fredag 24 maj 2019

การเมืองเน่าเพราะใคร :คอลัมน์ ใบตองแห้ง



และแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญก็มีมติ 9-0 รับคำร้อง กกต.ที่ให้วินิจฉัยคุณสมบัติธนาธรถือหุ้นสื่อไว้พิจารณา พร้อมมีมติ 8-1 ให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่ เท่ากับเป็นประกาศิตไม่ให้หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ได้เข้า

สภา ตั้งแต่รัฐพิธี ไปจนการประชุมเลือกประธานสภา เลือกนายกรัฐมนตรี
พรรคอนาคตใหม่ที่มี 80 เสียงก็จะเหลือ 79 เสียง จนกว่าศาลวินิจฉัย โดยไม่ว่าศาลชี้ถูกหรือผิด ก็กลับมาเป็น 80 เพราะถ้าตัดสิทธิธนาธร ผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์ก็จะได้เลื่อนขึ้นมาตามลำดับ
บางคนจึงอยากให้ศาลตัดสิทธิธนาธรเสียรู้แล้วรู้รอดไป ในภาวะที่ 2 ขั้ว 3 ขั้ว คะแนนก้ำกึ่ง ทุกเสียงมีความหมายต่อการจัดตั้งรัฐบาล

โดยเฉพาะพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งได้คะแนนเสียงจากประชาชน 6,254,726 คน ไม่รู้มีเวรกรรมอะไร เจอวิบากจากการตีความกฎหมาย จากจำนวน ..พึงได้ 87.8861 คน โดนสูตรที่นักคณิตศาสตร์ยังงง ตัดคนสอบได้เป็นสอบตก ยกคนสอบตกเป็นสอบได้ เหลือ ..80 คน คะแนนเสียงประชาชนตกน้ำหาย 561,245 คน มาตอนนี้ เหลือ .สง 79 คน ก็เท่ากับสิทธิของประชาชนที่เลือกพรรคอนาคตใหม่ ถูกตัดไปจากการเลือกประธานสภา และเลือกนายกฯ ถึง 632,413 คน

แต่ทำไงได้ นี่ไง ประชาชนต้องยอมรับกติกา ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองจะไม่สงบ ใครไม่ยอมรับกติกาจะถูกชี้หน้าว่าสร้างความวุ่นวาย FC ฟ้ารักพ่อก็ต้องเรียนรู้ ต้องทำใจ พวกอยู่ต่างแดนที่ธนาธรเคยไปให้ความหวังก็อย่าเพิ่งกลับมา ใครมีปัญญาไปได้ก็ไป

ว่าที่จริง ไม่ต้องมีคดีธนาธร ก็ยอมรับเสียเถอะ ธนาธรไม่ได้เป็นนายกฯ 7 พรรคไม่มีทางตั้งรัฐบาล
จาก 253 เสียง โดนสูตรพิสดาร โดนใบส้ม โดนแขวน วันนี้เหลือ 244 พรุ่งนี้มะรืนนี้อาจโดนดูดอีกเป็นสิบ ทั้งที่พรรคหนุนลุงตู่ มีจริงแค่ 120 ได้สูตร กกต.เพิ่มพรรคเล็กเป็น 130 กว่า

ถ้าเป็นการเมืองปกติ พรรคอะไรก็ได้ 20-30 เสียง โดดจับมือ 7 พรรค ก็เป็นรัฐบาลทันที แต่นี่ หญิงหน่อยอุตส่าห์ประกาศไม่รับตำแหน่ง เชื้อเชิญขั้วที่สาม ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย ที่ไหนได้ กลับไปจับมือกัน 103 เสียง 116 เสียง ต่อรองร่วมรัฐบาลพลังประชารัฐ

ทำไงได้ละครับ ทุกพรรคก็รู้แก่ใจ เลือกนายกฯ ต้องใช้ 250 ..ตราบใดที่รวมกันไม่ถึง 376 เสียง ไม่มีทางชนะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าบทบาทจุดยืนแต่ละพรรคเป็นอย่างไร ในวิกฤติ 13 ปีที่ผ่านมา
พรรคการเมืองจึงหันมาต่อรองให้ได้มากที่สุด แบบไหนๆ ก็ไหนๆ แหม่ พรรคประชาธิปัตย์ก็น่าเห็นใจ มาร์คดันประกาศไม่เอาลุงตู่ จนพ่ายแพ้ แต่ 52 เสียงก็ยังมากพอจะชี้ขาด ทำให้รัฐบาลสืบทอดอำนาจมีเสถียรภาพ

ฉะนั้นหากจะให้ ปชป.แบกหน้ากลืนคำ ทำไม่รู้ไม่ชี้ ไม่เคยมีสัญญาประชาคม 3.9 ล้านเสียง อัตราแลกเปลี่ยนก็ต้องคุ้มกัน แบบขอเป็น มท.1 คุมเลือกตั้งท้องถิ่น คุมผู้ว่าฯ นายอำเภอ จนเลือกตั้งครั้งหน้า รวมทั้งขอนั่งพาณิชย์ แก้ราคายาง เพื่อแย่งชิงฐานเสียงที่สูญเสียในภาคใต้
ส่วนพลังงานเป็นของแถม เพราะปั้นน้ำเป่าลมเสกแดดเข้าตลาดหุ้นได้แสนล้าน ต้องให้นักประชาธิปไตยสุจริตดูแล จึงจะพอฟัดพอเหวี่ยงกับก๊วนทวงคืน
ประชาชนจะยอมรับหรือไม่ ก็แล้วแต่การตีความ ว่า 3.9 ล้านเสียงเลือก ปชป.เพราะเชื่อว่าไม่เอาลุงตู่ หรือเชื่อว่า ปชป.ดีแต่พูด สุดท้ายก็เอาลุงอยู่ดี

เช่นกัน ภูมิใจไทยที่ให้สัญญาประชาคมไม่เอา 250 ..ก็ต้องเกาะหลังปชป. ภายใต้ข้ออ้าง ได้ทำนโยบายให้ประชาชน เช่นต้องคุมสาธารณสุข ปลูกกัญชาบ้านละ 6 ต้น คุมท่องเที่ยวกีฬา เพื่อลดอำนาจรัฐให้ทุกจังหวัดมีผู้ยิ่งใหญ่แบบบุรีรัมย์ คมนาคมเป็นแค่ของแถม ในฐานะผู้รอบรู้วงการก่อสร้าง
พรรคอื่นๆ ก็ย่อมเรียกร้องต้องการ ทำงานตามความสามารถ เช่น มงคลกิตต์อยากเป็น รมช.ศึกษา
การต่อรองเช่นนี้ เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อรัฐธรรมนูญ 2560 ต้องการให้เกิดรัฐบาลผสม ถอยหลังไปสู่ยุคก่อนรัฐธรรมนูญ 2540 หรือ 2521 ซึ่งตอนนั้นคงจำกันได้ว่าเกิดโรคร้อยเอ็ด

แต่ประชาชนซึ่งผ่านการเมืองยุคนั้นมาไกล ส่วนใหญ่ก็จะร้องยี้ และจะสะใจคำพูด ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ที่ว่าพรรคการเมืองไม่มีอุดมการณ์ มีแต่รอร่วมอุดมกิน เป็นฝ่ายค้านมันอดอยาก แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ ก็ไม่เอา” “พรรคที่ออกไปลงคะแนนให้ มันเอาคะแนนของเราไปปู้ยี่ปู้ยำต่อรองกันหน้าดำหน้าแดงขนาดไหน

การเมืองน้ำเน่า ใช่เลยครับ แต่ใครกันเล่า ออกแบบการเมืองน้ำเน่า อยากเห็นการเมืองน้ำเน่า เพื่อให้ทหารเข้ามายึดอำนาจได้ง่ายๆ เพื่อสร้างภาพองค์กรมหาเทพ บิดเบือนทำลายคะแนนเสียงที่มาจากเจตนารมณ์ของประชาชน ครั้นมีใครพยายามจะสร้างการเมืองใหม่ ก็ถูกทำลายมาทุกยุคสมัย
พลังอนุรักษนิยมไทยไม่เคยต้องการการเมืองน้ำดี แต่ต้องการน้ำเน่าที่ทำให้ตัวเองดูดี

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar