ขึงพืดพฤษภา : คอลัมน์ ใบตองแห้ง
27 ปี พฤษภา 35
ญาติวีรชนคงจัดพิธีรำลึกที่อนุสรณ์สถานเหมือนทุกปี มีตัวแทนพรรคการเมือง
มีผู้แทนกองทัพ มีผู้แทนรัฐบาล ไปร่วมกันวางพวงมาลา กล่าววาจายกย่องสดุดี
ขณะที่ญาติผู้เสียชีวิตพฤษภา 53 ทยอยรำลึก 9
ปีข้างถนน โดยสังคมไม่ยอมให้เรียกวีรชน ดีเท่าไหร่ศาลตัดสินว่าไม่ได้
เผาบ้านเผาเมือง ทั้งเด็กหนุ่มอายุ 17 อายุ 14
อาสากู้ภัยที่พยายามเข้าไปช่วยคนถูกยิง ยังไม่ได้รับความยุติธรรม
ทั้งที่ศาลไต่สวนว่ากระสุนมาจากทหาร
พวกเกลียดชังเสื้อแดงเย้ยหยัน นปช.ใกล้อวสาน
ต้องย้ายที่ทำการ เพราะหมดท่อน้ำเลี้ยง จะจัดงานรำลึกกันได้อีกกี่ปี 5
ปีมานี้ก็แตกกระสานซ่านเซ็น พวกลี้ภัยยังหาศพไม่เห็น
แต่ถามว่าชะตากรรมทางอุดมการณ์ของ 2
เหตุการณ์ต่างกันตรงไหน ไม่ว่า “ม็อบมือถือ” หรือ “ม็อบไพร่” ถ้าวิญญาณ
มีจริง คงได้ยินเสียงร่ำไห้ระงม เพราะจิตวิญญาณพฤษภาถูกขึงพืด ถูกข่มขืนใจ
ภายใต้รัฐธรรมนูญที่ถอยหลังไปยิ่งกว่ารัฐธรรมนูญ 2534
ช่างบังเอิญเสียกระไร
ที่การเลือกตั้งมาประกาศผล ประกาศตั้ง ส.ว. และจะลงมติเลือกนายกฯ
เดือนนี้พอดี เดือนที่ 27 ปีก่อนประชาชนตายเกลื่อน
เพราะต่อต้านการสืบทอดอำนาจ เดือนที่ 9 ปีก่อน 99 ศพ
สูญเสียจากการทวงอำนาจเลือกรัฐบาล
ซึ่งเลือกแล้วโดนยุบพรรคโดนแย่งชิงงูเห่าไปเข้าค่ายทหาร
จากอดีตที่ใช้วิธีกวาดต้อน ส.ส.มาตั้ง
“พรรคมาร” ครั้งนี้เอาทุกอย่าง ทุกวิธีการ ที่เคยด่า “ทุนสามานย์”
ว่าล่อซื้อด้วยประชานิยม เขียนรัฐธรรมนูญตั้ง ส.ว.กากี่นั้ง
มาเลือกกันเองโต้งๆ อย่างที่ รสช.ยังไม่กล้าทำ แต่ใช้นิติกรรมอำพราง
ให้ลงประชามติโดยไม่มีตัวเลือก รณรงค์ข้างเดียว แล้วผูกมัดว่านี่คือ
“กติกา” ที่ประชาชนต้องยอมรับชั่วกัลปาวสาน
ช่างน่าประหลาดใจว่า 27
ปีผ่านไปสังคมไทยกลับศรีทนได้ ทำไมปี 35 ทนไม่ได้
วีรชนต้องตายเพื่อให้ได้ความชอบธรรม เพื่อสกัดกั้นการสืบทอดอำนาจตามอำเภอใจ
แต่วันนี้ “ผีพฤษภา” กลับเคว้งคว้าง
ซ้ำร้ายบางคนที่เคยร่วมต่อสู้ เคยเป็นแกนนำ กลับมีบทบาทสำคัญทำให้เกิดรัฐประหาร 2 ครั้ง กระทั่งประชาธิปไตยต่ำเตี้ยถึงปัจจุบัน
โดยบางคนก็ยังมีความละอาย ไม่กล้าไปสู้หน้าคนตาย แต่บางคนผิวไม่ระคาย ลอยหน้าลอยตาบิดเจตนารมณ์ รุมโทรมจิตวิญญาณพฤษภาเสียเอง
27 ปีผ่านไป
ความไม่ชอบธรรมถูกเขียนใหม่เป็นความถูกต้องตามกติกา 9 ปีผ่านไป
ความเกลียดชังถูกปลูกฝังจนยอมให้ทำอะไรได้ทุกอย่าง เพื่อกำจัดฝ่ายตรงข้าม
โดยอ้างว่านั่นคือกฎหมาย
ยอมรับระบอบที่ปิดกั้น
ยอมให้เอาเปรียบกันอย่างไร้ยางอาย ยอมให้เล่นพวกพ้อง อุปถัมภ์
แล้วยังมีหน้ามาสอนลูกหลานให้อยู่ในศีลในธรรม นี่คือสังคมไทย?
แน่ละ มีเสียงโวยวายตั้งพวก แต่สักกี่วัน
ดันทุรังเสียงแข็งสักพัก
สื่อสอพลอและกองหนุนหน้ามืดก็หวนกลับไปด่าระบอบทักษิณ เสื้อแดง แถมธนาธร
ที่กลัวจะเป็นภัย
เป็นอย่างนี้ไม่รู้กี่ครั้ง
ที่ใช้อำนาจไม่ชอบธรรม ก็ยังถูลู่ถูกังไปได้ ฉะนั้นอย่าแปลกใจ
การสืบทอดอำนาจไม่เพียงสำเร็จ แต่อาจอยู่ยั้งยืนยงด้วยผนังทองแดงกำแพงเหล็ก
คือความเป็นปึกแผ่นของเครือข่ายอำนาจอนุรักษนิยม ปืน กฎหมาย
พลังมวลชนสุดโต่ง และทุนยักษ์ใหญ่
สิ่งที่ รสช.ทำไม่สำเร็จ คสช.ทำสำเร็จแล้ว (ดีใจไหมครับพ่อ)
ประชาชนก็คงต่อต้านได้ยาก เพราะไม่มีปี 35
อีกแล้ว มีแต่ปี 53 ตายฟรี ต้องยอมรับระบอบที่แย่ลงๆ เพียงเพื่อมีชีวิตอยู่
อย่างมีความหวังน้อยลงๆ
การทำลายความหวัง ทำให้ประชาชนสิ้นหวัง
จนกระทั่งเกิดดราม่า บินไปคลอดลูกอเมริกา คือวิถีทางที่มีประสิทธิภาพที่สุด
ในการรักษาอำนาจ โดยไม่ต้องสนใจว่า อนาคตประเทศจะต่ำตมเพียงไร
อีกไม่กี่ปี ญาติวีรชนคงเหลือน้อยลงๆ
ความหมายก็หดหายไป พวกเสื้อแดงก็คงแตกสลาย กระจัดกระจาย หรือแก่ตาย หลายๆ
คนคงหวังเช่นนั้น
แล้วหวังจะสร้างคนรุ่นใหม่แบบพาเด็กมหิดลวิทยานุสรณ์ไปเข้าค่าย
ฝึกเชื่อฟังคำสั่ง ที่โรงเรียนนายร้อย จปร.
กระนั้นอย่าลืมว่า 43 ปี 6 ตุลา “เก้าอี้ฟาด”
ก็ยังกลับมา ในแร็พ “ประเทศกูมี” ผีพฤษภาก็ไม่ได้สิงอยู่กับญาติ กับสีเสื้อ
แต่อยู่กับการเรียกร้องประชาธิปไตย ความเป็นธรรม ความยุติธรรม
ซึ่งแม้ดูจะไม่มีความหวังในอนาคตอันใกล้
แต่ก็จะข่มขืนใจแล้วจับถ่วงน้ำไม่ได้ง่ายๆ ต่อให้ตั้งพี่ชายโหรเข้าสภา
เพียงต้องยืนหยัดอึดแข่งกันว่า จุดเปลี่ยนจะมาถึงเมื่อไหร่เท่านั้น
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar