ประเทศในเครื่องแบบ :คอลัมน์ ใบตองแห้ง
สภาผู้แทนเสียเวลาครึ่งค่อนวัน
เถียงกันเรื่องส.ส.แต่งตัว แทนที่จะพูดปัญหาปากท้องประชาชน
บางคนบอกว่าต้องโทษ “Xช่อ” ใส่ชุดไทยพื้นเมือง รู้ทั้งรู้เป็นเป้าดักตบ
ยังดันหมุนตัวโชว์ จนกลายเป็นดราม่า ผีกาสะลองกรี๊ดลั่นสภา
มองมุมหนึ่งก็ใช่ ถ้าตั๊นหรือเดียร์แต่งชุดไทย
ส.ส.อนาคตใหม่คงไม่โวยว่าแต่งกายผิดระเบียบ หรือถ้าส.ส.พปชร.พิการใส่ขาสั้น
ท่านทั้งหลายก็คงเห็นใจ
แต่มองให้กว้าง ไม่ว่า “Xช่อ” จงใจหรือไม่ก็ตาม
มันกลายเป็นการปะทะกันทางทัศนคติ “สงครามค่านิยม” ระหว่างพวกเคร่งระเบียบ
ต้องผูกไทใส่สูท ไม่เคารพไม่ให้เกียรติสถานที่ กับทัศนคติเปิดกว้าง
จะนุ่งกางเกงขาก๊วยเสื้อยืดคอกลมก็ไม่เห็นเป็นไร
เพราะถ้าทำอย่างนั้นแล้วประชาชนตำหนิ ก็เสื่อมความนิยมเอง
ซึ่งพอพูดอย่างนั้น อ.ปิยบุตรก็โดนดาวสยามถล่ม
ทั้งที่ชัดเจนเขาไม่ทำขนาดนั้นหรอก แต่เป็นการเน้นให้เห็นว่า
เกียรติของส.ส.มาจากการได้รับเลือกโดยประชาชน ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นคนธรรมดา
ใส่เสื้อผ้ายับย่น ไม่มีใครผูกไทเดินถนน เว้นแต่เซลส์ขายของตามบ้าน
แล้วทำไมส.ส.จะต้องคิดว่าเกียรติของตัวเองมาจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สูงส่ง
ขรึมขลัง แบบสัปปายะสภาสถาน ซึ่งมีเจดีย์อยู่บนหลังคา
ความเคร่งครัดเรื่องผูกไทใส่สูท
เครื่องแบบนักเรียนนักศึกษา ว่าไปมันก็ตลก
คือในอดีตเรากลัวฝรั่งว่าป่าเถื่อน ก็เลยปรับปรุงให้ทันสมัย
แต่พอยุคสมัยเปลี่ยนไป ชาวโลกเขามีเสรี เขาผ่อนคลาย
ผู้นำหลายประเทศไม่ผูกไทกันแล้ว เมืองไทยกลับยึดติด เข้มงวดเอาเป็นเอาตาย
โดยเฉพาะเด็กนักเรียน ความเชื่อฟังอยู่ในคำสั่ง
เป็นเรื่องใหญ่กว่าความคิดสร้างสรรค์
เครื่องแต่งกายที่เอามาจากฝรั่ง
ร้อยปีผ่านไปกลายเป็นเครื่องแบบจารีตนิยม ที่เอามาจำกัดความคิด วิถีชีวิต
และแบ่งคนตามลำดับชั้น สวนทางประเทศที่เสียเอกราช พอต่อสู้พ้นจากอาณานิคม
ส.ส.พม่าก็แต่งตามชนชาติ ส.ส.อินเดียใช้ผ้าทอมือ
การประจัญกันในสภา เรื่องเสื้อผ้าหน้าผม
จึงไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่เป็นการประจัญทัศนคติ
ระหว่างอนุรักษนิยมกับเสรีประชาธิปไตย ที่กำลังต่อสู้กันทุกปริมณฑล เพราะ
13 ปีวิกฤตการเมือง 5 ปีรัฐประหาร คสช.
ได้ปลุกความคิดจารีตสุดโต่งขึ้นมาเป็น “ปฏิประชาธิปไตย”
อ้างว่าประเทศต้องอยู่ภายใต้การบังคับควบคุม เป็น “ประเทศในเครื่องแบบ”
หรือใต้อำนาจคนในเครื่องแบบ
จึงจะรักษาชาติรักษาความเป็นไทยรักษาสถาบันสำคัญ
จะปล่อยให้เป็นเสรีประชาธิปไตยตามเจตจำนงของประชาชนไม่ได้
ทั้งที่ความเป็นจริง จารีต ความเป็นไทย
สถาบันสำคัญ กับเสรีประชาธิปไตย ไม่จำเป็นต้องเป็นปฏิปักษ์กัน
ปรับตัวไปด้วยกันได้ตามยุคสมัย ที่ผ่านมาหลายสิบปีก็ปรับเปลี่ยน
วัฒนธรรมประเพณีไทยที่เห็นกัน ใครว่าเหมือนร้อยปีที่แล้ว มีแต่พวกยึดติด
พวกเครือข่ายอำนาจเท่านั้นที่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงไม่ได้
การประจัญกันในสภา มันยังเหมือน choice
ให้ประชาชนเลือกว่า คุณอยากได้รัฐมนตรีศึกษา รัฐมนตรีวัฒนธรรมแบบไหน แบบ
พปชร. กปปส. หรือแบบอนาคตใหม่ แบบเคร่งครัดเครื่องแต่งกาย
พาเด็กเข้าค่ายทหาร กรอกสมุดบันทึกความดีเป็นพิธีกรรม หรือแบบที่สร้าง
critical thinking ความคิดแหวกกรอบ ซึ่งไม่มีไม่ได้ ถ้าจะสร้างสรรค์
อัจฉริยะส่วนใหญ่ในโลกไม่ได้มาจากคนเชื่อฟังระบบ
ยิ่งไปกว่านั้นมันยังเป็น choice
ให้ประชาชนเลือกว่า อยากได้รัฐบาลแบบไหน
แบบที่เปิดกว้างให้สิทธิเสรีภาพประชาชน
ร่วมคิดร่วมทำร่วมสร้างประเทศในฐานะเจ้าของอำนาจ หรือรัฐบาลในเครื่องแบบ
ที่บังคับเข้มงวดประชาชน ให้เดินตามยุทธศาสตร์ชาติที่เลือกไว้ให้แล้ว
โดยอ้างว่าทำทุกอย่างเพื่อประชาชน ทำสิ่งที่ดีที่สุดให้ประชาชน
แต่ประชาชนไม่สมควรเป็นเจ้าของอำนาจ
เพราะเป็นเหมือนเด็กที่ปกครองตัวเองยังไม่ได้
ต้องมีผู้ใหญ่มาดูแลอย่างเข้มงวด
การเมืองรอบนี้ สงครามความคิดระหว่าง 2
ขั้วจะประจัญกันอย่างแหลมคมกว่าก่อน ในทุกเรื่อง ทุกปริมณฑล ระบบการเมือง
กฎหมาย โครงสร้างทางเศรษฐกิจ ทัศนคติทางสังคม วัฒนธรรม การศึกษา
การใช้ชีวิต เพราะกระทั่งกินอาหารแล้วถ่ายเซลฟี่ก็ยังเป็นดราม่า
แน่ละ
ดูเหมือนเป้าหมายของฝ่ายจารีตสุดขั้วเคลื่อนมาที่ ธนาธร อนาคตใหม่
แต่มันไม่ใช่เรื่องตัวบุคคลตั้งแต่แรก ทักษิณก็ไม่ใช่ตัวบุคคล
ไม่ใช่ทักษิณไม่ยอมวางมือบ้านเมืองจึงปั่นป่วนมาสิบกว่าปี
แต่เพราะฝ่ายจารีตทำลายประชาธิปไตยของปวงชน ที่ไม่ใช่ของทักษิณ
ครั้งนี้ก็เช่นกัน
มันจะเป็นการช่วงชิงคนทางความคิดความเชื่อ อย่างแหลมคมและกว้างขวาง
โดยฝ่ายกุมอำนาจได้เปรียบทุกอย่างทางกลไก กุมระบบการศึกษา อบรม รด.
เกณฑ์ทหาร
แต่เสียเปรียบอย่างเดียว คือความคิดโคตรล้าหลัง
จนต้องเกิด “สถาบันอนาคตเก่า” ขึ้นมาปลุกความเกลียดชัง ให้ร้ายป้ายสี
เพื่อทำลายด้วยความรุนแรง
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar