torsdag 5 september 2019

ชีวิตของคนไทยภายใต้การปกครองของกษัตริย์โจรและรัฐบาลโจร ...

“ไม่สงสารผมหรือ” ควรเป็นคำที่ 'บิลลี่ พอละจี' พูดมากกว่า 'ตูนี่ พอกันที' พ่น


ชินแสการเมือง ตำแหน่งใหม่ในรัฐบาล คสช.๒ ภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล กินเงินเดือนสำนักเลขาฯ นายกฯ ทำนายว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะครองอำนาจยาวถึง ๘ ปี เจ้าตัวทำออดอ้อน “ไม่สงสารผมหรือ”
แต่ชาวบ้านอกสั่นที่จะต้องเจอกับสภาพหากินฝืดเคืองกันต่อไปเป็นเวลานานกาเล แล้วยังบ้านเมืองวิบัติขาดนิติธรรม กฎหมายเข้าข้างคนบางคนแต่เหี้ยมโหดต่อใครที่ไม่เห็นพ้องกับ คสช. กติกาสากลใช้บังคับกับผู้มีอำนาจไม่ได้
หรือกระทั่งถูกบ่ายเบี่ยงไม่ยอมถือปฏิบัติ ดังเช่นกฎหมายว่าด้วยการบังคับบุคคลสูญหาย ซึ่งสหประชาชาติเรียกร้องให้ต้องตราขึ้นมาใช้กำกับควบคุม ทว่ารัฐบาล คสช.๑ อิดเอื้อนหรือทำเฉยเมยมาตลอด ๕ ปี แม้จะมีเหตุเกิดแล้วหลายราย
รวมทั้งกรณีของ พอละจี รักจงเจริญ นักกิจกรรมชาวกะเหรี่ยงที่รู้จักกันในนาม บิลลี่ ที่หายตัวไปตั้งแต่เมื่อ ๕ ปีที่แล้วเพิ่งได้รับการเปิดเผยจากดีเอสไอ ว่าพบซากกระดูกของเขาที่ก้นแก่งกระจาน พร้อมถังเหล็กซึ่งเชื่อว่าใช้ใส่เผาร่างของเขา
บิลลี่ถูกเจ้าหน้าที่ป่าไม้ควบคุมตัวไปตั้งแต่กลางเดือนเมษายน ๒๕๕๗ ด้วยข้อหาเก็บน้ำผึ้งในเขตป่าสงวน มือนอ(พิณนภา พฤกษาพรรณ) ภรรยาของเขาด้วยความร่วมมือของเครือข่ายองค์การสิทธิมนุษยชน “ร้องต่อศาลจังหวัดเพชรบุรี
ขอให้มีการไต่สวนการหายตัวไปของบิลลี่ แต่ต่อมาศาลยกคำร้อง โดยระบุว่าหลักฐานไม่เพียงพอ” ทั้งยังอ้างว่ามือนอไม่ได้จดทะเบียนกับบิลลี่จึงไม่สามารถอ้างเป็นผู้เสียหายได้ ในเดือนพฤศจิกายนปีนั้น มีการออกหนังสือสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์
สั่งยุติการกล่าวหานายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ปกปิดหลักฐานการทุจริต โดยระบุว่า “ไม่มีพยานหลักฐานที่จะพิสูจน์และยืนยันได้ว่า การกล่าวหาเป็นความจริง” หากแต่ต่อมาภายหลังผู้ที่ให้การเป็นพยานว่าพบเห็นบิลลี่หลังจากวันที่ป่าไม้เขตแก่งกระจานอ้างว่าปล่อยตัวบิลลี่แล้วนั้น กลับคำให้การ
ปลายเดือนมิถุนายน ๒๕๖๑ กรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับเอาคดีของบิลลี่จากกองบัญชาการตำรวจภูธร ๗ ไปสอบสวน แบ่งเป็นสองสำนวนคือ กรณีเจ้าหน้าที่อุทยานฯ เหนี่ยวรั้งคดี กับเรื่องการหายตัวไปของบิลลี่ ซึ่งกรณีหลังมีการส่งประดาน้ำลงไปเสาะหาหลักฐานบริเวณใต้สะพานแขวน
พบถังเหล็กขนาดบรรจุ ๒๐๐ ลิตรเจาะเป็นช่องเปิดด้านข้างลักษณะไหม้ไฟ ภายในมีเศษกระดูก ๔ ชิ้นและเหล็กเส้น ๒ ท่อน จากการชันสูตรทางนิติวิทยาศาสตร์ทราบว่ากระดูกที่พบเป็นกระดูกศีรษะบริเวณใกล้ท้ายทอยของบิลลี่
ส่วนเหล็กเส้นนั้น อังคณา นีลไพจิตร อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชน อธิบายว่าตามประสบการณ์ของตนในคดีการสูญหายของสามี (ทนายสมชาย นีละไพจิตร) เหล็กท่อนเหล่านั้นใช้สำหรับขัดด้านบนของถัง เพื่อที่เวลาเผาศพที่ถูกยัดใส่ถังไว้จะได้ไม่ดันขึ้นมา เมื่อเส้นเอ็นในร่างศพถูกไฟแล้วจะตึง “เพราะเป็นการเผาสด
 
เรื่องนี้คนทั่วไปอ่านยังใจสลาย สำหรับครอบครัวคงไม่สามารถพรรณนาได้ การฆ่าก็โหดร้ายทารุณมากแล้ว การทำลายศพยิ่งทำให้เห็นความโหดเหี้ยม อมหิตไร้มนุษยธรรมมากขึ้นไปอีก” อังคณาโพสต์ข้อความจี้ให้ดีเอสไอ “เริ่มดำเนินคดีฆาตกรรมซ่อนเร้นอำพราง” ซึ่งมีอายุความต่อไป ๒๐ ปี
“การฆ่าก็โหดร้ายทารุณมากแล้ว การทำลายศพยิ่งทำให้เห็นความโหดเหี้ยม อมหิตไร้มนุษยธรรมมากขึ้นไปอีก ยังมีอีกหลายคนที่ยังสูญหายโดยปราศจากการค้นหา #คนก็หาย #กฎหมายก็ไม่มี” อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนที่ต้องลาออกเพราะการทำงานยิ่งติดขัดในยุค คสช.๒ ให้อุทธาหรณ์
สำหรับมือนอ ภรรยาของบิลลี่ แสดงปฏิกิริยาหลังจากได้ฟังการแถลงข่าวของดีเอสไอตอนหนึ่งว่า “...สำหรับเราเป็นวันที่จุกอกหายใจไม่สะดวก...เหมือนกับความรู้สึกต่างๆ นานาเกินกว่าที่จะบรรยาย จนลงกะเพาะแน่นเต็มจุกอกไปหมด
...แต่กลับกันอยากรู้ว่าคน กระบวนการที่กระทำกับบิลลี่นั้น คือบิลลี่ไปทำอะไรให้เจ็บปวดอย่างไร ถึงขั้นเอาชีวิตบิลลี่ไปได้ลงคอ... #ขอคำชี้แจงด้วยค่ะ #ขอบคุณหน่วยงานดีเอสไอ ที่ช่วยติดตามคดีบิลลี่ ให้ได้รู้ว่า #บิลลี่อยู่ในน้ำเขื่อนแก่งกระจาน

"ฆ่ายัดเสาถ่วงน้ำโขง " 'สุรชัย แซ่ด่าน

"ฆ่ายัดเสาถ่วงน้ำโขง " 'สุรชัย แซ่ด่าน

ตร.เร่งหาเบาะแสคดีฆ่ายัดเสาถ่วงน้ำโขง - เมียไม่เชื่อเป็น 'สุรชัย แซ่ด่าน'

คาดมี 3 ศพถูกทุบทิ้งแม่น้ำโขง ตร.เร่งหาเบาะแสคดี ขณะที่มีผู้ตั้งข้อสงสัยเป็น 3 แกนนำเสื้อแดงที่ลี้ภัยในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งหายตัวไปตั้งหลัง 12 ธ.ค.ที่ผ่านมาหรือไม่ ส่วนเมียไม่เชื่อเป็น 'สุรชัย แซ่ด่าน' คาดลักพาตัวเพื่อหยุดการวิพากษ์วิจารณ์ต่อต้านเผด็จการ
31 ธ.ค.2561 สำนักข่าวไทย รายงาน คืบหน้าคดีฆ่าคว้านท้องชาย อายุประมาณ 30-40 ปี ยัดเสาปูน 1 เมตร ถ่วงแม่น้ำโขง ก่อนศพลอยอืดขึ้นที่บริเวณ  ริมตลิ่งแม่น้ำโขง บ้านสำราญเหนือ ตำบลอาจสามารถ จังหวัดนครพนม ชุดสืบสวนภูธรเมืองนครพนม ระบุเบื้องต้นตรวจสอบในพื้นที่ใกล้เคียง ยังไม่มีผู้ใดเข้าแจ้งความคนหาย  ขณะนี้รอผลชันสูตรศพ จากสถาบันนิติเวช โรงพยาบาลศรีนรินทร์ ขอนแก่น ที่จะทำให้ได้เบาะแสผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากจากการตรวจสอบพื้นที่ใกล้เคียงยังไม่มีการแจ้งบุคคลหายแต่อย่างใด ขณะที่การสืบสวนพบก่อนหน้านี้ เพียง 2 วัน พบศพถูกฆ่าในลักษณะเดียวกันในพื้นที่ สภ.ธาตุพนม สันนิษฐานทั้ง 2 ศพ อาจเกี่ยวข้อง และถูกฆ่ามาจากที่เดียวกัน อีกทั้งผู้ตายทั้ง 2 มีรูปร่างใกล้เคียงกัน และอาจเป็นไปได้ว่า จะถูกฆ่าในฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากลักษณะมีความเป็นมืออาชีพ ส่วนสาเหตุให้น้ำหนักไปที่เรื่องขัดผลประโยชน์ และเรื่องส่วนตัว
ขณะที่ สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น รายงานเพิ่มเติมด้วยว่า เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. เจ้าหน้าที่ นรข. คนหนึ่งได้โพสต์ภาพลงสื่อโลกโซเซียลออนไลน์ ว่าพบศพชายไทยไม่ทราบสัญชาติ ลอยอืดโผล่ติดริมตลิ่งริมฝั่งแม่น้ำโขง บริเวณ ต.ท่าจำปา อ.ท่าอุเทน มีลักษณะถูกฆ่าเหี้ยมโหดคล้ายคลึงกันกับศพที่พบที่บริเวณริมตลิ่งแม่น้ำโขง
นอกจากนี้ในโซเชียลเน็ตเวิร์คอย่างเฟสบุ๊คยังไม่การตั้งประเด็นโยงกับ การหายตัวไปของผู้ลี้ภัยทางการเมืองที่อยู่ประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ (สุรชัย แซ่ด่าน) นักเคลื่อนไหวทางการเมืองวัย 75 ปีซึ่งได้ลี้ภัยออกจากประเทศไทยหลังการรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557 ได้หายตัวออกจากที่พักพร้อมกับเพื่อนผู้ลี้ภัยอีก 2 คนที่พักอาศัยอยู่ด้วย หลังจากที่มีการโทรศัพท์ติดต่อกับคนอื่นๆ ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 12 ธ.ค.2561 เนื่องจากก่อนหน้านี้ ผู้ลี้ภัย เช่น ดีเจซุนโฮ (อิทธิพล สุขแป้น) ตั้งแต่ปี 59 หรือโกตี๋ (วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ) ปี 60 ก็หายตัวไปและไม่ทราบชตากรรม คาดว่าถูกอุ้มหาย
ข่าวสดออนไลน์ รายงานวันนี้ว่า ปราณี ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือ ป้าน้อย ภรรยาของสุรชัย เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 9 ธ.ค.ที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ทางครอบครัวยังไม่สามารถติดต่อกับนายสุรชัยได้ แต่อย่างไรก็ตาม ตนเองไม่เชื่อว่าศพที่ลอยแม่น้ำโขงมานั้นจะเป็นศพของสามี เนื่องจากรูปพรรณสัณฐานของศพเป็นคนหนุ่มอายุ 30-40 ปี จึงเชื่อว่าไม่ใช่สามีของตนอย่างแน่นอน ประกอบกับตนกำลังอยู่ระหว่างการปฏิบัติธรรม จึงไม่สะดวกที่จะเดินทางไปดูผลการพิสูจน์อัตลักษณ์ศพดังกล่าว
ปราณี กล่าวต่อว่า ตนอยากให้ญาติพี่น้องที่เกี่ยวข้องกับเพื่อนผู้ลี้ภัยทั้ง 2 คนขอสุรชัยเดินทางไปดูผลพิสูจน์อัตลักษณ์เพื่อความสบายใจ การหายตัวไปของสุรชัยคาดว่าเป็นการลักพาตัวเพื่อหยุดการแสดงความเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์การเมือง เพราะช่วงหลังๆ สุรชัยได้อัดคลิปแสดงความเห็นและวิพากษ์วิจารณ์ต่อต้านเผด็จการบ่อยขึ้น ดังนั้น การหายตัวไปของสุรชัยคือการลักพาตัวที่เกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างไม่ต้องสงสัย
ปราณี กล่าวต่อว่า ตนได้เตรียมใจสำหรับเรื่องแบบนี้ไว้ตั้งแต่ก่อนแต่งงานแล้วว่า ผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องการเมืองส่วนใหญ่ถ้าไม่ตายก็ติดคุก หรือไม่ก็ต้องหนีออกจากประเทศเท่านั้น ตนเป็นห่วงก็มีเรื่องสุขภาพของนายสุรชัย เพราะดูจากสภาพการรื้อค้นในบ้านพัก นายสุรชัยไม่ได้นำสิ่งของที่ปกติจะพกติดตัวไปด้วย โดยเฉพาะยาที่ต้องกินเป็นประจำ แต่ก็ยังหวังว่าคงไม่ถึงกับฆ่าแกงกัน อาจจะแค่กักขัง เพื่อหยุดการวิพากษ์วิจารณ์การเมืองของนายสุรชัยเท่านั้น ซึ่งตนก็ยังคงรอการติดต่อจากนายสุรชัยและผลพิสูจน์ที่ชัดเจน

- ความโหดเหี้ยมที่"พลเมืองไทย"ยังคงได้รับ จากกษัตริย์ใหม่ ...

https://www.facebook.com/jom.petchpradab/videos/10157123915403965/




 


เสียงร่ำให้และคำวิงวอนจากแม่ถึงลูกผู้ลี้ภัย กันยา ... ( คลิกอ่านประกอบ )

- ความโหดเหี้ยมที่"พลเมืองไทย"ยังคงได้รับ

เห็นข่าวคุณเอกชัย หงส์กังวาน นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ถูกทำร้ายอีกแล้วเป็นครั้งที่ 9
- เห็นข่าวคราวการจัดงานรำลึกให้กับประชาชน ที่ล้มตายไป เพราะถูกเผด็จการใจโหดในเมืองไทยเข่นฆ่า เหมือนจะรำลึกกันทุกเดือนทุกปี
- เห็นข่าวแม่ เมีย และลูก ที่เมืองไทย ตามหาสมาชิกในครอบครัวตัวเองที่หนีภัยการเมืองไปอยู่ต่างประเทศ แต่สุดท้ายก็ไม่พ้นเอื้อมมือ โหดอำมหิตของเผด็จการชนชั้นนำในไทย ถูกอุ้มฆ่า หาศพไม่เจอ
- ไม่ต้องพูดถึงข่าวคราวที่ประชาชนคนเดินดิน ถูกกระทำ ถูกข่มเหง รังแก ถูกอำนาจรัฐหรือข้าราชการ กระทำย่ำยี ไม่เห็นหัวประชาชน มีอยู่ทุกหัวระแหงบนแผ่นดินไทย
- ขณะที่ฝ่ายเผด็จการชนชั้นนำ กลับเคลื่อนไหวกันอย่างคึกคัก เพื่อรวมหัวกระชับอำนาจกันเองอย่างเหนียวแน่นมากขึ้นทุกวัน ผสมโรงเข้ากับนักการเมืองบางพรรคบางคนที่หลอกลวงประชาชนอย่าหน้าด้านๆ อีกทั้งนักวิชาการ ปัญญาชนบางคน ที่ไร้ศักดิ์ศรี ยอมขายตัวเป็นทาสรองตีนเผด็จการ
- เห็นแบบนี้แล้ว ...เหนื่อย หนัก และอีกนาน ที่ “ประชาชนคนไทย” จะอยู่ในแผ่นดินเกิดของตัวเองได้อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีคุณภาพชีวิต มีความเสมอภาคเท่าเทียม และมีความสุขสมบูรณ์ตามที่คาดหวัง
- ที่อารัมภบทมาเช่นนี้ เพื่อที่จะบอกกล่าวถึงเรื่องราวของการอุ้มหาย หรืออุ้มฆ่า “ผู้ลี้ภัยการเมืองไทย”ในต่างประเทศ..(อีกแล้ว)
- “ชูชีพ ชีวะสุทธิ์ หรือ ลุงสนามหลวง” “สยาม ธีรวุฒิ หรือสหายข้าวเหนียวมะม่วง” และ“กฤษณะ ทัพไทย หรือสหายยังบลัด” ...เป็นอีก 3 ชีวิตผู้ลี้ภัยการเมืองไทย ที่ถูกสังหารโหด ด้วยฝีมือเผด็จการชนชั้นสูงในไทย
- ผมพยายามติดตาม หาข้อมูลผู้ลี้ภัยไทยทั้ง 3 คนดังกล่าว ตั้งแต่ทราบข่าวว่าถูกทางการเวียตนามจับกุมตัวในข้อหาพยายามลักลอบเข้าประเทศด้วยการใช้หนังสือเดินทางปลอม และถูกคุมขังอยู่ในคุกเวียตนามตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
- ได้สอบถามไปยังบุคคลที่ใกล้ชิด 2-3 คน ซึ่งได้รับคำยืนยันตรงกันว่า ทั้ง 3 คน ถูกทางการเวียตนามจับกุมตัวด้วยข้อหาดังกล่าวจริง ตั้งแต่เดือนมกราคม 2562 ที่ผ่านมา โดยสันนิษฐานว่าทั้ง 3 คนเดินทางเข้าไปยังเวียตนามในรอบที่ 2 หลังจากที่ก่อนหน้านั้นเคยเล็ดลอดเข้าไปเวียตนามผ่านตะเข็บขายแดนลาวเวียตนามประมาณปลายปี 2561
- “ที่เชื่อเช่นนั้นเพราะว่า ลุงสนามหลวงแจ้งให้สมาชิกในเครือข่ายสหพันธรัฐไทยทราบว่า จะขอหยุดการทำคลิปชั่วคราว เพราะกำลังเดินทางเพื่อปฎิบัติภารกิจลับ” สมาชิกสหพันธรัฐไทยที่ใกล้ชิดคนหนึ่งเล่าให้ผมฟัง และว่า หลังจากนั้นประมาณเดือนมกราคม 2562 ก็ได้รับแจ้งจากลุงสนามหลวงผ่านทางไลน์ว่า “ตอนนี้อยู่ในเวียตนาม..ปลอดภัยดี” แต่หลังจากนั้นก็ทราบข่าวว่าลุงสนามหลวง กับอีก 2 คนถูกจับกุมอยู่ในคุกเวียตนาม
- “แต่ต่อมาวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2562 ติดต่อมาทางไลน์กับลุงสนามหลวงได้ ก็ยังบอกว่าปลอดภัยดี ซึ่งตอนนั้นน่าจะอยู่ในโรงแรม ที่ไหนสักที่ เพราะขณะที่คุยกันก็มีคนมาเคาะประตูและบอกว่า กำลังจะออกไปข้างนอกเพราะมีคนมารับ..จากนั้นก็ติดต่อลุงสนามหลวงไม่ได้อีกเลย” เป็นข้อมูลที่สมาชิกสหพันธรัฐไทยที่ใกล้ชิดลุงสนามหลวง เล่าให้ผมฟัง
- ส่วนข้อมูลจากผู้ลี้ภัยการเมืองอีกคนหนึ่ง ที่ลุงสนามหลวง ติดต่อสื่อสารอยู่เสมอเช่นกัน เล่าให้ฟังว่า “ลุงสนามหลวง หรือคุณชูชีพ ชีวะสุทธิ์ ลี้ภัยการเมืองไปอยู่จีน หลังรัฐประหาร 2549 ถูกจับกุมที่จีนครั้งหนึ่งเพราะเข้าประเทศผิดกฎหมาย ก่อนที่จะได้รับการช่วยเหลือจากบรรดาอดีตสหายพรรคคอมมินิสต์ในไทย ช่วยให้เข้ามาอยู่ในลาว และเคลื่อนไหวต่อสู้กับฝ่ายรัฐบาลเผด็จการอำมาตย์ อยู่ในลาว โดยเฉพาะวิพากษ์วิจารณ์กษัตริย์ จนเกิดรัฐประหาร 22 พ.ค.57 กลุ่มผู้ลี้ภัยไทยอีกหลายคนเดินทางเข้าไปสมทบ รวมทั้งคุณสุรชัย แซ่ด่าน ด้วย”
- “คุณชูชีพ ต้องการไปอยู่ในประเทศที่ 3 แต่ติดปัญหาเรื่องการประสานงานผ่านทางยูเอ็นเอชซีอาร์ จึงใช้เงินที่ได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกสหพันธรัฐไทยทั้งในและต่างประเทศ จ้างทำหนังสือเดินทางปลอมในราคา 7400 เหรียญสหรัฐฯ ให้ตัวเองและอีก 2 คน เมื่อได้หนังสือเดินทางราวเดือนพฤศจิกายน ปี 2561 จึงเดินทางออกจากลาว ไปยังสิงคโปร์ จากสิงคโปร์ ไปเวียตนาม แต่ก่อนหน้านั้น คณะของคุณชูชีพ เคยไปอยู่เวียตนามมาแล้วครั้งหนึ่ง โดยเล็ดลอดเข้าไปทางชายแดนลาวเวียตนาม”
- “และเมื่อได้หนังสือเดินทางปลอมในลาว เป็นหนังสือเดินทางของประเทศอินโดนีเซีย ก็ซื้อตั่วเครื่องบินจากสนามบินวัดไต จากประเทศลาว ไปยังสิงคโปร์ และจากสิงคโปร์ ไปเวียตนาม ซึ่งนั่นหมายความว่า น่าจะอยู่ในเวียตนามตั้งแต่ เดือนกุมภาพันธ์ 2562 และน่าจะถูกทางการเวียตนามจับกุมในช่วงเดือนเดียวกัน”
- “เมื่อรู้ว่าคุณชูชีพถูกทางการเวียตนามจับกุม ก็มีความพยายามที่จะให้อดีตสหายในไทยติดต่อไปยังทางการเวียตนามได้ช่วยเหลือ แต่ไม่ได้ผล ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร ขณะที่ภรรยาของคุณชูชีพที่ไทย ก็แจ้งมาว่า ไม่อยากให้ทำอะไรไปมากกว่านี้ กลัวเป็นข่าว เพราะกำลังให้ผู้ใหญ่ช่วยอยู่ ซึ่งก็ไม่รู้ว่า ผู้ใหญ่ที่ว่านั้นคือใคร และสุดท้ายทำไมถึงไม่ได้ผล”
- “ดังนั้นตอนนี้คนที่น่าจะรู้ดีที่สุดว่าลุงสนามหลวง ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่คือภรรยาของแกที่เมืองไทย แต่ถ้าจะให้ประเมินด้วยสถานการณ์แบบนี้ เปรียบเทียบกับการอุ้มหาย หรืออุ้มฆ่าคุณสุรชัย และอีก 2 ผู้ลี้ภัยไทยในลาว จะมีลักษณะคล้าย ๆ กันคือเงียบไปเป็นเดือน แล้วจู่ๆ ก็มาพบศพ”
- “กรณีของคุณชูชีพ และอีก 2 คนไทย ก็น่าจะเหมือนกัน แต่ต่างกันที่ว่ากรณีของคุณชูชีพ เชื่อว่าทางการไทยคงประสานไปเพื่อขอรับตัว คงจำกันได้ว่า ช่วงเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา มีข่าวทางการไทย จับกุมตัวผู้สื่อข่าวเวียตนามที่หนีภัยการเมืองเข้ามาติดต่อกับ ยูเอ็นเอชซีอาร์ในไทย เพื่อขอสถานะผู้ลี้ภัยไปอยู่ประเทศที่ 3 แต่ถูกทางการไทยจับ และส่งกลับเวียตนาม”
- “เชื่อว่าทางการไทยคงเดินทางไปรับตัว คุณชูชีพและอีก 2 คนไทยด้วยเงื่อนไขการแลกเปลี่ยนตัวดังกล่าว และคงเดินทางไปอย่างลับๆ โดยการใช้เครื่องบินปฎิบัติการพิเศษของกองทัพไทย หากเดินทางด้วยสายการบินพาณิชย์อาจจะตรวจสอบได้ภายหลัง”
- “เมื่อนำมาถึงไทยก็คงนำตัวไปรีดข้อมูลในค่ายทหารที่ไหนสักแห่ง ก่อนที่จะลงมือสังหารในพื้นที่ของค่ายทหาร และทำลายศพด้วยการเผาเพื่อไม่ให้เหลือร่องรอยใด ไม่อยากให้ผิดพลาดขึ้นอีก เหมือนกรณีของคุณสุรชัย และอีก 2 คนก่อนหน้านี้”
- “ เพราะหากนำตัวมากักขังไว้ก่อนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จะเป็นศาลทหารหรือศาลปกติ ก็ยิ่งจะเป็นประเด็น สร้างปัญหา สร้างความยุ่งยากให้กับรัฐบาลทหารมากขึ้น”
- นี่เป็นคำบอกเล่าจากปากของผู้ลี้ภัยไทยคนหนึ่งที่รู้จัก ใกล้ชิดและเคยเคลื่อนไหวทางการเมืองกับลุงสนามหลวงมาก่อน
- ผมถามว่า แล้ว “ใคร”คือเป้าหมายต่อไป ผู้ลี้ภัยการเมืองไทยคนนี้ ตอบผมว่า “ไม่ทราบ แต่ที่แน่ ๆ หน่วยปฎิบัติการพิเศษเพื่อกำจัดบุคคลที่วิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ ได้ถูกตั้งขึ้นมาแล้ว และมีการวางแผนปฎิบัติการอย่างจริงจัง ซึ่งเชื่อว่าเป็นปีกหนึ่งของหน่วยปฎิบัติการพิเศษ ที่ได้รับการสนับสนุนอย่างลับ ๆ จากรัฐบาลคสช. รวมทั้ง คณะบุคคล องค์กรภาคเอกชน ที่ได้ประโยชน์จากสถาบันกษัตริย์และอาจจะรวมถึงกษัตริย์และราชวงศ์เองด้วย”
- นี่คือความโหดเหี้ยมอำมหิตของผู้มีอำนาจ ที่คนไทยจำนวนไม่น้อยหลงชื่นชมบูชา
- สรุปคือว่า ..อนาคตคนไทย ประเทศไทย ยังมืดมน
- และสำหรับประชาชนที่ต่อสู้กับอำนาจเผด็จการอำมาตย์ และพวกอนุรักษ์นิยมสุดโต่งก็ยังต้อง...บาดเจ็บ ล้มตาย สูญหาย...กันอีกต่อไปอีกมากมาย
- เหนื่อย..อีกนาน
- จอม เพชรประดับ
- 14 พ.ค.2562


Jom Petchpradab

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar