พรรคก้าวไกลอภิปราย “ตั๋วช้างภาคสอง” รื้อปมพล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรอง ผบช.ภ. 8 หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา ซึ่งสามารถจับพล.ท.มนัส คงแป้น ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก และอดีตนายก อบจ.สตูล แต่กลับถูกโยกย้าย ต้องลาออกจากราชการและลี้ภัยไปอยู่ออสเตรเลีย
ไม่เพียงอภิปรายในสภา เช้าวันรุ่งขึ้น รังสิมันต์ โรม, พรรณิการ์ วานิช ยังสนทนาผ่านวิดีโอคอลกับพล.ต.ต.ปวีณ ตัวเป็น ๆ เห็นกันจะ ๆ จน #ค้ามนุษย์ ขึ้นอันดับหนึ่งในทวีตภพ โดยฝั่งรัฐบาลยังเงียบกริบ ชี้แจงอะไรไม่ได้
อ้อ ไม่แน่นะ เดี๋ยวรัฐบาลอาจซัดกลับ หาว่าพรรคก้าวไกลชังชาติ ขุดเรื่องนี้มาอภิปราย จะทำให้ประเทศไทยกลับไปติด Tier 3 จากตอนนี้ถูกลดลงมาอยู่ Tier 2 Watch List
ว่าที่จริง นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ 6 ปีผ่านไป คนทั้งประเทศก็ยังงง ทำไมพล.ต.ต.ปวีณต้องถูกย้าย ต้องลี้ภัย ทั้งสร้างผลงานโบแดงให้รัฐบาลคสช. คนส่วนใหญ่คิดว่ามันต้องมีอะไรแหง ต้องไปเจอตอ ต้องแตะของแข็ง ในสังคมไทยที่เต็มไปด้วยเส้นสายเส้นใหญ่เส้นก๋วยจั๊บ จับทหารยศพล.ท. แต่เครือข่ายคงไม่ใช่แค่นั้น
การขุดเรื่องนี้มาเปิดแผลใหม่ใน “จังหวะนรก” ที่ประชาชนเสื่อมศรัทธาต่อรัฐราชการทหารตำรวจ ผนวกเทคโนโลยีออนไลน์ คุยสดกับพล.ต.ต.ปวีณ จึงส่งผลสะเทือนอย่างแรง กระทั่งประเด็นอ่อนไหว ที่สื่อกระแสหลักไม่กล้าถ่ายทอด ก็เผยแพร่ทั่วไปหมด
บางคนมองว่าประเด็นนั้น พล.ต.ต.ปวีณอาจคิดไปเอง ในช่วงหวาดวิตกไม่สามารถไว้ใจใคร แต่ตัดประเด็นนั้นออกไป คนไทยทั้งประเทศก็ไม่เชื่อว่ารัฐบาลประยุทธ์ตั้งแต่ยุคคสช.มาถึงวันนี้ สามารถปราบการค้ามนุษย์ค้าแรงงานได้จริง
ปัดโธ่ โควิดระบาดรอบสองก็รับสารภาพกันเองว่าเพราะแรงงานเพื่อนบ้านทะลักเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย เต็มเมืองสมุทรสาคร ลามไปถึงตะวันออก
ปัดโธ่ ลอตเตอรี่เกินราคายังปราบไม่ได้ ยิ่งปราบยิ่งแพง จะเอาฝีมือที่ไหนไปปราบค้าแรงงาน
แน่ละว่าเรื่องค้ามนุษย์ แรงงานผิดกฎหมาย เป็นประเด็นที่ต่างชาติจับตา จึงโดนลดระดับมา Tier 2 Watch List ตั้งแต่กลางปี 64 นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าการแก้ปัญหาโดยใช้อำนาจรัฐประหารเฉียบขาดขึงขังนั้นแก้ไม่ได้จริง แค่ซุกไว้ใต้พรม ทำให้เสียหายอีกต่างหาก เช่น ม.44 ปิดเหมืองทองอัครา แล้วต้องมาต่อรองในอนุญาโตตุลาการ ให้สัมปทานเหมือง 4 แห่ง สิทธิสำรวจล้านไร่
เรื่องแรงงานถ้าจำกันได้ พ.ร.ก.แรงงานต่างด้าวที่ออกในยุคคสช. ปี 2560 ถูกคัดค้านอย่างหนัก จนต้องออก ม.44 ยืดเวลาบังคับใช้ ดึงกลับไปแก้ไขลดโทษ เพราะคนงานเพื่อนบ้านแห่กลับประเทศล้นหลาม เศรษฐกิจหวิดพัง
เรื่องประมง รัฐบาล คสช.หักดิบ เพราะต้องการปลดธงเหลือง IUU ออกกฎหมายระเบียบบังคับมากมาย ปฏิบัติไม่ได้จริง ผิดนิดผิดหน่อยโทษปรับสูง จนเรือประมงร้องโอดโอย ประท้วงหลายครั้งไม่เป็นผล เลิกกิจการกันไปเยอะ
ก่อนเลือกตั้ง ไม่ใช่แค่พรรคฝ่ายค้าน แต่พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ ก็เดินสายรับฟังรับแก้ปัญหาประมง แต่ไม่มีใครแก้ได้ พรรคราชการใหญ่กว่า นี่พรรคเพื่อไทยจะเสนอแก้กฎหมายประมง 6 ฉบับ คงไม่ผ่านตามเคย
รัฐบาลคงบอกว่า พรรคก้าวไกลขุดเรื่องเก่า ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลนี้ โรมไม่ได้อภิปรายประยุทธ์ (ฮา) ไม่จำเป็นต้องตอบ
แต่สิ่งที่บอกคือการแก้ปัญหาล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ การค้ามนุษย์อย่างโหดเหี้ยมแบบโรฮีนจาอาจจะเงียบหายไป แต่แรงงานผิดกฎหมายยังทำกันเป็นขบวนการ โดยเจ้าหน้าที่มีเอี่ยว เรือประมงถูกบีบเข้ามาตรฐาน IUU แต่ล้มตายไปกว่าครึ่ง ผิดระเบียบก็จ่ายใต้โต๊ะ
ปัญหาแรงงานข้ามชาติสะท้อนความล้มเหลวของรัฐราชการ ไม่ว่าจะมองในด้านสิทธิมนุษยชนหรือทางเศรษฐกิจ ก็ล้มเหลวทั้งสองด้าน
.......................................................
ใบตองแห้ง: นักการเมืองพันธุ์รู
“ส.ส.ฝ่ายค้านโดนไล่ฉีดวัคซีน 20 ล้าน 30 ล้าน โดนฉีดกันใหญ่ เตรียมจะย้ายพรรค” ทักษิณอยู่ดูไบยังรู้ว่ามี ส.ส.เพื่อไทยไปประชุมกับพรรครัฐบาล แจกคนละ 2 แสนต่อเดือน เอาเงินที่ไหนมา
ถามจริง คนดีย์มีศีลธรรมที่ไล่ทักษิณยิ่งลักษณ์เมื่อ 16 ปีก่อน 8 ปีก่อน รู้สึกอย่างไร กับการจ่าย 20-30 ล้านให้ ส.ส.ย้ายพรรค ปากบอกไม่เชื่อแต่ในใจก็รู้กัน นี่ไงผลงานรัฐประหารปฏิรูปการเมือง แต่บางคนอาจดีใจ ดีเสียอีก ดูด ส.ส.เพื่อไทยไม่ให้มันชนะเลือกตั้ง
อนุทินทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ทักกี้มีบุญคุณ อ่านหนังสือ ว.วชิรเมธีดีกว่า ไม่อยากโต้ว่าพรรคไหนไล่ฉีดวัคซีน แต่ขณะเดียวกัน “หนูช่วยหน่อยนะ” ก็ให้ความมั่นใจประยุทธ์ว่ารัฐบาลมี 260 เสียง นับจากไหน? นั่นไง หนูคาบ 3 ส.ส.ก๊วนธรรมนัสหายวับไปกับตา
มองข้ามช็อตหลังฝ่ายค้านอภิปราย รถไฟฟ้าสีเขียวสีส้มคงผ่านฉลุย ทั้งที่ประชาชนคัดค้าน ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ก็ไม่มีใครเห็นด้วยกับการต่อสัมปทาน
รัฐบาลเสถียรภาพง่อนแง่น ทั้งขัดแย้งแย่งชิงแตกแยก แต่ยังอยู่ได้ทั้งที่ชาวบ้านบ่นทั่ว ประยุทธ์พูดหน้าตาเฉยเป็นพระเอกเป็นพระราม ไม่มีความรับผิดแต่ทวงบุญคุณ ซื้อวัคซีนล่าช้าแทงม้าตัวเดียว คนตายสองหมื่นกว่า ยังอวดว่าถ้ารัฐบาลไม่อนุมัติซื้อวัคซีนเพิ่ม สถานการณ์คงแย่กว่านี้
ฝ่ายค้านทำอะไรรัฐบาลไม่ได้ ไม่ใช่เพราะมีผลงาน ไม่ใช่เพราะพรรคร่วมรัฐบาลสามัคคี แต่เพราะเป็นรัฐบาลที่มีอำนาจพิเศษหนุนหลัง เป็นตัวแทนอำนาจอนุรักษนิยม ที่ควบคุมรัฐราชการทหารตำรวจกระบวนการยุติธรรมองค์กรอิสระ
นี่ถ้าเป็นรัฐบาลปกติ พรรคร่วมคงโดดหนี เรือล่มไปนานแล้ว หรือถ้าเป็นรัฐบาลเพื่อไทย ก็คงโดนรัฐประหารไปนานแล้ว
ทหารที่ไหนจะทำรัฐประหารล้มประยุทธ์ ไม่ใช่แค่นั้นหรอก ทหารทำรัฐประหารอีกไม่ได้แล้ว ถึงแม้ทำง่ายประชาชนไม่สามารถต่อต้าน แต่ความล้มเหลวของรัฐประหาร 57 ที่สืบทอดอำนาจถึงวันนี้ ทำให้ไม่มีใครเชื่อแล้วว่า รัฐประหารปฏิรูปการเมืองได้ ปฏิรูปประเทศได้ ปราบโกงได้
รัฐประหาร 57 ควบคุมประเทศ 5 ปี ฟื้นโครงสร้างรัฐราชการเป็นใหญ่ รวบอำนาจสู่ศูนย์กลาง วางกติกาให้ตัวเองสืบทอดอำนาจผ่าน 250 ส.ว. และการดูดกวาด ส.ส.มาตั้งพรรค ในจินตภาพคงอยากเป็นพลเอกเปรม ที่ปล่อยให้พรรคการเมืองฟาดฟันกันในสนามเลือกตั้งแล้วค่อยไปเชิญมาเป็นนายกฯ พร้อมทีมงาน
แต่มันหาเป็นเช่นนั้นไม่ ในด้านแรก รัฐราชการใหญ่โตเทอะทะไร้ประสิทธิภาพ เปลืองงบอีกต่างหาก งบเงินเดือนงบประจำกำลังพอกพูนจนจะไม่เหลืองบลงทุนในอีกไม่กี่ปี
อีกด้านหนึ่ง การเมืองตั้งแต่เลือกตั้ง 62 ก็ถอยหลังไปสู่ยุคก่อนรัฐธรรมนูญ 2540 ย้อนไปสู่ระบบอุปถัมภ์ นักการเมือง “บ้านใหญ่” ทุนท้องถิ่น อิทธิพลท้องที่ รวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก๊วนหรือกระทั่งเป็นพรรค เพื่อแสวงผลประโยชน์
ไม่ได้ว่าพรรคไหน ลักษณะอย่างนี้มีอยู่ในหลายพรรค เลือกตั้งครั้งหน้ายังอาจมีพรรคเพิ่มอีก
การเมืองระบบอุปถัมภ์ในวันนี้ มีบางด้านพัฒนาไปไกลกว่ายุคก่อน 40 เช่น นักการเมืองเจ้าถิ่นสามารถยึดครองจังหวัดเป็นอาณาจักรของตน ให้บริการประชาชนดีทุกอย่าง ส่งเสริมการลงทุน การท่องเที่ยว การกีฬา สร้างเศรษฐกิจ สร้างความภาคภูมิใจ จนยึดได้หมดตั้งแต่ ส.ส.ไปถึงนายก อบต. ออกกฎกติกาเองก็ได้ ออกคำสั่งป้องกันโควิดเป็นรัฐอิสระ
แล้วอย่าไปว่ามีอิทธิพลอุ้มฆ่า นั่นมัน 30 ปีก่อน เจ้าพ่อเจ้าแม่ฆ่าเสี้ยนหนามหมดแล้วก็ส่งลูกไปเรียนเมืองนอก กลับมาเป็นนักการเมืองอัธยาศัยดี รู้จักวางตัวเข้าหาประชาชน
โมเดลอย่างนี้กำลังขยายไปทุกจังหวัด ประชาชนเลือกนักการเมืองที่ทำประโยชน์ให้พื้นที่ตัวเอง เข้าสู่การเมืองระดับชาติ มีอำนาจชี้ขาดการประมูล สัมปทาน ดึงโครงการเข้าจังหวัดตัวเอง ได้เป็น ส.ส. เป็นนายก อบจ. เทศบาล ชั่วลูกชั่วหลาน
นักการเมืองพันธุ์นี้ยังมีปมเด่นอีกอย่าง คือพยายามไม่เป็นศัตรูใคร ร่วมรัฐบาลได้ทุกฝ่าย ไม่มีความมุ่งหมายจะเป็นผู้กุมอำนาจ พูดง่ายๆ ไม่อยากเป็นนายกฯ เพราะไม่มีความกล้าหาญจะรับผิดชอบ ต้องการเพียงเก็บเกี่ยวอยู่ด้านข้างด้านหลัง ผลุบๆ โผล่ๆ คาบอาหารลงรู
เป็นพวกไร้จุดยืนทางการเมือง ไม่ใช่ทั้งอนุรักษนิยมและเสรีประชาธิปไตย ฉวยประเด็นเฉพาะหน้ามาเป็นนโยบาย เรื่องอะไรที่เป็นกระแสสังคม เช่นธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ก็ห้อยโหน
นักการเมืองแบบนี้ สมัยก่อนเรียกว่า “ปลาไหล” ไม่ได้ร่วมรัฐบาลอดอยากปากแห้ง แต่ใครจะว่าอย่างไร บรรหาร ศิลปอาชา ก็มีความกล้าหาญประกาศแก้รัฐธรรมนูญ จนได้เป็นนายกฯ ผู้ริเริ่มยกร่างรัฐธรรมนูญ 2540
นักการเมืองพันธุ์รูยุคปัจจุบัน คงไม่มีใครกล้าแบบบรรหาร ภายใต้อำนาจพิเศษค้ำประยุทธ์ นักการเมืองเหล่านี้ได้แต่หวังว่าจะรวมหัวกันเอาชนะเลือกตั้งให้มากที่สุด แล้วไปนั่งกระดิกรอให้ประยุทธ์ (หรือใครก็ตามที่อำนาจพิเศษเปลี่ยนตัวมา) เรียกไปร่วมรัฐบาล
ย้ำอีกที นักการเมืองพันธุ์นี้ไม่ต้องเจาะจงพรรคไหน ระบบ “บ้านใหญ่” ลามไปทุกพรรค สมัยหน้าถ้าพลังประชารัฐแตก ก็อาจเกิดอีกหลายพรรค จับกลุ่มตั้งก๊วน รอร่วมรัฐบาล
นั่นคือผลงานของรัฐประหารปฏิรูปการเมือง ทำให้การเมืองจากการเลือกตั้งอ่อนแอ
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar