fredag 17 september 2021

ใบตองแห้ง: ตู่ตีมึน


ประยุทธ์กำลังตีมึนต่อทุกปัญหา ตั้งแต่ล้มเหลวโควิด คนด่า ม็อบไล่ ไปจนความขัดแย้งในพรรคพลังประชารัฐ ถึงขั้นปลด 2 รัฐมนตรี “เส้นเลือดใหญ่” ของประวิตร

โควิดยังติดเชื้อวันละหมื่นสี่หมื่นห้า แม้แนวโน้มลดลง ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ สธ.กับเลขา สมช.ที่กำลังจะเกษียณ คลายล็อกแบบใจดีสู้เสือ แค่เชื่อว่าคนฉีดวัคซีนเยอะแล้ว หรือติดเชื้อจนหายเองเยอะแล้ว เดินหน้าเปิดเมือง ทั้งที่ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์คนติดเชื้อเป็นเบือ

ม็อบออกมาไล่มากแค่ไหน ประยุทธ์ไม่แยแส โยนเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ไม่ยอมรับว่าเป็นปัญหาการเมือง ความล้มเหลวของรัฐบาล ให้ตำรวจใช้กำลังเข้าสลาย ใช้รถฉีดน้ำ ใช้แก๊สน้ำตา กระสุนยาง ออกหมายเรียกหมายจับ คุมขังไม่ให้ประกัน จนบานปลายเป็น “เยาวรุ่นทะลุแก๊ส” ตำรวจก็ยิ่งใช้ความรุนแรง ถีบรถ ขับรถชน จับได้แล้วรุมตีอย่างป่าเถื่อน

ประยุทธ์ WFH เก็บตัวปิดปาก ทำงานด้วยการออกคำสั่ง ระบบราชการไร้ประสิทธิภาพ โดยไม่เคยลงไปดูปัญหา พออภิปรายไม่ไว้วางใจ ค่อยออกมาด่ากราด ปากเก่ง สวดมนต์ทุกวัน พ่อแม่สอนให้ใช้วาจาสุภาพ พอเกิดคลื่นใต้น้ำในพรรคพลังประชารัฐ ก็เคลียร์ปัญหาเฉพาะหน้า พอคะแนนผ่านก็ “ไล่ออก” เลขาธิการพรรค

แน่ละ จะไม่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจอีก 1 ปี งบ 65 ก็เพิ่งผ่าน ประยุทธ์อยู่ได้โดยไม่ต้องแยแสสภา แต่ถ้าดูการประชุมทั้งสภาผู้แทนและประชุมร่วมรัฐสภา 2 วัน ยกเว้นลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญ สภาล่มไม่ครบองค์ประชุม เพราะ ส.ส.รัฐบาลแทบไม่เข้าเลย ฝ่ายค้านพยายามช่วยให้ครบ เพื่อจะได้พิจารณากฎหมาย สภาก็ยังล่ม

ประยุทธ์ปลดธรรมนัส ไม่ใช่แค่เรื่องตัวบุคคล แต่เป็นองค์ประกอบลักลั่นของประชาธิปไตยปลอม รัฐประหารสืบทอดอำนาจ ตั้ง 250 ส.ว.มาโหวตตัวเอง แล้วกวาดต้อนกลุ่มก๊วนการเมืองระบบอุปถัมภ์มาตั้งพรรครองมือรองตีนในสภา

การเมืองอุปถัมภ์ฝังรากในสังคมไทย หาเสียงด้วยเครือข่ายหัวคะแนน ที่ต้องใช้น้ำมันหล่อเลี้ยง นักการเมือง “บ้านใหญ่” ทุนท้องถิ่น ใช้บารมีอิทธิพลเส้นสายช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าดูแลทุกข์สุขประชาชน สร้างเครือข่ายทั้งน้ำใจและผลประโยชน์จนแยกไม่ออก

ไทยรักไทยเพื่อไทยก็ใช้นักการเมืองระบบอุปถัมภ์ แต่ควบคุมด้วยความนิยมนโยบายพรรคและทักษิณ ประยุทธ์ไม่มีอะไรเลยนอกจากอำนาจบังคับ กับความมั่นใจว่าย้ายพรรคแล้วจะได้เป็นรัฐบาล แต่พอเป็นรัฐบาลแล้วก็ไม่แบ่งปันอำนาจผลประโยชน์ ที่หัวหน้ากลุ่มก๊วนจะนำไปหล่อเลี้ยง ส.ส.ระบบอุปถัมภ์

ที่ผ่านมาก็ผลักภาระให้ “พี่ใหญ่” ทำหน้าที่ “หัวจ่าย” โดยมี “เทามนัส” เป็นเส้นเลือดใหญ่ พอเข้าสู่ช่วงปลายรัฐบาล พอความนิยมติดลบ แรงกดดันจึงปะทุ

ยกตัวอย่างง่าย ๆ ทุกยุคสมัย รมว.มหาดไทยเป็นเก้าอี้ของเลขาธิการพรรค หรือคนสำคัญในพรรคแกนนำ เพื่อเอื้อต่อการหาเสียง หาโครงการลงพื้นที่ แต่นี่อนุพงษ์คุมเงียบอยู่คนเดียว ครั้นเหลียวไปดูพรรคร่วม ต่างก็มี “โต๊ะ” ของตัวเอง พาณิชย์ เกษตร คมนาคม วัคซีน ATK จะไม่ให้ ส.ส.พปชร.เหลีออดได้อย่างไร

ประยุทธ์ทำเฉยไม่แยแส คงถือว่าคุมอำนาจราชการทหารตำรวจไว้หมด อำนาจหนุนหลังก็ไม่มีตัวเลือกอื่น ดันทุรังไปต่อท่ามกลางความปริแตกทุกภาคส่วน ปล่อยให้ทุกฝ่ายต้องทนแบกรับและหาทางรอดเอาเอง

แบบเศรษฐกิจแย่ ภาคธุรกิจก็ต้องปรับตัวกันเอง ล้มเหลวโควิด ประชาชนก็ต้องช่วยกันเอง อปท. บริษัทห้างร้านซื้อวัคซีนฉีดเอง ม็อบลุกฮือก็ยื้อไปเรื่อย ๆ ไล่ออกหมายเรียกหมายจับให้มันท้อเอง แล้วประกาศจะอยู่จนครบวาระ มันคงง่ายหรอกนะ ถ้าไม่มีระเบิดลูกใหม่เกิดขึ้นอีก

ระบอบประยุทธ์ปริแตกทุกด้าน แต่ประยุทธ์ก็ฉวยมาอ้าง ยิ่งปริแตกยิ่งไล่ไม่ได้ ต้องให้อยู่ต่อไป

ที่มา: ข่าวหุ้นธุรกิจ https://www.kaohoon.com/column/477110

2021-09-15 15:38 

“แพ้เป็นพระชนะเป็นมาร” ประยุทธ์สวดมนต์ทุกวัน ชนะโหวตในสภา แต่ผู้ชนะใจประชาชนกลายเป็น 2 พส. พระมหาสมปอง พระมหาไพรวัลย์ “แบทเทิลทำมะ” กับจอมขวัญในโลกออนไลน์

ดูเหมือนไม่เกี่ยวกัน แต่ประเทศไทยวันนี้แยกเป็น 2 โลก 2 สนามรบ โลกเก่าโลกใหม่ โลกออฟไลน์โลกออนไลน์ การต่อสู้ทางอำนาจ Hard Power การต่อสู้ทางวัฒนธรรม Soft Power แยกกันจนเห็นชัดว่า พลังอนุรักษ์ยังยึดกุม Hard Power ไว้เหนียวแน่น ทั้งอำนาจปืนอำนาจกฎหมาย ทั้งอำนาจเลือกตั้งอำนาจลากตั้ง แต่ในโลกความคิดวัฒนธรรม อำนาจเก่าแพ้กระเจิง

ADVERTISEMENT

แพ้จนกระทั่งความเชื่อความศรัทธารูปเคารพแบบเดิมๆ ถูกไล่ต้อนไปจนมุมที่มีแต่สลิ่ม IO

แพ้แล้วไง ก็ยังอยู่ในอำนาจได้ อำนาจใหญ่โตมโหฬาร คุมได้สั่งได้ ทั้งมือ ส.ส.ในสภาทั้งรัฐราชการตำรวจทหาร ปราบม็อบจับแกนนำไม่ให้ประกัน ทุบเยาวรุ่นทะลุแก๊ซรายวัน ให้คาร์ม็อบยาวตั้งแต่แม่สายถึงเบตงก็ล้มระบอบอำนาจนี้ไม่ได้

แต่อย่าลืมว่ารากฐานของอำนาจอนุรักษ์คือ Soft Power ที่สั่งสมมายาวนาน ปลูกฝังในสมองคนเกือบทั้งอายุขัย กลับพังทลายด้วย “แผ่นดินไหวทางวัฒนธรรม” ในช่วงไม่กี่ปี อนาคตจะเป็นอย่างไรก็เดาได้ไม่ยาก แม้มันอาจใหญ่มหึมาแต่นี่คือโลกยุค disruption

ถ้าอำนาจทางวัฒนธรรมไม่สำคัญ ก็คงไม่สั่งปลดสุชาติ สวัสดิ์ศรี จากศิลปินแห่งชาติ แต่เสียดายที่โง่มาก เพราะวัฒนธรรมไม่ใช่เรื่องของการใช้อำนาจ เป็นเรื่องความเชื่อถือศรัทธา

ปรากฏการณ์ 2 พส. จึงเป็น “แผ่นดินไหว” อีกครั้ง เขย่า 1 ใน 3 เสาหลัก ศาสนาที่ถูกควบคุมโดยรัฐ พุทธใต้อำนาจนิยม “พุทธแท้” ต้องมีหนึ่งเดียวเท่านั้น ภายใต้มหาเถรสมาคม และสำนักพุทธ คิดต่างเห็นต่างไม่ได้ ไล่จี้ไล่จับ กวาดล้างจัดระเบียบ ตั้งแต่พระที่ถูกมองเป็นเสี้ยนหนาม ไปจน “แครอต” ที่ออกมาเคลื่อนไหวการเมืองกับม็อบสามนิ้ว

ซ้ำร้าย พระมหาสมปอง พระมหาไพรวัลย์ ก็ถูกกาหัวว่าวิจารณ์รัฐบาล ว่าเป็นพระสามนิ้ว

พอ 2 พส.ไลฟ์สดโปรด “จ๊อกจ๊อก” คนดู 2 แสน กระบอกเสียงอนุรักษนิยมจึงดิ้นพล่าน ว่าขายขำเกิน ไม่สำรวม กิเลสหนา แห่ออกมาตั้งแต่มนุษย์ป้าเถรตรง ไพบูลย์น้อมนำ ติดป้ายข้างถนน อ้างพระพุทธเจ้าหาเสียง ไปจนศรีสุวรรณผู้มีแสงวิบวับในตัวเองยามค่ำคืน และพุทธะอิสระ ผู้ตั้งกรวยปิดถนน การ์ดซ้อมคนผ่านทางปางตาย

พุทธแท้ ช่างน่าตื่นตาตื่นใจ อุดมไปด้วยผู้มีเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขาหิริโอตตัปปะเปี่ยมสติปัญญาไร้โลภโกรธหลง

พศ.เสียอีกรู้สถานการณ์ ปัดโธ่ คนดูสด 2 แสน ดูย้อนหลังเป็นล้านๆ คนติดตามเพจพระมหาไพรวัลย์ทะลุสองล้านแล้วจ้า ขืนทำแบบ “แครอต” สั่งไล่จากวัดจับสึก คณะสงฆ์ก็ต้องชนกับคนเป็นล้านๆ

ส่วนคณะกรรมาธิการสภา ก็พูดสั้นๆ ว่า “เสือก” ไม่ใช่แค่ไม่มีอำนาจเรียกพระไปชี้แจง แต่นักการเมืองจากเลือกตั้งต้องรู้ว่า เป็นเรื่องศรัทธาประชาชน ถ้าคนเห็นด้วยกับศรีสุวรรณเดี๋ยวท่านก็เสื่อมเอง

รัฐเผด็จการใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือ ให้คนสยบยอมอำนาจ พุทธที่ดีต้องเชื่อง ต้องนับถือพระดี สอนวิปัสสนากรรมฐาน ชี้ทางไปนิพพาน อย่ายุ่งกับทางโลก ซึ่งรัฐบาลบริหารประเทศจนพังพินาศ (พัฒนาแล้ว แต่ได้แค่นี้) ห้ามพระวิจารณ์รัฐบาล ขืนวิจารณ์จับสึก (หรือหมดอนาคต ไม่ได้สมณศักดิ์ไม่ได้เงินนิตยภัต (จากภาษีประชาชน)

รัฐควบคุมศาสนา แล้วก็ทำลายศาสนาไปพร้อมกัน ด้วยการบังคับไม่ให้เห็นต่าง ไม่ยอมให้มีความหลากหลาย ไม่ยอมให้ปรับวิธีสอนตามกระแสโลกตามยุคสมัย พระไทยต้องเคร่งเหมือนเป็นพระอิฐพระปูน ทั้งที่ในอดีตพระนักเทศน์เก่งๆ ก็มีทั้งแหล่มีทั้งตลกแฝงคำสอนจับใจ เช่นพระพยอม สอนวัยรุ่นยุคนั้นให้เข้าหาศาสนามากมาย

ที่น่าสังเกตคือ พุทธโดยรัฐใช้มายาคติคนชั้นกลางในเมือง พวกซื้อหนังสือพุทธทาสเต็มตู้ แล้วดูหมิ่นพุทธบ้านๆ ผสมผี ทั้งที่ตัวเองก็กลวง ไม่เคยศึกษาปรัชญาหรือศาสนาเปรียบเทียบ เรียนจบแล้วทำงานมีเงิน ใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อ จนวันหนึ่งเคว้งคว้างก็ขับรถ SUV หรือขี่เครื่องบินไปสำนักสงฆ์ นุ่งขาวห่มขาวถ่ายรูปสวยๆ ยังกับเที่ยวรีสอร์ต แล้วบอกว่านี่แหละพุทธแท้ แก่นธรรม “ฆ่าเวลาบาปกว่าฆ่าคน”

อันที่จริง ประเด็นศาสนาที่ย้อนแย้งอย่างสำคัญ ก็คือความเสื่อมทางศีลธรรมของผู้มีอำนาจ ที่ไม่ได้ปฏิบัติตัวเองตามคำสอน ทำตามอำเภอใจ ทำอะไรก็ได้ จนกระหึ่มในโลกออนไลน์กลายเป็นแผ่นดินไหว พวกพุทธแท้ก็ยังหลับตาข้างลืมตาข้างทั้งที่รู้แก่ใจ

อพิโถ ผู้นำสวดมนต์ทุกวันไม่ทำอะไรผิด รัฐมนตรีนั่งเลานจ์กินนมสด ยังเชื่อได้ว่า “คนดีปกครองบ้านเมือง”

อำนาจเสื่อมแล้วยิ่งกระชับอำนาจ เช่น พ.ร.บ.สงฆ์ 2560 ยิ่งเข้มงวดบังคับพระ ระบบการศึกษาบังคับให้กราบไหว้อย่างไร้เหตุผล ไม่เชื่อฟังลงโทษ ตัดคะแนน ฯลฯ

ที่ไหนมีแรงกดที่นั่นมีแรงต้าน มันจะไม่กลายเป็นแผ่นดินไหวได้อย่างไร

ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ https://www.khaosod.co.th/politics/news_6611370

 

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar