fredag 26 november 2021

ใบตองแห้ง: ‘ผนึกอำนาจเสื่อม’

รัฐสภาปิดทางแก้รัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญปิดทางเคลื่อนไหวนอกสภา “ปฏิรูป=ล้มล้าง” ตำรวจระดมตั้งข้อหา อัยการเร่งสั่งฟ้อง ศาลอาญาถอนประกัน

ขบวนคนรุ่นใหม่ ขบวนเปลี่ยนแปลงประชาธิปไตย ถึงโครงสร้าง ถึงทางตันแล้วหรือไม่ มองผิวเผินในเชิงอำนาจก็อาจใช่ เพราะไม่มีกำลังสู้รบปรบมือ ลงถนนก็แพ้อำนาจรัฐ สู้ในสภาก็แพ้ 249 ส.ส. 224 ส.ว.

แต่ในทางกลับกัน ความเป็นปึกแผ่นของอำนาจรัฐก็เป็นจุดเปราะ เพราะภาพที่แพ็กเข้ามาด้วยกัน กลายเป็นองค์ประกอบที่ไม่ชอบธรรม ตกต่ำ เสื่อมศรัทธา

คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ว่าม็อบเรียกร้องปฏิรูปสถาบันซ่อนเร้นเจตนาล้มล้าง แม้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ด้วยนักวิชาการกฎหมาย นักวิชาการประชาธิปไตย และม็อบ “ไม่เอาสมบูรณาญาสิทธิราชย์” แต่พูดกันตรงๆ เมื่อเป็นคำวินิจฉัยศาล เมื่อเป็นเรื่องสถาบัน คนไทยส่วนใหญ่ก็หวั่นเกรง เก็บปากเก็บคำ ไม่อยากเสี่ยง ตามธรรมชาติสังคม “ไทยเฉย” หรือ “อยู่เป็น”

คงมีคนรุ่นใหม่เท่านั้นที่ “กล้ามาก” ตอบโต้ไม่ลดละ ทั้งในสื่อสังคมออนไลน์ และลงถนนไปสถานทูตเยอรมัน

แต่สถานการณ์ที่ตามมา ทั้งการส่งเสียง Echo กันเองของพวกสุดโต่งหยิบมือ ทั้งการคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ด้วยคำอภิปรายวิปริตเหตุผลของเหล่า ส.ว. ส.ส.รัฐบาล มันยิ่งขับเน้นความเสื่อม มันยิ่งแบ่งการเมืองเป็นสองขั้ว ให้เห็นภาพง่ายๆ ว่า พวกไชโยโห่ร้องคำสั่งศาล พวกอ้างตนปกป้องสถาบัน คือคนกลุ่มเดียวกันที่ปกป้องผลประโยชน์ตัวเอง เกาะอำนาจแต่งตั้งเหนียวเป็นตีนตุ๊กแก

ร่างรัฐธรรมนูญ Re-Solution ให้ยุบ ส.ว.แต่งตั้ง เหลือแต่สภาจากเลือกตั้ง เพิ่มอำนาจตรวจสอบศาล กองทัพ รื้อศาลรัฐธรรมนูญ ลบล้างผลพวงรัฐประหาร ฯลฯ หากท้วงติงทางหลักวิชาก็ไม่ว่ากัน แต่เนื้อหาและท่าทีของ ส.ว. ส.ส.รัฐบาล คือการปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง ว่าประชาชนไม่ควรมีอำนาจ ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งควรถูกควบคุมกำกับโดย ส.ว.จากแต่งตั้ง โดยองค์กรอิสระที่ไม่มีความยึดโยงอำนาจประชาชน และไม่ควรมีอำนาจเข้าไปตรวจสอบกองทัพ ไม่ควรมีอำนาจตรวจสอบระบบราชการศาลยุติธรรม

รัฐสภาที่มี 250 ส.ว.ประยุทธ์ตั้งมาโหวตตู่ ก็ตีกรอบประชาธิปไตยถดถอย ยิ่งไปกว่าระบอบที่คนไทยเคยเข้าใจ มาหลายสิบปี

ตลกร้าย ส.ส.ที่มาจากเลือกตั้งเอง เช่นประชาธิปัตย์ กลับคัดค้านแข็งขันว่า ส.ส.จากเลือกตั้งไม่ควรมีอำนาจ ขณะที่ ส.ส.ซึ่งถูกกวาดต้อนมาอยู่พลังประชารัฐ พากันกระดากปาก เงียบกริบ คงมีบางคนเช่นวีระกร คำประกอบ แม้คัดค้านก็ฉวยโอกาสหลอกด่าองค์กรอิสระ

ใช่เลยนะ ประชาชนฟังแล้วอาจพยักหน้าหงึกหงัก ไอ้พวก ส.ส.มีตั้งมากที่มาจากตระกูลเจ้าพ่อเจ้าแม่ อิทธิพลท้องถิ่น พ่อค้าแป้ง พ่อค้าน้ำมันเถื่อน ผู้รับเหมา ไม่น่าให้มีอำนาจมาก แต่เอ๊ะ ดูอีกที พวกนี้ก็คือ ส.ส.รัฐบาลที่โหวตไม่รับทั้งนั้นนี่หว่า
มันกลายเป็นว่า ส.ส.พวกนี้ต่างหาก ที่เข้ามาแอบอิงรัฐประหารสืบทอดอำนาจ อาศัยระบอบ 250 ส.ว.โหวตนายกฯ แสวงผลประโยชน์แล้วเงียบกริบ

ขณะที่เหล่า ส.ว.ปากเก่ง “เนรคุณชาติ ล้มสถาบัน” หรือขู่ลงโลงศพ บ้างก็เป็นพวกได้ดีกับรัฐประหาร ได้ตำแหน่ง แต่งตั้งทุกสมัย บ้างยังมีคดีบุกวัด บ้างออกจากตำแหน่งเพราะจดหมายน้อย ถามหน่อยมีความชอบธรรมอะไร

ทุกยุคสมัย พลังอนุรักษนิยมย่อมมีพวกห้อยโหน แต่ไม่อาจขาดแก่นแกนผู้มีชื่อเสียงด้านศีลธรรมจรรยา หรือมีความชอบธรรมบางประการ ยุคนี้สิน่าประหลาดว่า เกิดแพ็กอำนาจที่ยิ่งกว้างยิ่งเสื่อม

พอแพ็กเข้ากับเสาค้ำคือระบอบรัฐประหารสืบทอดอำนาจ 250 ส.ว.ตู่ตั้ง พวกพ้องทหารข้าราชการ วางตัวองค์กรอิสระ กวาดต้อนนักการเมืองมารับใช้ แล้วปล่อยให้หาผลประโยชน์ บริหารราชการล้มเหลว ไร้

องคาพยพมันเสื่อมไปหมด เว้นแต่อำนาจดิบ ปิดกั้นความเปลี่ยนแปลง เป็นระบอบที่เต็มไปด้วยเห็บหมัด ซึ่งจะห้อยโหน กัดกร่อน บ่อนทำลาย ถ้าไม่ยอมปฏิรูปองคาพยพ ดันทุรังไว้ทั้งพวง จะพาพังไปหมด แต่นั่นแหละ ระบอบใหญ่โตแตะตรงไหนก็ไม่ได้

พึงเข้าใจว่า ระบอบอำนาจแบบนี้ มักย่อยยับกับพวกประจบสอพลอ พวกล้นเกินเพื่อเอาใจ ยิ่งสุดโต่ง สังคมตรงกลางๆ ยิ่งรับไม่ได้

การเมืองหลังคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ กลายเป็นภาพชัดเจนว่า 250 ส.ว. 4 พรรครัฐบาล กอดกันแน่นเหนียว อาศัยการตีความว่าระบอบที่ปกครองประเทศอยู่นี้ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ปกป้องประยุทธ์ บนความล้มเหลว บนปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้า ใช้ทหารตำรวจ กระบวนการยุติธรรม นักร้อง นักกล่าวหา อดีต กปปส. บดขยี้ฝ่ายค้านและคนรุ่นใหม่ ด้วยข้อหา “ล้มล้างสถาบัน”

ถ้าเร่งไปในกระบวนการนี้ จะเกิดอะไร คงได้ชัยชนะมั้ง เลือกตั้งก็อาจชนะ ภายใต้อำนาจล้นหลาม แต่ไม่ยักตระหนักว่า ชัยชนะแต่ละครั้งอยู่บนความล่มสลายในอนาคตข้างหน้า

ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/politics/hot-topics/news_6739559

โลกอยู่ในยุคประชาธิปไตยถดถอย นักการเมืองฝ่ายขวาประชานิยมผงาดขึ้นมาในยุโรป อเมริกา หรือละตินอเมริกา แม้ล่าสุดทรัมป์แพ้ ผู้นำอำนาจนิยมอย่างปูติน ครองอำนาจมั่นคง ระบอบพรรคเดียวของจีน กำลังจะเชิดชูสี จิ้นผิง เป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ เผด็จการทหารพม่าเข่นฆ่าประชาชนอย่างโหดร้าย ประชาคมโลกไร้น้ำยา ดอน ปรมัตถ์วินัย ยังกล้าๆ แอบไปพบมิน อ่อง ไหล่

ฟังแล้วหดหู่สำหรับขบวนประชาธิปไตยไทย? แต่การต่อสู้ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายใน ไม่ใช่ภายนอก โลกไม่แทรกแซงไทยหรอก มีแต่สลิ่มคลั่ง คิดว่าอเมริกายุคทรัมป์จะยึดครองไทยเป็นฐานทัพรบกับจีน ที่ไหนได้ ฝ่ายประชาธิปไตยโคตรเกลียดทรัมป์ ทั้งละเมิดสิทธิเสรีภาพเหยียดผิวเหยียดเพศแล้วปลุก ขวาคลั่ง

ทำไมกระแสโลกเอียงขวา น่าจะเป็นเพราะ 40 ปีหลังสิ้นสุดสงครามเย็น อุดมการณ์สังคมนิยมล่มสลาย โซเวียตแตก จีนกลับมาฟื้นทุนนิยม สหรัฐเลิกสนับสนุนเผด็จการทหาร วางกติกาโลกใหม่ “การค้าเสรี” ที่มากับประชาธิปไตย ความโปร่งใส สิทธิมนุษยชน เพื่อเปิดประเทศเข้าร่วมองค์การการค้าโลก ห้ามกีดกัน

40 ปี “ทุนนิยมโลกาภิวัตน์” หรือเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ กลืนกินไปทั่ว และเกิดวิกฤตเป็นพักๆ (เช่นวิกฤตต้มยำกุ้ง) เกิดความเหลื่อมล้ำ เกิดความพังพินาศ และเกิดการต่อต้าน ในชาติด้อยพัฒนาต่างๆ โดยความฝันแบบเดิม (ยึดอำนาจรัฐสร้างสังคมอุดมคติ) ล่มสลายไปแล้ว จึงกลายเป็นการต่อต้านอย่างไร้ทิศทาง แบบก่อการร้าย หรือปลุกเผด็จการชาตินิยม ศาสนาสุดโต่ง โดยพาลปฏิเสธประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน อ้างว่าเป็นของตะวันตก

ในโลกตะวันตกเช่นอังกฤษ อเมริกา กระแสเอียงขวาผงาดขึ้นหลังวิกฤตซับไพรม์ ที่คนจำนวนมากล้มละลาย ตกงานเสียบ้าน ชาตินิยมอังกฤษ Brexit เพราะคิดว่ายุโรปเป็นภาระ ทรัมป์เล่นงานจีนเพื่อกีดกันการค้า บีบบริษัทอเมริกันกลับประเทศเพิ่มตัวเลขจ้างงาน ปลุกเกลียดชังคนต่างผิวว่าอพยพมาแย่งงานคนอเมริกัน ฯลฯ

ทางฝั่งจีนยุคสี จิ้นผิง เลี้ยวซ้าย สถาปนาตนเทียบเท่าเหมาเติ้ง ก็รวบอำนาจพร้อมประชานิยม “เป็นสังคมนิยมให้มากขึ้น เป็นทุนนิยมให้น้อยลง” ทุบหัวแจ๊กหม่า เรียกค่าปรับบริษัทยักษ์ใหญ่ เอาไปใช้กับรัฐสวัสดิการ ทุบฟองสบู่อสังหา เพื่อทำให้ราคาบ้านลดลง ปราบกวดวิชา ลดค่าใช้จ่ายการศึกษา โดยขณะเดียวกันก็คุมเกมออนไลน์ จัดระเบียบดารา รักชาติห้ามหน้าหวาน ฯลฯ วิญญาณเรดการ์ดกลับมา

สลิ่มไทยที่เคยปลุกขวาพิฆาตซ้าย แซ่ซ้องสี จิ้นผิง น้ำหูน้ำตาไหล แต่ไม่ยักย้อนดูตัวบ้างว่า เผด็จการไทยให้อะไร

ขวาโลกที่เกิดขึ้นใหม่ หรือซ้ายจีนที่หวนกลับ ล้วนเกิดจากความไม่พอใจเศรษฐกิจวิบัติ ไม่พอใจความเหลื่อมล้ำ รวยจนลิบลิ่ว ซึ่งหลังโควิดจะยิ่งถ่างห่าง ด้วยเงินอัดฉีดล้นตลาดเก็งกำไร คนประกอบอาชีพในภาคเศรษฐกิจจริงยากลำบาก คนเล่นหุ้นเล่นเหรียญในอากาศรวยปุบปับฉับพลัน

ในกระแสนี้ มีความคิดสังคมนิยมประชาธิปไตยอยู่บ้าง เช่นในยุโรป แต่ไม่ทันใจเท่าอำนาจนิยม ในอเมริกาก็มีกลุ่มเบอร์นีย์ แซนเดอร์ส ที่หนุนไบเดนผลักดันเงินกู้ 3.5 ล้านล้านเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแก้ความยากจน

คำถามคือ แล้วขวาไทยเรียกร้องอะไร ไม่ยักใช่ความไม่พอใจเศรษฐกิจหรือลดเหลื่อมล้ำ แม้พันธมิตรปี 49 ต่อต้าน “ทุนสามานย์” แต่ 15 ปีผ่านไป หลังทำลายทุนทักษิณ ทุนผูกขาดไทยไม่กี่ตระกูลก็รวยได้รวยเอา

เผด็จการไทย Elite ไทย ขวาไทย ไม่ได้อยู่ในกระแสฝ่ายขวาประชานิยมเหมือนชาวโลก ไม่ใช่พวกรีพับลิกันที่เลือกทรัมป์เพราะทำให้เกิดการจ้างงาน แต่เป็นขวาล้าหลังที่อ้างชาตินิยม ความเป็นไทย ปกป้องอำนาจ ปกป้องรัฐบาลไร้ประสิทธิภาพ ปากท้องย่ำแย่

ฝ่ายขวาฝรั่ง ขวาแค่ไหน ถ้ารู้ว่ารัฐธรรมนูญไทยตั้ง 250 ส.ว.มาโหวตตัวเอง ถ้าเห็นเนื้อหามาตรา 112 ก็ร้อง My God ทั้งนั้น แม้อยู่ในโลกยุคตัวใครตัวมัน เอาการค้าการลงทุนและผลกำไรเป็นสำคัญ แต่ฟังการประชุม UPR ที่ประเทศต่างๆ รุมซักเรื่อง 112 เรื่องสิทธิเสรีภาพ มันก็ไม่น่าลงทุนเหมือนในอดีต ที่ไทยเป็นประเทศมีเสรีภาพมากที่สุดในภูมิภาคนี้

ฝ่ายขวาไทย เป็นพวกที่ยอมให้ทุกอย่างในประเทศพังพินาศล่มจม เพียงเพื่อชูมือเทิดทูนสิ่งที่ตนหวงแหน พร้อมกับอุ้มสมระบอบรัฐประหารสืบทอดอำนาจ โดยเชื่อว่าไม่มีระบอบใดอีกแล้ว ที่จะเป็นเสาค้ำความเคารพศรัทธา ไม่ยอมรับ “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ในรูปแบบอื่น

กระทั่งอุดมการณ์ “ต้านทุนสามานย์” “ไล่นักการเมืองยี้” ที่เคยป่าวร้องในม็อบพันธมิตร กปปส. ก็ถ่มถุยทิ้งหมด ทุนผูกขาด ทุนสัมปทาน นักการเมือง ใครยืนข้างระบอบประยุทธ์ ชั่วเลวแค่ไหนก็ช่าง

ประยุทธ์เป็นพระเอกเสมอ แม้ไปยืนเงอะงะในเวที COP26 แม้ไปยืนเคว้งคว้างริมทะเล แม้แสดงสติปัญญาให้ทหารปลูกผักชี ให้เอารถทหารมาขนสินค้าแทนสิบล้อ

ขอเพียงประยุทธ์ปลุกความกล้าหาญให้ยืนในโรงหนัง ก็ตื้นตันน้ำตาไหลกันพรั่งพรู ทั้งที่ดูอีกด้าน ไม่พูดเสียยังฉลาดกว่า

ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/politics/hot-topics/news_6741477

 

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar