ธรรมาภิบาล “อายอด” : ใบตองแห้ง
ผลเลือกตั้งก้ำกึ่ง ถูกพลิกผันด้วยสูตรคณิตพิสดาร 7 พรรคฝั่งไม่เอาสืบทอดอำนาจ ถ้าคิดตามหลัก 71,168 คะแนนได้ ส.ส. 1 คน ก็จะมี ส.ส. 252 คน แต่พอพลิกสูตรคำนวณ อีกอย่าง ถูกลดจำนวนไปเกลี่ยให้พรรคไม่เต็มคน กลายเป็นเหลือ ส.ส. 245 คน
อันที่จริง ส.ส. 245 คน ดึงพรรคอื่นเข้าร่วม 30-40 คน ก็ยังตั้งรัฐบาลได้ ถ้าเป็นระบอบประชาธิปไตยปกติ ที่ผู้แทนประชาชนเลือกรัฐบาล แต่นี่ต้องฝ่าด่าน ส.ว. 250 คน ซึ่งประชาชนไม่ได้เลือก หัวหน้า คสช.เลือกคนเดียว เท่ากับประชาชนที่มาใช้สิทธิ 17.7 ล้าน
245 เสียงจึงไม่สามารถตั้งรัฐบาล เสียงไม่ดังเท่าพรรค 115 เสียงที่แจกเก้าอี้กันแล้ว
นี่มันระบอบอะไร ผลเลือกตั้งไม่เป็นไปตามเจตจำนงประชาชน แต่พลิกไปตามสูตรคำนวณ ที่ไม่มีใครเคยรู้มาก่อน พรรคการเมืองลงแข่งขัน ประชาชนตื่นตัวไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ผ่านมา 45 วันอ้าปากค้าง เพิ่งรู้วิธีคำนวณ ส.ส. ซึ่งทำให้คนเลือก พรรคอนาคตใหม่เกือบ 6 แสนคน พรรคประชาธิปัตย์ 2.5 แสนคน ฯลฯ เลือกฟรี คะแนนทิ้งน้ำ รู้อย่างนี้ไม่ไปเลือกตั้งยังเสียความรู้สึกน้อยกว่า
แล้วขณะที่ตั้งตารอ ลุ้นว่า ส.ส.ที่ตัวเองเลือก จะผ่านการรับรองของ กกต.หรือเปล่า ชาวบ้านก็ได้เห็น รมต. สนช. ข้าราชการผู้ใหญ่ คนใกล้ชิดผู้มีอำนาจ ส่งใบลาออก เผยตัวโจ๋งครึ่ม ว่าจะไปเป็น ส.ว.
เป็นปรากฏการณ์ที่ได้แต่หัวเราะ เพราะไม่รู้จะทำอะไร ได้มากกว่านั้น ได้แต่สังเวชจนขบขัน แต่ละท่านทำราวกับว่า การได้เป็น ส.ว.แต่งตั้ง โดยหัวหน้าคณะรัฐประหาร เป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่ ที่ได้เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย แบบ “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” โดยไม่ต้องลงทุนลงแรง ไม่ต้องหาเสียง ไม่ต้องชนะใจ ประชาชน ก็ได้มายกมือเลือกนายกฯ ถึง 2 สมัย ได้ลาภยศสรรเสริญได้เงินเดือนเงินประจำตำแหน่งจากภาษีประชาชน ไปอีก 5 ปี
นายกรัฐมนตรีบอกว่าใจหาย ร่วมถ่ายภาพ แจกพระให้ 15 รัฐมนตรี ราวกับว่านี่เป็นการทำความดี ทั้งที่เป็นการตั้งพวกตัวเอง
รัฐมนตรีบางคน ยังมีหน้าสั่งสอนข้าราชการในวันสุดท้าย ยกก้นตัวเองซื่อสัตย์สุจริตติดดิน แต่ยังกระหายตำแหน่ง
แบบนี้ใช่ไหมเรียกว่าธรรมาภิบาล ตั้งกันเอง ไม่ต้องผ่านการเลือกตั้งจากประชาชน เพราะการเลือกตั้งมันสกปรก?
ธรรมาภิบาลต้องทำได้ทุกอย่าง เพราะถ้าอายก็อด เดี๋ยวคนดีไม่ได้ปกครองบ้านเมือง ต้องยอมให้คนดีตั้งน้อง ตั้งพวกพ้อง มาหนุนสืบทอดอำนาจ เพราะไม่สามารถไว้วางใจประชาชน ว่าจะเลือกคนตามต้องการ
น่าสมเพชที่ประชาชนจำนวนหนึ่งก็คิดเช่นนั้น ดูถูกการเลือกตั้ง ดูถูกอำนาจตัวเอง ดูถูกผู้แทนที่ตัวเองเลือกมา เห็นดีเห็นงามกับระบอบแต่งตั้ง เคารพนบนอบอำนาจรัฐราชการ ยอมรับพึ่งพิงอยู่ใต้การปกครอง ของท่านผู้ว่าฯ นายอำเภอ ท่านนายพล ท่านผู้การ ท่านโน่นท่านนี่เต็มไปหมด ขณะที่เห็นนักการเมืองที่ตัวเองมีอำนาจเลือกเข้ามา เป็นพวกกเฬวราก (แม้อาจจะจริงอยู่ส่วนหนึ่ง กับนักการเมืองศิโรราบรับใช้เผด็จการ)
คนจำนวนหนึ่ง ยังเพ้อฝันถึง “เผด็จการโดยธรรม” หรืออำนาจแต่งตั้งโดยธรรม หวนหาประชาธิปไตยครึ่งใบโดยธรรม ซึ่งไม่ชอบธรรมหรอก ไม่สะสางความยุติธรรม กลบฝังความ ขัดแย้ง แต่ยังพอทำให้ประเทศเดินหน้า และอวดได้ว่าปกครองโดยคนดีมีจริยธรรม
เสียดายนะ ยุคสมัยนั้นผ่านไปเนิ่นนานแล้ว ไม่มีวันหวนกลับ ยุคผู้มีอำนาจมารยาทงามรอให้ไปเชิญ ผ่านไปแล้วหลายทศวรรษ ยุคนี้สมัยนี้ “อายอด” แบบชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เปรียบเทียบ นั่นแหละครับ ต้องทำอะไรกันโจ๋งครึ่ม ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องเห็นหัวประชาชน ขอเพียงมั่นใจในอำนาจปืนอำนาจกฎหมาย ก็บิดผลเลือกตั้งได้ ตั้งพวกได้
คนดีสมัยนี้ก็ต้องอวดตัว ไม่เหมือนคติไทยโบราณ คนดีที่ไหนกันยกหางตัวเอง
ในความเป็นจริงนอกจากยุคสมัยต่าง สถานการณ์ก็ต่างกัน ประชาธิปไตยครึ่งใบในอดีตเกิดจากฉันทามติของสังคม ผ่านการ เข่นฆ่า ผ่านขวาสุดโต่ง แล้วกลับมาหาทางลงกันได้ที่ครึ่งใบ
แต่วันนี้ไม่มีจุดลงตัว ไม่สามารถสร้างฉันทามติในสังคม ได้แต่บังคับให้ยอมจำนน ด้วยอำนาจปืนอำนาจกฎหมาย นอกจากใช้อำนาจข่มขืนใจแล้วยังต้อง “อายอด” อย่างสุดๆ ไม่ต้องคำนึงถึงจรรยามารยาท “ความเป็นไทย” (อย่าบอกนะว่า ความเป็นไทยคือการเล่นพวก)
การตั้งรัฐบาลคงไม่ยาก เมื่อ 7 พรรคไม่เอาสืบทอดอำนาจเหลือ 245 เสียง คะแนนปริ่มน้ำไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเสถียรภาพ รัฐบาล ซึ่งมีอำนาจทุกขั้วหนุน
แต่ความอุจาดที่เพิ่งจะเริ่มนี่ต่างหาก คือการทำลาย ตัวเองอย่างถึงราก ของเครือข่ายอำนาจที่ชอบอ้างจริยธรรมความเป็นไทย
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar