บีบีซีไทยชวนย้อนดูข่าวคราวเกี่ยวกับสมาชิกราชวงศ์ทั่วโลกในปีนี้ ทั้งเรื่องที่น่ายินดี ไปจนถึงเรื่องอื้อฉาว และเรื่องน่าตกตะลึงที่จะถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์
สถาบันกษัตริย์: ข่าวเด่นราชวงศ์โลกปี 2020
สหราชอาณาจักร
2020 เป็นปีที่เกิดเรื่องราวขึ้นมากมายในราชวงศ์วินด์เซอร์ของอังกฤษ ซึ่งเปิดศักราชใหม่ด้วยข่าวที่สร้างความตกตะลึงให้แก่ผู้ติดตามข่าวราชสำนักทั่วโลก โดยเมื่อวันที่ 8 ม.ค. เจ้าชายแฮร์รี ดยุคแห่งซัสเซกซ์ และเมแกน ดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ พระชายา ประกาศลดบทบาทในฐานะพระราชวงศ์ชั้นสูง และมีพระประสงค์จะทำงานเลี้ยงชีพเยี่ยงสามัญชนทั่วไปเพื่อให้มีอิสระทางการเงิน
เรื่องนี้ได้สร้างความเสียใจและผิดหวังให้สมาชิกราชวงศ์อังกฤษเป็นอย่างมาก เพราะการประกาศดังกล่าวมีขึ้นโดยไม่มีการหารือเรื่องนี้กับพระบรมวงศ์พระองค์ใดมาก่อน
โดยหลังจากการประชุมของพระบรมวงศ์แห่งราชวงศ์อังกฤษก็ได้ข้อตกลงว่า ดยุคและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ จะไม่ทรงดำรงพระยศ HRH (His/Her Royal Highness) ที่แสดงถึงความเป็นพระราชวงศ์ชั้นสูง และจะไม่เป็นผู้แทนพระองค์ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สอง ออกปฏิบัติพระกรณียกิจที่เป็นทางการอีกต่อไป เพื่อที่จะได้ไม่ต้องใช้เงินภาษีของประชาชนในการดังกล่าว
ทั้งสองพระองค์ยังแสดงความประสงค์จะจ่ายคืนเงินจำนวน 2.4 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นค่าซ่อมแซมพระตำหนักฟร็อกมอร์ คอตเทจ ที่ประทับในเขตพระราชวังวินด์เซอร์ หลังจากที่ทรงใช้งบประมาณของรัฐไปในการปรับปรุงพระตำหนักครั้งใหญ่เมื่อปีที่แล้ว โดยข้อตกลงเหล่านี้จะมีการทบทวนและหาบทสรุปอย่างเป็นทางการในขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับอนาคตและบทบาทของคู่ขวัญราชวงศ์อังกฤษทั้งสองพระองค์นี้ในเดือน มี.ค. ปีหน้า
- เจ้าชายแฮร์รี หนุ่มเจ้าสำราญกับเส้นทางชีวิตที่ลิขิตเอง
- ดยุคและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์จะสละฐานันดรศักดิ์พระราชวงศ์ชั้นสูง
- เปิดแถลงการณ์ฉบับเต็มจากควีน-สำนักพระราชวัง กรณีแฮร์รี-เมแกน สละฐานันดรศักดิ์
- แฮร์รี-เมแกน : คู่ขวัญราชวงศ์อังกฤษทรงมีรายได้จากไหนบ้าง
- แฮร์รี-เมแกน ทรงงานหลวงครั้งสุดท้ายก่อน "ลดบทบาท" ในฐานะพระราชวงศ์ชั้นสูง
หลังออกจากสหราชอาณาจักร เจ้าชายแฮร์รี และพระชายาได้ย้ายไปประทับในแคนาดา ก่อนที่ปัจจุบันจะทรงปักหลักอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย บ้านเกิดของดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ และเมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา มีข่าวว่าทั้งสองพระองค์ได้บรรลุข้อตกลงผลิตรายการต่าง ๆ ให้แก่เน็ตฟลิกซ์ ซึ่งทั้งคู่อาจจะปรากฏพระองค์ในบางรายการด้วย โดยสัญญานี้กินระยะเวลาหลายปี ครอบคลุมการผลิตเนื้อหาทั้งภาพยนตร์สารคดี ซีรีส์ และรายการสำหรับเด็ก
ขณะที่เมื่อปลายเดือน พ.ย. ดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ ทรงเปิดเผยข่าวร้ายเรื่องการแท้งบุตรคนที่สองของพระองค์เมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมาว่าเป็น "ความทุกข์ใจที่ยากจะทานทน"
ท่ามกลางวิกฤตโรคโควิด-19 ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลกนั้น เมื่อวันที่ 25 มี.ค. ก็มีการเปิดเผยว่า เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ มกุฎราชกุมารอังกฤษ ทรงได้รับการตรวจว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แต่ทรงมีอาการไม่รุนแรง ซึ่งในเวลาต่อมา พระองค์ได้เปิดเผยว่าทรงโชคดีที่รอดพ้นจากการประชวรรุนแรงมาได้ อย่างไรก็ตามทรงเผยว่า 3 เดือนหลังจากการติดเชื้อ ประสาทรับกลิ่นของพระองค์ยังไม่สามารถกลับมาทำงานได้ตามปกติ
เมื่อต้นเดือน พ.ย.มีแหล่งข่าวในราชสำนักเปิดเผยกับบีบีซีว่า เจ้าชายวิลเลียม ดยุคแห่งเคมบริดจ์ ทรงได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อโรคโควิด-19 เมื่อประมาณเดือน เม.ย. ซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่พระบิดา คือ เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ทรงติดเชื้อ
เดอะซัน หนังสือพิมพ์แทบลอยด์ชื่อดังที่เปิดเผยเรื่องนี้เป็นรายแรก ระบุว่า เจ้าชายวิลเลียมทรงเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับเพราะไม่ต้องการสร้างความตื่นตระหนกให้คนในชาติ
แม้ในรอบปีนี้สมาชิกราชวงศ์วินเซอร์เผชิญกับเรื่องที่หนักหน่วง ทว่าก็ยังมีข่าวดีของพระธิดาสองพระองค์ในเจ้าชายแอนดรูว์ ดยุคแห่งยอร์ก พระราชโอรสองค์กลางในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สอง นั่นคือเจ้าหญิงเบียทริซ ที่เข้าพิธีเสกสมรสกับนายเอ็ดโด แมเปลลี มอซซี นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เมื่อกลางเดือน ก.ค. โดยงานจัดขึ้นเป็นการส่วนพระองค์ที่โบสถ์หลวงในเมืองวินด์เซอร์ ขณะที่เจ้าหญิงยูเชนี พระขนิษฐา ทรงประกาศข่าวการมีทายาทคนแรกกับนายแจ็ก บรูกส์แบงก์ พระสวามี และคาดว่าจะมีพระประสูติกาลในต้นปีหน้า
สเปน
พระเกียรติภูมิของอดีตกษัตริย์ฮวน คาร์ลอสแห่งสเปน ต้องแปดเปื้อนเมื่อเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับธุรกรรมทางการเงินอันน่าสงสัย และบันทึกบทสนทนาของอดีตคู่รักของพระองค์ กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ในประเทศ และถูกสื่อต่างประเทศนำไปรายงานเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา
กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากทางการสวิตเซอร์แลนด์และสเปนได้เปิดการสอบสวนข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริตและการฟอกเงินของอดีตกษัตริย์ฮวน คาร์ลอส ในโครงการรถไฟความเร็วสูงในซาอุดีอาระเบีย ที่กลุ่มบริษัทของสเปนได้รับสัมปทานในการสร้าง
ในเวลาต่อมา สำนักพระราชวังสเปนได้แถลงว่า อดีตกษัตริย์ฮวน คาร์ลอส จะทรงย้ายไปพำนักในต่างประเทศ โดยในพระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จพระราชาธิบดีเฟลีเปที่ 6 กษัตริย์องค์ปัจจุบันของสเปน ซึ่งเป็นพระราชโอรสที่พระองค์ทรงสละราชสมบัติให้เมื่อ 6 ปีที่แล้ว อดีตกษัตริย์ฮวน คาร์ลอส ทรงระบุว่าพระองค์ตัดสินพระทัยครั้งนี้จาก "ปฏิกิริยาจากสังคมอันเกิดจากเหตุการณ์ในอดีตบางอย่างในชีวิตส่วนตัวของข้าพเจ้า" และด้วยความหวังที่จะทำให้พระราชโอรสของพระองค์สามารถปฏิบัติหน้าที่ในฐานะกษัตริย์ได้ "โดยสงบ"
"ด้วยความเชื่ออย่างแรงกล้าในผลประโยชน์อันดีที่สุดสำหรับประชาชนชาวสเปน, สถาบันต่าง ๆ ของชาติ, และสำหรับพระองค์ในฐานะกษัตริย์ ข้าพเจ้าขอกราบบังคมทูลเรื่องการตัดสินใจของข้าพเจ้าในการออกไปจากประเทศสเปน"
เมื่อต้นเดือน ส.ค. สื่อสเปนรายงานว่าอดีตกษัตริย์พระชนมายุ 82 พรรษาทรงปรากฏพระองค์อยู่ที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
เบลเยียม
เบลเยียมเป็นอีกประเทศที่เผชิญเรื่องราวอื้อฉาวในราชสำนัก โดยเมื่อเดือน ม.ค. ศาลอุทธรณ์เบลเยียมมีคำตัดสินให้นางเดลฟีน โบเอล ศิลปิน วัย 52 ปี ชนะคดีที่อ้างว่าสมเด็จพระราชาธิบดีอัลแบร์ที่ 2 อดีตกษัตริย์เบลเยียม เป็นพระบิดาของเธอ หลังต่อสู้คดีในศาลมานานถึง 7 ปี
ผลจากคำพิพากษาดังกล่าว ทำให้นางโบเอล ซึ่งเกิดจากความสัมพันธ์นอกสมรส มีสิทธิได้รับฐานันดรศักดิ์เป็น "เจ้าหญิงแห่งเบลเยียม" เช่นเดียวกับพระโอรสและพระธิดา 3 พระองค์ของอดีตกษัตริย์เบลเยียม อีกทั้งยังมีสิทธิ์เปลี่ยนไปใช้นามสกุล ซัคเซิน-โคบวร์ก ตามพระบิดา ส่วนลูกชายและลูกสาวของเธอก็จะได้รับพระยศด้วย
อดีตกษัตริย์อัลแบร์ที่ 2 ทรงปฏิเสธเรื่องบุตรนอกสมรสตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เพื่อหลีกเลี่ยงคำครหาอันอื้อฉาวที่อาจส่งผลกระทบต่อสถาบันกษัตริย์ จนกระทั่งปี 2019 ศาลในกรุงบรัสเซลล์มีคำสั่งให้พระองค์เข้ารับการตรวจดีเอ็นเอ
ศาลได้กำหนดกรอบเวลา 3 เดือนให้ทรงมอบตัวอย่าง พระเขฬะ (น้ำลาย) เพื่อใช้ตรวจดีเอ็นเอ โดยชี้ว่าหากไม่มีการส่งมอบ ก็จะสามารถอนุมานได้ว่านางโบเอลเป็นพระธิดาของพระองค์และจะมีสิทธิในการรับมรดก
หลังจากศาลอุทธรณ์เบลเยียมมีคำตัดสินดังกล่าว ก็มีข่าวว่าทั้งคู่ได้พบกันเป็นครั้งแรกในเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา
เนเธอร์แลนด์
แม้ที่ผ่านมา สมาชิกราชวงศ์เนเธอร์แลนด์จะเป็นที่ชื่นชอบในหมู่ชาวดัตช์จำนวนไม่น้อย แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมถึงกรณีที่สมาชิกราชวงศ์เสด็จประพาสกรีซในห้วงเวลาที่ประชาชนกำลังเผชิญความทุกข์ยากจากการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลม-อเล็กซานเดอร์ แห่งเนเธอร์แลนด์ และสมเด็จพระราชินีแม็กซิมา เสด็จพระราชดำเนินไปกรีซ เมื่อวันที่ 16 ต.ค. แต่เปลี่ยนพระทัยเสด็จกลับประเทศในวันถัดมา หลังเกิดกระแสวิจารณ์เนื่องจากในขณะนั้นรัฐบาลเนเธอร์แลนด์แนะนำให้ประชาชนอยู่กับบ้านให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลังประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์รอบใหม่ในพื้นที่บางส่วนของประเทศ
กรณีดังกล่าวส่งผลให้เมื่อปลายเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลม-อเล็กซานเดอร์ ทรงแถลงผ่านวิดีโอว่า ทรงเสียพระทัยต่อกรณีที่เกิดขึ้น ซึ่งแม้ว่าทั้งสองพระองค์ไม่ได้ทรงฝ่าฝืนกฎ แต่สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลม-อเล็กซานเดอร์ ก็ตรัสว่า "รู้สึกเจ็บปวดที่ได้ทำลายความเชื่อมั่นที่ประชาชนมีให้"
"เราหันกลับมาหาพวกท่านด้วยความเศร้าสลดที่เรามีในจิตใจ" สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลม-อเล็กซานเดอร์ตรัสในแถลงการณ์ความยาว 2 นาที
"มันช่างเจ็บปวดมากที่ได้ทำลายความไว้วางใจที่ท่านมีให้เรา"
"แม้ว่าการเดินทางเป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องฉลาดเลยที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบจากมาตรการควบคุมต่าง ๆ ที่มีต่อสังคมเรา"
ขณะที่นายมาร์ก รัตเต นายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ กล่าวยอมรับเมื่อวันที่ 18 ต.ค. ว่า เขา "ประเมินผิดพลาด" ที่ไม่ไปขัดขวางแผนการเสด็จประพาสของกษัตริย์และพระราชินี
ไทย
ข่าวของพระมหากษัตริย์ไทยได้รับความสนใจอย่างมากจากสื่อมวลชนทั่วโลกในรอบปีนี้ ทั้งเรื่องการประทับในเยอรมนีที่กลายเป็นประเด็นที่สร้างความอึดอัดใจทางการทูตระหว่างไทยกับเยอรมนี รวมถึงการที่กลุ่มผู้ประท้วงหนุ่มสาวออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องอย่างเปิดเผยให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์
ความสนใจของสื่อทั่วโลกต่อประเทศไทยและสถาบันกษัตริย์ไทยครั้งใหม่ เริ่มขึ้นหลังจาก น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ตัวแทน แนวร่วมธรรมศาสตร์การชุมนุมอ่านข้อเรียกร้อง 10 ข้อว่าด้วยการแก้ปัญหาเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ เมื่อ 10 ส.ค. และตามมาด้วยพระบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 29 ส.ค. แล้วเผยแพร่ทางเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 2 ก.ย.
ประกาศนี้มีความว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ คืนฐานันดรศักดิ์และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกชั้นตราแก่เจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี โดยให้ถือว่า ไม่เคยถูกถอดถอนฐานันดรศักดิ์กับตำแหน่งข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหารและยศทหารและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกชั้นตรามาก่อน
ไม่ถึง 1 ปีก่อนหน้านั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 2562 ให้ เจ้าคุณพระสินีนาฏฯ พ้นจากตำแหน่ง ถอดฐานันดรศักดิ์ และยศทหาร ตลอดจนเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกชั้นตรา เนื่องจากกระทำความผิดราชสวัสดิ์ และไม่จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์
ขณะเดียวกันกลุ่มผู้ประท้วงที่เรียกตัวเองว่า "คณะราษฎร 2563" ได้เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องในปีนี้ โดยนอกจากจะเรียกร้องให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออก แก้ไขรัฐธรรมนูญ และจัดการเลือกตั้งใหม่ ยังได้เรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ด้วยข้อกล่าวหาว่าทรงรวบเอาพระราชอำนาจและพระราชทรัพย์ไว้ที่พระองค์แต่เพียงผู้เดียว รวมทั้งเรื่องที่ไม่ประทับอยู่ในประเทศ และค่าใช้จ่ายที่ทรงใช้ในระหว่างที่ประทับอยู่ต่างแดน
ความไม่ชัดเจนกรณีการประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในประเทศเยอรมนี ได้กลายเป็นประเด็นที่สร้างความอึดอัดใจทางการทูตระหว่าง 2 ประเทศ
เมื่อวันที่ 7 ต.ค. เรื่องนี้ได้ถูกหยิบยกขึ้นหารือในรัฐสภาเยอรมนี ซึ่งนายฟริตยอฟ ชมิดต์ ส.ส.พรรคกรีนส์ ได้ตั้งกระทู้ถาม นายไฮโก มาส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศถึงกรณีที่กษัตริย์ไทยทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ในการประทับอยู่ในรัฐบาวาเรีย
นายมาส ชี้แจงต่อคำถามนี้ว่า "เราอธิบายไว้ชัดเจนว่าการดำเนินการทางการเมืองที่เกี่ยวกับประเทศไทยไม่ควรมาจากดินแดนของเยอรมนี...หากมีแขกของประเทศเราเข้ามาดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับประเทศของพวกเขา เราจะดำเนินการคัดค้านอย่างแน่นอน"
ในวันที่ 9 ต.ค. หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ (FT) อ้างถ้อยแถลงของ น.ส.มาเรีย อเดบาห์ร โฆษกของกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนี ที่ระบุว่า รัฐบาลเยอรมนีได้เน้นย้ำหลายครั้งกับสถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงเบอร์ลินว่า "การบริหารราชการแผ่นดินของชาติอื่นไม่ควรเกิดขึ้นบนแผ่นดินเยอรมนี" และ "เราได้แสดงจุดยืนเรื่องนี้ชัดเจนมาก"
26 ต.ค. วันที่ผู้ชุมนุมในไทยเดินขบวนไปยื่นจดหมายที่สถานทูตเยอรมนีในกรุงเทพฯ นายไฮโก มาส แถลงต่อผู้สื่อข่าวว่า "รัฐบาลเยอรมนีกำลังเฝ้าดูพระจริยาวัตรของกษัตริย์ไทยในรัฐบาวาเรีย อย่างต่อเนื่อง และ "จะเกิดผลสืบเนื่องทันที หากเราประเมินแล้วว่ามีการกระทำใด ๆ ที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย"
เมื่อวันที่ 29 ต.ค. สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวจากสภาผู้แทนราษฎรเยอรมนีว่า ผู้แทนรัฐบาลเยอรมนีได้กล่าวบรรยายสรุปในประเด็นที่เกี่ยวกับกษัตริย์ไทยให้ที่ประชุมคณะกรรมาธิการการต่างประเทศของสภาผู้แทนราษฎรฟังว่า รัฐบาลเชื่อว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงได้รับอนุญาตให้ตัดสินพระทัยเป็นครั้งคราว ตราบใดที่พระองค์ไม่ได้ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจอย่างต่อเนื่องในแผ่นดินเยอรมนี
ต่อมา สำนักข่าวดีพีเอของเยอรมนี รายงานเมื่อวันที่ 11 พ.ย. ว่า รัฐบาลเยอรมนีเผยว่าไม่พบหลักฐานว่า ในหลวง ร.10 ทรงกระทำการใดที่ผิดกฎหมายในเยอรมนี
นายมิเกล แบร์เกอร์ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศตอบกระทู้ของ ส.ส. พรรคกรีนส์เป็นลายลักษณ์อักษรว่า "จากข้อมูลที่ได้มาจากรัฐบาลไทย การประทับของพระมหากษัตริย์ไทยในเยอรมนีเป็นเรื่องส่วนพระองค์" ทางกระทรวงคาดว่า พระมหากษัตริย์ของไทยไม่ได้ทรงตัดสินพระราชหฤทัยที่ "เป็นการแทรกแซงระบบกฎหมายของเยอรมนี กฎหมายระหว่างประเทศ หรือ หลักสิทธิมนุษยชนที่ได้รับการรับรองระหว่างประเทศ" ขณะทรงประทับอยู่บนแผ่นดินเยอรมนี
ล่าสุด เมื่อ 18 พ.ย. สำนักบริการวิชาการ (WD) ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนฯ ได้นำเสนอรายงานสาธารณะ 15 หน้า ในหัวข้อ "ความเคลื่อนไหวของประมุขต่างชาติบนดินแดนเยอรมนี" ระบุว่ากษัตริย์ไทยได้รับเอกสิทธิ์ทางการทูตตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ รัฐบาลไม่มีสิทธิ์สอดแนมขณะประทับในประเทศ แต่มีสิทธิ์เชิญออกนอกประเทศหากพบหลักฐานทำผิดกฎหมายเยอรมนี
น.ส. เซวีม ดาเดเลน ส.ส. จาก พรรคฝ่ายซ้าย (DIE LINKE) และสมาชิกกรรมาธิการการต่างประเทศของสภาผู้แทนราษฎร ของเยอรมนี เปิดเผยกับบีบีซีไทยเมื่อปลายเดือน พ.ย. ว่าเธอตัดสินใจร้องต่อสำนักบริการวิชาการ ให้จัดทำรายงานฉบับดังกล่าวออกมา เพราะสงสัยในข้อกฎหมาย ว่าประมุขต่างแดนสามารถบริหารราชการแผ่นดินขณะพำนักในเยอรมนีเป็นเวลานานได้หรือไม่
"กษัตริย์วชิราลงกรณ์ของไทยประทับอยู่ที่โรงแรมหรูในรัฐบาวาเรียเป็นเวลาหลายเดือน คงเป็นเรื่องไร้เดียงสาที่จะเชื่อว่ากษัตริย์ของไทยไม่ทรงงานขณะพำนักอยู่ที่นี่ ทั้งที่มีข้อเท็จจริงปรากฏชัดเจนว่าพระองค์ไม่ได้ทรงแต่งตั้งผู้แทนพระองค์ให้ปฏิบัติงานแทนขณะไม่ได้พำนักในประเทศไทย แม้แต่รัฐบาลเยอรมนีก็มองว่าเรื่องนี้เป็นปัญหา"
น.ส.ดาเดเลน ระบุว่าจะผลักดันร่วมกับพรรคการเมืองอื่น ๆ ในสภาผู้แทนฯ เพื่อกดดันรัฐบาลเยอรมนีไม่ให้การต้อนรับกษัตริย์ไทยอีกต่อไป และต้องผลักดันให้พักการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างสหภาพยุโรป และประเทศไทย
"ขณะนี้ ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่ากษัตริย์วชิราลงกรณ์จะเสด็จฯ กลับเยอรมนีเมื่อไร ถ้ามีหมายกำหนดการเสด็จฯ จริง พรรคฝ่ายซ้ายของเราจะเคลื่อนไหวกดดันไปที่รัฐบาลเยอรมนีเพื่อสกัดกั้นไม่ให้ประมุขของไทยได้รับความยินยอมให้ประทับในสำนักงานสาขาที่หรูหราของพระองค์ในเยอรมนี ในที่สุดแล้ว...พระองค์ไม่ใช่บุคคลธรรมดา แน่นอนว่าเราจะทำงานร่วมกับพรรคกรีนส์และพรรคประชาธิปไตยอื่น ๆ ในการสร้างสัญลักษณ์แห่งประชาธิปไตยร่วมกัน"
ที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศไทยเคยชี้แจงกรณีที่เกิดขึ้น โดยเว็บไซต์วอลสตรีตเจอร์นัล รายงานคำชี้แจงเมื่อปลายเดือน ต.ค. ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระประมุขของประเทศ "ทรงปกเกล้าแต่ไม่ปกครอง" และทรงประกอบพระราชกรณียกิจในพิธีต่าง ๆ ของพระองค์ หากแต่ "ทรงไม่ยุ่งเกี่ยวในการเมืองและการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งถือเป็นความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล อย่างไรก็ตาม รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่เคยออกมาชี้แจงเรื่องการประทับในเยอรมนีของในหลวง ร.10 ต่อประชาชนเลย
ส่วนอีกเรื่องที่ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนต่างประเทศ ก็คือการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตอบคำถามสื่อต่างชาติเป็นครั้งแรกนับแต่เสด็จขึ้นครองราชย์ ซึ่งนายโจนาธาน มิลเลอร์ ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 ของอังกฤษ และสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นของสหรัฐฯ ได้เดินทางไปรายงานข่าวบริเวณหน้าพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 1 พ.ย. และทำการสัมภาษณ์ในลักษณะที่ไม่เคยมีนักข่าวคนไหนเคยทำมาก่อนด้วยการ "ยื่นไมค์" ทูลถามระหว่างที่พระองค์ทรงพระดำเนินทักทายพสกนิกร
ทวิตเตอร์ของ Channel4 เผยแพร่คลิปขณะนายมิลเลอร์ทูลถามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่าคนเหล่านี้จงรักภักดีต่อพระองค์ ทว่าพระองค์จะมีพระราชดำรัสอย่างไรต่อผู้ชุมนุมที่ออกมาบนท้องถนนเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสกลับว่า ข้าพเจ้าไม่มีความคิดเห็น เรารักพวกเขาเฉกเช่นเดียวกัน โดยตรัสคำดังกล่าวซ้ำ 3 ครั้ง
จากนั้นผู้สื่อข่าวทูลถามต่อว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีการประนีประนอมกันเกิดขึ้น ซึ่งในหลวงได้ตรัสว่าประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งการประนีประนอม จากนั้นจึงทรงพระดำเนินต่อไป
ในคลิปรายงานข่าวฉบับเต็มที่เผยแพร่ทางยูทิวบ์ของ Channel 4 ในเวลาต่อมา ปรากฏภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสอะไรบางอย่างกับสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ก่อนที่เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ จะทรงพระดำเนินกลับมาที่นายมิลเลอร์อีกครั้งและตรัสกับเขาว่า "เรารักประชาชนชาวไทย ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม และประเทศนี้มีความสงบสุข" และ "นี่เป็นความรักที่แท้จริง อย่างที่คุณเห็น"
หลายฝ่ายมองว่าบทสัมภาษณ์ครั้งนี้เป็นสัญญาณอันดีต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในสังคมไทย ทว่าในเวลาต่อมารัฐบาลได้ประกาศ "ใช้กฎหมายทุกมาตรา" กับผู้ชุมนุม ทำให้แกนนำของกลุ่ม "ราษฎร 2563" หลายคนถูกดำเนินคดีในข้อกล่าวหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
ญี่ปุ่น
ราชวงศ์ญี่ปุ่นมีข่าวดีอย่างต่อเนื่องหลังจากสมเด็จพระจักรพรรดินารุฮิโตะ เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิญี่ปุ่นพระองค์ที่ 126 เมื่อปีที่แล้ว โดยเมื่อเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา เจ้าชายฟุมิฮิโตะ พระอนุชาในสมเด็จพระจักรพรรดินารุฮิโตะ ทรงได้รับการประกาศให้เป็นองค์รัชทายาทสืบทอดราชบัลลังก์อย่างเป็นทางการ
สมเด็จพระจักรพรรดินารุฮิโตะทรงไม่มีพระราชโอรส ขณะที่พระราชธิดาของพระองค์ทรงไม่มีสิทธิ์สืบทอดราชบัลลังก์ แม้ว่ามีเสียงเรียกร้องให้ปฏิรูปก็ตาม
กฎมณเฑียรบาลของญี่ปุ่นปี 1947 กำหนดให้ผู้ชายเท่านั้นที่สามารถขึ้นครองราชย์ได้ ต่อมา ในปี 2004 รัฐบาลญี่ปุ่นได้เริ่มดำเนินการเพื่อแก้ไขกฎหมายนี้เพื่อเปิดโอกาสให้มีสมเด็จพระจักรพรรดินี แต่ได้ระงับแผนการไป หลังจากพระชายาของเจ้าชายฟุมิฮิโตะ ประสูติพระโอรสคือ เจ้าชายฮิซาฮิโตะ
หากเจ้าชายฮิซาฮิโตะ ทรงเจริญพระชันษาและไม่มีพระโอรส ก็อาจจะทำให้เกิดวิกฤตการสืบทอดราชสมบัติขึ้นอีกครั้ง และอาจจะทำให้รัฐบาลต้องกลับมาสานต่อแผนในปี 2004 และแก้ไขกฎหมายดังกล่าว
ในปลายเดือนเดียวกัน เจ้าชายฟุมิฮิโตะ มกุฎราชกุมารแห่งญี่ปุ่น ได้พระราชทานพระอนุญาตให้เจ้าหญิงมาโกะ พระธิดาองค์โตเสกสมรสกับ นายเค โคะมุโระ พระคู่หมั้นซึ่งเป็นพระสหายสมัยทรงศึกษาในมหาวิทยาลัยแล้ว หลังจากได้เลื่อนการจัดพิธีเสกสมรสมาแล้วถึง 2 ปี จากกำหนดเดิมในปี 2018
อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่ชัดว่าพิธีเสกสมรสของเจ้าหญิงมาโกะ และนายโคมุโระ ซึ่งมีอายุ 29 ปีเท่ากันจะมีขึ้นเมื่อใด ซึ่งเจ้าหญิงมาโกะจะต้องสละฐานันดรศักดิ์หลังจากเสกสมรสกับชายหนุ่มสามัญชนผู้นี้
ที่ผ่านมา สำนักพระราชวังญี่ปุ่นได้ปฏิเสธว่า การเลื่อนพิธีเสกสมรสเกี่ยวข้องกับข่าวลือเรื่องปัญหาทางการเงินของมารดานายโคมุโระ อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า เจ้าชายฟุมิฮิโตะ เคยตรัสย้ำหลายครั้งว่าจะต้องจัดการประเด็นด้านการเงินก่อนเป็นอันดับแรกจึงจะจัดพิธีเสกสมรสได้
นี่คือเรื่องราวข่าวเด่นของราชวงศ์ทั่วโลกที่เกิดขึ้นในรอบปี 2020 ซึ่งบีบีซีไทยคัดสรรมาให้อ่านกัน ติดตามข่าวสารและสาระน่ารู้ที่เป็นประโยชน์ที่เกิดขึ้นทั้งในและต่างประเทศได้ทางเว็บไซต์ และ เฟซบุ๊ก ของบีบีซีไทย
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar