ทูตนอกแถว The Alternative Ambassador
2h ·
เห็นข่าวท่านโฆษกกระทรวงการต่างประเทศต่างประเทศออกมาตอบโต้ข้าหลวงใหญ่สหประชาชาติด้านสิทธิมนุษยชนที่ได้แสดงความกังวลเรื่องการใช้
ม 112 กับผู้ประท้วงรัฐบาลแล้วมีความรู้สึกหลายประการ
-
ก่อนอื่นผมเองมีความลังเลที่จะพูดเพราะไม่อยากไปวิจารณ์ก้าวก่ายการทำงานของสถาบันเดิมของตัวเอง
ผมอยู่กระทรวงการต่างประเทศมากว่าสามสิบปี และอยู่ที่กรมสารนิเทศถึงสามรอบ
รวมแล้วร่วมสิบปีได้ นานกว่าอีกหลายๆคน
-
แต่หลังจากชั่งใจ
ก็ต้องขอบอกว่าเนื่องจากกระทรวงการต่างประเทศคือสถาบันที่ผมรัก
ผมจึงเห็นความจำเป็นที่จะต้องพูดถึงกรณีนี้เพื่อช่วยปกป้องสถาบันนี้ตามความเห็นของผม
และเพื่อให้สาธารณะชนได้รับข้อมูลอีกด้านเพื่อนำไปพิจารณากันเองตามวิจารณญาณของแต่ละคน
-
ประการแรกที่ออกมาตอบโต้ว่ามาตรา
112 เป็นกฎหมายที่เหมือนๆหรือคล้ายกับกฎหมายของประเทศอื่นๆในโลกนั้น
ผมคิดว่าถ้าจะพูดอย่างนี้
มันก็ไม่ต่างอะไรกับถ้าเราจะบอกว่าช้างก็เหมือนกับปลาทอง
เพราะมันต่างก็เป็นสัตว์เหมือนกัน หรือเครื่องบินก็ไม่ต่างจากจักรยาน
เพียงเพราะเป็นยานพาหนะเหมือนกัน แต่ว่ามันใช่ข้อเท็จจริงหรือ?
มันเป็นเสมือนการจงใจไม่พูดถึงความแตกต่างที่โลกเขากังวล หรือเปล่า?
-
ที่เขากังวลเพราะในโลกไม่มีกฎหมายลักษณะนี้ที่ให้ใครก็ได้เป็นผู้แจ้งความ
แต่จะต้องเป็นตัวผู้เสียหายเองหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นการเฉพาะเท่านั้น
เพื่อป้องกันการกลั่นแกล้งกัน และที่ไหนๆก็ไม่มีบทลงโทษรุนแรงขนาดนี้
และที่สำคัญไม่มีที่ไหนที่คดีเช่นนี้เป็นการพิจารณาแบบลับ ห้ามใครรู้
ใครเห็น
-
และถ้าหากมาตรา 112
ของเราเหมือนกับกฎหมายแบบนี้ที่อื่นในโลกอย่างที่ว่า
ผมคิดว่าท่านโฆษกควรระบุออกมาเลยว่าเหมือนกฎหมายของประเทศใดแน่
แล้วเชิญทูตของประเทศนั้นให้ออกมาช่วยยืนยันด้วย
หรือไม่งั้นก็ให้นักข่าวไปถามทูตประเทศนั้นเอง
จะได้ความกระจ่างแน่ชัดกันไปเลย ว่าที่พูดมา มันจริงหรือไม่?
-
ทั้งนี้
ที่สหประชาชาติเขาจับตาและเป็นกังวล เพราะในสายตาของเขา ม.112
มันถูกนำมาใช้เพื่อกลั่นแกล้งประชาชน
และเข้าข่ายเป็นการปิดกั้นเสรีภาพของประชาชน
รวมทั้งละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างโจ่งแจ้งด้วย
-
ถ้าถามว่าแล้วสหประชาชาติมายุ่ง
(หรือเสือก) อะไรกับไทยด้วย
ก็ต้องบอกว่าก็เราเองที่ไปขอสมัครเป็นสมาชิกสหประชาชาติ
เพราะอยากได้รับการยอมรับจากชาวโลก
แล้วเราก็ยังไปลงนามเป็นภาคีที่ให้คำมั่นว่าจะพิทักษ์และส่งเสริมสิทธิมนุษยชนด้วย
-
แล้วเราได้ทำตามพันธะกรณีที่มันมีผลผูกพันกับเราหรือเปล่า?
ถ้าเราทำตามสิ่งที่เราให้คำมั่นไว้ สหประชาชาติเขาจะมาแสดงความกังวลทำไม?
และชาวโลกเขาก็อาจมองเราด้วยความกังขาและกังวลว่าคำมั่น
คำพูดของประเทศเรามันน่าเชื่อถือไหม
มันเป็นสิ่งที่กระทบศักดิ์ศรีและสถานะของประเทศเราในเวทีโลกไหม?
-
ประการสอง
ที่บอกว่าการดำเนินการนี้เป็นไปตามกระบวนการกฎหมายอาญา
และในที่สุดผู้ต้องหาส่วนมากก็จะได้รับพระราชทานอภัยโทษนี่เป็นคำอธิบายที่ใช้ตรรกะได้แปลกอยู่
-
เพราะสิ่งที่เขากังวลมันคือการที่มีการดำเนินคดีแต่แรก
เพราะเขาเห็นว่ามันเป็นการกลั่นแกล้ง การละเมิดสิทธิมนุษยชน
ส่วนที่จะได้รับพระราชทานอภัยโทษภายหลังหรือไม่นั้น มันเป็นคนละประเด็นกัน
ไม่ทราบว่าเข้าใจผิดประเด็นเองหรือจงใจเข้าใจผิดนะครับ
-
ซึ่งก็เป็นเช่นเดียวกับกรณีการตั้งข้อหานี้กับผู้ประท้วงวัย
16 ปี และส่งให้ศาลเยาวชนพิจารณา
ที่ทางสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติได้แสดงความกังวลอย่างมาก
เพราะเขาเห็นว่าเป็นสิ่งร้ายแรงยิ่งที่ทำกับเยาวชน
ที่แทบไม่มีที่ไหนในโลกเขาทำกัน ซึ่งต่อให้ศาลได้ปฏิเสธคำขอให้มีการคุมขัง
พร้อมกับอนุญาตให้ประกันตัวแบบมีเงื่อนไข
เด็กคนนั้นก็ยังต้องคดีนี้อยู่ดีนะครับ ซึ่งประเด็นนี้ต่างหากที่เขากังวล
-
แล้วที่ผมอ่านจากในข่าวแล้วรู้สึกงงๆคือข้อสุดท้ายที่บอก
”ขอย้ำอีกครั้งว่าในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา
ผู้ประท้วงไม่ได้ถูกจับกุมเพียงเพราะใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสงบ
แต่ผู้ที่ถูกจับกุมได้ละเมิดกฏหมายอื่นๆ
ของไทยซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการปล่อยตัวแล้ว”
เพราะถ้าอ่านตามนี้
ในแง่หนึ่งมันก็อาจแปลได้ว่าผู้ประท้วงส่วนหนึ่งถูกจับเพราะใช้เสรีภาพในการแสดงออกและชุมนุมอย่างสงบ
นะครับ ส่วนการที่บอกว่าถูกจับด้วยข้อหาอื่นๆแต่ได้รับปล่อยตัวแล้วนั้น
มันก็ยิ่งสร้างความน่ากังขาว่าแล้วไปจับเขาทำไมแต่แรก
ยิ่งเท่ากับยอมรับว่ามันคือการกลั่นแกล้งกันนั่นเอง
-
สิ่งที่ผมอยากบอกคือ
หน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศในกรณีนี้ควรจะได้แก่การสรุปรายงานสิ่งที่ข้าหลวงใหญ่สหประชาชาติแถลง
พร้อมทั้งมีข้อเสนออย่างสร้างสรรค์ต่อรัฐบาล
ให้หลีกเลี่ยงการดำเนินการต่างๆที่จะทำให้โลกเขาเห็นว่าเรากำลังละเมิดสิทธิมนุษยชน
และพันธะกรณีที่เราได้ให้ไว้กับเขา
เพื่อให้ไทยมีศักดิ์ศรีในเวทีโลกต่างหาก
-
จริงๆแล้วกระทรวงการต่างประเทศเราไม่ได้มีหน้าที่ต้องไปเที่ยวอธิบายทุกเรื่อง
โดยเฉพาะเรื่องที่เป็นการดำเนินงานของหน่วยงานอื่น
หรือการดำเนินการภายในประเทศนะครับ จะ State Department ของอเมริกา หรือ
Foreign Office ของอังกฤษ หรือกระทรวงการต่างประเทศของประเทศอื่น
เขาก็ไม่ได้ต้องมาพูด อธิบายสิ่งเหล่านี้
-
ของอเมริกา
เรื่องการเมืองภายในเขาก็ให้ทางทำเนียบขาวเป็นผู้แถลงเอง
ซึ่งที่ถูกต้องเรื่องการเมืองภายในแบบนี้สำนักโฆษกรัฐบาลก็แถลงได้
หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง จะศาลหรือตำรวจ ก็แถลงได้
จะอ้างว่าพูดภาษาอังกฤษไม่ได้นี่ก็ตลก ไปจ้างล่ามได้นะครับ
หรือให้กระทรวงการต่างประเทศช่วยแปลก็ได้
-
แต่การออกมาตอบโต้เองแบบทั้งข้อเท็จจริงที่ไม่ตรง
ที่แทบดูจะเป็นการจงใจให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนแก่สาธารณะชน
และด้วยตรรกะที่ฟังดูประหลาดนี่มันไม่ได้ช่วยทำอะไรให้ดีขึ้นมาเลย
โดยเฉพาะกับความเป็นสถาบันกระทรวงการต่างประเทศเอง
-
ทูตต่างประเทศ
เจ้าหน้าที่สหประชาชาติ นักข่าวต่างประเทศในไทย
เขาจะไม่รู้หรือครับว่าอะไรคืออะไร
เขียนคำอธิบายแบบนี้มันเหมือนกับจะเท่ากับว่าไม่ใครก็ใคร
ที่เป็นฝ่ายที่ต้องโง่มากถึงไม่รู้
-
แล้วมันก็กระทบกับความน่าเชื่อถือของเราเอง รวมทั้งศักดิ์ศรีของเราด้วย
-
ผมก็คงตอบแทนไม่ได้ว่าที่ออกมาตอบโต้แบบนี้ จะรู้สึกอายกันบ้างไหม
แต่เรียนตามตรงว่าผมอายครับ
และเชื่อว่าข้าราชการกระทรวงนี้จำนวนไม่น้อย ทั้งที่เกษียณแล้วและยังทำงานอยู่ ไม่ว่ารุ่นไหนๆ ก็ต่างอายกันนะครับ
söndag 20 december 2020
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศออกมาตอบโต้ข้าหลวงใหญ่สหประชาชาติ
Prenumerera på:
Kommentarer till inlägget (Atom)
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar