เมทินี ชโลธร ประธานศาลฎีกา กับนิยาม “กระบวนการยุติธรรมที่ดี” เมื่อ “คุกไม่ได้มีไว้ขังคนจน”

  • หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ
  • ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
เมทินี ชโลธร ประธานศาลฎีกา

ที่มาของภาพ, สำนักงานประธานศาลฎีกา

คำบรรยายภาพ,

เมทินี ชโลธร ประธานศาลฎีกาหญิงคนแรกของไทย

ประธานศาลฎีกาใช้เวทีเสวนาวิชาการ ประกาศภาพลักษณ์ใหม่ของศาลยุติธรรมในฐานะ "ผู้ให้บริการประชาชน" พร้อมระบุ "จะไม่เป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชนอีกต่อไป แต่เป็นที่พึ่งแรกของประชาชน"

การประชุมทางวิชาการระดับชาติว่าด้วยงานยุติธรรม ครั้งที่ 18 จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ "การอํานวยความยุติธรรมในยุควิถีใหม่สู่ประชาชน" โดยมีผู้นำสูงสุดของกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ "ต้นน้ำ" ยัน "ปลายน้ำ" ตั้งแต่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) อัยการสูงสุด ประธานศาลฎีกา รวมถึงปลัดกระทรวงยุติธรรม ร่วมปาฐกถาพิเศษผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งในช่วงดังกล่าวมีผู้เข้าฟังกว่า 1 พันคน

นางเมทินี ชโลธร ประธานศาลฎีกา เริ่มต้นการปาฐกถาด้วยการกล่าวขอบคุณผู้จัดงานที่เปิดโอกาสให้เข้าร่วมเวทีนี้ เพราะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้เปิดกระบวนการทำงานของศาลให้คนภายนอกได้รับทราบ

"ในฐานะที่ศาลอยู่ส่วน 'ปลายน้ำ' เป็นคนที่อยู่ตรงท้ายสุด ก็จะถูกพูดถึงบ่อย ๆ ว่าส่งคนเข้าเรือนจำ มีแต่คนจนอยู่ในคุก อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมาหลายสิบปี เห็นคนในกระบวนการยุติธรรมได้พยายามทำงานร่วมกันโดยไม่แบ่งส่วน" ประธานศาลฎีกากล่าว

นางเมทินียัง "ขอส่งความห่วงใย" ไปยังเรือนจำและกรมราชทัณฑ์ หลังติดตามข่าวสารล่าสุดที่เกิดขึ้น

วานนี้ (12 พ.ค.) กรมราชทัณฑ์เพิ่งออกเอกสารข่าวยอมรับเป็นครั้งแรกว่ามีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ภายในเรือนจำรวม 2,835 ราย หลังตรวจหาเชื้อเชิงรุกทั้งในเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์และผู้ต้องขัง 100% โดยอยู่ในทัณฑสถานหญิงกลาง 1,040 ราย และเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร 1,795 ราย ก่อนชี้แจงอีกครั้งว่าตัวเลขดังกล่าวเป็นยอดผู้ป่วยสะสมภายในเรือนจำในการระบาดระลอกเดือน เม.ย.

รุ้ง-ปนัสยา สวมกอดพี่สาวและมารดา หลังได้รับการปล่อยตัวจากทัณฑสถานหญิงเมื่อ 6 พ.ค. ก่อนที่เธอและพี่จะกลายเป็นผู้ป่วยโควิดเมื่อ 12 พ.ค.

ที่มาของภาพ, Thai News Pix

คำบรรยายภาพ,

รุ้ง-ปนัสยา สวมกอดพี่สาวและมารดา หลังได้รับการปล่อยตัวจากทัณฑสถานหญิงเมื่อ 6 พ.ค. ก่อนที่เธอและพี่จะกลายเป็นผู้ป่วยโควิดเมื่อ 12 พ.ค.

การออกมาเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะของกรมราชทัณฑ์เกิดขึ้นหลังจากแกนนำและแนวร่วมกลุ่ม "ราษฎร" ซึ่งเป็นผู้ต้องขัง/อดีตผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดี 112 ภายในเรือนจำทั้ง 2 แห่ง กลายเป็นผู้ป่วยโควิด-19 อย่างน้อย 5 คน ทำให้เกิดเสียงเรียกร้องจากหลายภาคส่วนในสังคมให้กรมราชทัณฑ์ชี้แจงข้อเท็จจริง

อย่างไรก็ตามไม่มีผู้ปาฐกถารายใดหยิบยกปัญหา "โควิดในเรือนจำ" ขึ้นมาพูดถึงเป็นการเฉพาะแต่อย่างใด

อนุรักษนิยม-มีพิธีรีตอง-ใช้อำนาจสั่งอย่างเดียว-ซับซ้อน เป็นแค่ "ภาพเก่า" ของศาล

"กระบวนการยุติธรรมที่ดี" ถูกนิยามโดยประธานศาลฎีกาคนที่ 46 ว่า ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดความเป็นธรรม หรือสร้างความสงบสุขให้สังคมเท่านั้น แต่กระบวนการยุติธรรมที่ดี เชื่อมั่นได้ และพึ่งพาได้ ยังจะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสร้างความมั่นคงให้ประเทศชาติด้วย

ในฐานะที่รับราชการเป็นผู้พิพากษามา 40 ปี เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมในช่วงหลังมีแนวโน้มที่ดีขึ้น

"ภาพของศาลในความคิดคำนึงของคนข้างนอกที่มองเข้ามา จะคิดว่าอนุรักษนิยม มีขนบ มีพิธีรีตอง หรือมีอะไรที่เป็นของตัวเองค่อนข้างมาก หรือเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจสั่งอย่างเดียว ซับซ้อนในกระบวนการพิจารณา เป็นองค์กรที่ถามก็ไม่ตอบ นั่งนิ่ง ก็แล้วแต่ประสบการณ์ของท่านที่มาสัมผัสจะพบอย่างไร แต่คิดว่าเป็นภาพในอดีต ถ้ามองศาลในปัจจุบันจะพบว่ามีความพยายามใกล้ชิดกับประชาชน รับฟัง และเปิดบ้านออกไปเพื่อแสดงความโปร่งใส คิดว่าวิธีคิดของผู้พิพากษาในปัจจุบันเปลี่ยนไปนานแล้ว แต่เราไม่ได้เปิดสิ่งที่คิดในใจออกสู่สาธารณะ" นางเมทินีกล่าว

เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนวางกำลังอารักขาศาลฎีกา สนามหลวง เป็นภาพที่เห็นเป็นปกติ ทุกครั้งที่กลุ่ม “ราษฎร” นัดหมายชุมนุมและเคลื่อนขบวนมายังพื้นที่ใกล้เคียง

ที่มาของภาพ, Thai News Pix

คำบรรยายภาพ,

เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนวางกำลังอารักขาศาลฎีกา สนามหลวง เป็นภาพที่เห็นเป็นปกติ ทุกครั้งที่กลุ่ม “ราษฎร” นัดหมายชุมนุมและเคลื่อนขบวนมายังพื้นที่ใกล้เคียง

จากนั้นประธานศาลฎีกาหญิงคนแรกได้ไล่เรียงความเปลี่ยนแปลงของศาลไทย ซึ่งบีบีซีไทยสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้

หนึ่ง เปลี่ยนวิธีคิดจาก "ศาลมีอำนาจหน้าที่พิพากษาอรรถคดี" เป็น "ศาลมีหน้าที่ให้บริการ" แม้อำนาจหน้าที่เป็นถ้อยคำตามรัฐธรรมนูญและตัวบทกฎหมาย แต่นางเมทินียอมรับว่าคำว่า "อำนาจ" อาจทำให้คนมองศาลผิดไปจากสิ่งที่ปฏิบัติต่อประชาชนหรือคู่ความที่เข้ามาในศาล

"พอเราคิดแบบนั้น การทำงานก็จะเปลี่ยนไป เพราะในการให้บริการต้องคำนึงถึงความพึงพอใจของคนที่มาติดต่อเรา ดังนั้นจะเห็นภาพผู้พิพากษาในระดับสูงทำงานเชิงรุกในหลายรูปแบบ และการที่ศาลออกไปหาประชาชนอย่างจริงจัง ไปให้ความรู้กฎหมาย ไปเล่าให้เขาฟังว่าทำอะไร ทำให้เราพบว่ามีคนจำนวนมากในประเทศนี้ไม่ยังไม่รู้สิทธิพื้นฐานของตัวเองเลย โดยเฉพาะสิทธิของกระบวนการยุติธรรม เมื่อถูกรังแกตามกฎหมายต้องวิ่งไปที่ไหน ยังไง มีค่าใช้จ่ายไหม ต้องติดต่อหน่วยไหน"

สอง ส่งเสริมความเสมอภาคด้วยการเปิดศาลแขวงและศาลจังหวัดในพื้นที่ห่างไกล โดยนางเมทินีประกาศว่า "เราจะไม่ปล่อยให้พื้นที่หนึ่งพื้นที่ใดของไทยที่ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงการบริการทางการศาลได้" ด้วยเพราะความเสมอภาคเป็น 1 ใน 5 หลักการภายใต้นโยบายของประธานศาลฎีกาปี 2563-2564 ที่ประกอบด้วย ส่วนรวม, เสมอภาค, สมดุล, ส่งเสริม และสร้างสรรค์

สาม นำเทคโนโลยีมาใช้มากขึ้น ซึ่งวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ทำให้เกิดโอกาสสร้างวิถีใหม่ขึ้นในศาล

ประธานศาลฎีกาเปิดเผยว่า ผลจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกแรกเมื่อปี 2563 ทำให้ศาลต้องยกเลิกวันนัด/เลื่อนคดีไปถึง 163,620 คดี ก่อนกำหนดวันนัดใหม่ได้

"ช่วงโควิดรอบแรก คู่ความก็ไม่อยากมา ศาลก็กลัว ยิ่งเบิกจำเลยมาจากเรือนจำยิ่งอันตราย เพราะเรือนจำต้องมีหลักเกณฑ์ เอาไปกักตัว ถ้าเข้า ๆ ออก ๆ ผู้คุมก็ไม่ปลอดภัย ตำรวจศาล และเจ้าหน้าที่ศาลก็ไม่ปลอดภัย" นางเมทินีกล่าว

เจ้าหน้าที่ฉีดพ่นฆ่าเชื้อโควิด-19 ในห้องพิจารณาคดี ที่ศาลอาญา

ที่มาของภาพ, ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานศาลยุติธรรม

คำบรรยายภาพ,

เจ้าหน้าที่ฉีดพ่นฆ่าเชื้อโควิด-19 ในห้องพิจารณาคดี ที่ศาลอาญา

มาถึงการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ นับจากเดือน เม.ย. 2564 คณะกรรมการติดตามสถานการณ์โควิดของศาล "ได้ติดตามมาตลอด และสถานการณ์วันนี้ไม่รู้อนาคตจะเป็นไง จะเลื่อน (การพิจารณา) ไปเรื่อย ๆ ไม่ได้" จึงใช้ข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาว่าด้วยการพิจารณาคดีทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2563 ทำให้กระบวนพิจารณาดำเนินไปได้ โดยผ่านแอปพลิเคชั่น อาทิ ไลน์, ซูม, กูเกิ้ล มีต แม้กระทั่งโทรศัพท์มือถือธรรมดา

วอนสังคมเปิดใจ พร้อมประกาศ "เป็นที่พึ่งแรกของประชาชน"

เมื่อวิธีคิดของผู้พิพากษาเปลี่ยนเป็นการให้บริการประชาชน ประธานศาลฎีกาคนที่ 46 จึงกลับมาทบทวน-ตั้งคำถามกับตัวเองว่าถ้าเป็นประชาชนผู้ใช้บริการ อยากได้อะไร ก่อนพบคำตอบ 3 คำคือ "ถูกต้อง เป็นธรรม รวดเร็ว"

ในนามของความ "ถูกต้อง" นางเมทินีแสดงความเชื่อมั่นว่าคนที่ผ่านสนามสอบสุดหิน จนเข้ามาเป็นผู้พิพากษาได้ ย่อมมีความรู้ทางกฎหมายทุกคน แต่ยังไม่พอ เพราะต้องอบรมพัฒนาสร้างจิตสำนึกในการทำงานเพื่อขับเคลื่อนกระบวนการยุติธรรมอย่างแท้จริง

เธอจึงประกาศปรับโฉม "สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม" ให้เป็น "สถาบันวิชาการ" พร้อมบอกด้วยว่า "ฝันจะเห็นว่าจะมีครูอาจารย์เข้ามาร่วมอบรมกับสถาบัน" นอกเหนือจากคนในแวดวงยุติธรรมอย่างตำรวจ อัยการ ผู้พิพากษา

"เราทำงานคนละจุด เวลามองในมุมที่แตกต่าง อาจเห็นคนอื่นในมุมที่เรามองเท่านั้น แต่ถ้ามานั่งรวมกัน ก็จะเข้าใจมากขึ้น... กระบวนการยุติธรรมที่จะขับเคลื่อนไป ไม่ใช่แค่หน่วยงานด้านยุติธรรมเท่านั้น แต่ต้องอาศัยนักวิชาการ อาจารย์ที่สอนวิชาการกฎหมายในมหาวิทยาลัยด้วย" ประธานศาลฎีกากล่าว

ประมวลกฎหมายอาญาและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาถูกนำมาวางเป็นสัญลักษณ์ในกิจกรรมไว้อาลัยความยุติธรรมที่หน้าศาลอาญา

ที่มาของภาพ, Thai News Pix

คำบรรยายภาพ,

ประมวลกฎหมายอาญาและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาถูกนำมาวางเป็นสัญลักษณ์ในกิจกรรม "ไว้อาลัยความยุติธรรม" ที่หน้าศาลอาญา เมื่อ 9 มี.ค.

ส่วนความ "รวดเร็ว" นางเมทินีประกาศว่าองค์กรตุลาการ "ก้าวผ่านคำว่าพิจารณาคดีที่ล่าช้าไปแล้ว" โดยหยิบยกมาตรฐานระยะเวลาการพิจารณาพิพากษาคดีในศาลชั้นต้นมาแจกแจงเป็นรายประเภทของคดี ในจำนวนนี้คือคดีอาญาที่จำเลยต้องขังระหว่างพิจารณา กำหนดเวลาไม่เกิน 6 เดือนนับแต่วันออกหมายขังระหว่างพิจารณา และในการขอปล่อยชั่วคราว ต้องได้รับคำสั่งภายใน 1 ชม.

"แต่ละคดี จะถูกมอนิเตอร์ (ติดตาม) โดยผู้บังคับบัญชาว่าทำได้หรือไม่ได้ เพราะเราตระหนักตามสุภาษิตที่ว่า 'ความล่าช้าคือความอยุติธรรมอย่างหนึ่ง'"

ส่วนในศาลสูง ได้นัดประชุมผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันที่ 20 พ.ค. เพื่อกำหนดมาตรฐานระยะเวลาการพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์และประกาศต่อสาธารณะต่อไป แต่สำหรับศาลฎีกา นางเมทินีเล่าว่าทุกคดีอ่านโดยระบบจอภาพไปเรือนจำและศาลชั้นต้น โดยไม่ต้องเสียเวลาส่งคำพิพากษาศาลฎีกาไปเพราะจะช้า ผลดีคือถ้ายกฟ้อง ก็ได้ปล่อยตัวเลย แต่ถ้ามีคำพิพากษา ก็สามารถออกหมายจำคุกถึงที่สุดเพื่อให้จำเลยได้รับสิทธิตั้งแต่วันนั้น

กิจกรรม “ยืน หยุด ขัง” ถูกจัดขึ้นหน้าสำนักงานศาลหลายแห่งในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำ “ราษฎร” ที่ถูกคุมขังภายในเรือนจำระหว่างการพิจารณาคดี

ที่มาของภาพ, Thai News Pix

คำบรรยายภาพ,

กิจกรรม “ยืน หยุด ขัง” ถูกจัดขึ้นหน้าสำนักงานศาลหลายแห่งในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำ “ราษฎร” ที่ถูกคุมขังภายในเรือนจำระหว่างการพิจารณาคดี

ส่วน "เป็นธรรม" นางเมทินีตีความว่าเป็นการคุ้มครองสิทธิของผู้เข้ามาเกี่ยวข้อง พร้อมย้ำว่าต้องการลดการคุมขังโดยไม่จำเป็น สะท้อนผ่านการรับพิจารณาคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ, การให้ทำคำร้องใบเดียว ไม่จำเป็นไม่ต้องเรียกหลักประกัน แล้วให้ปล่อยตัวมา และการให้ผู้พิพากษาไปสัมภาษณ์จำเลยในเรือนจำต้นแบบ 10 แห่ง ด้วย 3 คำถามหลัก ได้แก่ 1) ทำไมไม่ขอประกัน 2) การไม่ได้รับประกันมีผลอะไร และ 3) คาดหวังอะไรจากกระบวนการยุติธรรม

"เป็นการพบกันระหว่างผู้ตัดสินกับผู้จะถูกตัดสิน เราพบว่าจำเลยส่วนใหญ่คิดว่าต้องมีเงินถึงจะขอประกันได้... โดยภาพรวมคุกไม่ควรมีไว้ขังคนจน แต่ควรมีไว้ขังคนที่ควรขังในเวลาที่ควรขังเท่านั้น" ประธานศาลฎีกากล่าว

นางเมทินีกล่าวต่อไปว่า ในวันที่เราอยู่ข้างนอก เราไม่เกี่ยวข้อง เราเรียกร้องหาความเป็นกลาง ถูกต้อง เป็นธรรม เราอยากให้ท่านมองจากมุมที่เป็นกลางด้วย สิ่งเดียวกันมองต่างมุม เราอาจเห็นต่างได้ อยากให้เปิดใจ และมองสิ่งที่ศาลยุติธรรมพยายามทำเพื่อให้เป็นกลาง ไม่ว่าจะมองเห็นในมุมเดียวกับเราหรือไม่ อยากให้ลองมองเข้าไปใหม่ อาจเห็นว่าเราพยายามทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน

ประธานศาลฎีกายังกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า ศาลยุติธรรม "จะไม่เป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชนอีกต่อไป แต่เป็นที่พึ่งแรกของประชาชน และมั่นใจว่าเป็นที่พึ่งได้แท้จริงตลอดไป"

ชาว “หมู่บ้านทะลุฟ้า” แต่งชุดนักโทษ-ล่ามโซ่ จัดกิจกรรมหน้าทำเนียบฯ เมื่อ 20 เม.ย. 2563 เรียกร้องให้ปล่อยนักโทษการเมือง

ที่มาของภาพ, Thai News Pix

คำบรรยายภาพ,

ชาว “หมู่บ้านทะลุฟ้า” แต่งชุดนักโทษ-ล่ามโซ่ จัดกิจกรรมหน้าทำเนียบฯ เมื่อ 20 เม.ย. 2563 เรียกร้องให้ปล่อยนักโทษการเมือง

ตลอดปีที่ผ่านมา กระบวนการยุติธรรมของไทยต้องเผชิญกับภาวะท้าทายอย่างหนัก เมื่อตำรวจใช้กำลังและอาวุธเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่ม "ราษฎร" หลายครั้งหลายหน ขณะที่บรรดาแกนนำ/แนวร่วม "ราษฎร" ที่ถูกตั้งข้อหาในความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ก็ถูกจับกุมคุมขัง และไม่ได้รับสิทธิประกันตัวในระหว่างการพิจารณาคดี ต่างจากสถานการณ์ของผู้ถูกกล่าวหา/ผู้ต้องหา/จำเลยที่มีความสัมพันธ์กับฝ่ายรัฐบาล ทั้งนี้มี 2 กรณีที่ถูกพูดถึงในเชิงเปรียบเทียบและตั้งคำถามต่อคนในแวดวงยุติธรรมและตุลาการของไทย พร้อมจัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์เพื่อ "ทวงคืนความยุติธรรม"

  • กรณี "คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" (กปปส.) รวม 26 คน ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกเป็นเวลาตั้งแต่ 4 เดือน ถึง 9 ปี 24 เดือน ในคดีชุมนุมขับไล่รัฐบาล น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ระหว่างปี 2556-2557 ก่อนได้รับสิทธิประกันตัวในระหว่างอุทธรณ์คดี
  • กรณี ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ไม่ขาดสมาชิกภาพการเป็น ส.ส. และไม่ขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี ด้วยมติ "เอกฉันท์" ของศาลรัฐธรรม ทั้งที่เคยต้องคำพิพากษาจำคุกโดยศาลออสเตรเลีย ในคดีที่เกี่ยวพันกับยาเสพติดมาก่อน

อย่างไรก็ตามประเด็นเหล่านี้ ไม่ถูกพูดถึงในเวทีเสวนาเพื่ออํานวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนในครึ่งวันเช้าของวันนี้ โดยผู้ปาฐกถาได้หยิบยกเรื่องการปรับการทำงานให้สอดคล้องกับชีวิตวิถีใหม่ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 มานำเสนอเป็นส่วนใหญ่

tnp

ที่มาของภาพ, Thai news pix

คำบรรยายภาพ,

ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาเพียง 15 นาทีในการอ่านคำวินิจฉัยคดี ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า เมื่อ 5 พ.ค. โดยมีมติเอกฉันท์ว่าไม่ต้องพ้นจากสถานภาพ ส.ส. และ รมต.