2020-05-17 07:26
ทักษิณถูกไล่ 14 ปีแล้ว ทำไมรัฐบาลอื่นแก้ปัญหาไม่ได้ โดยเฉพาะ คสช.เป็นใหญ่มา 6 ปี
ซ้ำร้าย สหภาพการบินไทยนี่แหละ เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญ ทั้งม็อบพันธมิตร ม็อบลุงกำนัน ปิดสนามบิน ปิดเมือง ขัดขวางเลือกตั้ง ทำตัวเองทั้งทางตรงทางอ้อม
ยุคทักษิณ “ทำร้าย” การบินไทย 2 เรื่อง หนึ่งคือ อนุมัติซื้อเครื่องบินล็อตใหญ่ บินข้ามทวีปได้ หวังยกระดับการบินไทยขึ้นอันดับต้น ๆ ของโลก ควบคู่กับการเปิดสนามบินสุวรรณภูมิ แต่โดนรัฐประหารก่อน
สอง เปิดเสรีการบิน ทำให้การบินไทยต้องแข่งกับโลว์คอสต์ ซึ่งก็โทษว่าทักษิณถือหุ้น แต่นั่นทำให้ท่องเที่ยวบูม ประเทศมีรายได้เพิ่มจากปีละ 9 แสนล้านเป็น 3 ล้านล้าน การเดินทางด้วยโลว์คอสต์เพิ่มจาก 10 ล้านคนเป็น 72 ล้านคนต่อปี ในสิบปี
การบินไทยควรไปแข่งกับสายการบินนานาชาติ สิงคโปร์ คาเธ่ย์ ANA แต่สู้เขาไม่ได้ทั้งบริการและราคา กลับมาโทษทักษิณ?
การออกมาฟาดงวงฟาดงา ทำให้เห็นชัดว่าปัญหาอยู่ที่ตัวการบินไทย ทั้งผู้บริหาร พนักงาน สหภาพ วัฒนธรรมองค์กร ความผยองลำพองเป็นรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ มีสถานะเหนือคนอื่น แล้วก็จมไม่ลง
มิไยที่สหภาพจะพยายามโยนให้คนอื่น นักการเมืองโกง ผู้บริหารไร้ประสิทธิภาพ เล่นเส้นสาย ฯลฯ ก็หนีไม่พ้นว่าพยายามปกป้องอภิสิทธิ์ตน ซึ่งอยู่ในระบบเดียวกันนั่นเอง
ในโพสต์ของสหภาพ มีคอมเมนต์ที่น่าจะเป็นคนใน “พนักงานบางคน วัน ๆ ไม่เห็นทำอะไร ใช้แต่ outsource เด็กฝึกงาน ตัวเองไปเดินเซ็นทรัล เดินตลาด เข้างานบ่ายโมง กลับมาบ่ายสาม บ่ายสี่ขนกับข้าว เตรียมกลับบ้าน ยังใช้ word excel ระดับง่อย ๆ อยู่เลย แล้วมีแบบนี้เยอะมาก หน้าห้องนาย วัน ๆ ไม่ทำอะไร จับผิดแต่ตัวหนังสือ หาสาระไม่ได้ งานไม่ไปไหน ผ่านไปเป็นเดือน คำตอบก็คืองานติดอยู่ที่หน้าห้องค่ะ จะแก้ไขเริ่มต้นที่ทัศนคติ ความคิดของพนักงานก่อน ไม่รู้จะสูงส่งไปถึงไหน ชอบเหยียดคนอื่น”
คนเข้าไปกดไลค์กระหึ่ม บอกว่าใช่เลย เคยเป็น outsource รู้ดี แล้วไม่ใช่แค่ที่นี่หรอก เป็นทุกรัฐวิสาหกิจ
อดีตแอร์การบินไทย โพสต์ยาวเหยียด ว่าขนาดจะเข้าแผนฟื้นฟู ผู้บริหารยังปรับอัตรา “เบี้ยเลี้ยงบิน” ให้ค่าตอบแทนเป็นชั่วโมง เพิ่มเงิน 4-5 เท่า พนักงานเดี๋ยวนี้มีสายพันธุ์ใหม่ “ซิค” เบี้ยเลี้ยงไม่คุ้มก็ชิงลาป่วย แนะนำให้ลด EVP VP Director Division ลงสักครึ่ง อย่างน้อยก็ลดค่ารถประจำตำแหน่ง คนละ 70,000-75,000
บรรยง พงษ์พานิช ก็เล่าว่า เคยเสนอให้ผ่าการบินไทย แยกฝ่ายช่าง Cargo ฝ่ายบริการภาคพื้น ครัวการบินไทย หาพาร์ตเนอร์มาบริหาร กลับถูกอดีตผู้บริหารร้อง ป.ป.ช.ว่าจ้องกินหัวคิว
ทั้งหมดนี้ สะท้อนว่าการบินไทยเป็นภาระแห่งชาติ ไม่เว้นแม้สหภาพผู้รักชาติยิ่งชีพ ไม่เหลือหนทางอื่นใดนอกจากต้องผ่าตัดใหญ่ ถ้าไม่ไหวก็ปล่อยให้เจ๊งไป เพราะยิ่งเอาเงินภาษีประชาชนไปอุ้ม ก็ยิ่งตำน้ำพริกละลายท้องฟ้า
รัฐบาลนี้ก็บอกว่าจะผ่าตัดใหญ่ ลดพนักงาน ตั้งมืออาชีพเข้าไปบริหาร ปรับโครงสร้าง ฯลฯ แลกกับการค้ำเงินกู้ 5.4 หมื่นล้าน และจะเพิ่มทุนอีก 8 หมื่นล้าน
แต่ถามจริงเชื่อได้ไหม “อำนาจการเมือง” ที่ใหญ่ที่สุดในรัฐบาลนี้ คือรัฐราชการจารีตนิยม ซึ่งเป็นปัญหาการบินไทยตั้งแต่ต้น “สายการบินแห่งชาติ” (เมื่อก่อนเป็นกระเป๋าหลังของทหารอากาศ) ความภูมิใจของ
ผู้หลักผู้ใหญ่ ความมีหน้ามีตา เส้นสาย อภิสิทธิ์ อุปถัมภ์ เจ้ายศเจ้าอย่าง
เป็นปัญหาฝังราก ดันโทษนักการเมือง แต่รัฐประหาร 2 ครั้งยิ่งพัง
ที่มา: ข่าวหุ้นธุรกิจ https://www.kaohoon.com/content/360514
2020-05-17 07:34
ต่อ พ.ร.ก.หรือไม่ ท่านผู้นำในนาม ศบค. จะตัดสินใจเอง บอกต้องดูมาตรการสาธารณสุข แม้ติดเชื้อ 0% ก็ไว้ใจไม่ได้ ต้องดูความร่วมมือ ที่จะไม่ให้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก
หมายความว่าอะไร? ติดเชื้อเหลือ 0 ก็ยังไม่พอใจ ต้องให้ประชาชนเชื่อฟัง อยู่ในคำสั่ง อยู่ในโอวาท ไม่มีคนถูกจับเคอร์ฟิว ไม่มีคนถูกจับมั่วสุมกินเหล้า (บุกเข้าไปจับถึงบ้าน) คนไทย 65 ล้านพับเพียบเรียบร้อย รักษาระยะห่าง เข้าคิว แบ่งปัน อย่ายื้อแย่งกัน กระทั่งตู้ปันสุขต้องส่งคนไปเฝ้า ฯลฯ
แล้วก็อย่าเอาแสงเลเซอร์มายิง #ตามหาความจริง มันเสียดแทงใจ
ถ้าต้องการขนาดนี้ก็เผด็จการไปอีก 20 ปี
หรือจนกว่าประชาชนฮือไล่ นี่ทัศนะอะไร เอาแต่โทษประชาชนไม่มีระเบียบวินัย
ถ้าปกครองแบบทหารสั่งซ้ายหันขวาหันไม่ได้ ก็จะไม่เปิดให้ทำมาหากิน?
ทุกประเทศเขาไม่รอให้เหลือต่ำสิบอย่างประเทศไทยเสียด้วยซ้ำ พอเห็นว่าควบคุมสถานการณ์ได้ ระบบสาธารณสุขรับมือไหว เขาก็เปิดให้ธุรกิจกลับมา มีแต่ประเทศนี้ พบวันละ 2-3 รายแล้วส่วนใหญ่ก็มาจากที่กักตัว ที่สืบสาวได้ หรือไล่ตรวจเชิงรุก ก็ยังขู่อยู่ตลอด การ์ดอย่าตก ๆ ระวังระบาดรอบสอง แล้วก็ยังใช้ยาแรงเกินกว่าเหตุต่อไป
การ์ดอย่าตกน่ะใช่ คือต้อง New Normal ใส่หน้ากาก ล้างมือ แต่ไม่ใช่ยังเคอร์ฟิว ยังไม่ยอมให้เปิดห้างร้าน ทั้งที่มาตรการทุกอย่าง ภาคเอกชนก็พร้อมแล้ว
ถามจริง มีเหตุผลอะไรที่ยังตั้งด่านจับคนกลับบ้านเกินสี่ทุ่ม ในเมื่อให้เปิดตลาดนัด แต่ขายได้แค่สามทุ่ม ร้านอาหารข้างทาง ข้าวต้มตอนค่ำ หรือแม้แต่ห้าง ถ้ามีเวลามากกว่านี้ ก็เป็นผลดีทั้งทางเศรษฐกิจ และลดความแออัด ในการจับจ่าย ในการใช้ขนส่งสาธารณะ
ถามจริง มีเหตุผลอะไรที่ให้เปิดซูเปอร์มาร์เก็ต แต่ไม่ให้ขายเครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้า รองเท้า ฯลฯ ไม่ให้เปิดห้างขายวัสดุ เฟอร์นิเจอร์ ซึ่งปกติก็ไม่มีคนแออัด
คำขู่ระบาดรอบสองก็กระพือเกินจริง เช่นเกาหลี นั่นเขาปลดล็อกหมดแล้ว ถึงขั้นเปิดผับ จึงกลับมาใหม่ และเอาจริง ๆ เขาก็คุมอยู่
เรายังไปไม่ถึงไหนเลย กลับมานั่งกลัวหัวหด เปรียบเหมือนพ่อแม่สั่งลูกจับเจ่าอยู่บ้าน ชี้ให้ดูลูกเพื่อนบ้านหัดขี่จักรยานแล้วหกล้ม
อันที่จริง ถ้าเราคลายล็อกไปถึงขั้นสาม เปิดธุรกิจทั้งหมด ยกเว้น “สีแดง” เช่นผับบาร์ ยกเลิกเคอร์ฟิว เปิดการเดินทาง ฟื้นการท่องเที่ยวภายใน ฯลฯ ก็เป็นไปได้ว่าจะพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น แต่จะไม่มากมายถึงขั้นพุ่งพรวดเป็นร้อย เพราะประชาชนก็ยังใส่หน้ากาก ห้างร้านก็ต้องมีมาตรการที่กรมควบคุมโรคกำหนด โอกาส Super Spreader มีน้อยมาก ๆ
ปัญหาคือสังคมอยู่ใต้บรรยากาศแห่งความหวาดกลัว ถึงตัวเลขติดเชื้อลดลง ก็ยังพะวักพะวง จนไม่มีอำนาจต่อรอง กระแสเรียกร้องเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินเบาบางมาก โดยเฉพาะคนชั้นกลางในเมือง ซึ่งเสียงดังกว่าคนชั้นล่าง ส่วนใหญ่ก็ไม่เดือดร้อน จึงมีแนวโน้ม “ปลอดภัยไว้ก่อน”
แย่ไปกว่านั้น คือภาคธุรกิจ หอการค้า สภาอุตสาหกรรม องค์กรต่าง ๆ ก็ไม่เรียกร้องต่อรองเลย ทั้งที่เดือดร้อนกันหมด ยกตัวอย่าง ห้างค้าปลีกเสียหายหลายแสนล้านบาท เตรียมมาตรการเปิดได้ตั้งแต่ต้นเดือน แต่ ศบค.ก็ยังไม่ให้เปิด
ไม่ต้องจาระไนมาก ก็รู้กันว่าทุกภาคส่วนเสียหาย SME ยิ่งจะตายหมด แต่ไม่รู้ทำไม งอมืองอเท้าไม่เรียกร้องต่อรอง โควิดเป็น 0 ก็ยังเป็นเด็กดีในโอวาท ประกาศให้เปิดได้เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ถ้ายังไม่เจ๊งหมดก่อน
ที่มา: ข่าวหุ้นธุรกิจ https://www.kaohoon.com/content/361246
ทุกประเทศเขาไม่รอให้เหลือต่ำสิบอย่างประเทศไทยเสียด้วยซ้ำ พอเห็นว่าควบคุมสถานการณ์ได้ ระบบสาธารณสุขรับมือไหว เขาก็เปิดให้ธุรกิจกลับมา มีแต่ประเทศนี้ พบวันละ 2-3 รายแล้วส่วนใหญ่ก็มาจากที่กักตัว ที่สืบสาวได้ หรือไล่ตรวจเชิงรุก ก็ยังขู่อยู่ตลอด การ์ดอย่าตก ๆ ระวังระบาดรอบสอง แล้วก็ยังใช้ยาแรงเกินกว่าเหตุต่อไป
การ์ดอย่าตกน่ะใช่ คือต้อง New Normal ใส่หน้ากาก ล้างมือ แต่ไม่ใช่ยังเคอร์ฟิว ยังไม่ยอมให้เปิดห้างร้าน ทั้งที่มาตรการทุกอย่าง ภาคเอกชนก็พร้อมแล้ว
ถามจริง มีเหตุผลอะไรที่ยังตั้งด่านจับคนกลับบ้านเกินสี่ทุ่ม ในเมื่อให้เปิดตลาดนัด แต่ขายได้แค่สามทุ่ม ร้านอาหารข้างทาง ข้าวต้มตอนค่ำ หรือแม้แต่ห้าง ถ้ามีเวลามากกว่านี้ ก็เป็นผลดีทั้งทางเศรษฐกิจ และลดความแออัด ในการจับจ่าย ในการใช้ขนส่งสาธารณะ
ถามจริง มีเหตุผลอะไรที่ให้เปิดซูเปอร์มาร์เก็ต แต่ไม่ให้ขายเครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้า รองเท้า ฯลฯ ไม่ให้เปิดห้างขายวัสดุ เฟอร์นิเจอร์ ซึ่งปกติก็ไม่มีคนแออัด
คำขู่ระบาดรอบสองก็กระพือเกินจริง เช่นเกาหลี นั่นเขาปลดล็อกหมดแล้ว ถึงขั้นเปิดผับ จึงกลับมาใหม่ และเอาจริง ๆ เขาก็คุมอยู่
เรายังไปไม่ถึงไหนเลย กลับมานั่งกลัวหัวหด เปรียบเหมือนพ่อแม่สั่งลูกจับเจ่าอยู่บ้าน ชี้ให้ดูลูกเพื่อนบ้านหัดขี่จักรยานแล้วหกล้ม
อันที่จริง ถ้าเราคลายล็อกไปถึงขั้นสาม เปิดธุรกิจทั้งหมด ยกเว้น “สีแดง” เช่นผับบาร์ ยกเลิกเคอร์ฟิว เปิดการเดินทาง ฟื้นการท่องเที่ยวภายใน ฯลฯ ก็เป็นไปได้ว่าจะพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น แต่จะไม่มากมายถึงขั้นพุ่งพรวดเป็นร้อย เพราะประชาชนก็ยังใส่หน้ากาก ห้างร้านก็ต้องมีมาตรการที่กรมควบคุมโรคกำหนด โอกาส Super Spreader มีน้อยมาก ๆ
ปัญหาคือสังคมอยู่ใต้บรรยากาศแห่งความหวาดกลัว ถึงตัวเลขติดเชื้อลดลง ก็ยังพะวักพะวง จนไม่มีอำนาจต่อรอง กระแสเรียกร้องเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินเบาบางมาก โดยเฉพาะคนชั้นกลางในเมือง ซึ่งเสียงดังกว่าคนชั้นล่าง ส่วนใหญ่ก็ไม่เดือดร้อน จึงมีแนวโน้ม “ปลอดภัยไว้ก่อน”
แย่ไปกว่านั้น คือภาคธุรกิจ หอการค้า สภาอุตสาหกรรม องค์กรต่าง ๆ ก็ไม่เรียกร้องต่อรองเลย ทั้งที่เดือดร้อนกันหมด ยกตัวอย่าง ห้างค้าปลีกเสียหายหลายแสนล้านบาท เตรียมมาตรการเปิดได้ตั้งแต่ต้นเดือน แต่ ศบค.ก็ยังไม่ให้เปิด
ไม่ต้องจาระไนมาก ก็รู้กันว่าทุกภาคส่วนเสียหาย SME ยิ่งจะตายหมด แต่ไม่รู้ทำไม งอมืองอเท้าไม่เรียกร้องต่อรอง โควิดเป็น 0 ก็ยังเป็นเด็กดีในโอวาท ประกาศให้เปิดได้เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ถ้ายังไม่เจ๊งหมดก่อน
ที่มา: ข่าวหุ้นธุรกิจ https://www.kaohoon.com/content/361246
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar