เราไม่ลืม จันทนา วรากรสกุลกิจ หญิงเสื้อแดง เจ้าของประโยคคำพูดที่อัดแน่นไปด้วยความขมขื่น "หากคุณคิดว่าผู้หญิงคนเดียว เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ ก็ให้สั่งประหารชีวิตไปเลย" เธอเพิ่งได้รับอิสรภาพวันนี้
Nithiwat Wannasiri
8h ·
ตำนาน"มือเปล่าเข้าแย่งปืน"ในปี53
เธอเพิ่งได้รับอิสรภาพวันนี้
ในเหตุการณ์ช่วงสลายการชุมนุมปี53 ปรากฎภาพผู้ชุมนุมหญิงคนหนึ่งเข้าไปใช้มือเปล่ายื้อแย่งปืนM-16จากทหารที่เข้ามาควบคุมผู้ชุมนุม
หญิงคนดังกล่าวรู้จักกันในนาม"เจ๊ซี" จันทนา วรากรสกุลกิจ หญิงเสื้อแดงที่คุ้นหน้าค่าตากันดีแถวๆหน้าเวทีเล็ก-แดงสยาม
หลังการรัฐประหาร57 คสช.ปราบปรามเสื้อแดงและผู้ที่ต่อต้านรัฐประหารด้วยการยัดคดีร้ายแรง โดยเล่นงานเธอและคนรักอย่างหนักด้วยคดีครอบครองอาวุธสงคราม ติดคุกมา7ปีกว่า เพื่อนสนิทมิตรสหายเวทีเล็ก-แดงสยาม แตกกระสานซ่านเซ็น บ้างก็ลี้ภัย บ้างก็ติดคุก บ้างก็เสียชีวิต
วีรกรรมอีกอย่างคือในการสู้คดีที่คสช.ยัดเยียดให้ เธอได้ตะโกนท้าผู้พิพากษาหน้าบัลลังก์ด้วยความคับแค้นใจว่า "หากคุณคิดว่าผู้หญิงคนเดียว เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ ก็ให้สั่งประหารชีวิตไปเลย"
ผู้พิพากษาสั่งจำคุก18ปีใส่เธอเป็นคำตอบ...
ข่าวที่เศร้าที่สุดขณะเธอถูกขังแทบไม่มีใครกล้าบอก ก็คือคนรักของเธอที่ถูกยัดคดีเดียวกันซึ่งตอนแรกลี้ภัยไปประเทศเพื่อนบ้านได้ทันแต่ก็ได้ถูกอุ้มฆ่าคว้านท้องถ่วงเสาปูนทิ้งแม่น้ำโขงไปเสียแล้ว โดยไม่มีโอกาสแม้แต่ได้พูดคุยร่ำลาตั้งแต่เธอถูกจับ
...แค่วินาทีเดียวก็ไม่อยากให้พวกตระกูลปรสิตพวกนี้มันมีอำนาจ
ooo
บทความเกียวกับเธอ ที่ไทยอีนิวส์เคยนำมาลง
กันยายน 25, 2561
เราไม่ลืม จันทนา วรากรสกุลกิจ หญิงเสื้อแดง เจ้าของประโยคคำพูดที่อัดแน่นไปด้วยความขมขื่น "หากคุณคิดว่าผู้หญิงคนเดียว เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ ก็ให้สั่งประหารชีวิตไปเลย" วันนี้เธออายุ 48 ปี
23 กันยา เป็นวันเกิดของ
#จันทนาวรากรสกุลกิจ
นักโทษ เจ้าของประโยคคำพูดที่อัดแน่นไปด้วยความขมขื่น
"หากคุณคิดว่าผู้หญิงคนเดียว
เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ
ก็ให้สั่งประหารชีวิตไปเลย"
ผู้หญิงที่พูดประโยคนี้ต่อหน้าศาล
เธอชื่อ จันทนา วรากรสกุลกิจ
วันนี้เธออายุ 48 ปี
ขอบคุณ Cr. Manus Klaeovigkit ที่ส่งข่าวมาฝาก...
* *
#อย่าลืมกันอย่าทอดทิ้งกัน
* *
21 พ.ค. 2557 จนท.ทหาร
ตำรวจจู่โจมจับกุมจันทนาที่
ห้องเช่า อ.กระทุ่มแบน
18 กันยายน 2558
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจันทนา
คดีครอบครองอาวุธสงคราม 27 ปี
9 เดือน ปรับ 6,000 บาท
จำเลยให้การสารภาพจึงลดโทษ
1 ใน 3 เหลือโทษจำคุก 17 ปี
18 เดือน ปรับ 4,000 บาท
หลังจากการอ่านคำพิพากษา นางจันทนา
จำเลยซึ่งถูกคุมขังอยู่นาน 1 ปี 3 เดือนเศษ
ได้ยกมือขึ้นโต้แย้งคำตัดสินว่า คำพิพากษา
ของศาลไม่ได้พิจารณาจากข้อเท็จจริงใน
การจับกุม
เธอกล่าวว่าของกลางไม่ได้ถูกยึดใน
ที่พักของเธอ ไม่มีการพิสูจน์ลายนิ้ว
มือของเธอที่ของกลาง และสถานที่
ที่ จนท.ทำการตรวจยึดหลักฐานได้ เป็น
ห้องพักของนายสุวิทย์ เจนไธสง ซึ่งพัก
อยู่ห้องติดกับเธอ
นายสุวิทย์ ได้ถูกจนท.คุมตัวแยกออกไป
โดยสุดท้ายแล้วกลับไม่มีชื่อปรากฏใน
คำฟ้องแต่อย่างใด ขอถามว่านายสุวิทย์
ที่ถูกจับกุมพร้อมเธอและเป็นผู้พักอาศัย
อยู่ในห้องดังกล่าว หายไปไหน?
ศาล : เป็นหน้าที่ของจำเลยจะต้องนำ
นายสุวิทย์มาแสดงตัวต่อศาล
จันทนาถามกลับว่า จะให้เธอไปนำ
นายสุวิทย์มาแสดงตัวต่อศาลได้อย่างไร
ในเมื่อเธอถูกกักขังอยู่ระหว่างพิจารณาคดี
โดยไม่ได้รับการประกันตัว เธอถามย้ำ
หลายครั้งว่า ศาลเชื่อในสิ่งที่เธอพูดหรือไม่
ศาล : การอนุญาตให้จำเลยพูด
เป็นการเปิดโอกาสให้จำเลยแสดง
ความรู้สึก หากไม่พอใจก็ให้ยื่นอุทรณ์
คดีนี้ศาลให้ความปราณีแล้ว ความจริง
ศาลสามารถตัดสินสั่งจำคุกตลอดชีวิต
และคดีอย่างนี้ใครจะให้ประกันตัว
จากนั้นศาลสั่งให้จันทนานั่งลง
มิเช่นนั้นจะใช้อำนาจสั่งจำคุกเพิ่ม
อีก 6 เดือน ฐานหมิ่นศาล
จึงเป็นที่มาของประโยค
"หากคุณคิดว่าผู้หญิงคนเดียว
เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ
ก็ให้ประหารชีวิตไปเลย"
ระหว่างนั้นญาติๆของจันทนา
ที่มานั่งฟังการพิจารณาคดีได้
ร้องไห้เสียงดัง ลุกขึ้นมากอด
ขอร้องจันทนาให้หยุดพูดและนั่งลง
จันทนาจับมือลูกชาย บอกกับลูกว่า
"นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมแม่ถึงต้อง
เป็นเสื้อแดง"
*จะขอนำเรื่องของผู้ต้องขัง_ตัวเล็กๆ
ที่ไม่มีชื่อเสียง ไม่เป็นที่รู้จัก มาเล่าให้ฟัง
บ่อยๆนะคะ
*มีน้องๆ 3-4 คนได้ให้การช่วยเหลือจันทนา
ในด้านความเป็นอยู่ในเรือนจำ จ.ตราด
**#อย่าลืมกันอย่าทอดทิ้งกัน**
ที่มา FB
ไผท ภูธา
.................................................................................
ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เทิดภูมิ ใจดี และอมร อมรรัตนานนท์ (ชื่อเดิม) ถูกคุมตัวไปยังเรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพฯ หลังศาลฎีกาตัดสินว่ามีความผิดจากการเป็นแกนนำชุมนุมขับไล่รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช เมื่อ 13 ปีที่แล้ว
ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 3 แกนนำพันธมิตรฯ คดีชุมนุมดาวกระจายขับไล่รัฐบาลสมัครปี 2551
ศาลฎีกาพิพากษาจำคุกแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) 3 คนในคดีชุมนุม "ดาวกระจาย" ขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ปี 2551 ส่วนจำเลยอีก 6 คน เช่น นายสนธิ ลิ้มทองกุลและ พล.ต. จำลอง ศรีเมือง ศาลยกฟ้องเนื่องจากเห็นว่าเป็นความผิดเดียวกับในคดีอื่นที่ศาลมีคำพิพากษาแล้ว จึงนำมาฟ้องซ้ำอีกไม่ได้
วันนี้ (31 ส.ค.) ศาลฎีกานัดอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.3973/2558 ที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ชุมนุมปิดถนนแบบ "ดาวกระจาย" เมื่อปี 2551 เพื่อขับไล่นายสมัคร สุนทรเวชนายกรัฐมนตรีขณะนั้น โดยในคดีมีจำเลยเป็นแกนนำ พธม. ทั้งหมด 9 คน คือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง, นายสนธิ ลิ้มทองกุล, นายพิภพ ธงไชย, นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์, นายสมศักดิ์ โกศัยสุข, นายสุริยะใส กตะศิลา, นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์, นายอมร อมรรัตนานนท์ หรือรัชต์ยุตม์ ศิรโยธินภักดี และนายเทิดภูมิ ใจดี เป็นจำเลยที่ 1-9
คดีนี้อัยการฟ้องว่าจำเลยทั้ง 9 คนมีความผิดฐานร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจาหรือวิธีอื่นใด เพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงรัฐบาลโดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนในหมู่ประชาชนและก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร และร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คน ขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง โดยเป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการโดยผู้กระทำคนหนึ่งคนใดมีอาวุธ และเมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิก แต่ไม่เลิก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 , 215 , 216
คดีนี้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2560 ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1-6 เนื่องจากเป็นการฟ้องจำเลยซ้ำกับคดี พธม. บุกรุกทำเนียบรัฐบาล หมายเลขดำ อ.4925/2555 ซึ่งศาลฎีกามีคำพิพากษาเมื่อเดือน ก.พ. 2562 ให้จำคุกจำเลยทั้ง 6 เป็นเวลา 8 เดือนโดยไม่รอลงอาญา ดังนั้นอัยการโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องซ้ำ
ส่วนจำเลยที่ 7-9 คือ นายไชยวัฒน์ นายอมรหรือนายรัชต์ยุตม์ และนายเทิดภูมินั้น ศาลเห็นว่าการกระทำเป็นความผิดฐานมั่วสุม 10 คนขึ้นไปก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองตามมาตรา 215 วรรคหนึ่ง แต่เห็นควรให้รอการกำหนดโทษจำเลยที่ 7-9 ไว้ก่อนมีกำหนด 2 ปี
ต่อมาในวันที่ 30 ม.ค. 2562 ศาลอุทธรณ์อ่านคำพิพากษาในคดีนี้ ยกฟ้องจำเลยทั้ง 9 คน โดยให้เหตุผลว่าจำเลยที่ 1-6 เป็นการฟ้องซ้ำ ส่วนจำเลยที่ 7-9 ศาลเห็นว่าไม่มีความผิดเนื่องจากการชุมนุมกลุ่ม พธม. เป็นการชุมนุมโดยสงบ ใช้สิทธิของประชาชนตามสิทธิรัฐธรรมนูญ อัยการโจทก์จึงยื่นฎีกาขอให้ลงโทษจำเลย
วันนี้ (31 ส.ค.) ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษาโดยจำเลยทั้ง 9 คนเดินทางมาฟังคำพิพากษาด้วยตัวเอง
ทั้งนี้ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1-6 เพราะเป็นการฟ้องซ้ำในคดีที่มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดไปแล้ว แต่ในส่วนของจำเลยที่ 7-9 นั้น ศาลเห็นว่าได้ขึ้นปราศรัยเชิญชวนให้ประชาชนมาร่วมชุมนุมขับไล่รัฐบาล นอกจากนี้จำเลยยังเดินทางไปชุมนุมปิดถนนมิตรภาพ จ.นครราชสีมา และนำผู้ชุมนุมไปปิดล้อมที่สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยที่ 7-9 มีความผิดฐานมั่วสุมก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ตามมาตรา 66 ให้จำคุกคนละ 1 ปี แต่มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ 1ใน 3 คงจำคุกคนละ 8 เดือน โดยไม่รอลงอาญา
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar