โดย ธงไทย...
กษัตริย์ภูมิพล และ คณะองคมนตรี มีอำนาจเหนือรัฐบาล เหนือรัฐสภา เหนือศาล เหนือพรรคการเมือง ผูกขาดอำนาจทุกอย่างไว้ในมือ ควบคุมสื่อมวลชนและองค์กรอิสระ หรือที่เรียกว่า ระบอบเผด็จการกษัตริย์ แต่วันนี้กษัตริย์ภูมิพลได้เซ็นต์มอบอำนาจทุกอย่างนั้นให้แก่ ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้จัดการให้ทุกอย่างซึ่งมีอำนาจเหมือนกับกษัตริย์ เวลานี้ประยุทธ์มีอำนาจเหนือศาล เหนือพรรคการเมือง เหนือพวกเสื้อแดง เสื้อเหลือง เหนือสื่อสารมวลชน เหนือข้าราชการ ตำรวจ ทหาร
เมื่อประยุทธ์สามารถตั้งรัฐบาลขึ้นมาได้เอง เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้า คสช. อำนาจทุกอย่างอยู่ในมือของประยุทธ ซึ่งโดยพฤตินัยแล้วประยุทธ์เองมีอำนาจเหนือกว่ากษัตริย์ หรือเท่ากับประยุทธ์เป็นกษัตริย์เสียเองโดยไม่ต้องแต่งตั้งตามประเพณีการสืบราชสันตติวงศ์ นี่คือความโง่ของพวกอำมาตย์และของกษัตริย์เอง เพราะเมื่อกษัตริย์และพวกอำมาตย์ยื่นดาบให้ไปอยู่ในมือของประยุทธ์แล้ว คิดหรือว่าประยุทธ์จะไม่ใช้ดาบทมิฬแทงทมิฬเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง อีกไม่นานชาวไทยจะได้เห็นราชวงศ์ใหม่เกิดขึ้นถ้าวันนั้นประยุทธ์เองได้สร้างฐานอำนาจให้แก่ตัวเองขึ้นมาพร้อมแล้ว เพราะในรัฐธรรมนูญชั่วคราวก็ได้เขียนให้อำนาจรับรองประยุทธ์ไว้ทุกอย่าง แม้รัชกาลที่ ๑๐ เองถ้าจะมีก็จะต้องอยู่ใต้อำนาจของประยุทธ์ นี่คือปัญหาที่ เปรมและภูมิพลต้องคิดหนัก แต่ก็สายไปเสียแล้วละต๋อย ประยุทธ์เองไม่ได้โง่ให้อำมาตย์หลอกใช้ได้อย่างที่อำมาตย์คิด เพราะได้รู้ได้เห็นว่าอะไรจะตามมา ได้สรุปบทเรียนจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาแล้วในอดีต เหมือนกับสองพี่น้องนายทองด้วงกับนายบุญมาที่ฆ่าพระเจ้าตากสินแล้วตั้งราชวงค์จักรีขึ้นมาจนทุกวันนี้ ประยุทธ์เองกับน้องชายก็คุมอำนาจเบ็ดเสร็จทุกอย่างไว้ในมือ เวลานี้กษัตริย์และราชินีก็สิ้นสภาพไปแล้ว เปรมก็ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่ ฉะนั้นโอกาสทองของประยุทธ์ก็ได้มาถึงแล้ว.
ถ้าประเทศไทยมีกษัตริย์ที่อยู่ใต้กฎหมายเหมือนอารยประเทศทั้งหลาย
แล้วจะมีทหารที่ไหนที่ยังจะกล้าทำรัฐประหารปล้นอำนาจของปวงชนอยู่อีก
ในทางตรงกันข้าม ในเมื่อประเทศไทยมีกษัตริย์ที่ต้องการผูกขาด
อำนาจสูงสุดไว้คนเดียว และคอยสั่งทหารให้ล้มรัฐบาลที่ประชาชนนิยมชมชอบ
... แล้วจะมีทหารคนไหนกล้าที่จะต่อต้านพวกทหารโจรกบฏ
ที่มีกษัตริย์เป็นหัวหน้าใหญ่
เพราะกษัตริย์ไทยผูกขาดการใช้อำนาจสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว
โดยห้ามไม่มีมีการตรวจสอบหรือถ่วงดุลย์ใดๆ เพียงแต่อาศัยระบบรัฐสภา
เป็นเปลือกหุ้มเป็นครั้งคราวเพื่อหลอกลวงประชาชนและประชาคมโลก
แต่อำนาจทางการทหารและศาลก็ยังอยู่ในความควบคุมของระบอบกษัตริย์
ตลอดมา
นับตั้งแต่หลังการทำรัฐประหารที่นำโดยพลโทผิน ชุณหะวัณ
ในวันที่ 8 พฤษจิกายน 2490 ที่เริ่มให้มีองคมนตรี
จากนั้นยังได้มีการทำรัฐประหารอีกหลายครั้ง
เพื่อหาเรื่องเขียน รธน ขึ้นใหม่เพื่อเพิ่มอำนาจให้กษัตริย์มากขึ้นเรื่อยๆ
แม้แต่รัฐธรรมนูญ 2540 ที่มาจากสภาร่างรัฐธรรมนูญที่เลือกมาจากประชาชน
ก็ยังคงต้องใช้กรอบที่ให้กษัตริย์เป็นผู้ผูกขาดการใช้อำนาจสูงสุด
โดยเฉพาะการเป็นจอมทัพที่มีอำนาจที่แท้จริงในการแต่งตั้งนายทหาร
รวมไปถึงตุลาการและข้าราชการระดับสูง
และยังเสริมด้วยอำนาจของตุลาการเครือข่ายเจ้าในรูปขององค์กรตาม รธน
หลากหลายรูปแบบ เพื่อกำกับและควบคุมอำนาจของปวงชนอีกชั้นหนึ่ง
แต่ระบอบกษัตริย์ของไทยก็ไม่สามารถเอาชนะการเลือกตั้งต่อพตท. ทักษิณ
และเครือข่ายของทักษิณที่สืบต่อกันมา แม้จะได้ร่าง รธน 2550
เพื่อเอาเปรียบทางการเมืองทุกวิถีทาง แต่ก็ยังไม่มีทางเอาชนะในการเลือกตั้งได้
การเรียกร้องให้มีการแก้ รธน โดยไม่แตะต้องหมวดกษัตริย์
จึงเป็นเรื่องของการเรียกร้องต่อสู้ในกรอบเดิมๆ ที่ยังมีกษัตริย์อยู่เหนือกฎหมาย
และเป็นผู้ผูกขาดการใช้อำนาจสูงสุดเหมือนเดิม
จึงป่วยการที่ไปอ้างบทบัญญัติหรือกฎหมายใดๆ
ในเมื่อประชาชนไทยยังคิดว่าตนเองเป็นแค่ไพร่ เป็นฝุ่นละออง
ที่ไม่สามารถพึ่งตนเอง และไม่เคยคิดที่จะสู้เพื่อเสรีภาพและความเสมอภาค
ที่แท้จริง หรือสู้แบบมีข้อยกเว้นที่จำกัดกรอบ ไม่ไปปรับเปลี่ยนสถานภาพแ
ละบทบาทหน้าที่ของสถาบันกษัตริย์ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของปัญหา
ทำให้ไม่มีทางแก้ปัญหาที่ตันเหตุได้ ไปๆมาๆ ก็มาตันอยู่แค่กองทัพ ตุลาการ
องคมนตรี สื่อหรือนักวิชาการ ที่เป็นแค่กิ่งก้านของระบอบเผด็จการดักดาน
ที่มีกษัตริย์เป็นแกนกลาง
แล้วจะมีทหารที่ไหนที่ยังจะกล้าทำรัฐประหารปล้นอำนาจของปวงชนอยู่อีก
ในทางตรงกันข้าม ในเมื่อประเทศไทยมีกษัตริย์ที่ต้องการผูกขาด
อำนาจสูงสุดไว้คนเดียว และคอยสั่งทหารให้ล้มรัฐบาลที่ประชาชนนิยมชมชอบ
... แล้วจะมีทหารคนไหนกล้าที่จะต่อต้านพวกทหารโจรกบฏ
ที่มีกษัตริย์เป็นหัวหน้าใหญ่
เพราะกษัตริย์ไทยผูกขาดการใช้อำนาจสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว
โดยห้ามไม่มีมีการตรวจสอบหรือถ่วงดุลย์ใดๆ เพียงแต่อาศัยระบบรัฐสภา
เป็นเปลือกหุ้มเป็นครั้งคราวเพื่อหลอกลวงประชาชนและประชาคมโลก
แต่อำนาจทางการทหารและศาลก็ยังอยู่ในความควบคุมของระบอบกษัตริย์
ตลอดมา
นับตั้งแต่หลังการทำรัฐประหารที่นำโดยพลโทผิน ชุณหะวัณ
ในวันที่ 8 พฤษจิกายน 2490 ที่เริ่มให้มีองคมนตรี
จากนั้นยังได้มีการทำรัฐประหารอีกหลายครั้ง
เพื่อหาเรื่องเขียน รธน ขึ้นใหม่เพื่อเพิ่มอำนาจให้กษัตริย์มากขึ้นเรื่อยๆ
แม้แต่รัฐธรรมนูญ 2540 ที่มาจากสภาร่างรัฐธรรมนูญที่เลือกมาจากประชาชน
ก็ยังคงต้องใช้กรอบที่ให้กษัตริย์เป็นผู้ผูกขาดการใช้อำนาจสูงสุด
โดยเฉพาะการเป็นจอมทัพที่มีอำนาจที่แท้จริงในการแต่งตั้งนายทหาร
รวมไปถึงตุลาการและข้าราชการระดับสูง
และยังเสริมด้วยอำนาจของตุลาการเครือข่ายเจ้าในรูปขององค์กรตาม รธน
หลากหลายรูปแบบ เพื่อกำกับและควบคุมอำนาจของปวงชนอีกชั้นหนึ่ง
แต่ระบอบกษัตริย์ของไทยก็ไม่สามารถเอาชนะการเลือกตั้งต่อพตท. ทักษิณ
และเครือข่ายของทักษิณที่สืบต่อกันมา แม้จะได้ร่าง รธน 2550
เพื่อเอาเปรียบทางการเมืองทุกวิถีทาง แต่ก็ยังไม่มีทางเอาชนะในการเลือกตั้งได้
การเรียกร้องให้มีการแก้ รธน โดยไม่แตะต้องหมวดกษัตริย์
จึงเป็นเรื่องของการเรียกร้องต่อสู้ในกรอบเดิมๆ ที่ยังมีกษัตริย์อยู่เหนือกฎหมาย
และเป็นผู้ผูกขาดการใช้อำนาจสูงสุดเหมือนเดิม
จึงป่วยการที่ไปอ้างบทบัญญัติหรือกฎหมายใดๆ
ในเมื่อประชาชนไทยยังคิดว่าตนเองเป็นแค่ไพร่ เป็นฝุ่นละออง
ที่ไม่สามารถพึ่งตนเอง และไม่เคยคิดที่จะสู้เพื่อเสรีภาพและความเสมอภาค
ที่แท้จริง หรือสู้แบบมีข้อยกเว้นที่จำกัดกรอบ ไม่ไปปรับเปลี่ยนสถานภาพแ
ละบทบาทหน้าที่ของสถาบันกษัตริย์ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของปัญหา
ทำให้ไม่มีทางแก้ปัญหาที่ตันเหตุได้ ไปๆมาๆ ก็มาตันอยู่แค่กองทัพ ตุลาการ
องคมนตรี สื่อหรือนักวิชาการ ที่เป็นแค่กิ่งก้านของระบอบเผด็จการดักดาน
ที่มีกษัตริย์เป็นแกนกลาง
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar