จะแก้ รธน.หรือฉีก :คอลัมน์ ใบตองแห้ง
ในขณะที่นโยบายรัฐบาลยังไม่แน่ชัด
จะแก้รัฐธรรมนูญตามเงื่อนไขของพรรคประชาธิปัตย์ไหม แก้เมื่อไหร่ แก้อย่างไร
“อาบัง” อดีตหัวหน้าคณะรัฐประหาร 2549 ก็ให้สัมภาษณ์สื่อญี่ปุ่น
รัฐประหารยังจำเป็น และอาจเกิดขึ้นอีกครั้ง
หากรัฐบาลประยุทธ์ไม่สามารถแก้ปัญหาได้
แหม่ ศรีสุวรรณ จรรยา น่าจะขึ้นบัญชีไปฟ้องเอาผิด พูดอย่างนี้สิ ต่างชาติไม่กล้ามาลงทุนค้าขาย
คำพูดอาบังอาจไม่มีน้ำหนัก
หัวหน้ารัฐประหารที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นหุ่นเชิด
เพราะหลังจากนั้นก็ตกกระป๋อง (จนไม่เหลือคำว่าบิ๊ก)
เพียงแต่มันสอดคล้องกับท่าทีหวาดวิตก ของฝั่งอนุรักษนิยมสุดโต่ง
ที่กลัวความเติบโตของพลังประชาธิปไตย กลัว “เอาไม่อยู่”
ซึ่งถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาเลอะเทอะแบบอาบัง
เช่นตอนหนึ่งก็หาว่าคนรวยเข้ามาใช้ประโยชน์จากคนจน
ใช้เงินในการเลือกตั้งแล้วก็เกิดการทุจริต
ตอนหนึ่งก็หาว่าคนจำนวนมากมีแนวคิดเอียงซ้ายหัวก้าวหน้าไม่ต้องการสถาบันกษัตริย์
แล้วก็ผสมโรงว่าฝ่ายซ้ายหาเสียงกับคนมีการศึกษาน้อยและคนจน
ไม่รู้เอาไงแน่
เลือกตั้งครั้งนี้ไปถามชาวบ้านสิ พรรคไหนซื้อเสียงมากที่สุด แล้วพวก
“เอียงซ้ายหัวก้าวหน้า” ถ้าหมายถึงพรรคอนาคตใหม่
ก็กลัวเขาหาเสียงกับคนรุ่นใหม่ไม่ใช่หรือ
อนาคตใหม่ไม่ได้แจกบัตรคนจนสักหน่อย
แต่พวกหาเรื่องรัฐประหารก็เลอะเทอะอย่างนี้เสมอ
แถมชอบอ้างสถาบันมาปลุกความเกลียดชัง ผลักพสกนิกรที่รักประชา
ธิปไตยออกห่างสถาบัน ทั้งที่มีบทเรียนจากปี 49-53
ความคิดรัฐประหารมีจริงหรือไม่ น่าจะมีจริง
ในแง่ที่เป็นทางเลือกสุดท้าย พร้อมทั้งมีไว้ขู่
เช่นเดียวกับการปลุกความเกลียดชังพรรคอนาคตใหม่ พรรคฝ่ายประชาธิปไตย
นอกจากหวังทำลายด้วยเครือข่ายอำนาจกฎหมาย
ยังหวังสร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัว เพื่อให้ประชาชนสยบยอม
เป็นการปรามไปในตัว ว่าถ้ายังสนับสนุนพรรคฝ่ายนี้
ก็อาจมีรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะพาฉิบหายกันหมด
ไม่รู้มีใครกลัว เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ฉีกไม่ฉีกก็ไม่เป็นประชาธิปไตยอยู่แล้ว นึกภาพไม่ออกว่ายังมีอะไรแย่กว่านี้ได้อีก
การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามข้อเสนอของ ปชป.
ว่าตามเนื้อผ้าก็เป็นเรื่องดี เพราะเป็นการ “ปลดล็อก” ขั้นต้น
เปิดประตูให้การแก้รัฐธรรมนูญดูง่ายขึ้น (แม้เอาจริงอาจแก้ไม่ได้อยู่ดี)
นั่นคือให้แก้มาตรา 256 ใช้เสียงข้างมากของรัฐสภาแก้รัฐธรรมนูญ
ตัดเงื่อนไขที่ต้องให้ 250 ส.ว.เห็นชอบ 1 ใน 3 ต้องให้ฝ่ายค้านเห็นชอบ 20%
มันก็ดูดี ถ้าไม่ใช่การแก้เกี้ยว
อ้างเป็นเงื่อนไขประกอบการแก้ผ้าเข้าร่วมรัฐบาล
หลังตระบัดสัญญาประชาคมของหัวหน้าพรรค บีบให้มาร์คต้องลาออก
เพราะดันไปประกาศให้ประชาชนหลงเชื่อ “ไม่เอาประยุทธ์” มาร์คดีแต่พูด
ไม่ใช่มติพรรค ไม่มีใครเห็นด้วยกับมาร์คสักหน่อย
“แก้รัฐธรรมนูญ” จึงเป็นสัญญาประชาคมใหม่
ที่ใช้กระพือปีกเข้าหลังบ้าน แต่เอาเข้าจริง นอกจากหัวหน้าอู๊ดด้า
ที่จำต้องรับผิดชอบคำพูด ยืนยันว่าเป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล
ต้องทำใน 1 ปี คนอื่นๆ กลับไม่แยแส เลขาธิการพรรคออกมาแย้งหัวหน้าตัวเอง
ว่าไม่จำเป็นต้องทำใน 1 ปี อดีตเลขาธิการพรรคก็อ้างว่า แก้ปัญหาปากท้องก่อน
รัฐธรรมนูญไว้ทีหลัง
“ถ้าสร้างบ้านประชาธิปไตยให้สวย แต่คนในบ้านอดอยากตายกันหมดก็ไม่มีประโยชน์”
พรรคดีแต่พูดกำลังบอกว่าเงื่อนไขของตัวเอง
เป็นแค่บ้านสวยหรู กลวง เปล่าประโยชน์ ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ
งั้นตั้งเงื่อนไขทำไม ชาวบ้านก็รู้อยู่แล้วว่าอยากร่วมรัฐบาลจนตัวสั่น
ไม่ต้องมาทำหล่อ
ปชป.ทำราวกับข้อเสนอของตัวคือแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
รัฐบาลก็ตีปี๊บว่าเดี๋ยวทำให้ธนาธรหลุด เกี่ยวกันที่ไหน ปชป.เสนอแก้แค่
ม.256 หลังจากนั้นจะแก้อะไรต่อไป ก็ต้องใช้เสียงในรัฐสภามากกว่า 376 เสียง
ลำพังฝ่ายค้านไม่มีทางแก้ได้อยู่แล้ว เว้นแต่
ส.ส.เกือบทุกพรรคเห็นตรงกันว่าต้องแก้ เช่น
กลับไปเลือกตั้งด้วยระบบบัตรสองใบ เบอร์เดียวกันทั้งประเทศ
ชัดเจนว่ารัฐบาลไม่ต้องการแก้รัฐธรรมนูญเพราะกลัวเข้าทางฝ่ายค้าน
จุดกระแสแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย ลบล้างผลพวงรัฐประหาร
เดี๋ยวพอฝ่ายค้านเคลื่อนไหวล่าชื่อ ก็จะชี้หน้าว่าสร้างความวุ่นวาย
ขัดขวางการแก้ปากท้องประชาชน ปชป.ซึ่งต้องการเสวยเก้าอี้ยาวๆ
ก็ผลักเงื่อนไขตัวเองให้เป็นเรื่องไม่สำคัญ
ทั้งที่พูดไว้เองว่าต้องการแก้มาตรานี้เพื่อปลดล็อก ป้องกันการฉีกรัฐธรรมนูญในอนาคต
เรื่องอะไร รัฐบาลประยุทธ์จะแก้รัฐธรรมนูญ
ที่มาของอำนาจ ยังไงก็อยากครองอำนาจอย่างนี้ไปก่อน
ระหว่างนี้ก็หวังให้ฝ่ายตรงข้ามถูกทำลาย เพื่อไทยอ่อนแรง
อนาคตใหม่ถูกให้ร้าย ติดคุก ถูกยุบ
แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น ถ้ารัฐบาลทำท่าจะพัง
ถ้าฝ่ายประชาธิปไตยเข้มแข็งจนจะชนะเลือกตั้ง ก็เข้าสู่ทางเลือกสุดท้าย
คือรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญ
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar