มายด์ ภัสราวลี: เปิดบทสนทนากับครอบครัวของแกนนำ "ราษฎร" ก่อนอัยการนัดส่งฟ้องข้อหา ม.112
หนึ่งวันก่อนอัยการนัดฟังคำสั่งคดีชุมนุมหน้าสถานทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย นักกิจกรรมการเมืองที่ใช้ชื่อว่า "แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม" นัดชุมนุมที่แยกราชประสงค์ โดยมี 3 ผู้ต้องหาคดีดังกล่าว เป็น "ผู้ปราศรัยหลัก" เพื่อส่งต่ออารมณ์ให้มวลชน
ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล หรือมายด์ เป็น 1 ใน 13 ผู้ต้องหาในคดีหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, ยุยงปลุกปั่นฯ ตามมาตรา 116 และข้อหาอื่น ๆ จากการชุมนุมหน้าสถานทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2563 ซึ่งอัยการนัดส่งสำนวนคดีในวันพรุ่งนี้ (25 พ.ค.)
แม้มีรายงานข่าวปรากฏในสื่อมวลชนบางสำนักว่าอัยการอาจเลื่อนสั่งคดี เพราะทำสำนวนไม่ทัน แต่มายด์กับเพื่อนก็ไม่อาจวางใจ และเตรียมพร้อมเสมอในการรับกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น
"เราไม่แน่ใจว่าวันที่ 25 มี.ค. เราจะได้ประกันตัวไหม เราจึงต้องการเปิดประเด็นเพื่อส่งต่ออารมณ์ให้มวลชนกลับมาศรัทธาในการชุมนุมอีกครั้ง" ภัสราวลีเผยที่มาของการนัดชุมนุมใหญ่ในวันนี้ (24 มี.ค.)
- ม.112: อัยการเลื่อนฟังคำสั่งฟ้องผู้ต้องหาหมิ่นสถาบันฯ-ยุยงปลุกปั่นคดีชุมนุม 19 กันยา-สถานทูตเยอรมัน
- "มายด์ ภัสราวลี" ได้รับการประกันตัว หลังถูกจับข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
- มายด์ ย้ำ ประชาชนมีสิทธิ์ลงถนน ขณะปารีณาบอก แก้ไข้รัฐธรรมนูญทุกมาตราคือการปฏิวัติ
- เปิดบทสนทนาของนักศึกษากลุ่ม “ไทยภักดี” กับ “ประชาชนปลดแอก” ว่าด้วยท่อน้ำเลี้ยง-เพดาน-สิ่งศักดิ์สิทธิ์
ท่ามกลางเสียงวิจารณ์เรื่อง "ม็อบแผ่ว-ไม่เป็นขบวน-เกิดความรุนแรง" สิ่งที่ขบวนการเคลื่อนไหวบนท้องถนนทิ้งเอาไว้หลังครบขวบปีตามทัศนะของภัสราวลีคือการทำให้การเมืองไทยไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และประชาชนถูกติดอาวุธทางความคิดแล้ว แต่ถึงกระนั้นเธอก็ตระหนักดีว่าข้อเรียกร้องต่าง ๆ ไม่อาจสำเร็จลงได้ในพื้นที่การชุมนุม หากคนในรัฐสภาไม่สนองตอบ
นักกิจกรรมการเมืองวัย 26 ปีชี้ให้เห็น "ข้อดี" ของการจัดการชุมนุมทั้ง 2 ระบบ ซึ่งการชุมนุมแบบไม่มีแกนนำตามแนวทางของกลุ่มที่ใช้ชื่อว่า "รีเด็ม" (Restart Democracy - REDEM) เป็นการเพิ่มอำนาจให้มวลชน ทำให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการต่อสู้จริง ๆ และดึงจิตสำนึกทุกคนในฐานะเจ้าของประเทศได้ดีมาก แต่ต้องยอมรับว่าเมื่อไม่มีการจัดการ ทุกคนเลยต้องช่วย ๆ กัน ขณะที่การชุมนุมแบบมีแกนนำ มีเวทีปราศรัย มีการจัดการ เป็นพื้นที่ที่เหมือนมีความปลอดภัย แต่ถ้าเจ้าหน้าที่จ้องจะใช้ความรุนแรง ไม่ว่าจัดชุมนุมแบบไหน ความรุนแรงก็เกิดขึ้นได้ แต่การชุมนุมแบบมีเวที มีจุดเด่นตรงที่การชูประเด็นและทำให้สามารถขยายความเข้าใจและส่งเนื้อหาให้แนวร่วมได้
"ท่านเด็ดดอกไม้ทิ้งจะยิ่งบาน"
นับจากต้นปี 2564 ความเคลื่อนไหวทางการเมืองบนท้องถนนเกิดขึ้นอย่างประปราย และเคลื่อนเข้าสู่ "การชุมนุมแบบไร้แกนนำ" มายด์-ภัสราวลียังไปปรากฏตัวตามสถานที่ชุมนุมหลายแห่ง ในฐานะ "ผู้ร่วมชุมนุม" ไม่ใช่ "ผู้ปราศรัย" หรือ "ผู้จัดการชุมนุม"
ทว่าหนึ่งวันก่อนถึงวันนัดสั่งคดีชุมนุมหน้าสถานทูตเยอรมนีของอัยการ มายด์เป็น 1 ใน 3 แกนนำปราศรัยหลัก ร่วมกับ "ผู้ต้องหาร่วมคดี" อย่าง เบนจา อะปัญ สมาชิกกลุ่ม "แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม" และ อรรถพล บัวใหญ่ หรือ "พ่อหมอ" หรือ "ครูใหญ่" สมาชิกกลุ่ม "ราษฎรโขง ชี มูล"
"ส่วนตัวหนูไม่ได้ถือว่าเป็นการเข้าคุกนะ มันเป็นการเปลี่ยนสถานที่ในการต่อสู้ หากต้องไปอยู่ในนั้นจริง ๆ เราก็อาจเขียนอะไรออกมาเพื่อยืนยันหลักการ เพื่อให้กำลังใจคนข้างนอก แบบที่พี่อานนท์ (นำภา แกนนำราษฎร) ที่กวิ้น (พริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน แกนนำราษฎร) หรือรุ้ง (ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล แกนนำราษฎร) ทำและสู้อย่างเต็มที่" มายด์บอก
"ท่านเด็ดดอกไม้ทิ้งจะยิ่งบาน" คือประโยคที่ภัสราวลีเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง หาใช่เพียงวาทกรรมหลอกเด็ก แม้มีคนบางคนหายไป แต่เธอมั่นใจว่าจะมีคนใหม่ ๆ ผุดขึ้นมาเสมอ จึงต้องเปิดโอกาสให้คนเหล่านั้นได้แสดงบทบาท
เตือนกระบวนการ ยธ.-รบ. อย่าทำให้ประชาชนโกรธแค้นกว่าเดิม
แม้มีหนังตัวอย่างของแกนนำ "ราษฎร" ที่ตกเป็นผู้ต้องหาและจำเลยคดี 112 รายอื่น ๆ ซึ่งศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว และต้องนอนในเรือนจำในระหว่างการต่อสู้คดี แต่ภัสราวลียืนยันว่าไม่กังวลใจเรื่องอิสรภาพของตัวเอง
เธอฝากถึงคนในกระบวนการยุติธรรมว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเป็นจุดสำคัญ เพราะเป็นการแสดงออกให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมจริงใจกับประชาชนหรือไม่ และเชื่อว่าคำสั่งคดีชุมนุมหน้าสถานทูตเยอรมัน จะส่งผลต่อจิตวิทยาของแนวร่วมผู้ชุมนุม
"กระบวนการยุติธรรมหรือรัฐบาลต้องเล็งให้ดี ถ้าผิดพลาดเพียงนิดหนึ่ง อาจทำให้ประชาชนโกรธแค้นกว่าเดิมก็ได้" ภัสราวลีกล่าว
นักกิจกรรมการเมืองหญิงรายนี้ยังวิจารณ์รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่านำมาตรา 112 มาใช้ในทางที่ผิด เพื่อ "ตีกรอบ และปิดประตูการวิพากษ์วิจารณ์ โดยให้พูดได้แต่คำสรรเสริญ
"เมื่อเราเห็นความผิดปกติ เราควรพูดได้ บอกได้ เตือนได้ แต่นี่แม้แต่ใส่ชุดไทยก็ยังทำไม่ได้ มันเกินไปมาก... พวกหนูไม่จำเป็นต้องกลัวกฎหมายตัวนี้ เพราะยิ่งบังคับใช้อย่างเด็ดขาด ยิ่งทำให้เห็นว่ารัฐบาลลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นตามระบอบประชาธิปไตย ต้องถามว่ามาตรา 112 เป็นผลดีหรือหรือเสียต่อสถาบันฯ กันแน่ รัฐบาลอาจมองว่ากำลังปกป้อง แต่มันไม่ได้สร้างผลดีให้กับประชาชนส่วนใหญ่เลย" ภัสราวลีให้ความเห็น
"ขอให้เชื่อมั่นว่าสิ่งที่ลูกทำ ไม่ได้ผิด"
นอกจากบทบาทนักเคลื่อนไหวการเมือง มายด์ยังมีสถานภาพนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เทคโนโลยีมหานคร นั่นทำให้เธอปรึกษาทนายไว้เบื้องต้นว่าอาจต้องยุติการเป็น "เด็กวิศวะ" ไปโดยปริยายหากถูกคุมขังภายในเรือนจำ เพราะคณะวิศวะฯ ต้องทำภาคสนามและทำแล็บ ซึ่งไม่สามารถทำได้ในนั้น และคงต้องหันเหไปเรียนคณะอื่นที่พอเรียนได้แทน
แต่เหนือสิ่งอื่นใด หน้าที่สำคัญที่สุดสำหรับมายด์คงไม่พ้นการเป็นบุตรสาวคนเดียวของบ้าน "ธนกิจวิบูลย์ผล" นั่นทำให้เธอต้องพูดคุย-ทำความเข้าใจกับพ่อแม่ตั้งแต่เนิ่น ๆ
"หนูก็บอกที่บ้านตรง ๆ ว่ามีสิทธิไม่ได้ประกันนะ ถ้าติด เราไม่มั่นใจว่าเมื่อไรจะได้ออก สิ่งที่ป๊ากับแม่ต้องทำคือการเตรียมความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่ต้องเศร้า ไม่ต้องเครียด ขอให้เชื่อมั่นว่าสิ่งที่ลูกทำ ไม่ได้ผิด ขอให้เชื่อในสิ่งที่ลูกกำลังเดินอยู่ หนูแค่เปลี่ยนที่ ไปสู้ข้างใน และขอให้ป๊ากับแม่ให้กำลังใจตัวเองให้มาก ๆ" บุตรสาววัย 26 ปีเผยบทสนทนาทางโทรศัพท์กับครอบครัวของเธอ
มายด์ยังร้องขอไม่ให้พ่อและแม่เดินทางไปให้กำลังใจเธอศาล เพราะไม่ต้องการให้เกิดภาพแบบที่ครอบครัวแกนนำ "ราษฎร" รายอื่น ๆ ประสบมา
"หนูไม่อยากให้แม่มา แล้วจู่ ๆ มีคนเอาลูกไปต่อหน้าต่อตา อยากให้แม่เข้มแข็ง ถ้าเราต่างคนต่างรู้ว่าเรากำลังทำอะไร เราก็จะผ่านมันไปได้"
ตลอดการสนทนากับบีบีซีไทย เสียงของผู้ต้องหาหญิงที่ยังไม่รู้ชะตากรรมของตนเองแน่ชัดยังสดใส มีเสียงหัวเราะเล็ก ๆ สลับดังขึ้นมาเป็นระยะ ๆ
"มันไม่ใช่เรื่องน่าเศร้า สำหรับหนูมองว่ามันเป็นอีกเกมหนึ่งที่เราต้องต่อสู้ไป ถ้าเศร้าก็ไม่รู้จะเอาพลังมาจากไหน แต่ถ้าเข้าใจ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปเสียใจ เศร้าโศก"
"หนูเตรียมความพร้อมตัวเองตั้งแต่วันแรกที่ก้าวขาออกมาประจันหน้ากับรัฐบาลแล้ว" ภัสราวลีเฉลยความคิดในวันเริ่มต้นชีวิตนักกิจกรรมการเมือง ในขณะที่ยังไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร
เกิดอะไรขึ้นที่สถานทูตเยอรมนีเมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2563
ภัสราวลีเป็นหนึ่งในแกนนำที่นำมวลชนซึ่งขณะนั้นใช้ชื่อกลุ่มว่า "คณะราษฎร 2563" เดินจากบริเวณแยกสามย่านไปที่สถานทูตเยอรมนี ถ.สาทร เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2563
คณะราษฎร 2563 อธิบายว่ากิจกรรมในวันนั้นเป็นการ "ยกระดับการเคลื่อนไหว" หลังจาก พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่ยอมลาออกภายในเส้นตายที่กลุ่มราษฎรกำหนดไว้ในเวลา 22.00 น. ของวันที่ 24 ต.ค. ซึ่งทางกลุ่มประกาศไว้ว่าหากนายกฯ ไม่ทำตามข้อเรียกร้องนี้ รวมทั้งไม่ปล่อยแกนนำผู้ชุมนุมที่ยังถูกคุมขัง ผู้ชุมนุมจะยกระดับการเรียกร้อง "ให้ไปไกลกว่ารัฐบาล" ซึ่งก็คือการเรียกร้องรัฐบาลเยอรมนีให้ความกระจ่างเกี่ยวกับการประทับ การทรงงานและการเสียภาษีของในหลวง รัชกาลที่ 10 ในสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่การเคลื่อนไหวของกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่เริ่มขึ้นช่วงกลางเดือน ก.ค. 2563 ที่สถานทูตต่างประเทศกลายมาเป็นเป้าหมายของการชุมนุมซึ่งมีข้อเรียกร้องหลัก 3 ประการ คือ 1) ให้นายกฯ ลาออก 2) เปิดสภาเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อเรียกร้องของประชาชน และ 3) ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์
หลังจากผู้ชุมนุมเดินทางถึงสถานทูตเยอรมนีในช่วงค่ำ ในเวลาประมาณ 19.40 น. พวกเขาได้ส่งตัวแทน 3 คน—หนึ่งในนั้นคือภัสราวลี เข้าไปยื่นจดหมายเปิดผนึกจากราษฎรชาวไทย ถึงสถานเอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจำประเทศไทย ต่อนายเกออร์ก ชมิดท์ เอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย ระหว่างนั้นได้มีการอ่านแถลงการณ์ข้อเรียกร้องของกลุ่มให้ผู้ชุมนุมฟังเป็นภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาเยอรมัน
แถลงการณ์ระบุว่า ประชาชนชาวไทยผู้รักในประชาธิปไตยขอเรียกร้องให้รัฐบาลเยอรมนีตรวจสอบข้อเท็จจริงอันเกี่ยวข้องกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และข้าราชบริพารในประเด็นต่าง ๆ เช่น การทรงใช้อำนาจอธิปไตยในแผ่นดินเยอรมนี การเสียภาษีมรดกตามกฎหมายเยอรมัน ข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนของข้าราชบริพาร เป็นต้น
แถลงการณ์ลงท้ายว่า "ด้วยความเชื่อมั่นอย่างถึงที่สุดว่าประชาชนชาวเยอรมัน จะเห็นแก่สิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เหนือสิ่งอื่นใด ขอแสดงความนับถือในฐานะเพื่อนมนุษย์ที่มีค่าเป็นคนมิใช่ผงธุลี"
การชุมนุมในวันนั้นยุติลงเมื่อเวลา 21.00 น. โดยไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น
13 ผู้ต้องหาคดีสถานทูตเยอรมนี
สามวันหลังการชุมนุมที่สถานทูตเยอรมนี สน.ทุ่งมหาเมฆได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอออกหมายจับแกนนำการชุมนุม 5 คน ซึ่งรวมทั้งภัสราวลี ในข้อหายุยงปลุกปั่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 แต่ศาลยกคำร้อง เนื่องจากเห็นว่าทั้งหมดยังเป็นนักศึกษาและไม่มีพฤติการณ์หลบหนี
อีกราวหนึ่งสัปดาห์ต่อมา ผู้จัดการชุมนุมและผู้อ่านเริ่มได้รับหมายเรียกจากตำรวจให้มารับทราบข้อกล่าวหาตามมาตรา 116 และต่อมาได้มีการแจ้งข้อหาหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เพิ่มแก่บางคน
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนสรุปว่ามีแกนนำผู้ชุมนุมและผู้อ่านแถลงการณ์ที่สถานทูตเยอรมนีถูกแจ้งข้อหาดำเนินคดีทั้งหมด 13 คน ในข้อหาหลักคือมาตรา 116 และมาตรา 112 ได้แก่
- ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล - นักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เทคโนโลยีมหานคร แกนนำผู้ชุมนุมและตัวแทนยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงสถานทูต
- อรรถพล บัวพัฒน์ - แกนนำกลุ่มราษฎร
- ชลธิศ โชติสวัสดิ์ - นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ผู้อ่านแถลงการณ์ภาษาไทย
- เบนจา อะปัญ - กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ผู้อ่านแถลงการณ์ภาษาไทย
- กรกช แสงเย็นพันธ์ - ผู้อ่านแถลงการณ์ภาษาไทย
- ชนินทร์ วงษ์ศรี - ผู้อ่านแถลงการณ์ภาษาไทย
- ณวรรษ เลี้ยงวัฒนา - ผู้อ่านแถลงการณ์ภาษาอังกฤษ
- วัชรากร ไชยแก้ว - ผู้อ่านแถลงการณ์ภาษาอังกฤษ
- โจเซฟ (สงวนชื่อจริงและนามสกุล) - พนักงานบริษัท ผู้อ่านแถลงการณ์ภาษาอังกฤษ
- อัครพล ตีบไธสง - เอ็นจีโอด้านสิ่งแวดล้อม ผู้อ่านแถลงการณ์ภาษาเยอรมัน
- รวิศรา เอกสกุล - ศิษย์เก่าคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ผู้อ่านแถลงการณ์ภาษาเยอรมัน
- สุธินี จ่างพิพัฒนวกิจ - นิสิตคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ผู้อ่านแถลงการณ์ภาษาเยอรมัน
- แอน (นามสมมติ) - พนักงานบริษัท ผู้อ่านแถลงการณ์ภาษาเยอรมัน
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar