ชัดแจ่มและจะแจ้ง กับการนั่งเรียงแถวแถลงข่าวของ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อย และพี่ๆ แกนนำ นปช. (ครั้งอดีต) ซึ่งบัดนี้น่าจะเรียกว่ากลุ่ม ‘ยูดีดีส์’ คงไม่เกินจริงมากนัก โอกาสก็คือการถอดเครื่องอีเล็คโทรนิคคุมประพฤติ ได้อิสรภาพอัน ‘เปราะบาง’ คืนมามากพอกล้าประกาศ
“ผมคิดว่าประเทศนี้ไม่สามารถจะพูดถึงอนาคตที่สดใสงดงาม ตราบเท่าที่อนาคตของชาติยังอยู่ในกรงขัง” แม้นว่า “การแสดงจุดยืนหรือการพูดเรื่องราวเหล่านี้ ก็อาจจะทำให้ความเปราะบางนั้น เปราะบางไปอีก แต่ผมไม่คิดจะมีทางเลือกอื่น”
‘เต้น’ พูดถึง “ในวันที่คนหนุ่มสาว ในวันที่พี่น้องประชาชนออกมาสู้ แล้วกำลังถูกกระทำอยู่เช่นนี้ ผมมีท่าทีอย่างอื่นไม่ได้ ผมแสดงจุดยืนอย่างอื่นไม่ได้ ผมต้องยืนเคียงข้างพวกเขา” โดยเปรียบเทียบถึงลูกชายวัยเยาว์ของตนในอีกสิบปีข้างหน้า
“จะอายุเท่าเพ็นกวิ้นวันนี้...ไม่แน่ว่าสิบปีข้างหน้า คนที่จะต้องวิ่งขึ้นลงบันไดศาล อาจจะไม่ใช่แม่เพนกวิ้น แม่รุ้ง แม่ไม้ค์ แม่ไผ่ แต่อาจจะเป็นผมซึ่งเป็นพ่อของเด็กชาย นปก ใสยเกื้อ...ผมถึงบอกว่าคนรุ่นเราต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ให้เด็กที่โตขึ้นมาบนความขัดแย้ง”
ใครที่อ้างว่า เด็กทำผิด “ต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย...ผมไม่ได้คิดแบบนั้น เราสู้กันมาสิบกว่าปี แล้วจนถึงวันนี้ การต่อสู้นี้ก็ยังคงอยู่ แล้วคนรุ่นลูกรุ่นหลานออกมาสู้วันนี้ ถูกดำเนินคดี ถูกกระทำต่างๆ นานามากมาย...คนรุ่นเราต่างหากต้องรับผิดชอบ”
เขาท้าวความตอนหนึ่ง “สิบกว่าปีที่ผ่านมา พวกผมต่อสู้แล้วเจอแต่สิ่งนี้...ถูกฆ่าตายมากที่สุดในประวัติศาสตร์...ถูกตราหน้าว่าเป็นควาย...ถูกกาหัวว่าเป็นพวกไร้การศึกษา เราถูกทำให้ไร้ค่า แต่พวกเขาคนหนุ่มสาวเหล่านี้...
หยิบยื่นความเห็นใจและหยิบยื่นเกียรติยศให้พวกผม พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่ตะโกนเรียกพวกเรากลางท้องถนน พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่บอกว่าเข้าใจพวกเราแล้วและขอโทษพวกเราที่เคยเข้าใจผิด ในนามของความเป็นมนุษย์ ผมทิ้งพวกเขาไม่ได้”
สัจจธรรมที่หลายๆ คนไม่สำเหนียก “ไม่มีใครปฏิเสธความเปลี่ยนแปลงได้ และเราอยู่ร่วมกับความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ ไม่มีใครต้องทำลายกันและกันให้พินาศ...เมตตาเถอะครับอย่าอาฆาต กรุณาเถอะครับอย่าพยาบาท”
ถ้อยคำซับซึ้งและซึมลึกของเขา ทำให้วันนี้ ณัฐวุฒิเป็น ‘พี่เต้น’ ของน้องๆ หลานๆ ที่ “ยังอยู่ตรงนี้ จะไม่ทอดทิ้งกัน” ถึงอย่างนั้นมันช่วยไม่ได้ที่มันกระหวัดเกี่ยวถึงอีกพี่ ‘ตู่’ ซึ่งไม่ใช่ลุง ‘I Too’ ที่ผู้คนมักจะว่าได้ยินหรือ ‘hear’ ตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมา
‘ตู่-เต้น’ เป็นของคู่กันสำหรับ นปช.ครั้งกระโน้นสิบกว่าปีที่แล้ว วันนี้ก็ยัง “เราเป็นพี่น้องกัน ในทางส่วนตัวเนี่ยยังไงก็แยกกันไม่ได้ครับ แต่ว่าในแง่กระบวนการทางการเมือง ในแง่ของการขับเคลื่อนทางการเมือง ในฐานะองค์กรนำของ นปช.แบบเดิมนั้น
โดยข้อเท็จจริงมันไม่ได้ดำรงสภาพอยู่แล้วเกือบสามปี “ที่คุณจตุพร (พรหมพันธุ์) และคณะดำเนินการนั้น ก็เป็นไปดังที่ผมได้อธิบายความตั้งแต่ต้น ว่าเรายังไม่ได้ทราบเรื่อง...แล้วก็ไม่มีเจตนาจะไปกระทบกระทั่งใดใดกับคณะที่เคลื่อนไหวกันอยู่”
นั่นเป็นเรื่องของกำหนดวันที่ ๔ เมษายน ซึ่งผู้ยังดำรงตำแหน่งประธาน นปช.ประกาศจัดชุมนุมใหญ่ ขับอีกตู่ออกไปจากฐานะ ‘ผู้ครองเมือง’ โดยมิพักจะเอ่ยถึงอีกสองข้อเรียกร้องของขบวนการคนรุ่นใหม่ อันทำให้พวกเขาถูกจับยัดคุกทั้งที่ยังไม่ได้ดำเนินคดี
มีเสียงกระทบออกมาแล้วว่า “ถ้าจตุพรจะออกมานำม็อบโดยจำกัดประเด็น ‘ไม่แตะ ๑๑๒’ ก็นอนอยู่บ้านดีกว่า ไม่ยกเลิก ๑๑๒ และไม่ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ไม่มีทางเป็น ปชต.” สุรพศ ทวีศักดิ์ จดจารึกไว้ตามตรงบนสื่อสังคม เช่นกันกับอีกความเห็น
“ไล่ประยุทธ์ ๑ ไปก็มีประยุทธ์ ๒ ไล่ประยุทธ์ ๒ ก็มีประยุทธ์ ๓ ฯลฯ บทเรียนจากการไล่ถนอม-ประภาส ไล่เปรม ไล่สุจินดา ยังไม่พออีกหรือ” พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ ถามแรงๆ โดยเชื่อว่า “นี่เป็นการเบี่ยงเบนแนวทางการชุมนุม
ไปเป็นเรื่องการบริหาร ปท.ของประยุทธ์เพียงคนเดียว แม้แต่ปัญหา รธน.๖๐ ก็พูดถึงน้อยลงๆ โดยโยนไปเป็นเรื่องหลังเลือกต็ั้งครั้งต่อไป” เขาปรารภดังๆ ด้วยว่า “ความขัดแย้งการเมืองวันนี้เดินมาไกลมากแล้วจากจุดเริ่มต้นปี ๔๙
ไม่อาจหวนกลับได้” แม้กระทั่งประสบการณ์ ‘พฤษภา ๓๕’ ที่รุ่น ๕ กับรุ่น ๗ ช่วงชิงอำนาจกันแล้ว ไปหมอบกรานออกโทรทัศน์ให้รุ่น ๙ ตัดสิน เพื่อที่ได้กลับสู่ ‘Status quo’ สถานะไม่เปลี่ยน รักษาระบอบศักดินาประชาธิปไตยมาจนกระทั่งบัดนี้
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar