"ผมยอมรับผิดว่าผมผิด แล้วก็ยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าศาลจะตัดสินอะไร จะจำคุกตลอดชีวิต ผมยอมรับผิดทุกประการ แต่ผมขอให้การว่า ผมไม่ได้มีเจตนาฆ่าน้อง ผมมีเจตนาตั้งใจที่จะทำงานครับ"
"ผู้กำกับโจ้" ติดต่อขอมอบตัว ปฏิเสธการเรียกรีดไถเงิน 2 ล้านบาท ยอมรับทรมานผู้ต้องหา แต่ไม่มีเจตนาฆ่า
"ผู้กำกับโจ้" ยอมรับสารภาพผิดทรมานผู้ต้องหาจริง แต่ไม่มีเจตนาทำให้เสียชีวิต ใช้ถุงพลาสติกคลุมศีรษะผู้ต้องหาเพื่อไม่ให้เห็นหน้าตัวเอง พร้อมกับปฏิเสธข่าวรีดไถเงิน 2 ล้านบาทและให้เงินพ่อผู้เสียชีวิตเพื่อไม่ให้เอาเรื่อง โดยพล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รอง ผบช.ภ.6 ระบุว่า "ผู้กำกับโจ้" ได้โทรหาเพื่อติดต่อขอมอบตัวที่จังหวัดชลบุรี
พล.ต.อ. สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) แถลงข่าวการจับกุมตัว พ.ต.อ. ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ "ผกก. โจ้" ผู้กำกับ สภ. เมืองนครสวรรค์ ผู้ต้องหาคดีร่วมกันฆ่าผู้อื่นด้วยการทรมาน เมื่อเวลาประมาณ 21.45 น. ที่กองบังคับการกองปราบปราม หลังจากสองวันก่อนมีการเผยแพร่คลิปตำรวจ 7 นายร่วมกันใช้ถุงพลาสติกคลุมศีรษะผู้ต้องหาคดียาเสพติดขณะสอบสวนจนทำให้เสียชีวิตและกลายเป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจอย่างมาก โดย ผบ.ตร. ระบุว่า ผู้ต้องหาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 7 นายถูกจับกุมตัวครบแล้ว โดยขณะนี้ 5 นายอยู่ในการควบคุมของสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนครสวรรค์ ส่วนอีกนายหนึ่งกำลังถูกควบคุมตัวจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ไปยังจังหวัดนครสวรรค์ ก่อนที่จะเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนซักถาม พ.ต.อ. ธิติสรรค์ ซึ่งถูกควบคุมตัวอยู่ที่กองบังคับการกองปราบปราม ผ่านทางโทรศัพท์ เป็นเวลาประมาณ 15 นาที
พ.ต.อ.ธิติสรรค์ กล่าวว่า หลังจากจับกุมตัวผู้ต้องหามาได้ และพบภาพในโทรศัพท์ที่เพิ่งถ่ายก่อนหน้าการจับกุม 2 ชั่วโมง เป็นภาพยาไอซ์ปริมาณ 1 กิโลกรัม และยาบ้าประมาณ 20,000 เม็ด จึงพยายามสอบถาม แต่ผู้ต้องหาไม่ยอมรับ
"ผมยอมรับครับว่า สิ่งที่ทำไปไม่ถูกต้อง แต่สิ่งที่ทำไป ต้องการเอาข้อมูลแล้วก็ทำลายยาเสพติดที่ทำลายพี่น้องประชาชนในนครสวรรค์ครับ" พ.ต.อ. ธิติสรรค์ กล่าว
นอกจากนี้เขายังยืนยันว่า ผู้ใต้บังคับบัญชาทำตามคำสั่งของตัวเอง และได้มีการห้ามปรามเขาแล้ว "ผมขอรับผิดแต่ผู้เดียวครับ"
ยืนยันไม่ได้เรียกเงิน 2 ล้าน
พ.ต.อ. ธิติสรรค์ ยืนยันว่า ไม่มีการเรียกรับเงิน 2 ล้านบาทจากผู้ต้องหา และการที่ใช้ถุงพลาสติกคลุมศีรษะผู้ต้องหานั้น มีเจตนาเพื่อไม่ให้ผู้ต้องหาเห็นหน้าเขา และต้องใช้กุญแจมือคล้องไพล่หลังเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ต้องหาใช้มือฉีกถุง
"ผมสาบานกับพระที่คล้องคอได้เลยครับ ไม่มี ผมไม่เคย ชีวิตผมรับราชการมาไม่เคยมีทุจริตเรื่องเงินครับ" พ.ต.อ. ธิติสรรค์ กล่าว
พ.ต.อ.ธิติสรรค์ กล่าวด้วยว่า การซ้อมทรมานผู้ต้องหาที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำครั้งแรกของเขา และรู้สึกตกใจเมื่อเห็นผู้ต้องหาสลบไป จึงพยายามปั๊มหัวใจและนำส่งโรงพยาบาลในเวลาต่อมา นอกจากนี้ยังได้สอบถามกับแฟนสาวของผู้ต้องหา ซึ่งเธอเล่าว่า ผู้ต้องหามีพฤติกรรมเสพยาจำนวนมากในแต่ละวันและพักผ่อนน้อย เขาจึงคาดว่า การเสพยาเกินขนาดส่งผลให้ผู้ต้องหารายดังกล่าวสลบไปขณะที่ทางทีมตำรวจสอบสวน
"ผมยอมรับผิดว่าผมผิด แล้วก็ยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าศาลจะตัดสินอะไร จะจำคุกตลอดชีวิต ผมยอมรับผิดทุกประการ แต่ผมขอให้การว่า ผมไม่ได้มีเจตนาฆ่าน้อง ผมมีเจตนาตั้งใจที่จะทำงานครับ" ผู้กำกับโจ้กล่าว
ส่วนที่มีการกล่าวหาว่า มีการให้ผลประโยชน์แก่พ่อผู้เสียชีวิตเพื่อไม่ให้เอาเรื่องนั้น พ.ต.อ. ธิติสรรค์ ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง และได้ให้เงินเพื่อช่วยทำบุญงานศพเพียง 30,000 บาทเท่านั้น
หลังจากนั้น ทางตำรวจได้แถลงข่าวต่อ โดยพล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รอง ผบช.ภ.6 เล่าถึงการเข้ามอบตัวของ พ.ต.อ. ธิติสรรค์ว่า เขาได้รับโทรศัพท์จาก พ.ต.อ. ธิติสรรค์ ในช่วงดึกของวันที่ 25 ส.ค. เพื่อติดต่อขอเข้ามอบตัวที่จังหวัดชลบุรี
"พี่เอกครับ ผมโจ้ ผมไม่ไหวแล้ว ผมจะฆ่าตัวตาย" พล.ต.ต. เอกรักษ์ เล่าถึงบทสนทนาทางโทรศัพท์ และเขาได้โน้มน้าวให้ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ รับผิดชอบต่อสิ่งที่กระทำลงไป จากนั้นจึงได้มีการนัดหมายขอเข้ามอบตัวที่จังหวัดชลบุรีในวันต่อมา โดยทาง พล.ต.ต.เอกรักษ์ ออกเดินทางจากพิษณุโลกเมื่อเวลาประมาณ 09.00 น. ของวันที่ 26 ส.ค. และได้รับโทรศัพท์จากพ.ต.อ. ธิติสรรค์ อีกครั้งในเวลาประมาณ 12.00 น. โดยพ.ต.อ. ธิติสรรค์ ได้นัดหมายให้ พล.ต.ต. เอกรักษ์ ไปยืนรอเขาหน้าสถานีตำรวจภูธรแสนสุข เพียงคนเดียวโดยไม่ให้พกอาวุธมาด้วยที่เวลา 16.00 น.
เมื่อถึงกำหนดเวลา พล.ต.ต. เอกรักษ์ จึงได้รอที่จุดดังกล่าวประมาณ 15 นาที และมีรถเก๋งสีขาวขับมาส่งชายใส่หน้ากากและรีบขับจากไป ซึ่งปรากฏว่าเป็นชายคนดังกล่าวคือ พ.ต.อ. ธิติสรรค์ และไม่ทันดูหมายเลขทะเบียนรถคันนั้น
หลังจากจบการแถลงข่าวทาง พล.ต.อ. สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. ได้นำตัว พ.ต.อ. ธิติสรรค์ ไปยังสถานีตำรวจภูธรอำเมืองนครสวรรค์ เพื่อดำเนินคดีต่อไป
ก่อนหน้านี้สื่อไทยหลายสำนักรายงานช่วงบ่ายวันนี้ (26 ส.ค.) ว่าตำรวจทราบพิกัดที่อยู่ของ พ.ต.อ. ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ "ผู้กำกับโจ้" ผู้กำกับ สภ. เมืองนครสวรรค์ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับคดีร่วมกันฆ่าผู้อื่นด้วยการทรมานแล้ว
อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ. สุชาติกล่าวกับสื่อมวลชนก่อนเป็นประธานการประชุมติดตามความคืบหน้าคดีที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครสวรรค์เมื่อเวลาประมาณ 17.20 น. ว่าขณะนี้ยังไม่มีการจับกุมผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีอีก 2 คน รวมทั้ง พ.ต.อ. ธิติสรรค์ ซึ่งชุดสอบสวนมีข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทางการหลบหนีอยู่แล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยต่อสื่อมวลชนได้ และไม่ยืนยันว่าหลบหนีอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน
รอง ผบ.ตร. กล่าวว่าตำรวจพยายามทำให้เต็มที่เพื่อจับกุมผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีให้ได้ในเวลาอันรวดเร็วตามนโยบายของผู้บังคับบัญชา แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเมื่อไหร่
"จะ (จับกุม) ได้เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น" พล.ต.อ. สุชาติกล่าวและเปิดเผยว่าส่วนการติดตามผู้ต้องหาอีกคนที่ยังหลบหนีนั้น "มีแนวโน้มที่ดี"
ผู้สื่อข่าวถาม พล.ต.อ. สุชาติว่าต้องการฝากอะไรถึง "ผู้กำกับโจ้" หรือไม่ รอง ผบ.ตร. ตอบว่า "เพื่อเห็นแก่องค์กรตำรวจ เมื่อกระทำความผิดแล้ว ขอให้ออกมามอบตัว เข้าสู่กระบวนการ...อย่าให้ทีมทำงานต้องเหนื่อยยากไปกว่านี้เลย"
พ.ต.อ. ธิติสรรค์ ผู้กำกับ สภ. เมืองนครสวรรค์ ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีอาญาร่วมกับผู้ต้องหาอีกรวม 7 คน ใน 3 ข้อหาหลักคือเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบทำให้ผู้อื่นเสียหาย ร่วมกันข่มขืนใจให้ผู้อื่นกระทำการใด และร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือกระทำทารุณโหดร้าย หลังจากถูกร้องเรียนว่าทำร้ายร่างกายโดยการทรมานนายจิระพงศ์ ธนะพัฒน์ วัย 24 ปี ผู้ต้องหาคดียาเสพติดเพื่อเรียกเงินจำนวน 2 ล้านบาท ด้วยการใช้ถุงพลาสติกคลุมศีรษะจนผู้ต้องหาเสียชีวิต เหตุเกิดเมื่อวันที่ 5 ส.ค.
ผู้ต้องหาทั้ง 7 คนในคดีนี้ได้แก่ 1) พ.ต.อ. ธิติสรรค์ อุทธนผล 2) พ.ต.ต. รวิโรจน์ ดิษทอง 3) ร.ต.อ. ทรงยศ คล้ายนาค 4) ร.ต.ท. ธรณินทร์ มาศวรรณา 5) ด.ต. ศุภากร นิ่มชื่น 6) ด.ต. วิสุทธิ์ บุญเขียว และ 7) ส.ต.ต.ปวีณ์กร คำมาเร็ว
ด้านนายแบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการภาคพื้นเอเชียของฮิวแมนไรท์วอทช์ ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนที่เป็นอิสระเพื่อนำความยุติธรรมมาสู่ผู้ที่เสียชีวิต เพราะที่ผ่านมารัฐบาลไทยไม่เคยทำความจริงให้ปรากฏแม้จะเป็นกรณีที่ตำรวจก่อเหตุสะเทือนขวัญต่อผู้ถูกคุมขังอย่างร้ายแรงก็ตาม นายอดัมส์ ชี้ด้วยว่าการซ้อมทรมานและสังหารผู้ต้องสงสัยในคดียาเสพติดล่าสุดนี้ไม่ได้เป็นเพียงคดีเดียวที่เกิดขึ้นจากการกระทำของตำรวจ แต่ในช่วงต้นปี 2003 ภายใต้รัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร ตำรวจไทยได้ดำเนิน "สงครามปราบปรามยาเสพติด" ซึ่งส่งผลให้ผู้ต้องสงสัยเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดอย่างน้อย 2,819 คน เสียชีวิต โดยหลายคนในจำนวนนี้ถูกวิสามัญฆาตกรรม
ดีเอสไอเผยลัมโบร์กินีของ "ผู้กำกับโจ้" อยู่ในคดีรถหรูเลี่ยงภาษี
ก่อนหน้านี้เมื่อเวลา 13.30 น. พ.ต.ท. กรวัชร์ ปานประภากร อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยว่ารถยนต์ยี่ห้อลัมโบร์กินีที่อยู่ในความครองของ พ.ต.อ. ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ "ผู้กำกับโจ้" ผู้ต้องหาคดีร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทรมาน เป็นรถที่อยู่ในคดีเลี่ยงภาษีรถหรูที่ดีเอสไอสอบสวนและสรุปสำนวนส่งอัยการไปเมื่อเดือน ส.ค. 2563
อธิบดีดีเอสไอ แถลงข่าววันนี้ (26 ส.ค.) ว่าภายหลังมีการเผยแพร่ข้อมูลรถหรูราคาแพงที่อยู่ในความครอบครองของ พ.ต.อ. ธิติสรรค์ ต่อสาธารณะ ดีเอสไอได้ทำการตรวจสอบฐานข้อมูลและพบว่ารถยนต์ Lamborghini Aventador LP720-4 50th Anniversario เลขทะเบียน 3กภ 3284 กรุงเทพมหานคร หมายเลขตัวรถ ZHWEC1ZD6ELA02280 เป็นรถที่อยู่ในคดีพิเศษที่ 199/2560 ที่ดีเอสไอได้ดำเนินการสอบสวน
อธิบดีดีเอสไอกล่าวว่า สำหรับคดีนี้ดีเอสไอได้ดำเนินคดีกับขบวนการผู้ร่วมกันกระทำความผิดรวม 8 ราย ที่ร่วมกันนำรถยนต์ใหม่สำเร็จรูปจากต่างประเทศมาในราชอาณาจักรโดยสำแดงราคานำเข้าเป็นเท็จต่ำกว่าราคาซื้อขายที่แท้จริง เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษี เป็นเหตุให้รัฐได้รับความเสียหาย ปัจจุบันคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของอัยการสูงสุด
พ.ต.ท. กรวัชร์อธิบายว่ารถหรูลัมโบร์กินีคันนี้เป็นรุ่นปี ค.ศ. 2014 สีเหลือง มูลค่านำเข้า 465,420 ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทย 14,649,327.21 บาท แต่มีการสำแดงราคานำเข้าเพียงแค่ 163,320 ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทย 5,136,810.60 บาท ส่วนราคาซื้ออยู่ที่ 43,000,000 บาทซึ่งเมื่อคำนวณแล้วพบว่ายังมีภาษีอากรที่ขาดอีก 31,201,083.80 บาท
อธิบดีดีเอสไอกล่าวเพิ่มเติมว่า พ.ต.อ. ธิติสรรค์ ไม่ได้เป็นผู้ต้องหาในคดีนี้ เนื่องจากเป็นเพียงผู้ซื้อตามปกติ ซึ่งมีการผ่อนชำระ การสอบสวนพบว่าไม่มีชื่อเกี่ยวข้องกับการรู้เห็นการนำเข้า
"ตามกระบวนการดำเนินคดี จะเอาผิดเฉพาะกับผู้นำเข้า หากผู้ซื้อไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง เป็นการซื้อตามขั้นตอนก็จะไม่ถูกดำเนินคดี"
พ.ต.ท. กรวัชร์กล่าวว่าคดีนี้เป็นหนึ่งในคดีพิเศษเกี่ยวกับการสำแดงราคานำเข้ารถหรูต่ำกว่าราคาซื้อขายที่แท้จริง ซึ่งมีทังหมด 216 คดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของดีเอสไอ ในจำนวนนี้สอบสวนเสร็จสิ้นส่งสำนวนการไปยังพนักงานอัยการแล้ว 150 คดี และอยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน 66 คดี
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar