รื้อกุฏิสงฆ์รุกภูสิงห์จ้อง จ.บึงกาฬ เมื่อวันที่ 11 ก.ย. นายชโลธร ผาโคตร ผวจ.บึงกาฬ ในฐานะผอ.กอ.รมน.บึงกาฬ พร้อมพ.อ.วิชัย มารศรี รอง ผอ.รมน.บึงกาฬ นายอดุลย์รัตน์ ตั้งทวี ผอ.สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 6 (อุดรธานี) และนายสุรสันต์ เพชรสุวรรณรังษี ปลัดจังหวัดบึงกาฬ ร่วมกันนำกำลังทหาร ตำรวจ พลเรือน และอส. รวม 200 นาย รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนภูสิงห์จ้อง มีกุฎีปฏิบัติธรรมที่ก่อสร้างแบบถาวร 20 หลัง คล้ายรีสอร์ต และฝายทดน้ำ 9 แห่ง
นายชโลธรกล่าวว่า สิ่งปลูกสร้างดังกล่าว มีกลุ่มบุคคลที่อ้างว่าเป็นสมาชิกกลุ่มปฏิบัติธรรม ที่เข้ามาบุกรุกบนภูสิงห์จ้อง ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์เพื่อคุ้มครองระบบนิเวศในเขต อ.เมืองบึงกาฬ และอ.ศรีวิไลตั้งแต่ปี 2554 กินพื้นที่จำนวน 40 ไร่ 1 งาน 40 ตารางวา นายอำเภอทั้ง 2 แห่งในฐานะเจ้าพนักงานผู้ควบคุมและรักษาป่าสงวนแห่งชาติ เคยมีคำสั่งให้รื้อถอนไปแล้ว แต่ไม่มีใครกล้าแตะต้องเนื่องจากเกรงกลัวอิทธิพล จึงอาศัยอำนาจผอ.กอ.รมน.บึงกาฬ จึงมีคำสั่งให้รื้อถอนดังกล่าว
........................................................................................
เรื่องนี้ ฝากให้อ่านแล้วคิดไตร่ตรองดูให้ดี แล้วจะพบความจริงแห่งชีวิตว่า..เกิดมาเป็นคนทุกคนย่อมมีปัญหามากหรือน้อยต่างกันไปจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ไม่มีใครหนีพ้นทุกข์สุขได้ถ้าพากันยึดติดกับสิ่งนอกกายมากเกินไปและเกิดแก่เจ็บตายกันทุกคน จงมีความเชื่อมั่นในตนเองที่เกิดมาเป็นคนที่ต่างจากสัตว์ ดูแลตัวเองและครอบครัว ไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นและสร้างปัญหาให้สังคม ถือว่าทำประโยชน์แก่สังคมส่วนรวมแล้ว
นำเสนอข่าวโดยทีมงาน Sanook.com ภาพประกอบจาก มติชนออนไลน์
(11 ก.ย.) จากกรณีที่ หลวงปู่ธนวัฒน์ สิริพิมโพ หรือ หลวงปู่พิม เจ้าอาวาสวัดป่าเวฬุวัน อ.คอนสา จ.ชัยภูมิ ได้ประกาศละสังขารตามกำหนด วันที่ 9 กันยายน 2557 เวลา 21.00 น. โดยได้ทำสมาธิและลงนอนในโลงที่ตั้งอยู่ภายในกุฏิวัด ท่ามกลางญาติโยมที่นับถือศรัทธาหลายพันคน
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 10 ก.ย. พลตำรวจตรีพินิจ มณีรัตน์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชัยภูมิ พร้อมคณะสงฆ์ ได้เข้าไปในกุฏิของหลวงปู่พิม ภายในวัดเวฬุวัน อำเภอคอนสารจังหวัดชัยภูมิ พร้อมกับเจรจาเกลี่ยกล่อม ให้หลวงปู่พิมยุติการตั้งจิตภาวนาละสังขารและออกมาจากโลงศพ พร้อมกับนำตัวส่งไปยังโรงพยาบาลคอนสาร เพื่อให้แพทย์ตรวจอาการแต่ทางโรงพยาบาลไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าไปบันทึกภาพ
โดยทางโรงพยาบาลได้ออกแถลงอาการเบื้องต้น ระบุว่า จากการตรวจร่างกาย ชีพจรอยู่ในเกณฑ์ปกติ หลวงปู่รู้สึกตัวดี ยกแขนขาได้ แต่มีอาการอ่อนเพลียเล็กน้อย แพทย์ได้ให้น้ำเกลือและถวายอาหาร พร้อมกับยารักษาโรคประจำตัว ที่หลวงปู่เคยฉันท์ ส่วนอาการทั่วไปอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยแล้ว แต่ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อีกระยะ โดยแพทย์ได้สอบถามหลวงปู่พิม ถึงเจตนาว่า จะยังคงรักษาตัวต่อไปในโรงพยาบาลหรือจะขอกลับไปยังวัดเวฬวัน ซึ่งหลวงปู่พิมยังไม่บอกว่า ขอใช้เวลาช่วงนี้ในการพักฟื้นร่างกาย โดยทางโรงพยาบาล ไม่อนุญาตให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าเยี่ยม
พระมหาบัว ปิยวณุโณ พระลูกวัดน้องชายของหลวงปู่พิมพ์ เปิดเผยว่า หลวงปู่พิมพ์ ป่วยเป็นโรคเกาต์ และลำไส้มานาน หมอให้ยามารับประทานก็ไม่หาย หลวงปู่เลยเลิกทานยาและตั้งใจปฏิบัติฌาญสมาบัติ 4 ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า หลวงปู่เคยทำลักษณะนี้มาแล้วคือ นอนในโลงศพแบบไม่ฉันอะไรเลยนอกจากน้ำมาแล้ว 7 วัน โดยห้ามคนไปยุ่งเหมือนกับครั้งนี้ และหลวงปู่ก็ไม่ตาย อาการป่วยต่างๆ ก็ดีขึ้น
ในครั้งนี้ก็เช่นกัน หลวงปู่ ก็ตั้งใจจะทำแบบเดิมโดยจะนอนอยู่ภายในโลง 3 วันแบบลักษณะปลงสังขาร และจะไม่ฉันอะไรเลย ไม่ให้ใครเข้าไปใกล้ หรือรบกวนใดๆ จากนั้นในวันที่ 11 ก.ย. เวลา 16.00 น. ให้ขึ้นไปดู หากมรณภาพก็ให้นำร่างไปเผาเวลา 21.00 น. แต่ถ้าไม่มรณภาพ ก็จะดำเนินกิจของสงฆ์ต่อไป
รายการเรื่องเล่าเช้านี้เผยว่า พล.ต.ต.พินิจ มณีรัตน์ ผบก.ภ.จว.ชัยภูมิ กล่าวว่า เมื่อขึ้นไปด้านบนพบว่าหลวงพ่อไม่ได้นอนในโลงศพ แต่นั่งเปลี่ยนกิริยาบถอยู่ที่กุฏิ และได้พูดกับหลวงพ่อว่าอย่าเพิ่งจากไปตอนนี้เลย ญาติโยมที่เคารพนับถือก็อยากให้หลวงพ่ออยู่ต่อเพื่อบำรุงและสืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไป โดยมีหลวงปู่สี ได้เทศนาเจริญธรรมแนะนำตามหลักธรรมแก่หลวงพ่อพิมพ์ ซึ่งหลังจากหลวงพ่อพิมพ์ได้รับฟังธรรมจากหลวงปู่สีจึงมีท่าทีที่อ่อนลงและยอมลงมาด้านล่างเพื่อทำการรักษากับคณะที่ขึ้นไปรับตัว
หลวงพ่อพิมพ์ได้บอกกับตนว่าสาเหตุที่ปลงไม่อยากทรมานร่างกายเนื่องจากเป็นโรคกระเพาะ โรคลำไส้ กรดไหลย้อน รักษามาหลายปีไม่หาย จึงอยากใช้วิธีนิโรธสมาบัติในการขอละสังขาร ซึ่งเมื่อคืนเวลา 21.00 น.จิตได้ออกจากสังขารแล้วแต่เทพเทวดา บอกว่าให้กลับไปที่สังขารหรือร่างกาย คือยังไม่อยากให้มรณะไปตอนนี้
ทางด้าน นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ทางเจ้าคณะจังหวัดชัยภูมิ ได้แจ้งกับตนว่า หลวงพ่อพิมพ์ อาพาธหลายโรค อาจจะทำให้ตัดสินใจพูดอะไรออกไปด้วยการขาดความยั้งคิด จึงให้ออกมาเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเพื่อให้อาการอาพาธดีขึ้นก่อน และเมื่ออาการดีขึ้นทางเจ้าคณะจังหวัดชัยภูมิ จะมีการพิจารณาอีกครั้ง โดยอาจจะมีการว่ากล่าวตักเตือน เพื่อปรามหลวงพ่อพิมพ์ ไม่ให้มีพฤติกรรมในลักษณะนี้ขึ้นมาอีก ส่วนจะมีการพิจารณาโทษถึงขั้นอวดอุตริหรือไม่นั้นทางเจ้าคณะจังหวัดชัยภูมิแจ้งว่า คงไม่ถึงขั้นนั้น เนื่องจากสิ่งที่หลวงพ่อพิมพ์ทำลงไปเป็นผลมาจากการที่อาพาธหลายโรค
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar