lördag 7 juni 2014

ผ่อนคลายความ ความเครียด ด้วยการอ่าน....เรื่องราวประวัติศาสตร์จีนเมื่อเกือบ ๒๐๐๐ ปีที่ผ่านมา มันช่างย้อนยุคย้อนสมัยกลับมาเกิดขึ้นที่ประเทศไทยเวลานี้ แสดงให้เห็นว่าระบอบอำมาตย์เผด็จการราชาธิปไตยยังมีความคิดโบราณล้าหลังเหมือนยุคสมัยเมื่อเกือบสองพันปีที่ผ่านมา แล้วจะปรับตัวอยู่กับประชาชนไทยผู้ต้องการระบอบประชาธิปไทยได้อย่างไร??? น่าอนาถกับพวกไดโนเสาร์โบราณเหล่านี้...เสื่อม เสื่อมสุดๆ....




จะเป็นซูสีไทยเฮา หรือ บูเซ็คเทียน
โดย  อ่างขาง
ในสมัยราชวงศ์ต้าถัง มีสตรีนางหนึ่งที่เป็นสามัญชนคนธรรมดา ฟ้าลิขิตหรือคนลิขิตมิอาจทราบได้ แต่ สตรีนางนั้นได้เป็นถึงเจ้าชีวิตของคนทั้งประเทศประกาศศักดาแต่งตั้งตนเองเป็นถึง “ฮ่องเต้” ซึ่งต่อมาได้ถูกคนทั้งโลกขนานนามเธอว่า “พระนางบูเซ็คเทียน” หลายผู้รู้ได้ตีความออกมามากมาย ทำไมสามัญชนคนนี้ถึงได้เป็นถึงฮ่องเต้ ทั้งที่ตนเองก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีของประเทศจีนในสมัยโบราณ ผู้หญิงก็มิอาจยินยอมให้เป็นผู้นำได้

ต่างคนก็ต่างวิเคราะห์กันไปโดยมีหลักฐานอ้างอิงกันทุกคน หลายเรื่องหลายเหตุการณ์ หลายเหตุผล ไม่ตรงกัน แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ตรงกันมากๆ ก็คือ ในช่วงเวลานั้น ประเทศจีนเจริญก้าวหน้าอย่างสูงสุด ประชาชนในช่วงนั้นมีความสุขกันทั่วหล้า นี่คือเหตุผลที่นักวิเคราะห์ทุกฝ่ายยอมรับ
เกล็ดเล็กๆ ที่หลายท่านที่สนใจพอจะทราบบ้าง นั่นก็คือ
ในสมัยนั้นไม่มีศัตรูจากนอกประเทศมารุกราน ที่จะทำให้พระนางต้องออกไปทำศึกเลย แม้แต่ครั้งเดียว
มีแต่ศัตรูภายใน ที่พยายามทำลายพระนางนั้น ได้แก่ พระบรมวงศานุวงศ์ พระญาติ เป็นผู้ก่อเหตุขึ้นมาทั้งสิ้น ไม่มีใครที่ไหนเลย พระนางเมื่อครั้งยังคงเป็นแค่ ฮองเฮา พระนางโดนคำสั่งจากพระสวามีที่เป็นฮ่องเต้ ให้ถูกปลดถึงสองครั้ง แต่ก็สามารถกลับมาได้ทุกครั้งในเวลาอันรวดเร็ว ด้วยมันสมองและวาจาของพระนางโดยแท้ มิได้มีกองกำลังหนุนหลังแต่อย่างใดทั้งสิ้น


วันนี้ ที่บ้านเรา ทหารได้เข้ายึดอำนาจการปกครองไปแล้ว ทำให้ผมนึกถึงประวัติศาสตร์ ในช่วงที่ พระนางบูเซ็คเทียนถูกยึดอำนาจไปเช่นเดียวกัน ผู้ยึดอำนาจอ้างเหตุผลความไม่สงบ ประชาชนเดือดเลยเข้ามาแก้สถานการณ์ให้ เพื่อให้เกิดความสงบแล้วจะคืนอำนาจนั้นให้กับประชาชนอีกครั้งหนึ่ง
คำพูดคล้ายว่าดี แต่การกระทำกลับตรงกันข้าม กลุ่มที่ยึดอำนาจวางแผนกันมากว่า 3 ปี เป็นกลุ่มเดิมที่เคยกระทำมาแล้วซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วก็ไม่เคยแก้ปัญหาให้ประชาชนได้ซักที เมื่อประชานทวงคืนอำนาจของตนเองก็เข่นฆ่าประชาชน อย่างเลือดเย็น ที่มีทั้งผู้หญิง คนแก่ และเด็กอยู่ในการสังหารหมู่นั้นด้วย แล้วแสร้งทำเหมือนว่าตนเองดีเหลือเกิน ที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อปกป้องสถาบันฯ และประกาศอย่างโจ่งแจ้งอีกด้วยว่า จะฆ่าอีกหมื่นคนก็จะฆ่า เพื่อเป็นการปกป้องสถาบันฯ

ช่วงตอนนี้ในประวัติศาสตร์ของพระนางบูเซ็กเทียนก็มีคล้ายกัน เมื่อพระญาติของพระนาง ได้ร่วมกันใส่ร้ายผู้บริสุทธิ์แล้ว เข่นฆ่าประชาชนอย่างไม่เลือกหน้า ในข้ออ้างที่ว่า ขุนนางและประชาชนก่อการกบฏไม่จงรักภักดี หลายคนหลายตระกูลถูกฆ่าตายอย่างเลือดเย็นโดยที่ไม่มีความผิดแม้แต่น้อย เพียงเพราะพระญาติของพระนาง เป็นคนลุแก่อำนาจต้องการสิ่งใดไม่สมประสงค์เท่านั้น ก็ใส่ร้ายป้าสีประชาชนได้เลย

พระนางเองคล้ายว่าถูกปิดหูปิดตา ไม่รู้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จกันแน่ ว่ากันตามหลักฐานและกระบวนการยุติธรรม ซึ่งในยุคนั้นก็เหมือนตอนนี้ของประเทศไทย ความยุติธรรมขึ้นอยู่กับ ใครสั่งมาเท่านั้น ดังนั้นทั้งคนตายและคนยังมีชีวิตอยู่ต้องกลายเป็นคนผิดทั้งนั้น
ถ้าไม่ใช่คนที่พระญาติสั่งลงมา
โอรสของพระองค์ เกือบทุกพระองค์ก็โดนกระทำด้วยเหมือนกัน
เหตุเพราะตัวพระญาติเองนั่นแหละ เมื่ออาศัยอำนาจจากพระนางนำมาใช้มากขึ้น ตนเองก็หลงผิดคิดว่าแท้จริงแล้วอำนาจทั้งหมดมาจากตัวของเขาเองมิใช่บารมีจากพระนางแต่อย่างใด อีกทั้งมีการยุแหย่จากผู้ใกล้ชิด จึงเกิดความโลภ ทะเยอทะยาน จะขึ้นมาเป็นฮ่องเต้เหมือนกัน

คนสมัยนี้กับคนสมัยโบราณ ความคิดไม่เคยแตกต่าง การวางแผนของพระญาติที่มีตำแหน่งใหญ่โต หวังจะเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เมื่อทรงเสด็จสวรรคตแล้ว คิดการจะแต่งตั้งพระธิดาองค์สุดท้องขึ้นครองราชย์แทน เพื่อตนเองจะได้บัญชาการอยู่เบื้องหลัง และหวังอย่างยิ่ง เมื่อราชวงศ์อ่อนแอลง ตนเองจะได้ยึดอำนาจขึ้นมาเป็นฮ่องเต้เสียเอง ตั้งราชวงศ์ใหม่ซะเลย

เนื้อหาในตอนนี้ เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับประเทศไทยในปัจจุบัน มันช่างคล้ายซะเหลือเกิน

แต่ ทั้งหมดที่วางแผนกันไว้ มิได้เป็นไปอย่างที่คิด
พระนาง มีอายุยืนยาวไปจนถึง 82 ปี และทรงสระราชสมบัติให้กับพระโอรสองค์ที่ยังมีชีวิตอยู่ขึ้นครองราชย์แทน ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ก่อนที่พระองค์จะถูกชิงราชบัลลังก์ และพระนางก็ใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างสงบมีความสุข และได้รับการเทิดทูลจากทั่วทุกสารทิศว่า เป็นฮ่องเต้อีกองค์หนึ่งของประวัติศาสตร์ประเทศจีนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดด้วย

เบื้องหลัง ที่พระนางทำสำเร็จและสามารถปกป้องราชวงศ์เอาไว้ได้ ในเนื้อหาของผู้ประมวลเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้ ขยายความเอาไว้ดังนี้
พระองค์ กล้ากระทำในสิ่งที่มนุษย์ปกติไม่กล้าทำ กล้าขัดใจตนเอง กล้าเลือกความถูกต้องนำมาใช้ประโยชน์มากกว่าความถูกใจและความประสงค์ของตนเอง

ยกตัวอย่าง พระนางเลือกที่จะทุ่มเงินมหาศาลลงไปให้กับประชาชนผู้ยากไร้ สร้างที่อยู่อาศัย สร้างเขื่อนกักเก็บน้ำ สร้างระบบชลประทาน ให้กับราษฎร ยามหน้าหนาวจะส่งเสบียงจากคลังหลวงลงไปช่วย แจกผ้าห่ม แจกเสื้อกันหนาว ให้กับทุกครัวเรือนที่เดือดร้อน แทนที่จะเอาเงินส่วนนั้นไปบำรุงพวกพวกพ้องตนเอง ได้สั่งลงโทษข้าราชการที่ทุจริต แม้ว่าข้าราชการผู้นั้นจะเป็นพระญาติหรือเชื้อพระวงศ์ก็ตามที
และสิ่งที่เหลือเชื่อมากๆในช่วงนั้นก็คือ พระองค์เลือกที่จะไม่ปราบปรามพวกก่อกบฏ เลือกที่จะปลดแม่ทัพนายกองผู้กระหายสงครามที่เป็นผู้จงรักภักดีของพระนางเอง แล้วตั้งตัวแทนที่เป็นไพร่เข้าไปเจราจากับกลุ่มกบฏแทน
ซึ่งก็ได้ผล กลุ่มกบฏทุกคนยอมวางอาวุธ ไม่คิดการก่อกบฏอีกเลยจนชั่วชีวิต ไม่มีการเสียเลือดเสียเนื้อสักหยดเดียว ประชาชนอยู่อย่างร่มเย็นไปสุขตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

นัย ของเรื่องนี้ ผู้รู้ได้อธิบายไว้ว่า พระองค์เข้าใจเหตุการณ์บ้านเมืองมากขึ้น เมื่อเท้าของพระองค์ได้เหยียบดิน กลุ่มกบฏแท้จริงก็คือชาวบ้านธรรมดา ที่ถูกข้าราชการและขุนนางกดขี่จนทนไม่ไหว และได้รับการเสี้ยมจากพระญาติของพระนางเองให้ลุกขึ้นมาสู้ขอทวงคืนอำนาจที่พระนางได้ยึดครองเอาไว้ จากโอรส ที่เป็นฮ่องเต้ตัวจริง ทั้งนี้เพื่อหวังผลดังที่กล่าวไว้ในตอนแรก

พระองค์ทราบดีแม้กระทั่งชาวบ้านที่ถูกหลอกมาต่อสู้นั้น บางคนจับดาบยังไม่เป็น บางคนไม่มีอาวุธที่จะสู้เพียงเอาจอบเอาเสียมมาเป็นอาวุธเท่านั้น ถ้าเหล่าทหารในราชสำนักลงมือปราบกบฏไปจริงๆ อะไรจะเกิดขึ้น ประชาชนของพระองค์เป็นหมื่นเป็นแสนจะต้องตายลงไปทั้งหมด และทั้งหมดก็คือทรัพยากรบุคคลที่ร่วมกันสร้างชาติมาทั้งนั้น อีกทั้งแรงงานด้านการเกษตรก็จะขาดหายไป ทำให้แผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลจะต้องเดือดร้องเรื่องอุปโภคและบริโภคอย่างแน่นอน แล้วยังมีญาติมิตรอีกหลายล้านคนที่ใช้ แซ่ เดียวกัน จะเป็นศัตรูกับพระองค์ไปนานเท่านาน เป็นการอาฆาตแค้นจากรุ่นสู่รุ่นไปจนกว่าราชวงศ์จะสูญสิ้นไป นั่นคือเป็นการเพิ่มศัตรูอย่างถาวรให้ราชวงศ์อีกด้วย

พระองค์จึงเลือกหนทางที่ อยู่ข้างประชาชน ไม่อยู่ข้างผู้จงรักภักดี ไม่อยู่ข้างนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นเสาหลักของกองทัพ ทรงปลดขุนนางที่มีแนวความคิดปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนทั้งหมดออก แม้ว่าจะถูกต้านในราชสำนักก็ตามที แต่พระองค์ทรงเลือกทางนั้น หนทางที่มีประชาชนหนุนหลัง

ซึ่งเนื้อความตอนนี้ ถ้าจะเปรียบเทียบกับประเทศไทย มันตรงกันข้ามเลย

ตามพงศวดารจีนเป็นธรรมเนียมอยู่แล้วที่จะต้องมีคำคมอยู่มากมาย เสมือนกับว่าผู้ประพันธ์ หรือผู้เรียบเรียงจะบอกอะไรกับท่านผู้อ่านเป็น นัย ให้รับรู้

“ใต้หล้าแห่งนี้ สวรรค์มิได้ช่วยสร้างชาติมา แต่เป็นเพราะประชาชนต่างหากที่ร่วมกันสร้างมากับมือ แม้วันใดเกิดอาเพศอย่าได้บวงสรวงอะไรเลย เอาเงินที่จะบวงสรวงนั้น ช่วยเหลือประชาชนจะดีกว่า”


หลังจากยุคของบูเซ็คเทียนผ่านพ้นไปเกือบ 2.000 ปี

ประเทศไทยได้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
มหาอำมาตย์ใหญ่แห่งประเทศไทย แก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้หัวหน้าคณะองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และองค์รัชทายาท เป็นหญิงหรือชายก็ได้

ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแห่งประเทศไทย ชี้ขาด “รัฐบาลไม่สามารถสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงได้” แถมท้ายด้วยว่า “ประเทศไทยยังไม่ถึงเวลามีรถไฟฟ้าความเร็วสูง ให้ลาดยาง บนถนนลูกรังให้หมดเสียก่อนยังจะดีกว่า” และตัดสินให้นายกรัฐมนตรีที่รักษาการอยู่ในขณะนั้น พ้นจากตำแหน่ง ด้วยเหตุย้ายข้าราชการเพียงคนเดียว

แม่ทัพใหญ่ในองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยึดอำนาจในการปกครองของประชาชนที่มาจากประชาชนมาเป็นของตนเอง หนึ่งในข้ออ้างนั้น คือปกป้องราชบัลลังก์ และสั่งการกวาดล้างประชาชนไปทั้งแผ่นดิน จับอาวุธได้มากมาย เป็นข้ออ้างในการที่จะยกกองทัพไปปราบศัตรูที่ถือจอบถือเสียมอีกแล้ว

เกือบ2.000 ปีมันเกิดอะไรขึ้น ประวัติศาสตร์ไม่ได้มีไว้ให้ศึกษาหรือไง
หรือว่า เหล่าอำมาตย์ เหล่าขุนนางตุลาการ และ ทหารไทย อ่านแต่บทวิเคราะห์การสิ้นบัลลังก์ของ ซูสีไทเฮา จึงได้กระทำกันเยี่ยงนี้

ขอคำคมอีกสักประโยคก่อนจบครับ
“คนดีไม่ได้อยู่ที่ชาติตระกูลหรือการศึกษา เทพหรือมารไม่ได้อยู่ที่จุดกำเนิด มองตัวเราเองดีกว่า เทพหรือมาร ดีหรือเลว รู้อยู่แก่ใจ”

อ่านจบแล้ว จะเก่งคนเดียวสร้างชาติมากับมือคนเดียว หรือ จะให้ประชาชนร่วมกันสร้างชาติ ก็เลือกเอาก็แล้วกันครับ สวรรค์คงไม่มีในเมืองมนุษย์ แต่ มนุษย์เองนั่นแหละจะทำตัวได้เสมอเทพหรือไม่เท่านั้น


Inga kommentarer:

Skicka en kommentar