ราชสำนักไทย เป็นแหล่งรวมความไม่โปร่งใส "ชั้นเทพ" เลย ทั้งๆที่อยู่ได้จากเงินของสาธารณะ แถมยังควบคุมทรัพย์สินที่ควรเป็นของสาธารณะมูลค่ามหาศาลอีก (และเช่นเดียวกับทุกองค์กรหรือหน่วยงานที่ไม่โปร่งใสไม่มีการตรวจสอบ โอกาสที่จะเต็มไปด้วยการ "ใช้จ่ายเงินผิดประเภท" "คอร์รัปชัน" เล่นพรรคเล่นพวก ก็สูง - กองทัพเป็นอีกหน่วยงานสำคัญหนึ่งที่มีลักษณะแบบนี้)
เรื่องนี้ชนชั้นกลางในเมือง รวมไปถึงคนในวงการสื่อมวลชน (คนอย่างประเภทคุณ "เสริมสุข" ที่ผมพูดถึงในกระทู้ก่อน หรือพวกนักเขียน "ผู้จัดการ" ทั้งคณะเลย) รู้ไหม? รู้แน่นอน ถ้าพวกเขาตั้งสติ และมีความกล้าหาญที่จะคิดและยอมรับนะ
แต่ปัญหาคือ ในหลายปีทีผ่านมา พวกนี้หลงไปกับลัทธิ "รักในหลวง" และที่สำคัญ ก็ "เกลียดนักการเมือง" (ทักษิณ) อย่างไม่ลืมหูลืมตา จนไม่กล้าแม้แต่จะยอมรับเรื่องนี้อีก
เป็นพักๆ ก็มีกรณี "เตือนใจ" เรื่องนี้ขึ้นมา อย่างปีกลายเรื่องการกวาดล้าง "อัครพงศ์ปรีชา" และการจ่าย "ค่าทำขวัญ" ๒๐๐ ล้านบาท (ใครที่ชอบยืนยันก่อนหน้านั้นว่า ทรัพย์สินฯ ไม่ใช่ของในหลวงๆๆ เป็นของแผ่นดิน บลาๆๆ ตอนนี้ยัง "หน้าแตก" เย็บไม่สนิทนะครับ งานนั้น ในหลวงเซ็นแกร็กเดียว จ่ายเลย ๒๐๐ ล้าน สำหรับทำขวัญเรื่องลูกชายหย่าลูกสะใภ้ เรียกว่าส่วนตั๊ว ส่วนตัว ไม่รู้จะส่วนตัวยังไงแล้ว - นึกภาพถ้าทักษิณหย่าพจมาน หรือ "เอม" หย่า "พงศ์" แล้วให้กระทรวงการคลังจ่ายค่า "ทำขวัญ" อะไรประมาณนั้นแหละ)
และล่าสุดก็กรณีหมอหยอง
(หรือกว้างไปกว่านั้น กรณีเรื่องไล่ที่ของสำนักงานทรัพย์สินฯ เป็นต้น)
แล้วทุกครั้งที่เกิดเรื่องแบบนี้ มีไหมที่จะออกมาโวยวายว่า "ไม่โปร่งใสๆๆ" "ลิดรอนเสรีภาพสื่อ" (ในการทำข่าว เสนอข่าว) ฯลฯ
ผมนี่เชียร์เลย การตรวจสอบ เอาผิดนักการเมืองคอร์รัปชั่น ฯลฯ ปัญหาคือ หลายปีที่ผ่านมา มัน "ดัดจริต" "สองมาตรฐาน" ชนิดที่ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว คือไอ้ที่ "คอร์รัป" ตั้งแต่ระดับกฎหมายและระเบียบการปฏิบัติ "ปกติ" เลย - กฎหมายทรัพย์สินพระมหากษัตริย์, งบประมาณเรื่องเจ้า ไปจนถึงอีกสารพัดเรื่อง เช่น การถวายเงิน ฯลฯ - คือต่อให้ไม่มีการ "กินเงิน-หักหัวคิว-ส่งส่วย" (ซึ่งมีแน่) เลยนะ ที่ทำกันปกติ ก็ต้องเรียกว่าเป็นการปฏิบัติและกฎหมายกฎระเบียบที่คอร์รัปแน่ๆ (มีหรือที่เราอนุญาตให้วงการที่เกี่ยวข้องกับรัฐที่ไหน ใช้จ่ายเงิน รับเงิน ควบคุมเงิน ได้ตามใจชอบแบบกรณีราชสำนัก?)
ผมพูดหลายครั้งแล้วว่า การตะโกนร้องแรกแหกกระเชอเรื่อง "คอร์รัปชั่นๆๆ" ของคนรักเจ้า ชนชั้นกลางในเมืองน่ะ มัน ไร้สาระโคตรๆๆ คือ แม้แต่ซีเรียสก็ไม่ซีเรียสเลย ไม่มีที่ไหนในโลกที่ผมเคยเห็นนะ ที่จะตะโกนโวยวายเรื่อง "คอร์รัปชั่นๆๆ" แต่เงียบกริบ และปล่อยให้การปฏิบัติและระเบียบที่คอร์รัป สุดๆ ("ชั้นเทพ") ปรากฏต่อหน้าต่อตาทุกเมื่อเชื่อวันเป็นสิบๆปีแบบนี้ - มัน "ไร้สาระ" และ "กระจอก" ชิบเลย
กรณี พี่น้องวิวัชรวงศ์, คุณศรีรัศมิ์ สุวะดี และ นพ.ชัยชล โลว์เจริญกุล
สำหรับท่านที่ยังไม่เห็นและสนใจ คุณจักรีวัชร วิวัชรวงศ์ ซึ่งเป็นคนที่สามในหมู่พี่น้อง (เกิด 26 กุมภาพันธ์ 2526 กำลังจะอายุ 34 ปีในเดือนหน้า) มีอาชีพแพทย์ ได้ทำคลิปวิดีโออวยพรปีใหม่ ในนามเขาเองและ "ศูนย์ข้อมูลการแพทย์จักรีวัชร" ที่เขาตั้งขึ้น ที่นี่ goo.gl/WVZzOt
ผมเข้าใจว่า ในหมู่พี่น้องทั้งสี่ คุณจักรีวัชร อาจจะเป็นคนที่สนใจจะ "คอนเน็ค" กับประเทศไทยมากที่สุด ถ้าดูจากกิจกรรมของเขา
................
ประเด็นพี่น้องวิวัชรวงศ์ และประเด็นคุณศรีรัศมิ์ และ นพ.ชัยชล นั้น มีด้านที่เป็นเรื่องส่วนตัวอยู่ (ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ-ลูก, สามี-ภรรยา) ซึ่งผมไม่เกี่ยวข้องและไม่แสดงความเห็นใดๆ
แต่ทั้งสามกรณีนี้ มีเรื่องที่มีลักษณะสาธารณะที่สำคัญมากอยู่ และสะท้อนปัญหาความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่ามีการใช้อำนาจในทางลึกลับหรือในทางที่ผิด ที่มีอยู่นานในสังคมไทย โดยเฉพาะในแวดวงที่เกี่ยวข้องกับวัง
ถ้ากรณีแบบนี้เกิดในสังคมที่ "โต" หรืออารยะแล้ว สื่อมวลชนคงต้องทำหน้าที่สืบสวนค้นคว้า และพยายามหาความจริงมาเผยแพร่ ว่ามีการใช้อำนาจอย่างผิดๆเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ เพียงใด
กรณีพี่น้องวิวัชรวงศ์นั้น ในฐานะคนไทย พวกเขาย่อมมีสิทธิ์เดินทางกลับประเทศไทยเสมอ แต่ตามที่พวกเขาเคยเขียน (ดูกรณี "จดหมายจากฟลอริด้า" ที่ผมเคยโพสต์ไว้ ที่นี่ goo.gl/B72jkn) พวกเขาถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้า และเมื่อเร็วๆนี้ ผมได้พยายามสอบถามไปยังผู้ที่พอจะมีแหล่งข่าวที่รู้จักกับพี่น้องฯ ก็ยังได้รับการบอกเล่าว่าคำสั่งห้ามดังกล่าวยังคงอยู่ ไม่ว่าความสัมพันธ์เชิงส่วนตัวในฐานะพ่อ-ลูกของกษัตริย์องค์ใหม่กับพี่น้องฯเป็นอย่างไร ถ้ามีการใช้อำนาจในลักษณะนี้ (ซึ่งไม่มีกฎหมายใดๆรองรับ) ก็เป็นการใช้อำนาจในทางที่ผิดแน่
กรณีคุณศรีรัศมิ์นั้น มีข่าวลือกันหนาหูตั้งแต่เกิดการกวาดล้างเธอและครอบคร้วว่า เธอถูกสั่ง "กักบริเวณ" ไม่ให้ออกจากบ้านไปไหน บางเสียงถึงกับกล่าวว่าเธอถูก "ลงโทษ" ดัวยการบังคับให้กร้อนผม บำเพ็ญสมาธิอยู่บ้าน - เช่นเดียวกับกรณีพี่น้องวิวัชรวงศ์ ที่ว่ายังมีคำสั่งห้ามกลับ กรณีศรีรัศมิ์นี้ ก็ไม่สามารถยืนยันได้ (เพราะคงไม่มีสื่อมวลชนไหนกล้าสืบสวน และตัวพี่น้องฯและครอบครัวคุณศรีรัศมิ์เอง ก็คงไม่กล้าออกมาให้ข่าว)
กรณี นพ.ชัยชล (อดีตคู่ชีวิตฟ้าหญิงจุฬาภรณ์) นั้น บ้างก็ลือกันว่า ออกบวช บ้างก็ว่าเสียชีวิตแล้ว คุณ Andrew MacGregor Marshall เป็นคนที่พยายามยกประเด็น นพ.ชัยชลนี้ขึ้นมาหลายครั้ง (ล่าสุด เมื่อวานซืน) ผมเองไม่ปักใจว่า คุณชัยชลเสียชีวิต แต่ก็ไม่สามารถยืนยันในทางใดทางหนึ่งได้ (ต่างจากกรณี พล.ต.พิสิฐศักดิ์ ที่ยืนยันได้จากทะเบียนราษฎรแน่นอนว่า เสียชีวิตแล้ว ระหว่างการกวาดล้างกลุ่ม "หมอหยอง")
......................
ผมยกทั้ง 3 กรณีขึ้นมาพร้อมๆกัน เพราะมีลักษณะคล้ายๆกัน ในแง่ที่ว่า มีความเป็นไปได้ว่า มีการใช้อำนาจอย่างลึกลับ อย่างขัดกับกฎหมาย ซึ่งเป็นการใช้อำนาจอย่างผิดๆ (abuse of power) แน่นอนว่า ในสภาพสังคมไทยอย่างที่เป็นอยู่ ก็ไม่มีทางยืนยันว่า มีการใช้อำนาจในลักษณะนั้นจริงหรือไม่ (สมัยก่อนคำว่า "อำนาจมืด" ก็สื่อในความหมายนี้แหละ คือมัน "มืด" เสียจนไม่สามารถยืนได้ว่า มีการใช้จริงหรือไม่)
ผมยืนยันมาเป็นสิบๆปีว่า สังคมไทยไม่เคยซีเรียสกับปัญหาอย่าง "คอรัปชั่น" หรือ "การใช้อำนาจในทางที่ผิด" (abuse of power) ของบุคคลากรและองค์กรรัฐ ยกตัวอย่างเช่น ในสมัยหนึ่ง ที่มีการโจมตีรัฐบาลทักษิณ (โดยปัญญาชนนักวิชาการนี่แหละ เรียกว่าแทบจะเป็นเอกฉันท์) ในเรื่องการใช้อำนาจในทางที่ผิดในกรณี "สงครามยาเสพติด" ผมเองก็เห็นว่า มีการ abuse of power จริงในสมัยรัฐบาลทักษิณ (ทั้งกรณีสงครามยาเสพติดและกรณีอื่นๆอีกมาก) แต่ประเด็นคือ ตราบใดที่สังคมไทย ยังมี "ข้อยกเว้น" ไม่ใช้บรรทัดฐานแบบเดียวกันกับบุคคลากรและองค์กรอำนาจรัฐ ไปจนถึงระดับสูงสุด (สถาบันกษัตริย์) การวิพากษ์วิจารณ์หรือเอาผิดใดๆ ต่อการใช้อำนาจในทางที่ผิดกับเฉพาะกรณี ก็เป็นอะไรที่ไม่มีความหมายแท้จริง และพูดกันจริงๆ การมี "ข้อยกเวัน" ในลักษณะนี้ ในที่สุด เป็นประโยชน์กับนักการเมืองอย่างทักษิณเองด้วยซ้ำ ในแง่ที่ว่า นักการเมืองและผู้สนับสนุนสามารถหยิบยกเอากรณี "ข้อยกเว้น" เหล่านี้ ขึ้นมาชี้ให้เห็นว่า ในเมื่อมี "ข้อยกเว้น" ไม่ตรวจสอบ เอาผิดอยู่ (กับเจ้า กับทหาร ฯลฯ) เรื่องอะไรจะยอมให้มีการตรวจสอบเอาผิดกับนักการเมืองได้ (นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้นในวิกฤติหลายปีนี้ ที่ "เสื้อแดง" และคนสนับสนุนทักษิณ ไม่มีทางยอมรับให้มีการเอาผิดทักษิณ ต่อให้มีความผิดจริงก็ตาม)
มีคนชั้นกลางในเมืองที่เรียกว่าคนรักเจ้าสักกี่คน ที่ไม่เคยเม้าท์-นินทากษัตริย์องค์ใหม่?
(กระทู้นี้ ถือเป็น "เนื้อที่โฆษณา" - กรุณาดูภาพโปสเตอร์ประกอบ)
ผมค่อนข้างมั่นใจว่า ถ้ามีการสำรวจและให้ตอบแบบซื่อตรงได้จริงๆ จะพบว่ามีน้อยคนในหมู่คนรักเจ้าสมัยใหม่ที่ไม่เคยเม้าท์-นินทาทางใดทางหนึ่งต่อกษัตริย์องค์ใหม่ สมัยยังเป็น "พระบรมฯ" ("เสี่ย" "เสี่ยโอ") และแทบจะหาคนที่ไม่มีปฏิกิริยาอย่างต่ำๆในแง่ เบ้ปาก-ส่ายหัว-ยักไหล่ ต่อ "เสี่ย" ไม่ได้ คืออย่างต่ำๆก็ไม่ได้ชื่นชมอะไร (อันที่จริง เท่าที่ผมสังเกตติดตามตั้งแต่ 13 ตุลาคมมา ผมยังไม่เคยเห็นใครในหมู่คนรักเจ้าสมัยใหม่ ที่แสดงความ "รัก" ต่อกษัตริย์องค์ใหม่ชนิดมาจากใจจริงๆ อย่างกรณีอีตาคุณ เทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา ที่บางครั้งออกมาเชียร์ นั่นก็เห็นได้ชัดว่าเรื่องการเมือง กรณีอย่างคุณ "น้องเบส" ผมก็ยังไม่เคยเห็นพูดถึงกษัตริย์องค์ใหม่แบบ "ซาบซึ้ง" น้ำหูน้ำตาไหลแบบกรณีกษัตริย์องค์ก่อน พวกอย่างคุณ "ดี้" นิติพงษ์ ห่อนาค และเซเลปทั้งหลาย ผมก็ไม่เคยเห็น)
บทความประวัติกษัตริย์องค์ใหม่ ของ บีบีซีไทย - BBC Thai ที่เป็นจุดเริ่มต้นของคดีล่าสุดของ "ไผ่ ดาวดิน" Pai Jatupat นั้น ถ้าใครไม่หลอกตัวเอง ก็ควรต้องยอมรับว่า "ไม่มีอะไรเลย" ในแง่ของการพูดอะไรใหม่ไปจากที่ทุกคน รวมทั้งคนรักเจ้าสมัยใหม่ด้วยกันเอง พูดๆกันอยู่ในหลายปีมานี้
ผมเสียดายว่า คนรักเจ้าสมัยใหม่ โดยเฉพาะพวกเป็นนักเขียนตามสื่อ (บางคนอยู่ใน "เฟรนด์ลิสต์" ผม เช่นนักเขียนผู้จัดการท่านหนึ่ง) ยังคงไม่มีความกล้าหาญ และหลอกตัวเองเและหลอกคนอ่านต่อไป ด้วยการชอบพูดทำนองว่า บทความบีบีซีนั้น "บิดเบือน" "เอาข่าวลือมาเล่า" บลา บลา
ผมเคยเขียนอธิบายไปแล้วว่า การมี "ข่าวลือ" ก็เป็นข่าวอย่างหนึ่ง และสื่อทุกชนิดก็รายงานการมี "ข่าวลือ" ประจำ (ชนิดที่ไม่มีความสำคัญหรือมีมูลอะไรยิ่งกว่ากรณีบทความบีบีซีหลายพันเท่า) อันที่จริง กรณีบทความบีบีซีนั้น มีเพียง 2 ประเด็นที่กล่าวถึงการ "พูดๆกัน" ซึ่งไม่นับเป็น "ข่าวลือ" ด้วยซ้ำ คือกรณีเรื่องกษัตริย์องค์ใหม่เคยมีความสัมพันธ์กับทักษิณ และกรณีที่ว่ามีคนอยากให้พระเทพเป็นกษัตริย์มากกว่า กรณีมีความสัมพันธ์ทักษิณนั้น เปรมเองพูดกับทูตสหรัฐเอง ในลักษณะเป็นความจริงด้วย ไม่ใช่เรื่องการลือ ส่วนกรณีมีคนอยากให้พระเทพเป็นนั้น สิทธิ เศวตศิลา ก็ถึงกับพูดว่า ถ้า "พระบรม" ตายไปก่อน ก็จะแก้ปัญหาตกไป คือพระเทพได้เป็นแทน (คือเรียกว่า "หวัง" หรือ "แช่งให้ตาย" กันเลยทีเดียว)
แต่สังคมไทย โดยเฉพาะในหมู่คนรักเจ้าสมัยใหม่ เป็นวัฒนธรรมแบบ "ปากว่า ตาขยิบ" "หน้าไหว้ หลังหลอก" ชนิดสุดๆ หาความซื่อตรงแม้แต่ต่อตัวเองก็ไม่ได้
"ไผ่ ดาวดิน" ไม่ควรถูกตั้งข้อหาใดๆจากการแชร์บทความบีบีซีแต่แรก ยิ่งไม่ควรถูกถอนประกันในขณะนี้ (คงไม่ต้องเตือนซ้ำว่า กรณีคุณ "หมอนิ่ม" ไม่เพียงโดนข้อหานะครับ ถูกตัดสินประหารชีวิตไปแล้ว)
..............
อย่างที่บอกไปตอนต้น นี่เป็น "เนื้อที่โฆษณา" ใครอ่านถึงตรงนี้ ก็ดู "สินค้า" ตามรูปประกอบ และถ้าเป็นไปได้ ก็่ช่วย "ซื้อ" (คือ "กินข้าวหลาม") กันหน่อยนะจ้ะ
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar