มติ พปชร. ให้ ส.ส. ในสังกัด “งดออกเสียง” กับท่าทีของ ส.ว. ที่บอกว่า “จะทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ตกไปได้อย่างไร” เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่ากระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ตั้งต้นนับหนึ่ง ก.ย. 2563 กำลังจะถูกล้มกระดาน
แก้รัฐธรรมนูญ: สำรวจท่าที ส.ส. และ ส.ว. ก่อนโหวตร่างแก้ รธน. วาระ 3
การประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 ในวาระที่ 3 กำลังจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ (17 มี.ค.) ท่ามกลางการตีความแตกต่างหลากหลายจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะส่งผลต่อทิศทางการลงมติของสมาชิกรัฐสภา
นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา นัดประชุมคณะกรรมการประสานงาน (วิป) 3 ฝ่าย ประกอบด้วย วิปรัฐบาล วิปฝ่ายค้าน และวิปวุฒิสภา เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (16 มี.ค.) แต่ไม่อาจหาข้อสรุปในการดำเนินการของรัฐสภาได้ จึงมอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายของรัฐสภาไปพิจารณาอีกครั้งภายในวันนี้ เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าสามารถเดินหน้าลงมติในวาระที่ 3 ได้หรือไม่
ก่อนหน้านี้ ฝ่ายกฎหมายของรัฐสภามีมติเป็น "เอกฉันท์" ว่าสมาชิก 2 สภาสามารถเดินหน้าลงมติในวาระที่ 3 ได้ ซึ่งเป็นการพิจารณาตามแนวปฏิบัติของรัฐสภาที่ต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฏหมาย และนายชวนก็ออกมาการันตีหลายครั้งว่าพร้อมเดินหน้านัดประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้ลงมติตามระเบียบวาระที่บรรจุไว้แล้ว ทว่าเขาต้องส่งสัญญาณใหม่หลังได้อ่านคำวินิจฉัยกลาง
"แนวโน้มต้องมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งศาลได้วินิจฉัยไปในทางที่ว่าเป็นการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่" นายชวนกล่าว
ประธานรัฐสภายังเปิดเผยแนวทางการพิจารณาของฝ่ายกฎหมายของรัฐสภาไว้ 2 ทางเลือก ระหว่าง 1) ยึดตามกฏหมาย หรือ 2) ยึดตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญซึ่งมีผลผูกพันทุกองค์กร
ต่อมาในช่วงเย็น นายชวนให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่าฝ่ายกฎหมายสภาผู้แทนราษฎร เห็นว่า "ไม่ควรลงมติ" ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 3 ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ควรต้องมีการทำประชามติก่อน ส่วนจะทำประชามติในขั้นตอนใดนั้น จะต้องหารือในที่ประชุมรัฐสภา โดยเปิดให้สมาชิกได้แสดงความเห็นอย่างเต็มที่ ก่อนตัดสินใจว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร
นายชวนยืนยันว่าการบรรจุระเบียบวาระประชุมรัฐสภาในวันพรุ่งนี้ เพราะเป็นการทำหน้าที่ตามกฏหมายบังคับไว้ ว่าเมื่อร่างผ่านการพิจารณาในวาระที่ 2 จะต้องรอ 15 วัน และเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่ 3
ขณะที่พรรคแกนนำรัฐบาลผสมอย่างพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) มีมติให้ ส.ส. ของพรรคลงมติ "งดออกเสียง" ตามคำเปิดเผยของ น.ส.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส.กทม. ในฐานะโฆษกพรรค ทั้ง ๆ ที่ ส.ส. พปชร. คือเจ้าของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะกลับเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาในวันพรุ่งนี้
เนื้อหาของร่างกฎหมายคืออะไร
ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มีเนื้อหา 5 มาตรา ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาในวาระที่ 2 (พิจารณาเป็นรายมาตรา) เมื่อ 25 ก.พ. โดยสาระสำคัญคือการแก้ไขวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 เพื่อเปิดทางให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่มาจากการเลือกตั้ง 200 คน ขึ้นมาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต่อมาประธานรัฐสภาได้เรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ วันที่ 17-18 มี.ค. เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 3 (พิจารณาให้ความเห็นชอบทั้งฉบับ) ทว่าได้เกิดเหตุแทรกซ้อนขึ้นจากคำร้องของนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส. พปชร. และนายสมชาย แสวงการ ส.ว. ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาในการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า รัฐสภามีหน้าที่และอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ โดยต้องให้ประชาชนผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญได้ลงประชามติเสียก่อนว่าประชาชนประสงค์จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ และเมื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ต้องให้ประชาชนลงประชามติเห็นชอบหรือไม่กับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกครั้งหนึ่ง
คนในสภาตีความกันอย่างไร
ถึงขณะนี้เจ้าของโหวตทั้งในสภาสูงและสภาล่างยังตีความคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญไม่ตรงกัน ซึ่งบีบีซีไทยสรุปความเห็นของนักการเมืองระดับแกนนำที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเพื่อนร่วมสภาได้เป็น 2 กลุ่ม ระหว่าง
1. พรรคร่วมฝ่ายค้านที่ยืนยันเดินหน้าลงมติ "เห็นชอบ" ในวาระที่ 3 เพราะตีความว่าร่างแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 ไม่ใช่การรื้อรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ จึงไม่จำเป็นต้องทำประชามติก่อน
2. พปชร. ผนึกกับ ส.ว. ส่งสัญญาณ "ตีตก" ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ค้างสภา นั่นเท่ากับว่ากระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ที่ตั้งต้นนับหนึ่งเมื่อรัฐสภาได้พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรวม 6 ฉบับ เมื่อเดือน ก.ย. 2563 ต้องถูกล้มกระดานไป
รัฐบาล
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย เสนอว่าวิธีดีที่สุดคือ "โหวต แต่อาจไม่ผ่าน" พร้อมบอกใบ้วิธีปฏิบัติในการลงมติวาระ 3 ไว้ว่า 1. อาจไม่มีคนมาประชุม หรือ 2. โหวต "งดออกเสียง" เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรดี หรือ 3. โหวต "ไม่เห็นชอบ" ให้มันตกไป ให้จบเรื่อง แล้วค่อยเริ่มต้นกันใหม่ที่ลงประชามติก่อนเพื่อแก้ทั้งฉบับตามที่ศาลรัฐธรรมนูญแนะนำ หรือแก้เป็นรายมาตรา
พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)
นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เจ้าของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ และประธานวิปรัฐบาล ระบุว่า "เห็นปัญหาที่ไม่สามารถเดินหน้าต่อได้" และตั้งคำถามว่า "หากรัฐสภาดำเนินการขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญใครจะรับผิดชอบ" เพราะมองว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีความชัดเจนในตัวเองแล้ว
นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส. เจ้าของคำร้องตีความอำนาจรัฐสภา กล่าวว่า รัฐสภาไม่มีหน้าที่และอำนาจในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เว้นแต่ให้ประชาชนผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญได้ลงประชามติเสียก่อนว่าประสงค์จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ อีกทั้งคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญยังยืนยันว่ารัฐสภาไม่สามารถมอบอำนาจให้ ส.ส.ร. ดำเนินการแทนได้ ตามร่างรัฐธรรมนูญที่รอพิจารณาในวาระที่ 3 "ส่วนตัวเห็นว่าไม่สามารถโหวตเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญที่ขัดต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญได้"
พรรคร่วมรัฐบาล
แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลทั้งพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.), พรรคภูมิใจไทย (ภท.) และพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ต่างออกมาระบุตรงกันว่าพร้อมเดินหน้าลงมติในวาระ 3 โดยให้เหตุผลว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็น "จุดยืนของพรรค" และ "อยากเห็นรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย"
ทว่าหลังเห็นคำวินิจฉัยกลางของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 15 มี.ค. พวกเขายังสงวนท่าทีว่าจะลงมติออกมาในทิศทางใด โดยอ้างว่าจำเป็นต้องปรึกษาฝ่ายกฎหมาย, ต้องศึกษารายละเอียด ฯลฯ
ฝ่ายค้าน
นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย และประธานวิปฝ่ายค้าน เชื่อว่ารัฐสภาเดินหน้าลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 3 ได้ เพราะยังไม่ใช่กระบวนการยกร่างฉบับใหม่ เป็นเพียงการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 เพื่อรองรับการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จึงไม่เข้าข่ายต้องทำประชามติก่อน
ส.ว.
นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ในฐานะรองประธานรัฐสภา กล่าว ยอมรับว่าการโหวตวาระ 3 มีผลทางการเมืองพอสมควร หากที่ประชุมเห็นชอบวาระ 3 เชื่อว่าจะมีผู้ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอีกครั้ง ทำให้กระบวนการแก้รัฐธรรมนูญล่าช้าไปอีก แต่หากไม่เห็นชอบ เสียง ส.ว. ไม่ถึง 84 เสียง ส.ว. ก็จะตกเป็นจำเลยสังคมทันที หากเลือกทางนี้ ส.ว. ต้องชี้แจงต่อสังคม
นายสมชาย แสวงการ เจ้าของคำร้องตีความอำนาจรัฐสภา ให้ความว่ากระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภาในขณะนี้ เลยขั้นตอนการออกเสียงประชามติขอความเห็นจากประชาชนในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มาแล้ว จึงจะต้องหาทางออกว่า "จะทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ตกไปได้อย่างไร เพราะไม่สามารถดำเนินกระบวนการต่อไปได้" พร้อมเตือนเพื่อนร่วมสภาว่าหากเดินหน้าต่อไปทั้งที่รู้ว่าผิด ไม่ใช่แค่ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง แต่จะถูกดำเนินคดีในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย
นายคำนูณ สิทธิสมาน ระบุว่า หากเดินหน้าต่อไปอาจขัดรัฐธรรมนูญ เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ถือเป็นเด็ดขาด และมีผลผูกพันทุกองค์กร
นายวันชัย สอนศิริ ตีความคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญไว้ว่าถ้าจะจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ต้องทำประชามติ 3 ครั้งคือ ครั้งแรกก่อนเริ่มดำเนินการ ครั้งที่ 2 หลังผ่านวาระที่ 3 และครั้งสุดท้ายหลังจากทำรัฐธรรมนูญเสร็จ ดังนั้นคงเป็นไปไม่ได้ทั้งด้านงบประมาณ และสถานการณ์ที่ต้องทำประชามติ 3 ครั้ง จะโกลาหลอลหม่าน "ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ค้างท่ออยู่ แท้งแน่นอน"
อนึ่งการทำประชามติใช้งบประมาณราว 3,000 ล้านบาท ทว่าหากดำเนินการในช่วงการระบาดของโควิด-19 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เคยประเมินว่าต้องใช้งบราว 4,000 ล้านบาท นั่นหมายความว่าหากต้องทำประชามติ 3 ครั้ง ก็ต้องใช้เม็ดเงินราว 9,000-12,000 ล้านบาท
ขั้นตอนในการผ่านวาระ 3
ความเห็นที่สอดคล้องกันของ ส.ส.พปชร. ที่มีเสียงในสภา 119 เสียง และ ส.ว. ที่มีอีก 250 เสียง ทำให้โอกาสที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญจะผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาในวาระที่ 3 คล้ายเป็นเรื่องยาก
ในการผ่านวาระที่ 3 ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 มาตรา 256 กำหนดให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย และต้องได้คะแนนเสียงเห็นชอบจากสมาชิกรัฐสภา "มากกว่ากึ่งหนึ่ง" ของสมาชิกเท่าที่มีอยู่ของสองสภา หรือ 367 คน จากสมาชิกที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ 734 คน (ปัจจุบันมี ส.ส. ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ 484 คน และ ส.ว. 250 คน) แต่มีเงื่อนไขสำคัญคือ ต้องได้เสียงสนับสนุนจาก ส.ส. ฝ่ายค้าน 20% หรือ 43 จาก 211 เสียง และมี ส.ว. เห็นชอบไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของ ส.ว. ที่มีอยู่ หรือ 84 คน
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar