2020-05-17 07:40
สิบปีพฤษภา 53 “มือที่มองไม่เห็น” ฉายเลเซอร์ #ตามหาความจริง กระตุกความสนใจ ทั้งในกระแสสื่อและโลกออนไลน์ โดยเฉพาะทวีตภพ ซึ่งทวีตไป 1.18 ล้านครั้ง
คณะก้าวหน้ายืดอกรับ เป็นผู้ฉายเลเซอร์เอง ไม่ต้องไปตามหาที่ไหน ทำเอาทหารตำรวจเต้น พลิกข้อกฎหมายกันใหญ่ ต้องเอาผิดให้ได้
ประการแรก จะเอาผิดข้อไหน ไม่มีใครเสียหาย “ช่อ พรรณิการ์” ย้อนว่า แค่ฉายเลเซอร์ไม่ได้ทำอันตรายต่อพื้นผิว ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนรำคาญ ไม่มีเสียงรบกวน ไม่ทำให้รถติด และไม่ได้ฝ่าเคอร์ฟิว
เว้นแต่จะเสียดแทงใจผู้มีอำนาจ ที่เคยร่วมกันปราบม็อบเสื้อแดงปี 53 จนมีคนตาย 94 ศพ โดนยิงหัวอย่างจงใจ 32 คน สิบปีผ่านไปยังไม่มีใครต้องรับผิดชอบ มีแต่มวลชนเสื้อแดงติดคุก ตายในคุกก็มี
ระการที่สอง ต่อให้เอาผิดได้ สร้างความแตกแยก? บ่อนทำลายความมั่นคง? ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน? (ฉายเลเซอร์แพร่โควิด?) ก็ยิ่งย้อนแย้ง "ยิงเลเซอร์ผิด ยิงหัวไม่ผิด" เข้าตัวเองอีก
เล่นกับคณะก้าวหน้า ซึ่งถูกประหารชีวิตทางการเมืองไปแล้ว ซ้ำยังจะเอาผิดอาญาอีกเป็นกระบุง ข้อหาแค่นี้กลัวอะไร ไม่ว่าจะทำอะไรกับ #ตามหาความจริง ฝ่ายรัฐมีแต่เข้าตัว
#ตามหาความจริง โดยคณะก้าวหน้า ยังมีความหมาย เป็นการโยงคนรุ่นใหม่เข้ากับประวัติศาสตร์แห่งความคับแค้นของมวลชนเสื้อแดงปี 53 เพราะอำนาจที่กดทับคนรุ่นใหม่ กระทั่งเกิดแฟลชม็อบต้านทุกมหาวิทยาลัย ก็มาจากความหวาดกลัวพลังมวลชน หวาดกลัวประชาธิปไตย จนต้องยึดอำนาจ ปกครองด้วยเผด็จการยาวนาน แล้วสืบทอดอำนาจรัฐประหาร ไม่ยอมให้มีรัฐบาลจากการเลือกตั้งของประชาชน
ซึ่งยังย้อนแย้งน่าเศร้า กับเหตุการณ์พฤษภา 35 ที่ “ม็อบมือถือ” อุตส่าห์ไล่ รสช.สืบทอดอำนาจ แต่ 28 ปีผ่านไป คนชั้นกลางในเมืองกลับเหยียบย่ำประวัติศาสตร์การต่อสู้ของตัวเอง เหยียบย่ำเจตนารมณ์วีรชน ยอมรับการสืบทอดอำนาจรัฐประหาร กวาดต้อนนักการเมืองอย่างน่ารังเกียจยิ่งกว่าพรรคสามัคคีธรรม
อย่างน้อย สุจินดาก็ไม่ได้ตั้ง ส.ว.มาโหวตตัวเองเป็นนายกฯ
พฤษภา 35 ในเชิงอุดมการณ์มี 2 ด้านทับซ้อนกัน คืออุดมการณ์ประชาธิปไตยไม่เอาเผด็จการ กับเกลียดชังนักการเมืองจากเลือกตั้ง กระทั่งไชโยโห่ร้องเมื่อ พล.อ.อ.สมบุญ ระหงษ์ แต่งตัวเก้อ
หลังจากนั้น ก็เกิดการเมือง 2 นครา คนชนบทเลือกรัฐบาล คนกรุงล้มรัฐบาล กระทั่งรัฐธรรมนูญ 2540 ฉบับประชาชน ก็ยังแฝงแนวคิด “การเมืองคนดี” ตั้งองค์กรอิสระ ที่หวังว่าจะสถาปนาคนดีบริสุทธิ์ผุดผ่องไว้ปราบนักการเมืองชั่ว
เมื่อเกิดรัฐบาลไทยรักไทย ที่มีอำนาจมาก เพราะได้คะแนนนิยมล้นหลามจากคนชนบท ด้วยนโยบาย “ประชาธิปไตยกินได้” บริหารแบบ CEO ฉีกรัฐราชการ สร้างความขัดแย้งมีคนรักมากเกลียดมาก จนเกิดรัฐประหาร 2549 ยุบพรรค ตามด้วยรัฐธรรมนูญ 2550 แต่พรรคพลังประชาชนยังชนะ กระทั่งม็อบพันธมิตรยึดทำเนียบยึดสนามบิน ยุบพรรค “ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร” เกิดม็อบเสื้อแดงล้นหลาม บุกกรุงปี 52-53 ทวงอำนาจให้ยุบสภาเลือกตั้งใหม่
นั่นคือจุดเปลี่ยนที่ประเทศไทยยังข้ามไม่พ้นจนวันนี้ ทั้งในแง่ความแตกแยก เกลียดชัง ที่คนชั้นกลางอนุรักษนิยม เปลี่ยนทัศนะต่อคนเลือกทักษิณจาก “โง่ ถูกซื้อ ถูกหลอก” มาเป็นกองทัพไพร่ที่น่าสะพรึงกลัว เทเลือดแดงฉาน เดินเท้าไปตามถนน ยึดศูนย์กลางความเจริญ กระทั่งคล้อยตาม “ผังล้มเจ้า” “เผาบ้านเผาเมือง” ออกใบอนุญาตใช้ “กระสุนจริง” แล้วก็ช่วยกัน “บิ๊กคลีนนิ่ง”
ในทางการเมือง แม้ปราบม็อบได้ ใช้อำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉินกวาดล้างจับกุม ลงทัณฑ์อย่างหนักหน่วง แต่พรรคเพื่อไทยก็ชนะเลือกตั้งล้นหลาม ภาคอีสาน ภาคเหนือ กระทั่งภาคกลางบางจังหวัด กลายเป็นพื้นที่สีแดง
รัฐประหาร 2557 ซึ่งมาจากม็อบปิดเมือง ขัดขวางเลือกตั้ง รวมพลังคนชั้นกลาง “มวลมหาประชาชน” จึงไม่สามารถคืนอำนาจ กลับสู่ประชาธิปไตยได้ ทั้งในด้านอำนาจมาจากเลือกตั้ง และสิทธิเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ แสดงออก ชุมนุม
รัฐประหารจึงอยู่ยาว 5 ปี สืบทอดอำนาจ สถาปนารัฐราชการเป็นใหญ่ ยึดกุมอำนาจโดยฝ่ายความมั่นคง ขยายอำนาจกองทัพ กอ.รมน. ควบคุมประชาชนอย่างเข้มงวด เพื่อรักษาโครงสร้างอำนาจอนุรักษนิยม ขณะเดียวกันก็สร้างเครือข่ายให้ประชาชนต้องพึ่งรัฐ สร้างประชานิยมโดยรัฐราชการ เพื่อไม่ให้ทวงอำนาจเลือกรัฐบาล
ความกลัวเสื้อแดง ความกลัวพลังมวลชนนี้เอง ที่ทำให้ประเทศถอยหลัง กระทั่งกดทับคนรุ่นใหม่ ที่เติบโตในช่วงสิบปีหลัง ให้ถูกปิดกั้นเสรีภาพ ห้ามมีความคิดต่าง อยู่ใต้ระบบการศึกษากราบกราน อยู่ใต้การให้ร้ายป้ายสีอย่างบ้าคลั่ง ของพวกสลิ่มสุดโต่ง
ชะตากรรมของทักษิณ ชะตากรรมของอนาคตใหม่ ชะตากรรมของคนเสื้อแดง ชะตากรรมของคนรุ่นใหม่ อาจแตกต่างกัน แต่ถูกกระทำจนมีจุดร่วมเดียวกัน ต้อง #ตามหาความจริง ทวงถามประชาธิปไตยและความยุติธรรม
ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/hot-topics/news_4130648
ใบตองแห้ง: คนจนนอกโอวาท
2020-05-17 07:44
ประยุทธ์ปัดข่าวให้ กอ.รมน.ทำโพล สมควรยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือไม่ แต่อ้างโพลของใครไม่รู้ 88% ให้ต่ออายุออกไป ราวกับสมัยรัฐประหาร ทำโพลว่าเป็นประชาธิปไตย 99.99%
ต่อ พ.ร.ก.หรือไม่ ท่านผู้นำในนาม ศบค. จะตัดสินใจเอง บอกต้องดูมาตรการสาธารณสุข แม้ติดเชื้อ 0% ก็ไว้ใจไม่ได้ ต้องดูความร่วมมือ ที่จะไม่ให้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก
หมายความว่าอะไร? ติดเชื้อเหลือ 0 ก็ยังไม่พอใจ ต้องให้ประชาชนเชื่อฟัง อยู่ในคำสั่ง อยู่ในโอวาท ไม่มีคนถูกจับเคอร์ฟิว ไม่มีคนถูกจับมั่วสุมกินเหล้า (บุกเข้าไปจับถึงบ้าน) คนไทย 65 ล้านพับเพียบเรียบร้อย รักษาระยะห่าง เข้าคิว แบ่งปัน อย่ายื้อแย่งกัน กระทั่งตู้ปันสุขต้องส่งคนไปเฝ้า ฯลฯ
แล้วก็อย่าเอาแสงเลเซอร์มายิง #ตามหาความจริง มันเสียดแทงใจ
ตลกกว่านั้น รัฐยังฮุบตู้ปันสุข ซึ่งประชาชนริเริ่มมีน้ำใจช่วยเหลือกันเอง ไปเป็นงานอีเวนต์ของหน่วยงานรัฐ เปิดมหกรรมจัดตั้งตู้ติดป้ายหน่วยงานเต็มไปหมด ทั้งจังหวัด อำเภอ กอ.รมน. ฯลฯ ทั้งที่รัฐมีหน้าที่และมีงบประมาณช่วยเหลืออยู่แล้ว หรือกลัวไม่ได้หน้า
ปัญหาของตู้ปันสุขคือทัศนะ “คนจนในจินตนาการ” ต้องพับเพียบเรียบร้อย เห็นอกเห็นใจกัน ตั้งแถวรอรับถุงยังชีพ หรือผ้าห่มกันหนาว จากคุณหญิงคุณนาย ผู้ลากมากดี หน่วยงานรัฐทั้งหลาย
พอเจอคนเห็นแก่ตัวก็ยัวะ เหมือนจนเครียดกินเหล้า ควรจะทำตัวดีๆ น่าสงสาร รู้จักใช้ชีวิตพอเพียง ขยันทำมาหากิน ค่อยน่าช่วยหน่อย
ทั้งที่คนทุกชนชั้นก็มีทั้งเห็นแก่ตัว เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ลองตั้งกล้องตามชีวิตคนมีสตางค์ดูบ้างเป็นไร ก็มีตั้งเยอะที่มักได้ ไร้มารยาท เอารัดเอาเปรียบ ปากหวานก้นเปรี้ยว บ้างก็เข้าวัดบวชชีพราหมณ์แต่จุกจิกคับแคบ นินทาคนอื่น
แต่คนจนในจินตนาการต้องสัตย์ซื่อจงรัก น่าสงสาร จึง “น่าช่วยหน่อย”
คนจนต้องทำตัวดีๆ เพื่อรอรับการสงเคราะห์จากสังคมหรือจากรัฐ ครั้นมาโวยวายไม่ได้ห้าพัน ปลัดคลังก็บอกว่ามีการเมืองเบื้องหลัง หรือทำเป็นดราม่า เช่นป้าร่ำไห้จนได้เงินดาราช่วยไปหลายหมื่นบาท ความจนต้องให้ข้าราชการ ข้าของแผ่นดิน เข้าไปพิสูจน์แยกแยะ ว่าใครควรได้บ้างไม่ได้บ้าง ทำให้ข้าราชการทำงานหนัก ไม่ได้หยุดพักผ่อน ฉะนั้นที่เรียกร้องให้ช่วยถ้วนหน้า ก็ทำไม่ได้ เดี๋ยวคนดีไม่มีงานทำ
พูดอย่างนี้ไม่ใช่มองข้ามความมีน้ำใจ (ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ใช่มีแค่คนไทย อย่างที่หมอวรงค์ตีปี๊บด่า “ทาสตะวันตก” เพราะตู้ปันสุขเอามาจากโครงการ Pantry of Sharing ในฝรั่งเศส เยอรมันก็แขวนถุงอาหารให้คนจน ซึ่งสื่อตีข่าวว่า No Video, No Camera, No Drama. Just Pure Goodwill แม้บางพื้นที่ต้องยกเลิก เพราะมีคนจรจัดไปนั่งเฝ้า คอยดูไม่ให้ใครเอาของเยอะ จนทะเลาะกันรุนแรง)
ความเอื้อเฟื้อเพื่อนมนุษย์เป็นธรรมชาติสัตว์สังคม ตั้งแต่ก่อนมีศาสนา เพราะเรารู้ว่าอยู่ตัวคนเดียวไม่ได้ ผู้ที่ยังพอมีฐานะ มีความหวังกับอนาคต จึงมักช่วยเหลือผู้ตกทุกข์โดยหวังจรรโลงสังคม ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนชั้นกลางค่อนไปทางระดับบน ที่มีความมั่นคงสูงกว่าผู้อื่น
นี่พูดจริงนะ ความมั่นคงในชีวิต ทำให้คนชั้นกลางมีพื้นที่ของความดีมีน้ำใจได้มากกว่า จะมากน้อยแค่ไหนก็แล้วแต่ตัวบุคคล ต่างกับคนจนซึ่งดิ้นรนปากกัดตีนถีบ บางครั้งต้องเอาตัวรอดก่อน แต่เขาก็สามารถแสดงความมีน้ำใจในด้านอื่น
การเรียกร้องคนจนจึงอยู่บนฐานของความไม่เท่าเทียม ซ้ำร้าย กดให้อยู่ในโอวาท ต้องทำตัวดี พับเพียบเรียบร้อย ในสายตาของคนชั้นกลาง คนชั้นบน และอำนาจรัฐ
ในสังคมไทยซึ่งไม่เท่าเทียมทางโอกาส ทำให้คนชั้นกลางขยายตัวจากการก้าวกระโดดใหญ่ทางเศรษฐกิจ ตั้งแต่ปลายทศวรรษ 2520 มีอำนาจมีเสียงดัง กระทั่งเกิดการเมือง 2 นคราประชาธิปไตย คนชั้นกลางเชื่อ “คนดี” ปฏิเสธนักการเมืองที่คนชนบทเลือกตั้ง มองคนจนคนชนบท โง่ ถูกซื้อ จน เครียด กินเหล้า ฯลฯ แต่ก็ยังสงสาร ภัยแล้งภัยหนาวก็ยังมีน้ำใจช่วยบริจาค แถมรักธรรมชาติ ขับ SUV ไปชื่นชมวิถีเกษตรชนบท
จนกระทั่งเกิดม็อบเสื้อแดง คนจนคนชนบทที่บังอาจหือ ยกทัพจากเหนืออีสานบุกกรุง ทวงอำนาจ ก้าวร้าว รุนแรง คนชั้นกลางยอมรับไม่ได้ ทำไมมันไม่อยู่ในโอวาท ทำตัวดีๆ รอรับความช่วยเหลือ
มันจึงกลายเป็น “ควายแดง” เผาบ้านเผาเมือง ถูกฆ่าฟันถูกบดขยี้ จนรัฐประหารกลับมามีอำนาจ แล้วก็สถาปนารัฐที่พยายามให้คนจนกลับไปอยู่ในโอวาท อยู่ใต้การสงเคราะห์พึ่งพาจำแนกแยกแยะโดยรัฐอีกครั้ง
ที่มา: ข่าวสดออนไลน์
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar