ท่ามกลางกระแสไล่ประยุทธ์ ซึ่งมีคนรุ่นใหม่เป็นหัวหอก จากแฟลชม็อบทุกมหาวิทยาลัย หลังยุบพรรคอนาคตใหม่ กลายเป็นม็อบสามนิ้ว “ทะลุเพดาน” แต่แกนนำถูกจับกุมคุมขัง แล้วรัฐบาลก็ล้มเหลวรับมือโควิด เศรษฐกิจปากท้องที่แย่อยู่แล้วยิ่งสาหัส
“พี่โทนี่” กลับมาโชว์วิสัยทัศน์ในคลับเฮาส์ หลังพรรคเพื่อไทยพยายามยกเครื่องใหม่ ให้ดูดีมีประสิทธิภาพ ฟื้นความเชื่อมั่นเรียกการยอมรับ
แนวทางของพรรคเพื่อไทย แม้ไม่เป็นทางการ แต่ก็พอวิเคราะห์ได้ว่า พยายาม Compromise ประกาศแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับโดยไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 ผลักดันระบบเลือกตั้งให้กลับเป็นบัตรสองใบแบบรัฐธรรมนูญ 2540 (บังเอิญพรรคพลังประชารัฐใจตรงกัน) หวังชนะแบบ แลนด์สไลด์” ให้ 250 ส.ว.และเครือข่ายอำนาจอนุรักษ์ต้องต่อรอง ยอมให้เพื่อไทยเข้ามาแก้เศรษฐกิจปากท้อง โดยไม่แตะประเด็นต้องห้ามแบบพวก “สามนิ้ว” ก้าวไกล
อย่างไรก็ดี ในอีกด้าน ถ้าเพื่อไทยเป็นรัฐบาลก็ต้องต่อรองให้ปล่อยแกนนำม็อบเพื่อลดแรงต้าน โน้มน้าวว่าถ้าเศรษฐกิจดี มีรัฐบาลเลือกตั้ง แรงทะลุเพดานจะลดลง คนรุ่นใหม่จะกลับไปเรียนหนังสือ ไปทำมาหากิน ใช้ชีวิตชิลๆ แล้วสังคมก็เดินหน้าได้ เหมือนสมัย 66/23
ยุทธศาสตร์เพื่อไทยต้องเดินอย่างนี้ ถ้าหวังกลับมาเป็นรัฐบาล หวังเป็นตัวกลางโน้มน้าวทุกฝ่าย ตั้งแต่เครือข่ายอำนาจอนุรักษนิยม ทหาร รัฐราชการ ไปจนกลุ่มทุนใหญ่
แต่นั่นก็เป็นใจกลางให้เกิดความขัดแย้งในพรรคฝ่ายค้าน ในขบวนประชาธิปไตย “มาตั้งไกลจะให้ถอยหลัง” แม้ระยะเฉพาะหน้าจะสามัคคีกัน เอาประยุทธ์ออกไปก่อน
ความขัดแย้งนั้นมีหลากหลาย เช่นติ่งทะเลาะกัน ประชันคุณภาพ ส.ส. วิถีการเมืองเก่า-ใหม่ แต่ปัญหาใจกลางอยู่ที่แนวทางนี้เอง ก้าวไกล-คนรุ่นใหม่ มองว่าต้องสู้ให้ถึงโครงสร้าง เพื่อไทย “อาบน้ำร้อนมาก่อน” มองว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ต้องใช้โอกาสนี้ต่อรองประนีประนอมเป็นรัฐบาล
แต่หลายคนก็ไม่เชื่อใจ เคยเป็นรัฐบาลแล้วทำอะไรไม่ได้ จนถูกโค่น เคยดีลแล้วล่ม ถูกหลอกมาหลายครั้ง
พูดกันจริงๆ คำว่า “ดีล” ไม่เสียหายอะไร ถ้าดีลให้ประเทศเดินต่อได้ แนวทางเพื่อไทยก็สวยดี ถ้าเป็นไปได้ อย่างที่หลายคนคิดฝันว่าถ้าทำ “ดีล” ไล่ประยุทธ์สำเร็จ ส.ส.พลังประชารัฐโหวตคว่ำ แล้วเพื่อไทยเป็นแกนกลางตั้งรัฐบาล Compromise ก็น่าจะดีทั้งปากท้องและการเมือง “เลือกความสงบจบที่พี่โทนี่” จะได้ทำมาหากิน
ปัญหาคือมันเป็นไปได้ไหม ขั้วอำนาจยอมประนีประนอมไหม ความขัดแย้งในสังคมไทย ในเชิงโครงสร้าง มันเกินกำลังเพื่อไทยที่จะ Compromise แล้วหรือเปล่า ทั้งในฝ่ายอนุรักษ์ ทั้งในฟากคนรุ่นใหม่ ที่เย้ยหยันแสดงความไม่นับถือทั่วโลกออนไลน์ โดนหมายเรียกหมายจับก็ไม่หวั่น
นี่ยังไม่นับพลังสลิ่ม ถ้าเพื่อไทยเป็นรัฐบาลก็คงคลั่ง ตั้งกรวยก่อม็อบกันใหม่
การเปลี่ยนเป็นรัฐบาลจากเลือกตั้ง ไม่ได้มาจาก 250 ส.ว. แต่ถ้าไม่สามารถรื้อโครงสร้างอะไรเลย ไม่สามารถปฏิรูปกองทัพ ปฏิรูปตำรวจ ศาล องค์กรอิสระ แม้อาจมีข้อดีที่สกัดการใช้อำนาจได้ชั่วคราว แก้กฎหมายปกป้องสิทธิเสรีภาพ แต่ท้ายที่สุดก็แค่รอวันพลาด ให้ไอ้ศรีไปยื่นยุบพรรคตัดสิทธิล้มรัฐบาลเท่านั้น
โครงสร้างอำนาจอนุรักษ์ ที่คนรุ่นใหม่วิพากษ์วิจารณ์ ก็ไม่ใช่ Compromise ได้ง่าย ยอมดีลหรือเปล่า ยังไม่รู้เลย ดีลแล้วไม่เปลี่ยนอะไรเลย แค่เปลี่ยนรัฐบาล แล้วยังจะมีอำนาจเหนือทุกอย่าง ความขัดแย้งก็ไม่จบ เพื่อไทยจะกลายเป็นหนังหน้าไฟ
พูดอีกอย่างคือ ที่คนรุ่นใหม่ต้องการรื้อโครงสร้างอำนาจ มันไม่ใช่อุดมคติลอยๆ ดัดจริตอยากเป็นฝรั่ง แต่เพราะรัฐราชการเป็นใหญ่ใต้อำนาจอนุรักษ์ รุกล้ำบังคับจนเกินขอบเขต ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ ยุ่งกับชีวิตทางสังคม วัฒนธรรม การศึกษา
ทำไมนักเรียนมัธยมลุกขึ้นมาชูสามนิ้ว ก็ย้อนไปดูหลักสูตรยัดเยียด ครอบงำ สวนโลกปัจจุบัน กีดกันความก้าวหน้า เช่นจะสอบเรียนต่อก็ต้องท่องคาถาล้างสมอง
เป็นความจริงว่า คนรุ่นใหม่มองไม่เห็นอนาคต ใต้ ผนง.ในโลกยุค Disrupt ถ้ามีผู้นำอย่างโทนี่ เศรษฐกิจดี จะลดแรงกดดัน แต่มันไม่ใช่แค่นั้น คนรุ่นใหม่ลุกฮือเพราะความอยุติธรรม เพราะไม่พอใจระบบอุปถัมภ์ เส้นสาย วัฒนธรรม “คนดีย์” ไปถึงทุนผูกขาด เช่นที่แอนตี้เจ้าสัวอยู่ตอนนี้
มันไม่ใช่ว่ารัฐบาลทำเศรษฐกิจดี มีเงินเหลือเฟือ แล้วทุกคนพอใจ หาเงินได้มาก ยินดีเสียภาษีปีละสองล้าน ให้รัฐปรสิตเอาไปใช้ฟุ่มเฟือย ให้ทหารซื้อโดรนซื้อเรือดำน้ำ พรรคก้าวไกลไม่ต้องมาอภิปรายงบประมาณล่อแหลมอีก ชาวบ้านอิ่มท้องแล้ว ไม่สนใจ
พูดอย่างนี้ไม่ได้แอนตี้แนวทางเพื่อไทย ขบวนประชาธิปไตยคงเดินไปทั้งสองแนว ทั้งแหลมคมชนเพดาน ทั้งพร้อม compromise แล้วก็ทะเลาะกันไป และต่อสู้ไปด้วยกัน
แต่ความเป็นจริงคือ ขั้วอำนาจจะไม่ยอม compromise อยู่ไปอย่างนี้ดีกว่า หรือต่อให้ compromise ก็ไม่จบง่าย เพราะความขัดแย้งมาไกลแล้ว ต้องปฏิรูปจึงอยู่ร่วมกันได้
ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/politics/hot-topics/news_6600936
ใบตองแห้ง
ศึกอภิปรายไล่ประยุทธ์ ตีกระหนาบทั้ง 3 ด้าน ในสภา นอกสภา และในพรรคพลังประชารัฐ
ข้อหลังเป็นปรากฏการณ์ระดับไม่เคยเกิดมาก่อน เคยมีเหมือนกัน แต่ไม่รุนแรงเท่าครั้งนี้ ทีแรกยังแค่ข่าวลือ เช่น ข่าวกดดันปรับ ครม. ข่าว 4 ช.เลื่อยเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการ กดดันไปถึง มท.1 ซึ่งอยู่ใน 3 ป. จน “ตู่-ป้อม” ต้องส่งไลน์คุยกัน
ข่าวเยอะกระทั่งประยุทธ์ต้องออกมาพูดเอง ว่ามีการปล่อยข่าวโหวตล้มนายกฯ กดดันให้ยุบสภา คุยกับประวิตรแล้วก็ยังมีข่าวออกมา ยิ่งกว่านั้น ยังแอบอ้างเบื้องสูงว่าจะมีการเปลี่ยนตัวนายกฯ
“การแอบอ้างเบื้องสูงว่าจะมีการเปลี่ยนตัวนายกฯ ถือว่าผิดอย่างร้ายแรง ผมคนเดียวเท่านั้นที่มีโอกาสถวายข้อราชการ คนอื่นไม่มี ชัดเจนไหม”
ชัดเจนครับ แต่งงว่าพูดทำไม มันคงเป็นข่าวลือกระเส็นกระสาย ชาวบ้านไม่รู้ หรือรู้ก็ไม่เชื่อ แต่ประยุทธ์ทำให้ข่าวลือเป็นที่รับรู้ทั่วไป
พูดเพื่ออะไร ทั้งที่หากคุมเสียง ส.ส.ได้ รัฐบาลก็ชนะสบายๆ ไม่ต้องแยแสสนใจฝ่ายค้าน ซึ่งถามไม่ตรงคำตอบ อภิปรายยังไง ประยุทธ์ก็ยืนยัน “สวดมนต์ทุกวันไม่ทำอะไรผิด”
ธรรมนัสปฏิเสธ ไม่ได้อยู่เบื้องหลังล้มประยุทธ์ แต่ท่าทีดุเดือด ด่าไอ้ห้อยไอ้โหนเสี้ยม ซัดรัฐมนตรี พปชร. รับงานล็อบบี้ ส.ส.ทั้งฝ่ายค้านรัฐบาล ให้โหวตไว้วางใจเฉพาะบางคน คนเต้าข่าวไม่ใช่ฝ่ายค้าน แต่เป็นไอ้ห้อยไอ้โหนเลียแข้งเลียขา ถ้ายังเป็นแกนนำพรรค ไอ้พวกนี้ไม่ได้ลง ส.ส.สมัยหน้า ฯลฯ
อะโห ชัดเจนว่า พปชร.แตกเป็นเสี่ยง เลขาฯพรรคไม่พอใจพวกห้อยโหน คาดโทษรัฐมนตรีบางคน แล้วจะไม่ปรับ ครม.ได้อย่างไร แม้มีข่าวด้านกลับ เต้ว่าประยุทธ์จะปลดธรรมนัส และต่างคนต่างก็ไม่คุยกัน
บางคนเริ่มมโน ว่าอิทธิฤทธิ์พี่โทนี่ เพราะก่อนหน้านี้ เพื่อไทยเบรกก้าวไกล ไม่อภิปรายประวิตร ไม่แตะธรรมนัส จนเกิดความสงสัย “ดีล” อะไรหรือเปล่า
แหม มันก็เพ้อเกินไป เพื่อไทยจับมือธรรมนัสโหวตล้มตู่ ไม่มีทางเป็นไปได้ ยุบสภาตอนนี้ พปชร.ก็ตาย ประยุทธ์ลาออก พปชร.ก็กำขี้ แต่ที่แน่ๆ คือไม่พอใจกันภายใน โดยเฉพาะการจัดสรรตำแหน่ง ที่แก่งแย่งมาแต่ต้น แล้วนับถอยหลังสู่เลือกตั้ง ในสถานการณ์ที่คะแนนนิยมตกต่ำ รัฐบาลล้มเหลว
จึงมีแรงกระเพื่อมถึงรัฐมนตรีมหาดไทย ถ้าไม่ดูแล ส.ส. ถ้าไม่ช่วยหาเสียง เก้าอี้นี้ขอได้ไหม
ที่บอกว่าปรับ ครม. ไม่อยู่ในสมอง 84,000 เซลล์ ก็เห็นจะไม่จริง ต้องมีฝ่ายหนึ่งอยู่ฝ่ายหนึ่งไป ถ้าธรรมนัสเป็นใหญ่ รัฐมนตรีที่กาหัวไว้ก็ต้องหลุด ถ้าปลดธรรมนัส พลังประชารัฐก็ไม่เหลือใคร
กลายเป็นปัญหาเสถียรภาพพรรคแกนนำ ไม่เหมือนภูมิใจไทยพร้อมพรักสามัคคี ทั้งลูกพรรคลูกงูประท้วงแข็งขัน ด้านล่างเวทีก็เกณฑ์ผู้บริหาร สธ. เรียงหน้ากระดานโต้แทนหนู ทำประชาชนงง ฝ่ายค้านถามในสภา ให้ข้าราชการตอบข้างล่าง อย่างนี้ก็มี
เหลือแต่ ปชป.นิ่งมาก ไม่ยุ่งกับใคร ถ้าเฉลิมชัยไม่โดนอภิปราย คงปูเสื่อดูละครทั้งพรรค
บรรยากาศอย่างนี้ แม้คาดกันว่ารัฐบาลผ่านไว้วางใจแหงๆ แต่ก็อยู่อย่างยักแย่ยักยัน ทั้งที่เป็นการอภิปรายครั้งสุดท้าย ฝ่ายค้านยื่นญัตติไม่ได้อีกหนึ่งปี แรงกดดันจากโควิดก็ลดลง โหม PR เปิดประเทศจนหุ้นขึ้น แต่ประชาชนก็ไม่ลืมความล้มเหลวในการรับมือ ในการจัดหาวัคซีน ที่ยังอุตส่าห์ด้านๆ ว่าเต็มแขนประชาชนแล้วไง ห้ามด้อยค่าวัคซีนบ้านพี่ใหญ่เป็นวัคซีนเสิ่นเจิ้น ห้ามเปิดโปงสัญญาซื้อ Astra ที่ธนาธรโดน 112 ไปแล้ว
ผ่านไปได้ก็ไม่มีเสถียรภาพ ดันทุรังก็หมดความเชื่อถือจากประชาชน โควิดจางตามมาด้วยวิบัติเศรษฐกิจ ยิ่งฉีดวัคซีนคนยิ่งกล้าออกมาชุมนุม
รัฐบาลปรามาสฝ่ายค้านไม่มีข้อมูลใหม่ แต่ประชาชนหมดความเชื่อถือแล้วไง แตะตรงไหนก็เหวอะหมด หายนะไม่สามารถกลบเกลื่อน ด้วยการบอกว่าโควิดลดแล้ว มีวัคซีนแล้ว หลังคนตายไปเป็นหมื่น
หลังลงมติไม่ไว้วางใจ คงได้ประเมินอนาคตกันหลายข้อ หนึ่ง ประยุทธ์จะอยู่ครบวาระหรือยุบสภา สอง สมัยหน้าประยุทธ์จะยังเป็นแคนดิเดตนายกฯ ไหม สาม พรรคพลังประชารัฐจะยังเป็นพรรคใหญ่ในการเลือกตั้งไหม
ในอีกด้านหนึ่ง แม้ประยุทธ์อยู่ต่อได้ ม็อบอาจยิ่งมีกำลังใจ เมื่อเห็นความไม่เป็นเอกภาพ เห็นโอกาสกดดัน บนถนนอาจมีทั้งม็อบเกษตรกร ชาวนาชาวไร่ คนตกงาน มีทั้งม็อบณัฐวุฒิ-บก.ลายจุด แนวร่วมธรรมศาสตร์ REDEM แถมทะลุแก๊ซ
ในภาพรวม การอภิปรายยังไม่จบ ก็เห็นแล้วว่าได้ผลเกินคาด แม้มาจากภายในพรรครัฐบาล แต่ถ้าไม่ใช่เพราะความล้มเหลว เพราะเสื่อมทุกด้าน คงไม่มีข่าวลือข่าวจริงเขย่าประยุทธ์ถึงขั้นนี้
ต่อให้เป็นข่าวลือ ก็จะสะท้อนว่าอำนาจกลุ่มต่างๆ ต้องคิดหนัก ในการที่จะหนุนประยุทธ์ต่อไป
ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/politics/hot-topics/news_6598659
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar