fredag 5 september 2014

ระบบการศึกษาไทย "แดนสนธยา" ที่หล้าหลัง .สร้างทรัพยากรมนุษย์ดีๆเก่งๆ.มีคุณภาพ.ได้จริงหรือ????

บทความจากอาจารย์ชาวต่างชาติต่อนักเรียนไทย


โดย ดาวดิน


  1. Cassandra James อาจารย์ชาวต่างชาติที่ได้มีโอกาสเดินทางมาสอนในประเทศไทย
    ในฐานะครูสอนภาษาอังกฤษเป็นเวลากว่า 3 ปี ได้เขียนบทความหนึ่งขึ้นในปี 2008
    ก่อนที่ทางสำนักข่าว CNN จะหยิบมาเผยแพร่อีกครั้งเมื่อปีที่แล้ว

    เนื้อหาของบทความนั้นอยู่ในหัวข้อ ระบบการศึกษาไทยคือ
    หนึ่งในระบบการศึกษาที่ ล้มเหลวที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และ
    ตกต่ำลงทุกปี มีใจความที่สะกิดใจคนไทยเราทุกคนทีเดียว

    - ระบบการศึกษาของไทยแย่ ห้องเรียนขนาดใหญ่
    นักเรียนขาดแรงผลักดัน เพราะแม้ว่าพวกเขาจะสอบตก
    ก็ยังสามารถผ่านไปเรียนในระดับถัดไปได้

    - โรงเรียนอยู่ภายใต้ระบบราชการอันเทอะทะของกระทรวงศึกษาธิการ
    ซึ่งจัดได้ว่าเป็นหนึ่งในหน่วยงานไร้ประสิทธิภาพที่สุดของโลก

    - กฎระเบียบและข้อปฏิบัติ รวมถึงหลักสูตรมีการเปลี่ยนแปลงแทบจะทุกปี
    แนวทางที่ใช้ในปีที่แล้ว พอปีการศึกษาถัดมาก็ต้องเปลี่ยนใหม่

    - ครูได้รับคำสั่งให้แกล้งปิดตาข้างหนึ่งเมื่อเด็กนักเรียนลอกการบ้านมาส่งก็ถือว่าปล่อยผ่านไป
    รวมถึงการสอบตกด้วยจะปล่อยให้นักเรียนผ่านชั้นไปได้

    - กระทรวงศึกษาธิการมีไอเดียเลิศๆมาให้ทุกปี
    ในขณะที่เขียนบทความก็บังคับให้อาจารย์ต่างชาติ
    ไปอบรมคอร์สวัฒนธรรมไทยเพื่อต่อใบอนุญาต
    ทั้งๆที่หลายคนอยู่มานานจนเข้าใจ และยังต้องจ่ายเงินเองกว่า 3,500-9,000 บาท

    - จากข้อด้านบน ทำให้อาจารย์ที่ผู้เขียนรู้จัก 2 ราย (เป็นคนที่มีฝีมือ)
    ย้ายไปสอนที่ประเทศญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้แทน

    - ประเทศอื่นๆในอาเซียน มีทั้งเงินเดือนแก่อาจารย์ต่างชาติและ
    นโยบายการศึกษาที่ก้าวหน้ากว่าทำให้ดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถในการสอนไป

    - โรงเรียนที่ผู้เขียนได้มีโอกาสสอนมีอาจารย์คอมพิวเตอร์
    โดนตัวแทนของกระทรวงศึกษาธิการตำหนิว่าปล่อยให้เด็กใช้แกรมมาร์
    บนการ์ดวันแม่ผิดวิธีทั้งๆที่จดหมาย
    ซึ่งมาจากหน่วยงานราชการบางฉบับแกรมมาร์แย่ซะจนหัวหน้าผู้เขียนโยนลงถังขยะ!!

    - นักเรียนไม่ได้ฝึกทักษะ Critical Thinking
    ขณะที่จำนวนนักเรียนต่อห้องก็เยอะเกินไป จนกระทั่งอาจารย์ดูแลได้ไม่ทั่วถึง

    - โดยเฉพาะในโรงเรียนรัฐ อุปกรณ์สื่อการสอน และ
    เครื่องมือทดลองทางวิทยาศาสตร์ มีไม่เพียงพอ

    - งบที่จะจ่ายให้ครูต่างชาติก็มีน้อย
    ซึ่งทำให้ได้คุณภาพไม่ดีนักบางคนเป็นเพียงชายแก่ที่ไม่มีวุฒิด้านการสอน
    มาที่เมืองไทยเพราะผู้หญิงและลงเอยด้วยงานครูสอนภาษา

    - สังคมไทยเป็นสังคมรักษาภาพลักษณ์
    เห็นภาพลักษณ์ภายนอกและคะแนนที่ออกมาดีกว่าความรู้ที่อยู่ในสมอง
    เพราะฉะนั้นปัญหาเหล่านี้มันก็จะยังคงเกิดต่อไปและ
    การศึกษาไทยก็โดนแซงหน้าไปทุกๆวัน

    ขอบคุณเนื้อหาข่าวจาก
    www.eduzones.com 30 พ.ค. 57
    .................................................................


บุญผัน :ตอบ      

5 กันยายน 2014 - 11:18



ระบบนะไม่มีปัญหาหรอกครับ
อยู่ที่วิธีคิดต่างหาก .. เราชอบคิดบนพื้นฐานของความรู้สึก หรือที่เรียกว่า social
มากกว่าจะคิดบนพื้นฐานของ ตรรกะ หรือ เหตุผล หรือที่เรียกว่า science

นักเรียนในต่างประเทศ


ขอยกตัวอย่าง..
ลูกสาวบุญผันได้ทุนไปเรียนที่ญี่ปุ่น กระบวนการคิดของเด็กที่นั้น สอนให้ใช้ ตรรกะ ไม่มโน ไม่เดา
เอาเหตุผลมาคุยกัน ผิดคิอผิด ถูกคือถูก ไม่มีผิดมากหรือผิดน้อย ครับ
ถ้าเราพูดถึง ผิด โดยหลักคิดก็คือ ผิด เพราะมันพิสูจน์แล้วว่ามันผิด เราก็ควรทำการแก้ไข

แต่ใช้คำว่า ผิด มาพูดที่เมืองไทย เราจะเริ่มใช้การแก้ไขแบบที่เรียกว่า social ( เพราะ social มันเป็นเรื่องของความรู้สึก )
ประมาณว่า ผิด นิดหน่อย ไม่เป็นไร แล้วก็เริ่ม drama ไปเรื่อยๆ
ถ้าเราไม่ปลูกฝังให้เด็กรุ่นใหม่ มีวิธีคิดที่เป็น science เราไม่สามารถจะหลุดออกจาก วัฐจักร เดิมๆได้

จริงๆ social และ science มันคู่กันและใช้ร่วมกันได้
ไม่ใช่ว่า social ไม่ดี แต่เราใช้มันมากเกินไป
ลองย้อนกับไปดูตัวเองกันครับ ว่าทุกวันนี้แต่ละเรื่องที่เราคิดมันเป็น social หรือ science เราก็จะได้คำตอบ ครับ



Inga kommentarer:

Skicka en kommentar