onsdag 23 september 2015

อ่าน คิด ติดอาวุธทางปัญญา เพื่อให้เกิดสติปัญญา ใช้เป็นแสงสว่างนำทาง เพื่อช่วยกันหาทางออกนำประเทศไทยผ่าฟันอุปสรรคเปลี่ยนผ่านออกจากระบอบเผด็จการโบราณล้าหลังเข้าสู่ระบอบที่ประชาชนมีสิทธิมีเสียงร่วมกันเป็นผู้กำหนด..

ตาสว่างที่ 5 : ทำไมประชาชนไทยยากจนแต่กษัตริย์ไทยรวยที่สุดในโลก? และทำไมต้องพอเพียง?



10ตาสว่างสร้างวิกฤตไทยกลายเป็นรัฐล้มเหลว: ต้องเร่งสร้างรัฐประชาธิปไตยประชาชน
นำเสนอต่อมหาชนโดย จอห์น ลี.

ตาสว่างที่ 5: ทำไมประชาชนไทยยากจนแต่กษัตริย์ไทยรวยที่สุดในโลก? และทำไมต้องพอเพียง?

ข่าวจากนิตยสารฟอร์บประกาศต่อชาวโลกว่ากษัตร์ภูมิพลรวยที่สุดในโลกติดต่อกันนานกว่า 5 ปีได้กลายเป็นประกายไฟไหม้ลามราชสำนักไทยด้วยคำถามว่าแล้วทำไมประชาชนจึงยากจน? แล้วทำไมกษัตริย์ภูมิพลจึงสั่งสอนให้ประชาชนอยู่อย่างพอเพียงแต่ตัวเองและลูกหลานกลับอยู่อย่างไม่รู้จักพอ?

คำถามจากเบื้องลึกในหัวใจของประชาชนได้ผุดขึ้นทั่วไปทั้งในประเทศและต่างประเทศทั่วโลกว่าข้อความข้างต้นนี้จริงหรือ? และคำถามที่ติดตามมาก็คือทำไมประเทศญี่ปุ่นและหลายประเทศในกลุ่มประเทศสแกนดิเนียเวียที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยและมีกษัตริย์ด้วยประชาชนเขาร่ำรวยแต่กษัตริย์กลับไม่ติดอันดับความร่ำรวยเลย? ปรากฎว่าตลอดระยะเวลากว่า 5 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้ไม่มีนักวิชาการในรั้วมหาวิทยาลัยแม้แต่คนเดียวที่กล้ากระโดดออกมาตอบโต้นิตยสารฉบับดังกล่าวรวมทั้งอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ประกาศตัวว่าจะขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไปก็ไม่กล้าโผล่หัวออกมาโต้

อะไรคือที่มาของความร่ำรวยจนอื้อฉาวนี้?

1.ราชสำนักไทยได้สะสมทรัพย์สินทั้งทรัพย์สินส่วนพระองค์และทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่ปล้นมาจากราชวงศ์พระเจ้าตากสินและสะสมตกทอดทั้งที่เป็นทองคำเพชรนิลจินดาที่ดินมายาวนานกว่า 200 ปีตั้งแต่ทำรัฐประหารยึดอำนาจจากพระเจ้ากรุงธนบุรีแล้วเริ่มต้นราชวงศ์จักรีและที่สำคัญคือในระยะหลังได้ขยายตัวเป็นทุนผูกขาดที่มีอำนาจเหนือรัฐที่สูบผลประโยชน์จากประชาชนโดยตรงทั้งจากภาษีอากรและทรัพยากรของประชาชนอย่างมีสิทธิพิเศษโดยเฉพาะการผูกขาดในกิจการต่างๆที่เป็นพื้นฐานของการพัฒนาเศรษฐกิจ เช่นธนาคาร, บริษัทเงินทุน, การก่อสร้าง,โรงปูนซิเมนต์,โรงงานกระดาษและโรงงานไม้อัดเป็นต้นโดยผูกขาดอย่างมีอภิสิทธิ์นับตั้งแต่รัชการที่ 4 เป็นต้นมาเมื่อเปิดประเทศตามสนธิสัญญาเบาว์ริ่งและการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะราษฎรเมื่อ 24มิถุนายน2475 ก็มิได้ทำการยึดทรัพย์สินของกษัตริย์อันเป็นต้นทางของอำนาจทางการเมืองเหมือนการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในโลก

*(แม้ในช่วงจอมพลป.ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้ดำเนินการออกกฎหมายให้ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่มีมูลค่ามหาศาลคือที่ดินที่อยู่กลางเมืองของทุกจังหวัดทั่วประเทศรวมทั้งดอกผลจากการเช่าให้เป็นของประชาชนทั้งหมดแต่ก็มีผลเพียงระยะสั้นเพราะหลังจากจากจอมพลป.ถูกโค่นล้มโดยกษัตริย์ที่เชิด จอมพลสฤษดิ์ ขึ้นทำรัฐประหารกษัตริย์ก็เข้าครอบครองเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ส่วนนี้เหมือนเดิมและยังมีการสะสมที่ดินที่เกิดใหม่จากเงินภาษีของประชาชนอีกเช่นที่ดินริมเขื่อนและริมอ่างเก็บน้ำในโครงการพระราชดำริเป็นต้น)

2.ราชสำนักไทยได้แสวงหาผลประโยชน์จากทุกกิจการทั้งการลงทุนในกิจการใหม่ๆทั้งรูปการลงทุน, การรับบริจาคหุ้นที่บริษัทธุรกิจถวายให้เพื่อให้กิจการค้าของตนได้รับสิทธิพิเศษด้านต่างๆจากการตรวจสอบของรัฐรวมทั้งหุ้นที่ซื้อด้วยราคาถูกพิเศษทั้งของเอกชนและของรัฐวิสาหกิจที่ถูกแปรรูปเช่น ปตท. และการบินไทยรวมทั้งการทำธุรกิจในโครงการส่วนพระองค์และของลูกหลานต่างๆเช่นดอยคำ,ภูฟ้า,จิตรลดาและอีกมากมายโดยใช้เงินภาษีของประชาชนและทุนของรัฐหนุนช่วยกิจการส่วนตัวดังจะเห็นร้านค้าต่างๆที่มีชื่อเหล่านี้อยู่ในทำเลที่ดีที่สุดของสนามบินสุวรรณภูมิโดยไม่ต้องเสียค่าเช่า

การขยายทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศในทุกกิจการของราชสำนักกระทำอย่างต่อเนื่องตลอดรัชสมัยของกษัตริย์ภูมิพลที่ยาวนานกว่า 60 ปีอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยโดยไม่ใส่ใจต่อปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งก็คือทั้งหลอกลวงและ ขูดรีดผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากประชาชนและสังคมมาเป็นทรัพย์สินส่วนตัวเช่นการขึ้นราคาค่าเช่าที่ดินที่พักอาศัย,การขับไล่ผู้เช่าที่อยู่อาศัยเพื่อสร้างศูนย์การค้า, การขอขึ้นราคาปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างซึ่งเป็นสินค้าควบคุมตามกฎหมายต่อกระทรวงพานิชย์ที่รัฐมนตรีในทุกรัฐบาลต้องยอม,การขอสัมปทานเหมืองแร่รวมทั้งภูเขาเพื่อระเบิดทำปูนซีเมนต์เพื่อผลประโยชน์ส่วนพระองค์รวมทั้งการการเก็บสะสมเพิ่มทรัพย์สินที่ดินกระทำอยู่ตลอดเวลาไม่มีจบสิ้นจากโครงการที่ใช้เงินภาษีของประชาชนสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำตามโครงการพระราชดำริต่างๆที่เกิดใหม่จะมีการกันส่วนออกเอกสารสิทธิที่ริมน้ำเกือบทุกแห่งเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์รวมถึงที่ดินที่ไม่แน่ชัดในทางกฎหมายเช่นที่ดินของจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยที่รัชกาลที่ 5 ยกให้จุฬาฯเก็บผลประโยชน์เพื่อใช้ในการศึกษาก็ถูกตีความทางกฎหมายใหม่ให้อยู่ในกรรมสิทธิ์ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นต้น

*(ตัวอย่างการให้ผลประโยชน์ตอบแทนที่เห็นชัดเป็นรูปธรรมแก่ผู้ที่รับใช้ใต้เบื้องยุคลบาทคืออธิการบดีผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับที่ดินของจุฬาฯในช่วงการเปลี่ยนกรรมสิทธิ์และช่วยพัฒนาเป็นศูนย์การค้าทั้งที่สยามสแควร์และสามย่านคือ นายเทียนฉายและภรรยา ซึ่งเป็นอธิการบดีจุฬาฯด้วยกันทั้งคู่ก็ได้กลายเป็นผู้ใกล้ชิดและได้รับผลประโยชน์ตอบแทนอย่างเต็มที่โดยสามีเป็นประธานสภาปฏิรูปการปกครองและภรรยาเป็นสมาชิกสภาในขณะนี้)

3.ราชสำนักไทยได้นำทรัพย์สินจากการขูดรีดประชาชนส่งทุนออกนอกเพื่อหาประโยชน์และเก็บประโยชน์ไว้ในต่างประเทศเพื่อความปลอดภัยในทรัพย์สินของตัวและครอบครัวหากเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นการซื้อกิจการโรงแรมแคมเปนสกี้ ที่เป็นโรงแรมระดับโลก 5 ดาวที่ลงทุนอยู่ทั่วโลกโดยการขยายตลาดใหม่ๆที่จะให้ผลประโยชน์โดยรัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศจะช่วยดูแลคุ้มครองในฐานะทรัพย์สินส่วนตัวของประมุขแห่งรัฐที่ขยายทุนกว้างขวางโดยไม่คำนึงถึงระบอบการปกครองอาทิเช่นโรงแรมปิรามิดในนครเปียงยางเกาหลีเหนือและตัวอย่างที่โด่งดังคืออภิมหาสวนน้ำสยามในสเปน, รวมตลอดถึงกิจการทางตลาดหลักทรัพย์และกิจการสื่อสารโทรคมนาคมในต่างประเทศอาทิเช่นบริษัทเทมาเซกมหาชนและบริษัทสิงห์เทลในสิงคโปร์ (ที่เคยเกิดปัญหานำมาเชิดเล่นลครหลอกลวงประชาชนที่สร้างขึ้นเป็นข้ออ้างในการทำรัฐประหารล้มรัฐบาลทักษิณเมื่อ19 กันยายน 2549 ที่ในเบื้องต้นทำท่าจะเอาเป็นเอาตายกับบุคคลที่เป็นตัวแทนถือหุ้นให้กับบริษัทชื่อแปลกๆแต่สุดท้ายก็โอละพ่อ)

4.ราชสำนักไทยได้ใช้อำนาจทางการเมืองและการทหารคุ้มครองธุรกิจส่วนตัวของตนทั้งๆที่กิจการทั้งหมดก็เป็นกิจการที่ยากต่อการขาดทุนและยังได้รับสิทธิพิเศษจากรัฐอยู่แล้วอาทิเช่นบริษัทเงินทุนและกิจการธนาคาร, ประกันภัยและวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างแต่ธรรมชาติทางการค้าในตลาดเสรีของการแข่งขันที่แม้จะใช้อำนาจรัฐของพระองค์คุ้มครองไม่ให้ทุนที่มีศักยภาพสูงกว่าทั้งในและต่างประเทศเข้ามาแข่งขันได้แต่ก็ยังหนีไม่พ้นการขาดทุนได้อาทิเช่นเกิดวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี 2540 เกิดการตกต่ำของค่าเงินบาทอย่างรุนแรงทำให้หลายกิจการของกษัตริย์ภูมิพลเสียหายอย่างหนักถึงขั้นจะล้มละลายเช่นธนาคารไทยพาณิชย์และบริษัทปูนซีเมนต์เป็นต้นก็มีการนำเงินภาษีอากรของประชาชนเข้าอุ้มกิจการอันเป็นผลประโยชน์ส่วนพระองค์

5.ราชสำนักไทยหาผลประโยชน์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายทั้งทางตรงและทางอ้อมเช่นการรับเงินส่วยต่างๆจากบ่อนการพนัน,จากเจ้ามือหวยใต้ดิน,ของเถื่อน, การเลื่อนตำแหน่งทางราชการ,จากยาเสพติดในรูปของการนำเงิน,ที่ดินหรือหุ้นของบริษัทมาถวายหรือใช้อำนาจบีบให้นำเงินมาถวายในรูปของการเสด็จแทนพระองค์ไปในงานรับปริญญาบัตร,งานเผาศพ,งานยกช่อฟ้าตัดลูกนิมิตรซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดและข้าราชการที่รับผิดชอบในพื้นที่จะต้องรีดไถจากพ่อค้ารวบรวมเงินถวายหรือใช้อำนาจแกมบังคับบีบให้หน่วยราชการต่างๆบริจาคเงินเข้ามูลนิธิที่ตั้งกันดาดดื่นก็เพื่อหาเงินทั้งนั้นตามที่ปรากฎในโทรทัศน์ข่าวราชสำนักสองทุ่มเช่นการเกณฑ์พ่อค้านายทุนเถ้าแก่เถ้าแกเนี๊ยแต่งชุดไทยใส่ส้นสูงเดินยักแย่ยักยันไปรับเข็มกลัดประจำพระองค์โดยต้องจ่ายเงินเข็มละ 20,000 บาทหรือกรณีพระราชทานปริญญาบัตร,มหาวิทยาลัยก็จะเก็บเงินจากบัณฑิตหัวละ1,000 บาท รวบรวมถวายให้โดยเสด็จครั้งหนึ่งๆเป็นเงินไม่น้อยกว่า1ล้านบาทโดยเงินที่รับทั้งหมดนี้ไม่ต้องเสียภาษี

ผลจากการกระทำดังกล่าวทำให้ผู้ที่ถวายหุ้นและเงินอย่างสม่ำเสมอ (เช่นเจ้าของกิจการบริษัทซีพี, เบียร์ช้าง, เบียร์สิงห์) ได้เป็นบุคคลที่ใกล้ชิดและเป็นกิจการในพระมหากรุณาธิคุณได้รับพระราชทานครุฑไปติดหน้าร้านและทำให้พระองค์ทรงเป็นเจ้าของกิจการต่างๆมากมายในประเทศและบริษัทธุรกิจที่ถวายผลประโยชน์มากๆอย่างสม่ำเสมอก็จะได้รับผลตอบแทนเป็นอภิสิทธิ์ต่างๆในหลากหลายรูปแบบ อาทิเช่นกฎหมายคุ้มครองไม่ให้ทุนต่างประเทศเข้ามาทำอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์แข่งด้วย, กฎหมายการคุ้มครองการลงทุนด้านกิจการธนาคารของเจ้าซัวในอดีตแม้แต่กิจการที่ไม่น่าเชื่อว่าจะได้สิทธิพิเศษเช่นบริษัทการพิมพ์ก็สามารถใช้พื้นที่ที่ดีที่สุดในโรงพยาบาลศิริราชเปิดร้านหนังสือนายอินทร์กลางโรงพยาบาลทั้งที่พื้นที่ของโรงพยาบาลก็ไม่เพียงพอต่อการบริการความเจ็บป่วยของประชาชนอยู่แล้วรวมถึงทุกครั้งเมื่อมีการรัฐประหารจะมีบุคคลเหล่านี้หรือตัวแทนผลประโยชน์ของบริษัทเข้าไปนั่งเป็นสมาชิกสภาและเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐประหารด้วย,โดยเฉพาะตัวอย่างเช่นบริษัทซีพีจะได้รับสิทธิพิเศษมากถึงขนาดมีตัวแทนของบริษัทไปนั่งเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยที่เกียวกับการเกษตรทุกสถาบัน
จาการหาผลประโยชน์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายทั้งระบบจึงทำให้ไม่อาจจะแก้ปัญหาหวย เถื่อน,บ่อนเถื่อนและลอตเตอร์รี่ขายเกินราคาได้และเกิดวงจรอุบาทว์ทั้งระบบ จากการแต่งตั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่จะต้องขูดรีดประชาชนเป็นลำดับชั้น เพื่อนำเงินไปถวายดังกรณีตัวอย่าง พลตำรวจโท พงศ์ภัทร ฉายาพันธ์ ผู้บัญชาการสอบสวนกลางและพวกที่อยู่ในตำแหน่งเงินตำแหน่งทองแต่ละที่ยาวนาน เกินวาระปกติในฐานะญาติของพระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา รวมทั้งคนสนิทที่อยู่ในตำแหน่งราชการระดับสูงที่ใกล้ชิดเชื้อพระวงศ์ทุก พระองค์ก็จะเป็นผู้หาเงินผิดกฎหมายส่งถวายเช่นนี้และเมื่อใครผิดพลาดทำให้ เสียหายถึงพระราชวงศ์ก็จะถูกประหารรับผิดชอบเป็นส่วนตัวไป

อีกลักษณะหนึ่งที่ราชสำนักไทยเอื้อมมือไปล้วงหาผลประโยชน์ตรงๆจากงบประมาณแผ่นดินในการจัดซื้อจัดจ้างในหลายกระทรวงโดยผ่านคนจัดการมานานแล้วและที่ยืนยันได้เพราะเกิดการทุจริตขนาดใหญ่อย่างเอิกเกริกที่สังคมรับรู้แต่ไม่อาจทำอะไรได้กับคนที่เป็นตัวแทนไปหาผลประโยชน์มาถวายคือโครงการประมูลงานสร้างโรงพัก 964 แห่งโดยผ่านนาย สุเทพ เทือกสุบรรณ และการซื้อเครื่องบินกริฟฟินจากสวีเดนฝูงใหญ่ที่แพงเป็นกรณีพิเศษอย่างหาเหตุผลไม่ได้โดยเปรียบเทียบกับการซื้อของประเทศโรมาเนียโดยผ่าน พลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศในขณะนั้นและผลลงเอยด้วยพลอากาศเอกชลิตได้รับโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นองคมนตรี และนายสุเทพทำอะไรก็ไม่ผิดแม้แต่สั่งฆ่าประชาชนและก่อจราจลปิดกรุงเทพ

เมื่อพระองค์เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกติดต่อกันหลายปีด้วยการทำธุรกิจขูดรีดแบบโบราณและแบบสมัยใหม่โดยเก็บรวบรวมผลประโยชน์อย่างไม่พอเพียงรวมทั้งลูกหลานของตนก็แสวงหาผลประโยชน์ในลักษณะเช่นนี้แล้วทำไมจึงต้องไปสั่งสอนคนทั้งประเทศให้พอเพียง? คำตอบที่ง่ายที่สุดและสั้นที่สุดคือเพื่อสร้างภาพลักษณ์หลอกลวงประชาชนว่าตนเองเป็นผู้มีคุณธรรมประหนึ่งนักบวชที่หลุดพ้นจากวัตรสงสารในโลกนี้ เหมือนในเทพนิยายทางศาสนาแล้ว, และกดให้ประชาชนโง่โดยให้มีความคิดอยู่กับการหาอยู่หากินไปวันๆไม่ต้องมองการพัฒนาของโลกสมัยใหม่เพราะพระองค์ทรงทราบดีว่าถ้าเปิดทางให้ประชาชนทุกคนโงหัวขึ้นมามองไปข้างหน้าสู่การทำธุรกิจการค้าและเทคโนโลยีสมัยใหม่ทุกคนจะตาสว่างและเห็นความไม่เป็นธรรมของระบบและความไม่เสมอภาคในโอกาสที่รัฐต้องให้กับประชาชนผู้เสียภาษีอย่างเท่าเทียม ซึ่งจะเป็นอันตรายกับ ระบอบราชาธิปไตย ที่พระองค์แอบซ่อนอำนาจเก็บกำผลประโยชน์ส่วนตัวมายาวนาน, และนี้คือต้นเหตุแห่งความยากจนและความหล้าหลังของการพัฒนาประเทศที่ไม่อาจจะแข่งขันกับนานาประเทศได้

"ถ้าหากนักวิชาการท่านใดจะโจมตีนักการเมืองในรัฐบาลใดว่าเป็นกลุ่มทุนสามานย์ก็ขอให้พิจารณาการลงทุนและการขยายทุนและการทุจริตอย่างเปิดเผยของกษัตริย์ไทยประกอบด้วยเพื่อจะได้ชี้เป้าหมายความจริงได้ถูกต้อง...เพียงแต่ท่านจะกล้ามองและหาเหตุผลกับความเป็นจริงนี้หรือไม่"

ที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นนี้เป็นเพียงรูปธรรมส่วนหนึ่งที่เป็นที่มาของกษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลกแต่ประชาชนกลับยากจนติดอันดับโลก, แต่ไม่น่าเชื่อว่าราชสำนักไทยและทหารพระราชาจะมีจิตใจโหดร้ายที่ไม่ยอมแม้แต่จะแบ่งเศษเงินงบประมาณให้แก่ประชาชนในรูปของนโยบายรัฐสวัสดิการเพื่อดูแลคนจนดังจะเห็นได้ว่าที่ผ่านมา กษัตริย์และทหารพระราชาได้โจมตีนโยบายรัฐสวัสดิการที่เริ่มต้นในสมัยทักษิณเป็นนายกฯว่าเป็นนโยบายประชานิยมบ้างหรือระบอบทักษิณบ้างและเป็นหนึ่งในข้ออ้างของการล้มรัฐบาลทักษิณตั้งแต่ ปี 2549 และทุกรัฐบาลจากนั้นจนถึงรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ในวันนี้

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar