในโอกาศเหมาะสมถึงการเคารพความเป็น เอกราชของชาติไทย และประกาศว่า ส.ร.อ. ไม่เคยถือว่าประเทศไทยเป็นศัตรู เรารอคอยวันที่ประเทศของเราทั้งสองสามารถที่จะเปิดเผยต่อสาธารณชนถึงจุดหมายร่วมกันในการต่อสู้ศัตรูร่วมกัน"
(ลงนาม )  กรูว์   ( Grew )          รักษาการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ 
๓)    แม้ว่าลอร์ดเมาน์ทแบทเตน  ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด  จะรู้สึกเห็นใจในขบวนการของเรา  แต่ก็ตอบรับได้เฉพาะในแง่ของแผนการทางทหารเท่านั้นโดยขอให้ข้าพเจ้าป้องกันมิให้มีการกระทำการใดๆก่อนถึงเวลาอันสมควร  เมื่อ เราส่งนายดิเรก ชัยนาม  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้นไปที่ประเทศซีลอน  เพื่อเจรจากับลอร์ดเมาน์ทแบทเตน  บรรดาที่ปรึกษาทางการเมืองที่รัฐบาลอังกฤษส่งมาเจรจา ต่างก็ปฏิเสธที่จะยอมรับความเป็นเอกราชของสยาม
-๖-   สำหรับรัฐบาลจีนโดยการนำของจอมพลเจียงไคเช็ค  ซึ่งฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายคอมมิวนิสต์เองรับรองว่า  เป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฏหมายของประเทศจีนในระหว่างสงครามโลกครั้งที่  ๒ นั้น  ขบวนการเสรีไทยได้ส่งผู้แทนไปเจรจา ๓ ครั้ง เรื่องความเป็นเอกราชของสยาม  และขอให้คณะผู้แทนของขบวนการ ฯผ่านประเทศจีน เพื่อไปติดต่อกับประเทศสัมพันธมิตรอื่นๆได้ง่ายขึ้น รัฐบาล จีนได้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่จีน ซื่อ เหลียง ( เกิดในเมืองไทย ) เป็นผู้ดำเนินการเจรจากับคณะผู้แทนของขบวนการฯ  เจ้าหน้าที่ผู้นี้ทำงานในหน่วยสืบราชการลับของรัฐบาลจีนและเป็นที่ไว้วางใจ มาก  อันที่จริงแล้ว  เจ้าหน้าที่ผู้นี้สนับสนุนฝ่ายคอมมิวนิสต์และได้เปิดเผยรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับจุดประสงค์ของข้ารัฐการชั้นสูงของจีนที่มีต่อประเทศสยาม  ( ในปี พ.ศ. ๒๔๙๒ เจ้าหน้าที่ผู้นี้ได้เดินทางไปยังกรุงปักกิ่งเพื่อเข้าร่วมกับฝ่าย คอมมิวนิสต์ และเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือแก่ข้าพเจ้าในการเตรียมการเดินทางไปยังสาธารณรัฐ ราษฎรจีน )
รัฐบาล จีนไม่พอใจประเทศไทยมาก  พราะรัฐบาลจอมพลพิบูลฯ  ไม่เพียงแต่จะส่งกองทหารไปยึดพื้นที่บริเวณตลอดชายแดนจีน-พม่า  ที่ขึ้นกับอังกฤษเท่านั้น  แต่ยังรับรองรัฐบาลหุ่นของมานจูกั๊วะ  ที่ตั้งขึ้นภายใต้การบงการของญี่ปุ่นในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน  ( อดีตจักรพรรดิปูยี PU YI ) ซึ่งได้ถูกถอดจากราชบัลลังก์จีนโดยการอภิวัฒน์ชนชั้นเจ้าสมบัติในปีพ.ศ. ๒๔๕๔  ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นจักรพรรดิในรัฐใหม่แห่งนี้ ) นอกจากนี้จอมพลพิบูลฯยังรับรองรัฐบาลวังจิงไว ( Wang Jing-wei ) ว่าเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฏหมายของประเทศจีนด้วย รัฐบาล จีนได้ออกข่าวผ่านทางวิทยุกระจายเสียงและหนังสือพิมพ์ขู่ว่า  จะบุกเข้าประเทศไทยจับตัวจอมพลพิบูลฯและผู้สมรู้ร่วมคิดมาชำระคดีฐานเป็น อาชญากรสงคราม  การเจรจาของเรากับรัฐบาลจีนจึงลำบากมาก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องพยายามให้รัฐบาลจีนไม่ถือว่าประเทศสยามเป็นศัตรูและ เคารพความเป็นเอกราชของสยามภายหลังที่ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ชัยชนะ การ เดินทางของผู้แทนคนแรกของขบวนการฯ คือนายจำกัด พลางกูร  ไม่อาจผ่านประเทศจีน เพื่อไปยังประเทศสัมพันธมิตรได้เพราะติดขัดทางฝ่ายรัฐบาลจีนจึงทำให้เขาไม่ สามารถปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วงไปได้  การเดินทางครั้งนี้ประสบความลำบากมากมายนายจำกัดฯได้เสียชีวิตลงที่นครจุ งกิง  ผู้แทนคนที่ ๒ คือนายสงวน ตุลารักษ์  ได้รับความสะดวกขึ้นบ้างในการเดินทางไปอังกฤษและ ส.ร.อ.
คณะ ผู้แทนชุดที่ ๓  นำโดยนายถวิล อุดล  สามารถประสานการทำงานระหว่างขบวนการฯ ของเรากับรัฐบาลจีนได้จนสิ้นสงคราม ด้วยความพยายามของเราและด้วยความช่วยเหลือของรัฐบาลส.ร.อ.  โดยประธานาธิบดีรูสเวลท์  รัฐบาลจีนยอมถือนโยบายของรัฐบาลอเมริกันในการเคารพความเป็นเอกราชของสยามภาย หลังที่ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ชัยชนะอย่างไรก็ตาม  ก่อนที่จะมีการแต่งตั้งผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรภาคเอเชียอาคเนย์ใน ปี พ.ศ. ๒๔๘๖ นั้นจอมพลเจียงไคเช็คได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่าย สัมพันธมิตรเพื่อบัญชาการสู้รบในประเทศจีนและในอินโดจีน  หลังปีพ.ศ. ๒๔๘๖  เจียงไคเช็คจึงได้รับผิดชอบการสู้รบเฉพาะในประเทศจีนเท่านั้น แต่ เนื่องจากเส้นแบ่งเขตทางเหนือของเอเชียอาคเนย์ยังไม่แน่นอน  เจียงไคเช็คพยายามขอให้สัมพันธมิตรยอมให้เขตแดนสยามและอินโดจีนฝรั่งเศส (อินโดจีนของฝรั่งเศส ผู้เรียบเรียง ) เหนือเส้นขนานที่ ๑๖  อยู่ในเขตยุทธภูมิจีนที่เจียงไคเช็ครับผิดชอบอยู่  ข้าพเจ้าได้แสดงความวิตกกังวลในเรื่องนี้ต่อรัฐบาลอเมริกัน  เนื่องจากถ้าฝ่ายสัมพันธมิตรยินยอมตามเจียงไคเช็ค  กลุ่มชาวจีนโพ้นทะเลที่คลั่งชาติที่มีอยู่จำนวนมากในสยามย่อมฉวยโอกาสในขณะ ที่กองทัพจีนเข้ามาอยู่ในประเทศสยามก่อความวุ่นวายขึ้นหลังการยอมจำนน ญี่ปุ่นในปีพ.ศ. ๒๔๘๘  เจียงไคเช็คได้ขอความเห็นจากสัมพันธมิตรว่า  เขาจะส่งกองทัพเข้ามาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในเขตแดนสยามและอินโดจีนบริเวณ เหนือเส้นขนานที่ ๑๖ ได้หรือไม่  ข้าพเจ้าได้ส่งโทรเลขไปถึงรัฐบาลอเมริกันเพื่อชี้แจงว่า ขบวนการเสรีไทยพร้อมที่จะปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในดินแดนไทยเอง ประธานาธิบดี ทรูแมน  ซึ่งรับตำแหน่งสืบต่อจากรูสเวลท์ตระหนักดีถึงปัญหาชาวจีนโพ้นทะเลดังกล่าว  จึงแต่งตั้งให้ผู้บัญชาการทหารอเมริกันที่รับผิดชอบด้านญี่ปุ่นเป็นผู้ออกคำ สั่งให้กองกำลังทหารญี่ปุ่นในดินแดนสยามยอมจำนนต่อลอร์ดเมาน์ทแบทเตน  ผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรภาคเอเชียอาคเนย์
ส่วนเจียงไคเช็คนั้นได้รับภาระให้ส่งกองทัพเข้าไปปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นทางตอนเหนือของอินโดจีนของฝรั่งเศสเท่านั้น

-๗-      ภายหลังที่ญี่ปุ่นยอมจำนนในวันที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ แล้วข้าพเจ้าได้เปิดเผยขบวนการใต้ดิน และได้ประกาศฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในวันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ ว่า  การประกาศสงครามของจอมพลพิบูลฯ ต่อสหรัฐอเมริกาและบริเตนใหญ่  ตลอดจนการผนวกเอาดินแดนบางส่วนของพม่าและมลายูของอังกฤษในระหว่างสงครามนั้น เป็นโมฆะ  ข้าพเจ้าได้แถลงเช่นเดียวกันว่าให้ถือวันที่ ๑๖ สิงหาคมเป็น  “ วันสันติภาพ “  และจะมีการฉลองในวันนี้ของทุกปี  แต่รัฐบาลภายหลังรัฐประหาร  ๒๔๙๐ ได้ยกเลิก  “วันสันติภาพ “ นี้เสีย
รัฐบาล อเมริกันได้ส่งนักการทูตมาเพื่อสถาปนาฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศ สยามดังที่ได้ให้สัญญาไว้  รัฐบาลอเมริกันไม่มีเงื่อนไขใดๆ  นอกจากขอให้เราคืนเงินจำนวนหนึ่งให้กับบริษัทอเมริกัน  เพราะรัฐบาลจอมพลพิบูลฯ  และญี่ปุ่นได้ยึดทรัพย์สินของบริษัทนั้นไป  และขอให้จับตัวจอมพลพิบูลฯและผู้สมรู้ร่วมคิดฟ้องศาลเป็นอาชญากรสงคราม
ฝ่าย รัฐบาลอังกฤษเรียกร้องให้ส่งคณะผู้แทนไปพบลอร์ดเมาน์ทแบทเตนที่กองบัญชาการ ทหารในประเทศซีลอน  เพื่อเจรจากับผู้แทนฝ่ายรัฐบาลอังกฤษ  โดยให้สยามยอมรับเงื่อนไขในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตกับอังกฤษ
ใน ช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง  เราได้ตกลงให้กองทหารอังกฤษเข้ามาในประเทศไทยเพียงเพื่อปลดอาวุธทหารญี่ปุ่น เท่านั้นและให้ถอนกำลังทหารนี้ออกไปโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้คือในทันที ที่ปฏิบัติภารกิจในการปลดอาวุธเสร็จสิ้นแล้ว
ใน ระหว่างนั้นลอร์ดเมาน์ทแบทเตนและภรรยาได้เดินทางมากรุงเทพฯ ๒ ครั้ง  และได้พบปะกับข้าพเจ้า  ซึ่งได้กระชับมิตรภาพระหว่างเราให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น  ลอร์ดเมาน์ทแบทเตนในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรภาคเอเชียอาคเนย์ ได้จัดพิธีสวนสนามของกองทหารอาสาสมัครอังกฤษที่เดินทางมาประเทศไทย เพื่อปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นเฉพาะพระพักตร์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชการที่ ๘  เพื่อเป็นการแสดงความเคารพในความเป็นเอกราชของชาติไทยและองค์พระประมุข
ส่วน เงื่อนไขทางการเมืองของรัฐบาลอังกฤษยื่นข้อเรียกร้องมานั้น  เราพิจารณาแล้วเห็นว่า  เงื่อนไขดังกล่าวเท่ากับเป็นการยอมจำนนกลายๆนั่นเอง  แตกต่างกันแต่ในเรื่องวิธีการและคำพูดเท่านั้น  ดังนั้น เราจึงไม่ยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว  การเจรจากันในเรื่องนี้ใช้เวลา ๑ ปีโดยที่ไม่บรรลุผลใดๆ  ช่วงเวลานี้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลสยามตามวิถีทางรัฐธรรมนูญถึง ๓ ครั้ง  ในที่สุด  รัฐบาลสยามจำเป็นต้องส่งมอบข้าวให้รัฐบาลอังกฤษจำนวน ๑,๕๐๐,๐๐๐ ตัน  และชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บริษัทอังกฤษที่ตั้งขึ้นในสยามก่อนสงครามและที่ถูก ญี่ปุ่นและรัฐบาลพิบูลฯยึดไปตลอดจนความเสียหายที่เกิดจากภัยทางอากาศใน ระหว่างสงครามที่ฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นผู้กระทำเอง   อย่างไรก็ตาม  เราเห็นว่าเป็นข้อเสนอเรียกร้องที่ไม่ยุติธรรมต่อประเทศเล็กอย่างสยามในการ ที่ต้องรับผิดชอบความเสียหายต่างๆที่เกิดขึ้น  ซึ่งฝ่ายญี่ปุ่นและฝ่ายสัมพันธมิตรเองเป็นผู้ก่อ  แต่เราจำต้องยอมลงนามในความตกลงดังกล่าวนั้น  เพื่อที่จะสามารถฟื้นฟูประเทศหลังสงครามได้เร็วที่สุดและเพื่อหาโอกาศอัน สมควรในการเจรจาอย่างสันติอีกครั้งหนึ่งกับรัฐบาลพรรคแรงงานของอังกฤษ  เพื่อแก้ไขข้อความต่างๆที่ไม่ยุติธรรมสำหรับเรา
ความ ตกลงดังกล่าวกำหนดให้รัฐบาลสยามจับกุมและลงโทษบุคคลที่ต้องหาว่าเป็นอาชญากร สงคราม  ข้อความนี้ตรงกับความต้องการของรัฐบาลฝ่ายสัมพันธมิตรที่สำคัญๆทุกประเทศ  เมื่อข้าพเจ้าเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใน พ.ศ. ๒๔๘๙ ข้าพเจ้าได้เจรจากับรัฐบาลอังกฤษให้ยอมจ่ายเงินค่าข้าวที่เราต้องชดใช้ให้ เป็นค่าเสียหาย  ฝ่ายรัฐบาลอังกฤษตกลงยินยอมที่จะจ่ายเงินค่าข้าวด้วยราคาที่ต่ำกว่าราคาใน ตลาดโลก  นับว่ายังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
ส่วน เรื่องความเสียหายของบริษัทห้างร้านอังกฤษที่เราต้องชดใช้นั้นเราเห็นว่า เป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมต่อสยามเช่นกัน  เพราะในปี พ.ศ. ๒๔๙๔  ฝ่ายสัมพันธมิตร  ซึ่งรวมทั้งรัฐบาลอังกฤษด้วยได้ลงนามในสนธิสัญญาสงบศึกกับรัฐบาลญี่ปุ่นที่ ซานฟรานซิสโก  ตามสนธิสัญญาฉบับนี้  รัฐบาลอังกฤษเองได้ยกเลิกข้อเรียกร้องค่าปฏิกรรมสงครามจากญี่ปุ่น  ซึ่งเป็นศัตรูสำคัญในสงคราม
-๘-      ฝ่ายรัฐบาลจีนเมื่อยอมรับรองความเป็นเอกราชของรัฐบาลสยามแล้ว  ก็ได้ส่งอัครรัฐทูตมาประจำกรุงสยาม  เพื่อสถาปนาความสัมพันธทางการทูต
ส่วน กลุ่มชาวจีนโพ้นทะเลที่คลั่งชาติที่คิดว่ากองกำลังทหารจีนจะเข้ามาปลดอาวุธ ทหารญี่ปุ่นในประเทศสยามนั้น  พากันแปลกใจที่กลายเป็นกองทหารอังกฤษ  ฉนั้นจึงก่อจลาจลโดยใช้ปืนยาวปืนสั้น  ยิงเข้าใส่ฝูงชนอย่างบ้าคลั่งในใจกลางพระนคร
ชาว ไทยได้โต้ตอบทันที  สภาพการจลาจลเกิดขึ้นในชุมชนหลายแห่ง  รัฐบาลจำต้องใช้กำลังทหารเข้าปราบปราม  เพื่อให้เกิดความสงบโดยเร็วที่สุด  การจลาจลครั้งนี้เรียกว่า  “  เลียะพะ “  ( ภาษาจีนแต้จิ๋ว ) ที่เรียกเช่นนี้  เพราะได้เปรียบเทียบเหตุการณ์ครั้งนี้กับกบฏของนักมวยจีน   ซึ่งต่อต้านกองกำลังอำนาจต่างชาติในปีพ.ศ  ๒๔๔๓  ในปัจจุบันยังมีคนกล่าวถึงเหตุการณ์เลียะพะครั้งนั้นอยู่  โดยมักจะเป็นพวกที่ไม่ยอมรับรองรัฐบาลสาธารณรัฐราษฎรจีน  และยกเอาเหตุการณ์นี้มาข่มขวัญผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่  โดยอธิบายอย่างไม่มีเหตุผลว่า  เมื่อสถาปนาความสัมพันธทางการทูตกับสาธารณรัฐราษฎรจีนแล้ว  เหตุการณ์อย่างนี้จะเกิดซ้ำอีกโดยพวกชาวจีนโพ้นทะเลจะเป็นผู้ก่อขึ้นด้วย ความสนับสนุนของสถานเอกอัครรัฐทูตสาธารณรัฐราษฎรจีน  อันที่จริงระหว่างที่เกิดเหตุการณ์ไม่สงบนี้  พวกคอมมิวนิสต์จีนที่ลี้ภัยเข้ามาในสยาม เพราะถูกรัฐบาลจีนคณะชาติตามล่านั้น  กลับต่อต้านการเลียะพะครั้งนี้
-๙-      รัฐบาลโชเวียตกำลังวุ่นวายอยู่กับปัญหาภายในประเทศ จึงไม่พร้อมที่จะเข้ามาแทรกแซงในกิจการของเอเชียอาคเนย์  อย่างไรก็ตาม  รัฐบาลนี้ได้แสดงความเคารพความเป็นเอกราชของสยามโดยปริยาย  โดยการมอบอำนาจให้ผู้แทนทางการทูตที่กรุงสต็อกโฮล์มเข้าร่วมในงานเลี้ยง รับรองที่จัดขึ้นโดยสถานอัครราชทูตสยาม  ทั้งในระหว่างและหลังสงคราม
-๑๐-      ส่วนฝ่ายรัฐบาลกู้ชาติฝรั่งเศส  (Comite’ francais  de Libe’ration  nationale) ซึ่งต่อมาได้ตั้งขึ้นเป็นรัฐบาลชั่วคราวของสาธารณรัฐฝรั่งเศส  ลงความเห็นว่ารัฐบาลไทยเป็นพันธมิตรกับประเทศญี่ปุ่น  และฝรั่งเศสกับประเทศไทยถือว่าเป็นศัตรูกันนับแต่วันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๓ อันเป็นวันที่กองทัพอากาศไทย ( สมัยรัฐบาลจอมพลพิบูลฯ ) ได้ทิ้งระเบิดบนดินแดนอินโดจีนของฝรั่งเศส  รัฐบาลชั่วคราวของฝรั่งเศสเห็นว่าคำประกาศของข้าพเจ้าในฐานะผู้สำเร็จราชการ แทนพระองค์ได้ยกเลิกการยึดครองดินแดนที่รัฐบาลจอมพลพิบูลฯยึดครองนั้น  ครอบคลุมถึงดินแดนอินโดจีนของฝรั่งเศสด้วย  ดังนั้นเราจึงได้ทำความตกลงร่วมกันกับรัฐบาลชั่วคราวแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส ให้นำเรื่องนี้สู่อนุญาโตตุลาการเพื่อตัดสิน ทั้งนี้เพราะทางฝ่ายเราเห็นว่า  ดินแดนที่เป็นปัญหาอยู่นั้นเป็นของประเทศสยามมาก่อนปี พ.ศ. ๒๔๕๐ แล้ว  นับแต่นั้นมาความสัมพันธ์ทางทูตระหว่าง ๒ ประเ ทศก็กลับคืนสู่สภาพปกติ
-๑๑-        เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลทรงบรรลุนิติภาวะ  ข้าพเจ้าได้กราบบังคมทูลอัญเชิญพระองค์เสด็จนิวัติคืนสู่สยาม  พระองค์เสด็จถึงกรุงเทพฯเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๘   หน้าที่ในตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของข้าพเจ้าจึงเป็นอันสิ้นสุดลง ในทันที  พระองค์ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งต่งตั้งข้าพเจ้าเป็นรัฐบุรุษอาวุโส  อันเป็นตำแหน่งกิตติมศักดิ์  ซึ่งจะไม่มีอำนาจในการบริหารแผ่นดิน  เป็นโอกาสที่ข้าพเจ้าจะได้พักผ่อน  ซึ่งข้าพเจ้ามีความปราถนาอยู่แล้วหลังจากที่ข้าพเจ้าได้ทำงานมาอย่างลำบาก และเหน็ดเหนื่อยตลอดเวลาช่วงที่มีสงครามและหลังสงครามอีก ๓ เดือน
ภาย หลังสงครามโลกสิ้นสุดลง  ได้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร  ต่อมาหลังจากการเลือกตั้งทั่วไปแล้ว  มีรัฐบาลใหม่ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีบางคนเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยม  ความขัดแย้งในรัฐสภาระหว่างสมาชิกสภาผู้แทนฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านเพิ่มมาก ขึ้น  ในที่สุดฝ่ายรัฐบาลต้องลาออก  สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้ข้าพเจ้าจัดตั้งรัฐบาล  โดยข้าพเจ้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี  มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่  โดยได้เสียงสนับสนุนจากฝ่ายข้างมาก  ซึ่งเป็นฝ่ายก้าวหน้าในสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญฉบับพ.ศ. ๒๔๘๙  รัฐสภาจะประกอบด้วยพฤฒสภาและสภาผู้แทนราษฎร  โดยสภาทั้งสองมาจากการเลือกตั้ง
ความ ขัดแย้งระหว่างฝ่ายก้าวหน้ากับฝ่ายอนุรักษ์นิยม  ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงไป  แต่กลับเพิ่มมากขึ้น  เมื่อศาลฎีกาได้ตัดสินปล่อยตัวจอมพลพิบูลฯ  โดยประกาศว่าพระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม  ( ซึ่งร่างขึ้นและประกาศใช้หลังสงคราม ) ไม่อาจใช้บังคับย้อนหลังได้
เมื่อจอมพลพิบูลฯได้รับการปล่อยตัว ก็ได้กลับคืนสู่เวทีการเมืองเดิมอีกครั้งหนึ่ง โดยร่วมมือกับกลุ่มอนุรักษ์นิยม
-๑๒-      ๒-๓  เดือนถัดมา  ในวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙   สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคต  โดยต้องพระแสงปืนที่พระเศียรในห้องพระบรรทมในพระบรมมหาราชวัง  จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจและโดยคำแนะนำของพระเจ้าบรมวงค์เธอกรมขุน ชัยนาทนเรนทร  ทางรัฐบาลได้ออกแถลงการณ์ประกาศว่า  สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จสวรรคตโดยอุปัทวเหตุ  โดยกระสุนจากพระแสงปืนของพระองค์เอง
ใน วันนั้นเอง  ข้าพเจ้าในฐานะนายกรัฐมนตรีได้เสนอรัฐสภาให้อันเชิญสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ  เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดชขึ้นครองราชสมบัติสืบแทนพระเชษฐาที่เสด็จสวรรคต  เนื่องจากพระองค์ยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะ  สภาผู้แทนราษฎรจึงได้แต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์  โดยพระเจ้าบรมวงค์เธอกรมขุนชัยนาทนเรนทรเป็นประธาน  คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ขอร้องให้ข้าพเจ้าตั้งรัฐบาลขึ้นใหม่
หลัง การเลือกตั้งช่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ข้าพเจ้าได้รับเลือกเป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา  โดยไม่มีผู้สมัครแข่งขัน  ข้าพเจ้าสมัครใจลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี  หลังจากนั้น  มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่  ซึ่งก็คงประกอบด้วยรัฐมนตรีฝ่ายก้าวหน้าและฝ่ายประชาธิปไตย  แต่พวกอนุรักษ์นิยมกล่าวหาว่ารัฐบาลใหม่อยู่ภายใต้อาณัติของข้าพเจ้า  ด้วยเหตุนี้พวกอนุรักษ์นิยมจึงเริ่มโจมตีข้าพเจ้าเป็นการส่วนตัว  โดยใส่ร้ายข้าพเจ้าต่างๆนาๆ  เช่น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลไม่ได้เสด็จสวรรคตโดยอุปัทวเหตุ  แต่ถูกลอบปลงพระชนม์โดยอดีตราชเลขานุการส่วนพระองค์  และมหาดเล็กของพระองค์เอง  โดยมีข้าพเจ้าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด
การเผยแพร่ข่าวให้ร้ายข้าพเจ้าเช่นนี้  เป็นแผนการทำให้ประชาชนสับสน  เพื่ออ้างเป็นเหตุให้คณะทหารก่อการรัฐประหารปฏิกิริยา
เมื่อ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๐  เกิดการรัฐประหารของฝ่ายทหาร  โดยการสนับสนุนของพวกอนุรักษ์นิยมขวาจัดและพวกคลั่งชาติ  โค่นล้มรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฏหมายของพลเรือตรีถวัลย์  ธำรงนาวาสวัสดิ์  ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นพรรคพวกของข้าพเจ้า  พวกเขาได้บุกเข้าไปในบ้าน  เพื่อจะทำลายชีวิตข้าพเจ้ารวมทั้งภรรยาและบุตรเล็กๆ  หาว่าข้าพเจ้าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในกรณีสวรรคตฯ  จอมพลพิบูลฯ  ซึ่งถูกปล่อยก่อนหน้านั้นไม่กี่เดือน  เพราะกฏหมายอาชญากรสงครามไม่มีผลย้อนหลังมาใช้บังคับ  ก็ได้รับแต่งตั้งจากคณะรัฐประหาร ให้เป็นผู้บัญชาการทหารแห่งประเทศไทย  ทำให้มีอำนาจควบคุมเจ้าหน้าที่ของรัฐ  คณะรัฐประหารได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่  ซึ่งสมาชิกวุฒิสภามิได้มาจากการเลือกตั้งโดยทางอ้อมอีกต่อไป  แต่จะมาจากการแต่งตั้งโดยตรงจากประมุขแห่งรัฐ  โดยมีหัวหน้าคณะรัฐประหารเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ  ก่อนรัฐประหารอายุต่ำสุดของผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกำหนด ไว้ ๒๓ ปี  แต่ตามรัฐธรรมนูญของคณะรัฐประหารกำหนดไว้เป็น ๓๕ ปี  ซึ่งเท่ากับอายุต่ำสุดของผู้สมัครเป็นสมาชิกวุฒิสภาของสหรัฐอเมริกา  อย่างไรก็ตามมาตรการนี้ก็ใช้เพียงชั่วคราวเท่านั้น  เพราะต่อมาประเทศไทยถูกปกครองโดยรัฐธรรมนูญฟาสซิสต์กึ่งฟาสซิสต์  และฟาสซิสต์ใหม่ๆ  ฯลฯ อีกหลายฉบับ  ยิ่งกว่านั้นรัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังลิดรอนเสรีภาพทางการเมืองหลายประการ .  

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar